กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 627.2 อิ่นกวานคนใหม่
อุตรกุรุทวีปนั้นไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก เดิมทีนั่นก็เป็นทวีปใหญ่ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆของใต้หล้าไพศาล ไม่อาจเปรียบเทียบด้วยได้ ทักษินาตยทวีปอยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่มากที่สุด มีผู้ฝึกกระบี่หลายร้อยท่าน ก็มีเหตุผลให้ไม่ไปเปรียบเทียบเช่นกัน แต่นอกจากนี้แล้ว ฝูเหยาทวีป หลิวเสียทวีป เกราะทองทวีป จำนวนผู้ฝึกกระบี่ของสามทวีปนี้มีเยอะกว่าธวัลทวีปอยู่มากนัก
จำนวนผู้ฝึกกระบี่ที่มีน้อยกว่าของธวัลทวีปก็เหลือแค่สองทวีปแล้ว นั่นคือแจกันสมบัติทวีปที่อาณาเขตเล็กที่สุดของใต้หล้าไพศาล แต่ก่อนหน้านี้ก็มีเว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะ เซียนกระบี่หนุ่มคนหนึ่งที่สามารถประชันเรื่องคุณสมบัติกับผลสำเร็จบนมหามรรคากับเซียนกระบี่ในพื้นที่ได้ จากนั้นก็มีเฉินผิงอันที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่แต่กลับได้รับความเคารพเลื่อมใสจากผู้ฝึกกระบี่
ทวีปใหญ่อีกแห่งหนึ่งก็คือใบถงทวีปที่ขึ้นชื่อว่าไม่ชอบคบหาสมาคมกับทวีปอื่น
แจกันสมบัติทวีปมีปัญหาความวุ่นวายภายใน แต่ใบถงทวีปเกิดปัญหาใหญ่เพราะปีศาจใหญ่ก่อกวน
มีเพียงธวัลทวีปเท่านั้นที่สงบสุขมาโดยตลอด ถึงขั้นที่มีความเป็นไปได้ว่าต่อให้ฟ้าของใต้หล้าไพศาลถล่มลงมา ธวัลทวีปก็ยังเป็นทวีปใหญ่ที่สงบสุขมั่นคงมากที่สุด เพราะห่างจากภูเขาห้อยหัวไปไกลที่สุด มีทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่อาณาบริเวณที่กว้างขวาง ผู้โดดเด่นจับกลุ่มดุจดวงดาวคั่นกลางระหว่างพวกเขากับทักษินาตทวีปเอาไว้
เรือข้ามฟากของธวัลทวีปแต่ละลำที่มาเยือนภูเขาห้อยหัวล้วนทำการค้าอย่างเจริญรุ่งเรือง
ทว่ามีเพียงกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้เท่านั้นที่ยากจะได้พบเจอคนบ้านเดียวกัน
ก็ถูกแล้ว การฝึกตนเป็นเรื่องใหญ่ ทว่าชีวิตมีเพียงแค่ชีวิตเดียว ทัศนียภาพบนเส้นทางการฝึกตนงดงามมหัศจรรย์ สามารถฝ่าทะลุขอบเขตได้เป็นเทพเซียนอย่างมั่นคง แล้วจะพาตัวมาตายที่นี่ทำไม และเอาเข้าจริงแล้วผู้ฝึกกระบี่ที่มาที่นี่ก็ไม่มีสิทธิ์จะไปเรียกร้องหรือบังคับพวกคนที่ไม่ได้มา
ตอนนี้เซียนกระบี่ของทวีปทั้งสองท่านอย่างจางเซาและหลี่ติ้งรบตายไปแล้ว ตามหลักนี่คือเรื่องที่มากพอจะทำให้คนรุ่นหลังของธวัลทวีปยืดอกตั้งอย่างภาคภูมิได้แล้ว
แต่กลับไม่มีใครเบิกบาน มีแต่จะยิ่งทำให้ความอัดอั้นในใจของผู้ฝึกกระบี่แห่งธวัลทวีปยิ่งทับถม ยิ่งไม่พอใจมากกว่าเดิม!
มุมหนึ่งบนหัวกำแพง มีบัณฑิตสวมชุดลัทธิขงจื๊ออยู่กลุ่มหนึ่ง
เฉินฉุนอันที่อยู่ในกลุ่มคนมีสีหน้าเคร่งเครียด
เฉินซื่อยืนอยู่ข้างกายเพื่อนสนิทอย่างหลิวเสี้ยนหยางและฉินเจิ้งซิว เฉินซื่อกลัดกลุ้มอย่างยิ่ง พูดเสียงเบาว่า “พิทักษ์ไว้ ก็จะต้องมีคนตายเยอะมาก ยิ่งตายก็ยิ่งมาก แต่หากไม่ปกป้องไว้ ก็ผิดต่อคนมากมายขนาดนั้นที่ตายไป คนที่อยู่ใกล้ตรงหน้าก็มีเซียนกระบี่ในท้องถิ่นอย่างหลี่ถุ่ยมี่ จางเซาและหลี่ติ้งแห่งธวัลทวีป หากเปลี่ยนข้ามาเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสท่านนั้น ป่านนี้จิตแห่งมรรคาคงแหลกสลายไปนานแล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางทรุดตัวลงนั่งยอง ปากคาบหญ้าต้นหนึ่งที่ไม่รู้ว่าไปดึงมาจากไหน เขาพูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัดว่า “ผู้ฝึกกระบี่และเซียนกระบี่ต่างก็เคยชินกับการที่มีเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสคอยเฝ้าพิทักษ์กำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว เพราะว่าผ่านมาเนิ่นนานเกินไปแล้ว จึงยากนักที่จะมีคนไปขบคิดว่าแท้จริงแล้วในใจของผู้อาวุโสท่านนี้รู้สึกอย่างไรกันแน่”
ฉินเจิ้งซิวเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “หมื่นปีที่ผ่านมา บวกกับสงครามในตอนนี้ รวมแล้วมีศึกใหญ่เก้าสิบหกครั้ง ล้วนไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน”
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ย “สนามรบอยู่บนพื้นดินทางทิศใต้ แล้วก็อยู่ในใจคนทางทิศเหนือ ดังนั้นจึงชนะมาตลอด แล้วก็จะชนะตลอดไป”
เฉินฉุนอันพลันเปิดปากเอ่ยว่า “ใต้หล้าไพศาลของเรายากที่จะปฏิเสธไม่ยอมรับความผิดนี้ และนี่ก็คือความผิดที่ใหญ่หลวงที่สุด”
ผู้เฒ่าที่ยึดครองตำแหน่งผู้รอบรู้เพียงหนึ่งเดียวของใต้หล้าไพศาลท่านนี้ไม่ได้พูดด้วยเสียงในใจ แต่เปิดปากพูดออกมาโดยตรง
นอกจากหลิวเสี้ยนหยางแล้ว ต่อให้เป็นลูกหลานตระกูลเฉินอย่างเฉินซื่อ หรือวิญญูชนลัทธิขงจื๊ออย่างฉินเจิ้งซิวก็ยังหน้าเปลี่ยนสีอย่างห้ามไม่ได้
……
ใต้เท้าอิ่นกวานพาลั่วซานและเซียนกระบี่จู๋อานเดินอาดๆ เข้ามาในกระโจมเจี่ยจื่อ
ผู้เฒ่าชุดเทายืนอยู่นอกกระโจมหลังใหญ่ ยิ้มกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวลว่าอยู่กับพวกเราแล้วจะไม่มีเรื่องให้ต่อยตี ขอแค่เป็นขอบเขตบินทะยาน อีกทั้งยังไม่ได้ออกแรงในการโจมตีเมืองครั้งนี้ เจ้าก็เชิญเลือกได้ตามสบาย หากฆ่าตายแล้ว ใครที่กล้าพูดมากก็ฆ่าคนผู้นั้นต่อ”
ใต้เท้าอิ่นกวานพยักหน้า ยื่นมือมาบิดผมแกละข้างหนึ่งแกว่งเบาๆ แสยะยิ้มเอ่ยว่า “ไปถึงใต้หล้าไพศาลแล้วก็ต้องมอบพื้นที่ครึ่งทวีปให้ข้า ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนล้วนต้องยกให้ข้าเป็นคนสังหาร ไอ้พวกที่ทำตัวเป็นเต่าหดหัว ทั้งเนื้อทั้งกระดองก็จะโดนบดเละไปพร้อมกัน!”
ผู้เฒ่าชุดเทาไม่ได้ปฏิเสธ เหตุใดต้องปฏิเสธเล่า? แม่นางน้อยที่อยู่ตรงหน้านี้ก็คือเมล็ดพันธ์แห่งมหามรรคาที่ดีที่สุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง มหามรรคาสอดคล้องผสานเป็นหนึ่งอย่างไร้ที่ติ อยู่ข้างกายเฉินชิงตู สำหรับนางแล้วคือความทรมานในทุกช่วงเวลา แต่ไหนแต่ไรมากำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไม่ใช่สถานที่ฝึกตนสำหรับนางอยู่แล้ว แต่เป็นกรงขังขนาดใหญ่ที่กักขังจิตดั้งเดิมของนาง ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ที่เกิดและเติบโตมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ใต้เท้าอิ่นกวานจะไม่มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตได้อย่างไร? แต่ทุกครั้งที่เจอกับศึกใหญ่ นางแทบจะไม่เคยเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา อย่างมากก็แค่เงื้อกระบี่ยาวของหอกระบี่ขึ้นฟาดฟันแล้วค่อยเปลี่ยนมาเป็นหมัดเท่านั้น
เรื่องเสียดายที่มีน้อยแสนน้อยสำหรับผู้เฒ่าชุดเทา หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องที่ใต้เท้าอิ่นกวานที่เติบโตอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นี้ไม่ได้มาถือกำเนิดในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ไม่เคยไปฝึกตนอยู่ที่ภูเขาทัวเยว่ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่อย่างนั้นระดับสูงต่ำของบัลลังก์สิบสี่แห่งในบ่อโบราณคงต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดแล้ว
บรรพบุรุษของใต้หล้าเปลี่ยวร้างท่านนี้ เวลานี้มีคนติดตามอยู่ข้างกายเพียงคนเดียว ก็คือชายฉกรรจ์เคราดกที่พกดาบสะพายกระบี่ผู้นั้น
ลั่วซานมองไปยังเซียนกระบี่ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใต้หล้าเปลี่ยวร้างท่านนี้ ถามว่า “เหตุใดทั้งไม่ชักดาบและไม่ออกกระบี่ ปล่อยให้ต่งซานเกิงช่วยจั่วโย่วออกไปได้?”
ชายฉกรรจ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยชา “เห็นแก่ที่เจ้าเป็นเซียนกระบี่และเป็นสตรี เลยจะยอมเสียเวลาเปลืองน้ำลายเอ่ยกับเจ้าประโยคหนึ่ง ข้าจะฆ่าใครหรือไม่ฆ่าใคร ก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายเหตุผลกับคนนอก”
ลั่วซานกำลังจะพูดต่อ แต่เซียนกระบี่จู๋อานกลับเอื้อมมือมาบีบข้อมือของนางเสียก่อน
ผู้เฒ่าชุดเทายิ้มกล่าว “ไม่จำเป็นต้องระมัดระวังถึงเพียงนี้ ตามกฎที่ภูเขาทัวเยว่เป็นผู้กำหนด พวกเจ้าคือแขกผู้มีเกียรติของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเรา ภายในเวลาพันปีจะไม่มีทางมีปัญหาใดๆ หากหลิวชาออกกระบี่ต่อพวกเจ้าก็เท่ากับว่าถามกระบี่ต่อภูเขาทัวเยว่ ถูกหรือไม่?”
กล่าวมาถึงตรงนี้ผู้เฒ่าก็หันไปมองชายฉกรรจ์เคราดก
หลิวชาไม่เอ่ยคำใด
จากนั้นผู้เฒ่าชุดเทาก็เอ่ยอย่างสบายๆ ประโยคหนึ่ง ซึ่งทั้งเป็นการพูดกับบุรุษนามว่าหลิวชาที่อยู่ข้างกาย แล้วก็พูดกับเซียนกระบี่อย่างลั่วซานกับจู๋อาน ขณะเดียวกันก็ยิ่งพูดให้ปีศาจใหญ่มากมายในกระโจมเจี่ยจื่อฟัง “ใต้หล้าเปลี่ยวร้างของพวกเราคือสถานที่ป่าเถื่อนที่ไร้การอบรมสั่งสอนอย่างแท้จริง ทั้งไม่ใช่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ยิ่งไม่ใช่ใต้หล้าไพศาล กฎเกณฑ์ของข้ามีไม่มาก มีอยู่แค่ไม่กี่ข้อเท่านั้น ทว่าทุกข้อล้วนใช้ได้ผล ผู้ทรยศทุกคนล้วนต้องตาย”
ใต้เท้าอิ่นกวานพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ใช่แล้ว ผังหยวนจี้ลูกศิษย์โง่ของข้าคนนั้น ต่อให้ตัวเขาเองพยายามรนหาที่ตาย พวกเจ้าก็อย่าได้ฆ่าเขา ข้ายังอยากจะให้วันหน้าเขาได้ถามกระบี่แก่ข้าครั้งแล้วครั้งเล่า”
ผู้เฒ่าชุดเทายิ้มอย่างระอาใจ “เรื่องเล็กแค่นี้ไม่ต้องเอามาพูดกับข้าหรอก เจ้าแค่ให้ลั่วซานกับจู๋อานแยกกันไปแจ้งที่กระโจมเจี่ยจื่อกับกระโจมอู้อู่ก็พอ แค่นี้ทุกคนก็น่าจะรู้ว่าควรทำอย่างไรแล้ว”
ใต้เท้าอิ่นกวานถาม “ถ้าอย่างนั้นข้าต้องทำอะไร?”
ผู้เฒ่าชุดเทาเอ่ยว่า “ด้านล่างของบ่อที่ถูกเฉินชิงตูเรียกอย่างเยาะเย้ยว่ารังหนูยังมีปีศาจใหญ่อีกบางส่วนที่สมควรตายแต่กลับโชคดีไม่ตาย หากเจ้ารู้สึกอุดอู้ก็ไปฆ่าพวกมันให้สิ้นซาก ไม่แน่ว่าอาจช่วยให้เจ้าฝ่าทะลุขอบเขตได้เร็วขึ้น”
ใต้เท้าอิ่นกวานกะพริบตาปริบๆ “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะเล่นแผนในนอกสอดประสานกับเฉินชิงตู แล้วพวกเจ้าจะถูกข้าเล่นงานจนอ่วมหรือ?”
ไปที่รังหนูสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่แค่มีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ พวกนั้น ขอบเขตสามารถขยับสูงขึ้นได้อย่างมั่นคง แต่แท้จริงแล้วขณะเดียวกันก็เป็นการสอดผสานกับมรรคาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างมหัศจรรย์ นับจากนี้ไปชีวิตของนางก็จะเชื่อมโยงติดกับใต้หล้าแห่งนี้แล้ว
หากนางคิดจะฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตบินทะยาน กลายเป็นอมตะที่มีขอบเขตเดียวกับเฒ่าตาบอดผู้นั้น นี่ก็คือค่าตอบแทนที่นางจำเป็นต้องจ่าย
ฟ้าดินคือเตาหลอม? ฝึกบำเพ็ญตนก็คือการทำตัวเหมือนโจรชั่ว? ขอบเขตบินทะยานก็ยากที่จะหนีพ้นโซ่ตรวนประเภทนี้ไปได้ คิดจะฝ่าด่านนี้ไปให้ได้จริงๆ ก็ต้องสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ ต้องใช้ร่างกายที่เป็นฟ้าดินขนาดเล็กของตนมาหลอมส่วนหนึ่งของฟ้าดินขนาดใหญ่! หากหลอมได้ทุกส่วน นั่นก็คือมหาปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อ คือศาสดาพุทธ คือมรรคาจารย์เต๋า!
ผู้เฒ่าชุดเทาหัวเราะเสียงดังกังวาน “เจ้าก็บอกมาเถอะว่าจะไปหรือไม่ไป”
ใต้เท้าอิ่นกวานคลี่ยิ้มเจิดจ้า ทะยานตัวขึ้นจากพื้น กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวที่พุ่งตรงไปยังรังหนูแห่งนั้น
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ นางสามารถหลอมฟ้าดินอะไรได้? กำแพงเมืองปราณกระบี่? กำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นของเฉินชิงตู เฉินชิงตูก็คือกำแพงเมืองปราณกระบี่!
แต่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลับไม่เหมือนกัน เพราะผู้เฒ่าชุดเทายังไม่เคยหลอมฟ้าดินทั้งหมดอย่างแท้จริง ดังนั้นนางจึงยังมีโอกาส ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจจะสามารถงัดข้อกับบรรพบุรุษของเผ่าปีศาจท่านนี้ก็ได้
หลิวชาขมวดคิ้วถาม “จะต้องหลีกทางให้นางแบบนี้จริงๆ หรือ?”
“หนึ่งวิถีกระบี่ หนึ่งความรู้ ผลประโยชน์สองอย่างที่ใหญ่ที่สุดมากพอให้เจ้ากับโจวมี่กินจนอิ่มแล้ว เรื่องดีๆ จะปล่อยให้พวกเจ้าสองคนยึดครองไปหมดได้อย่างไร”
ผู้เฒ่าชุดเทายิ้มกล่าว “เฉินชิงตูตายอีกครั้ง ข้าไปถึงใต้หล้าไพศาล หลี่เซิ่งก็น่าจะออกจากภูเขาได้แล้ว”
“ข้าอยากจะเห็นนัก คำที่บัณฑิตของใต้หล้าไพศาลชอบเอ่ยว่า ทุกครั้งที่เกิดกลียุค ย่อมต้องมีวีรบุรุษออกมาช่วยกอบกู้สถานการณ์ จะเป็นความจริงหรือไม่”
หลิวชาถาม “แล้วไป๋เจ๋อผู้นั้น?”
ผู้เฒ่าชุดเทาเอ่ยเย้ยหยัน “ไม่ต่างจากผู้เฒ่าตาบอดสักเท่าไร ผิดหวังอย่างสุดแสน ไม่ช่วยฝ่ายใดทั้งนั้น”
หลิวชาพลันเอ่ยว่า “เมื่อเจอกับความมืดมิดอย่างถึงที่สุด ย่อมต้องปรากฏแสงสว่าง”
ผู้เฒ่าชุดเทายิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ประโยคนี้เหมาะที่จะนำไปใช้ในใต้หล้าแห่งใดมากที่สุด? หากพูดถึงแค่ความบริสุทธิ์ ความคิดและจิตใจของใต้หล้าแห่งใดที่บริสุทธิ์ที่สุด?”
ผู้เฒ่าชุดเทายื่นมือทั้งสองข้างออกมา “ใต้หล้าไพศาล ใจคนกำลังเดินลงเนิน แต่พวกเรา กำลังเดินขึ้นด้านบน นี่ก็คือสถานการณ์ใหญ่ที่ไม่อาจสกัดขวางได้มากที่สุด”
ผู้เฒ่ากำสองมือเป็นหมัด เอ่ยเบาๆ “เมื่อไปถึงใต้หล้าไพศาลก็ถึงคราวที่เจ้าควรชักดาบออกกระบี่แล้ว”
หลิวชาพยักหน้ารับ “ก็ควรจะเป็นเช่นนี้”
ผู้เฒ่าชุดเทาพลันตบไหล่ของชายฉกรรจ์เคราดก “ไปที่นั่น เล่นงานให้อีกฝ่ายรู้จักคำว่าเจ็บปวดแล้ว เจ้าก็จะมีโอกาสได้เจอกับอาเหลียงผู้นั้น ถึงเวลาที่ต้องตัดสินว่าใครสูงใครต่ำ ข้าก็อนุญาตให้เจ้าใช้อาณาเขตของทวีปหนึ่งในใต้หล้าไพศาลเป็นของรางวัลเล็กๆ ในการประลองกระบี่ของพวกเจ้าสองฝ่าย”
อาเหลียงเคยไปเยือนสถานที่หลายแห่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง สังหารปีศาจไปมากมาย แต่กลับกลายเป็นสหายที่แท้จริงกับจอมยุทธมือดาบคนหนึ่ง ก็คือหลิวชาผู้นี้
หลังจากที่อาเหลียงกลับมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่ เคยพูดคุยยิ้มแย้มกับเด็กๆ ตัวเท่าก้นกลุ่มหนึ่งว่า หลิวชาผู้นั้นไม่เคยทำให้คนผิดหวังจริงๆ
เรือนกายใหญ่โต รูปร่างกำยำแข็งกระด้าง แต่กลับให้ความสำคัญกับคุณธรรมน้ำมิตร ใจกว้างผึ่งผายไร้พันธนาการ มากความสามารถด้านการแต่งกาพย์กวี
แน่นอนว่าพอเอ่ยถ้อยคำตามมารยาทที่ไม่ค่อยสำคัญพวกนี้จบ เพียงไม่นานอาเหลียงก็กลับคืนสู่สันดานเดิม ถ่มน้ำลายใส่ฝ่ามือแล้วปาดไปบนเส้นผม ‘เปิดเผยความลับสวรรค์’ กับพวกเด็กๆ ที่รับฟังเรื่องเล่าด้วยอาการตกอกตกใจ เมื่อปูพื้นเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่ควรต้องพูดเรื่องสำคัญที่แท้จริงได้แล้ว
‘ต่อให้ไอ้หมอนั่นจะร้ายกาจแค่ไหนก็ยังมิอาจไม่ศิโรราบให้แก่ความองอาจของข้า ไม่พูดพร่ำทำเพลง เตรียมจะปลดกระบี่มามอบให้ ข้าไม่รับไว้ เขาก็จะเอาดาบมาใช้ต่างพู่กัน ถือเป็นการจับพู่กันเขียนบทกวี ข้าคือใคร คือบัณฑิตจริงแท้แน่นอน เจ้าหลิวชาทำเช่นนี้ไม่ใช่ว่าสร้างความอัปยศให้ตัวเองหรอกหรือ เห็นว่าข้าไม่พยักหน้าตอบตกลง ไอ้หมอนั่นพอได้เขียนก็หยุดไม่ได้ กระแสน้ำจากโบราณกาลสู่ปัจจุบันกาลไหลผ่านฝ่ามือข้า ไอเยียบเย็บเกาะตัวพันลี้ ขัดกร่อนดาบหมื่นปี อย่าใช้ดาบนี้ชำระแค้นเล็ก…อะไรนะ? นี่พวกเจ้าไม่เคยได้ยินประโยคพวกนี้มาก่อนเลยแม้แต่ประโยคเดียว ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรฝีมือการเขียนของเขาก็ธรรมดาอยู่แล้ว จำไม่ได้ก็คือจำไม่ได้ แต่วันหน้าหากพวกเจ้าคนใดที่ลงสนามรบแล้วเจอกับหลิวชาก็ไม่ต้องกลัว หากต้องสู้ก็คือสู้ เห็นท่าไม่ดีก็รีบตะโกนให้เขาได้ยินไปเลย บอกว่าพวกเจ้าคือเพื่อนของอาเหลียง’
แต่อาเหลียงที่บอกว่าตัวเองคือบัณฑิตผู้นั้น เป็นทั้งนักพนัน ผีขี้เหล้า แล้วยิ่งเป็นชายโสด โดยไม่ทันรู้ตัวเขาก็อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่นานถึงร้อยปีกว่า ไม่เคยสวมชุดสีเขียวพกหยกประดับ แล้วก็ไม่เคยทำตัวเหมือนบัณฑิตที่แท้จริงเลยสักครั้ง
ตอนที่เขาจากไป มือกระบี่กลับไม่มีกระบี่ แค่พกดาบสวมงอบเท่านั้น
ไม่มีใครรู้ว่าตอนที่เฉินชิงตูส่งเขาจากไป ได้เอ่ยประโยคหนึ่งด้วยท่าทางจริงจังว่า ‘ไปแล้วก็อย่าได้กลับมาอีก เป็นคนต่างถิ่นคนหนึ่ง สามารถมาอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้นานขนาดนี้ ต่อให้เจ้าไม่จากไป ข้าก็คงต้องไล่คนแล้ว’
บุรุษผู้นั้นเพียงแค่ยื่นมือมาบีบนวดไหล่ของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสพลางยิ้มหน้าเป็นไปด้วย ‘หากมีสุรา ก็ช่วยเก็บไว้ให้ข้าหน่อย จะดื่มหรือไม่ดื่มก็อยู่ที่อารมณ์ของข้า แต่จะเก็บหรือไม่เก็บไว้ กลับเป็นคุณธรรมน้ำใจในยุทธภพ’
แต่สุดท้ายบุรุษคนนั้นจับประคองงอบ ก่อนจะออกมาจากกระท่อมหลังนั้น เขาที่หันหลังให้ผู้เฒ่าเอ่ยว่า ‘หากกำแพงเมืองปราณกระบี่หันปลายกระบี่กลับฝั่ง ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่มาแล้ว ต่อให้สุราดีแค่ไหน แต่ข้าอาเหลียงจะหาใครมาดื่มเป็นเพื่อนได้?’
……
ตามหลังป๋ายอิ๋งปีศาจใหญ่โครงกระดูกและหย่างจื่ออดีตผู้ปกครองแม่น้ำเย่ลั่ว ผู้ที่รับบทบาทบัญชาการณ์กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจครั้งนี้เปลี่ยนมาเป็นปีศาจใหญ่ตนที่ได้ครอบครองตำหนักหอเรือนหยกนับร้อยนับพันแห่งตนนั้น นามแฝงของเขาคือหวงหลวน
หวงหลวนยังคงนั่งอยู่บนราวระเบียงเพียงลำพัง มองดูเหมือนอยู่ในนครบนฟ้าที่มีกลิ่นอายเซียนล้อมวน เสียงนกกระเรียนนกหลวนร้องยาวคลอเป็นระยะ
ในนครมีการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศยี่สิบสี่ช่วง จวนเซียนบางแห่งมีเสียงจักจั่นในฤดูใบไม้ร่วงร้องระงม ทว่าลานเรือนบางแห่งกลับมีกิ่งหลิวแตกหน่อเหมือนคิ้วบางของสตรี และกลางอากาศของอารามเต๋าบางแห่งก็มีการ ‘ปลูกหยก’ (เป็นคำเปรียบเปรยของภาพบรรยากาศยามหิมะตกลงผืนนาเป็นสีขาวโพลน มองดูใสแวววาวราวหยกเนื้องาม) บนพื้นเต็มไปด้วยหิมะกองทับถม และยังมีคนงามกระดาษยันต์เรือนกายอ้อนแอ้นอีกมากมายที่บ้างก็ส่องกระจกติดดอกไม้บนหน้าผาก บ้างก็โบกพัดไล่หิ่งห้อย
ส่วนจวนที่หวงหลวนนั่งอยู่บนราวระเบียงแห่งนี้มีลำธารลั่วเหยียที่นกหวงหลวนชื่นชอบที่สุดอยู่สายหนึ่ง กระแสน้ำใสกระจ่าง มีผู้เฒ่าชาวประมงผมขาวที่จำแลงร่างมาจากกระดาษยันต์ มีหญิงซักผ้า สตรีเก็บดอกบัวหน้าตางดงามที่ทำเรื่องเดิมอยู่ตลอดทั้งปี
ใต้ล่างของนครที่ลอยอยู่เหนือเมฆแห่งนี้ก็คือกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่หลังจากรวมตัวกันเสร็จเรียบร้อยก็บุกรุดหน้าไปอย่างมั่นคง ล้วนเป็นผู้ฝึกตนทั้งสิ้น อีกทั้งขอบเขตยังไม่ถือว่าต่ำนัก กองกำลังทหารกว่าห้าหมื่นนาย ผู้ฝึกตนขอบเขตต่ำสุดก็คือถ้ำสถิต อีกทั้งยังมีอาวุธวิเศษ สมบัติวิเศษปกป้องกาย
เป็นเหตุให้ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องบุกผ่านค่ายกลกระบี่สามแห่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่แม้แต่น้อย ยิ่งไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นดั่งกองทัพมดที่คิดจะโจมตีเมือง
ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่มีกระแสกระบี่บินไหลกรากซัดเข้าหาทางทิศใต้
ครั้งนี้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็มีแม่น้ำสายใหญ่ที่ไม่เป็นรองกันแม้แต่น้อย เกิดจากการรวมตัวกันของอาวุธวิเศษและสมบัติอาคมจำนวนนับไม่ถ้วน แสงเรืองรองทะยานขึ้นฟ้า พุ่งเข้าหาหัวกำแพงทางทิศเหนืออย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร
เจ้ามีแม่น้ำปราณกระบี่ ข้าก็มีนทีแห่งสมบัติ
ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะทุ่มพละกำลังครึ่งหนึ่งของใต้หล้าโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่โดดเดี่ยวแห่งนั้น จะไม่มีขบวนรบที่มากพอให้ออกหน้าออกตาเลยได้อย่างไร
ใช้สมบัติอาคมและอาวุธวิเศษแลกเปลี่ยนกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ดูสิว่าใครจะเสียดายมากกว่ากัน
ไม่มีแผนการร้ายอะไร ไม่มีการวางแผนอย่างเลิศล้ำรัดกุม แค่แข่งกันเผาผลาญทรัพย์สมบัติเท่านั้น