กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 628.3 คิดบัญชีกับตลอดทั้งใต้หล้า
ใต้เท้าอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ท่านก่อน แซ่เซียวนามสวิ้น
นี่คือชื่อที่ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์หลายคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนลืมเลือนกันไปแล้ว
เพราะเคยชินที่จะเรียกนางด้วยความเคารพว่าใต้เท้าอิ่นกวานแล้ว
เฉินผิงอันหรี่ตาถามว่า “พยักหน้า แต่ไม่พูดไม่จา ขออภัยที่ข้าโง่เขลา เดาไม่ออกว่าผังหยวนจี้รู้เรื่องเกี่ยวกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของคนผู้นี้หรือไม่”
ผังหยวนจี้ส่ายหน้า “ไม่รู้”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร ศึกใหญ่ยืดเยื้อนาน คนผู้นั้นน่าจะยังไม่ลงมือเวลานี้ หากเจ้าไม่ทันระวังหลงลืม แล้วไม่ทันระวังจำขึ้นมาได้อีก คุณความชอบนั้นก็ยังคงอยู่”
บทสนทนานี้ของทั้งสองฝ่ายทำให้เซียนกระบี่หมี่อวี้และผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นที่เดิมทีวางตัวอยู่นอกสถานการณ์รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ สันหลังเสียววาบ
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน โบกพัดเบาๆ เส้นผมตรงจอนหูปลิวไสว “ชื่อแซ่ ขอบเขตและภูมิลำเนาของพวกเจ้า ข้าล้วนรู้หมดแล้ว แต่ข้าก็ยังมีคำขอที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่อย่างหนึ่ง ขอพวกเจ้าช่วยพูดข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดของตัวเองออกมา นี่คือเรื่องเล็ก ทุกคนทำเรื่องใหญ่กันไปก่อน แต่พอข้าถาม พวกเจ้าค่อยใช้เสียงในใจบอกกล่าวแก่ข้าก็พอ หวังว่าทุกท่านจะสามารถบอกกล่าวกันอย่างตรงไปตรงมา อย่าได้คิดว่านี่เป็นเรื่องเล่นๆ”
หลินจวินปี้รู้สึกกังขาเล็กน้อย
การกระทำนี้ของเฉินผิงอันต้องไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นแน่ๆ
เพียงแต่ไม่นานหลินจวินปี้ก็กระจ่างแจ้งอยู่ในใจ
เฉินผิงอันต้องการทำความเข้าใจกับจิตใจคนของสมาชิกสายอิ่นกวานทั้งหมดให้เร็วที่สุด
หากจะบอกว่าการคุมเชิงกันระหว่างกำแพงเมืองปราณกระบี่และใต้หล้าเปลี่ยวร้างคือสนามรบที่ใหญ่ที่สุด สายอิ่นกวานกับผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เป็นสนามรบแห่งที่สองที่เป็นรองแค่อย่างแรกเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นคนสิบสองคนในสายของอิ่นกวาน ก็คือสนามรบแห่งที่สาม เพราะความสัมพันธ์ที่ว่าตำแหน่งไม่ต่ำต้อย และอำนาจก็ยิ่งใหญ่มากกว่า ใจคนที่ขึ้นๆ ลงๆ อยู่บนสนามรบที่มองดูเหมือนว่าเล็กที่สุดแห่งนี้ ไม่ว่าริ้วกระเพื่อมของจิตแห่งมรรคาเสี้ยวใดๆ ก็ตาม ถึงได้เกี่ยวพันกับสถานการณ์ของสนามรบสองแห่งก่อนหน้านี้
ในฐานะใต้เท้าอิ่นกวาน แน่นอนว่าเฉินผิงอันสามารถอาศัยการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของทั้งสิบสองคนต่อจากนี้มาตัดสินนิสัยดีเลวของทุกคน แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะช้าเกินไป และหากกลยุทธมากมายของสายอิ่นกวานช้าไปเพียงแค่เสี้ยว ขบวนรบบนสนามรบก็จะยิ่งช้าตามไปด้วย ทว่าขอแค่ทำเช่นนี้ ไม่ว่าคนทั้งสิบสองจะให้คำตอบว่าอย่างไรก็ล้วนถือเป็นหลักฐานอย่างหนึ่ง แน่นอนว่าเฉินผิงอันที่เขี้ยวลากดินย่อมสามารถตัดสินใจได้มากกว่านี้
ครู่หนึ่งต่อมาทุกคนต่างก็ให้คำตอบ เฉินผิงอันหน้าไม่เปลี่ยนสี ทั้งยังไม่ได้จดบันทึกลงในสมุดจี่เปิ่นทันที แต่เขียนลงบนกระดาษใบหนึ่งแล้วเหน็บใส่ไว้ในจี่เปิ่น
อวี้เจวี้ยนฟูเดินมาตรงนี้ นางเงียบงันไปครู่หนึ่งก็เปิดปากเอ่ยถามว่า “ข้าช่วยอะไรได้ไหม?”
ไม่มีใครหันหน้ามามองสตรีชนชั้นสูงจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางคนนี้ ต่อให้เป็นหลินจวินปี้อย่างมากสุดก็ได้แค่กล้าแบ่งสมาธิออกมาเล็กน้อยเพื่อให้ความสนใจกับการถามตอบที่จะบอกว่าใหญ่ก็ใหญ่ จะบอกว่าเล็กก็เล็กครั้งนี้
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้”
อวี้เจวี้ยนฟูเองก็ไม่ใช่คนเซ้าซี้ นางเดินไปนั่งตรงมุมเงียบสงบห่างไกลแห่งหนึ่ง ดื่มเหล้าอยู่เพียงลำพัง
เฉินผิงอันมองหมี่อวี้ “เซียนกระบี่หมี่อวี้ รบกวนท่านสร้างค่ายกลกระบี่ในรัศมีสามลี้นี้ที ทำเป็นพื้นที่ต้องห้าม จากนั้นดึงตัวผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยมากลุ่มหนึ่ง ขอบเขตต่ำก็ไม่เป็นไร จะเป็นห้าขอบเขตล่างก็ได้ แค่สามคนห้าคนก็พอ แค่คอยรับผิดชอบบอกกล่าวกฎใหม่ให้แก่ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนที่เดินผ่านที่แห่งนี้ ใครที่ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้าใกล้ ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”
กล่าวมาถึงตรงนี้เฉินผิงอันยิ้มกล่าวว่า “เซียนกระบี่หมี่อวี้ ในบรรดากลุ่มของพวกเราเป็นเจ้าที่มีขอบเขตสูงที่สุด ตำแหน่งคนเลวนี้ก็มีแต่ต้องให้เจ้ามาเป็นแล้ว หากเกิดความขัดแย้ง เจ้าก็ออกกระบี่ได้เลย หากสู้ไม่ได้ ข้าจะไปอธิบายเหตุผลกับพวกเซียนกระบี่ด้วยตัวเอง”
ในใจของหมี่อวี้รู้สึกดีขึ้นมาได้เล็กน้อย พอรับคำสั่งแล้วก็ลุกขึ้นไปทำเรื่องนี้
กฎเกณฑ์ของสายอิ่นกวาน ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะผ่อนคลายตามแต่ใจ หรือเข้มงวดกวดขัน แต่พอมาอยู่ในมือของเฉินผิงอัน กลับมีแต่จะยิ่งไม่แยแสใคร เชื่อว่าอีกไม่นานกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็น่าจะรู้ในข้อนี้
เฉินผิงอันหุบพัดวางลงบนโต๊ะเบาๆ อีกทั้งยังปลดแผ่นหยก ‘อิ่นกวาน’ มาวางลงข้างพัด จากนั้นเขาก็เริ่มลงมือเขียนสมุดเจี่ยเปิ่นเล่มหลักเล่มรองด้วยมือตัวเอง ชื่อของคนทั้งหลายมีอยู่ในใจมานานแล้ว จึงตวัดพู่กันได้อย่างรวดเร็ว
ใช้ตัวอักษรภาคสวรรค์ของแผนภูมิสวรรค์มาตั้งชื่อ บวกกับเล่มรองของเจี่ยเปิ่นกับอี่เปิ่น
รวมแล้วสิบสองเล่มพอดี
ตอนนี้สายของอิ่นกวานก็มีสิบสองคนพอดี
เฉินผิงอันหวังว่าเมื่อศึกใหญ่ปิดฉากลงแล้ว ทุกคนจะสามารถนำกลับไปกันคนละหนึ่งเล่ม
หากยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็
จู่ๆ เสวียนเซินก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มหนักว่า “ตอนนี้เซียนกระบี่เยว่ชิงออกกระบี่รุนแรงมากที่สุด เพียงแต่ว่าไปกระทบต่อภาพรวมของค่ายกลกระบี่ เซียนกระบี่อีกสองท่านที่อยู่ใกล้ได้แต่ถูกบีบให้ออกกระบี่ติดตามไปด้วย แม้ว่าการร่วมมือกันของเซียนกระบี่ในขอบเขตเล็กๆ จะเห็นผลอย่างชัดเจน แต่ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินหลายท่านและผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางคนอื่นๆ ที่อยู่รอบด้านกลับออกกระบี่ได้ช้ากว่ามาก เป็นเหตุให้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางเสียหายไปค่อนข้างมาก”
และไม่นานก็มีผู้ฝึกกระบี่อีกสองคนพยักหน้าคล้อยตาม คนหนึ่งเอ่ยว่า “ถูกต้อง” อีกคนหนึ่งเอ่ยว่า “เป็นเช่นนี้จริง”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองม้วนภาพแล้วก้มหน้าก้มตาเขียนสมุดเจี่ยเปิ่นอี่เปิ่นต่อไป เพียงพูดเรียบๆ ว่า “ส่งกระบี่บินไปแจ้งเยว่ชิง”
หวังซินสุ่ยรีบใช้จิตบังคับกระบี่บินเล่มหนึ่งให้ไปส่งข่าว อธิบายต้นสายปลายเหตุอย่างกระชับเรียบง่ายไปรอบหนึ่ง ชำเลืองตามองภาพการจัดแนวกำลังป้องกันของเซียนกระบี่ที่มีคนวาดขึ้นแวบหนึ่ง แล้วกระบี่บินก็พุ่งพรวดไปหาเซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิง บนหน้าผากของผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนี้มีเหงื่อผุดซึม ถึงอย่างไรก็อดอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้ หวังซินสุ่ยเป็นแค่ขอบเขตประตูมังกร แม้จะเป็นหนึ่งในผู้ฝึกกระบี่ผู้มีพรสวรรค์ในยุครุ่งเรืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่เช่นกัน แต่ออกคำสั่งให้กับเซียนกระบี่ใหญ่ที่รอสำรองอันดับสิบคนบนยอดเขาโดยตรงเช่นนี้ แล้วยังดูเหมือนว่าเป็นการสั่งสอนอีกฝ่ายว่าควรจะออกกระบี่อย่างไร อารมณ์ของเขาจะผ่อนคลายได้หรือ?
ครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นแต่พู่กันยังตวัดเขียนอักษรอยู่เหมือนเดิม สายตาจ้องไปยังม้วนภาพนั้น แล้วจู่ๆ ก็ตวาดเสียงกร้าวขึ้นว่า “หวังซินสุ่ย ส่งกระบี่บินไปแจ้งเยว่ชิงอีกครั้ง ไม่ต้องอธิบายเหตุผล บอกกับเยว่ชิงไปตามตรงว่าหากยังไม่เปลี่ยนวิธีการออกกระบี่ก็ให้เขาไสหัวออกไปจากหัวกำแพงเมือง ก่อนจะออกไปจากหัวกำแพงอย่าลืมไปฟ้องเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก่อนด้วย!”
หวังซินสุ่ยส่งกระบี่บินครั้งที่สองออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ไม่เพียงเท่านี้ ดูเหมือนเฉินผิงอันจะนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงสบถว่ามารดามันเถอะ แล้วใช้กระบี่บินเล่มนั้นของตนส่งข่าวไปให้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสโดยตรง
ก่อนบอกให้กวอจู๋จิ่วส่งกระบี่บินไปแจ้งอู๋เฉิงเพ่ยเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบ สอบถามว่าการหลอม ‘น้ำค้างหวาน’ ของเขาพัฒนาไปเป็นอย่างไรบ้างแล้ว จากนั้นก็พูดกับทุกคนว่า “เรื่องพวกนี้เป็นงานในหน้าที่ของพวกเจ้า ข้าไม่อยากเอ่ยเตือนเป็นรอบที่สอง”
ครู่หนึ่งต่อมาก็ไม่เพียงแต่ทางฝั่งเซียนกระบี่เยว่ชิงเท่านั้นที่พอจะสำรวมลงบ้าง พื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้ยังมีแขกที่ไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึงมาเยือนด้วย
น่าจะเป็นกระบี่บินเล่มนั้นของเฉินผิงอันที่ทำให้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสออกคำสั่งด้วยตัวเอง เชิญให้บุคคลใหญ่ท่านหนึ่งที่น่าจะป้องกันไม่ให้เรื่องราวประเภทนี้เกิดขึ้นมาได้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องใช้กระบี่บินส่งข่าวถึงสองครั้งจึงจะบรรลุตามเป้าหมาย
เฒ่าหูหนวก
แน่นอนว่าหมี่อวี้ไม่กล้าขัดขวาง เขาเตรียมจะนำพาบุคคลยุคบรรพกาลที่อยู่ในอันดับสิบคนบนยอดเขาท่านนี้ไปคุยธุระกับใต้เท้าอิ่นกวาน
ผลกลับพบว่าเฉินผิงอันจ้องมาที่เท้าของตนกับเฒ่าหูหนวกเขม็ง
หมี่อวี้ขนลุกชัน
เฉินผิงอันไล่สายตาขึ้นไปด้านบน พูดกับเฒ่าหูหนวกว่า “เปลี่ยนคน ข้าไม่เชื่อใจเจ้า”
เฒ่าหูหนวกหยุดเดิน เกาหัว คาดไม่ถึงว่าเขาจะไม่ขุ่นเคืองแม้แต่น้อย พอได้ฟังก็หมุนตัวเดินจากไปทั้งอย่างนั้น พริบตาเดียวร่างก็หายวับไป
เพียงไม่นานก็เปลี่ยนมาเป็นคนใหม่ ก็คือสตรีเซียนกระบี่ใหญ่ ลู่จือ
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ลู่จือ คอยป้องกันไม่ให้ผู้ฝึกกระบี่กลุ่มของพวกเราถูกปีศาจใหญ่ลอบโจมตี ไม่ว่าใครก็ตามที่ตายไป ข้าจะเอาเรื่องเจ้า!”
ลู่จือพยักหน้ารับ ไปนั่งเฝ้าพิทักษ์สนามรบอยู่บนหัวกำแพงทางทิศเหนือ พูดจาตรงไปตรงมาว่า “จะไม่ให้โอกาสใต้เท้าอิ่นกวานได้ซักไซ้เอาโทษหรอก!”
หลินจวินปี้ชำเลืองตามองเฉินผิงอันที่ไม่คิดจะพูดจากับลู่จือต่ออีกแม้เพียงครึ่งคำ
ในใจให้รู้สึกเลื่อมใส
เฉินผิงอันวางพู่กันลง ลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะมานั่งยองบนม้วนภาพ “ข้ายังไม่วางใจพวกเจ้า จะจับตามองพวกเจ้าก่อนครึ่งชั่วยาม ดังนั้นข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น หากพวกเจ้ายังทำหน้าที่ได้ไม่เท่าที่ข้าคาดการณ์ไว้ พวกเจ้ายังคงเป็นผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวาน แต่จำเป็นต้องมอบหมายหน้าที่ในมือตัวเองที่ต้องใช้หัวคิดไปให้กับคนอื่น ถ้าคนอื่นทำไม่ได้ ข้าก็จะเป็นคนทำเอง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าคนกลุ่มเล็กๆ ที่ถือว่าฉลาดที่สุดในใต้หล้าจะสู้ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างคนหนึ่งไม่ได้! อย่าให้กลายเป็นว่าถึงท้ายที่สุด สายของอิ่นกวานนอกจากเฉินผิงอันแล้ว ทุกคนล้วนว่างงานล่ะ ข้าเชื่อว่าเรื่องแบบนี้หากแพร่ออกไปต้องไม่น่าฟังแน่ๆ”
เส้นเอ็นหัวใจของผู้ฝึกกระบี่ทุกคนล้วนถูกขึงจนตึงแน่น นี่ยิ่งกว่าเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจในสนามรบเสียอีก
อารมณ์ของหมี่อวี้ซับซ้อน
คนหนุ่มผู้นี้น่ากลัวจริงๆ
ครึ่งชั่วยามต่อมา เฉินผิงอันไล่วิจารณ์ทั้งสิบเอ็ดคนไปทีละคน แล้วจึงลุกขึ้นยืน ใช้พัดที่พับเข้าหากันเคาะตีฝ่ามือ ยิ้มกล่าวว่า “ดีมาก ทุกท่านมีความสามารถในการตบหน้าคนดีเยี่ยม ที่แท้ข้าต่างหากถึงจะเป็นคนที่ว่างงานที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผังหยวนจี้ หลินจวินปี้และกวอจู๋จิ่วที่ครึ่งชั่วยามมานี้แทบจะไร้ข้อบกพร่องใดๆ ทำเอาข้าได้แต่คอยจับจ้องหาข้อด้อยของพวกเจ้า คนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็ทำได้ดีเหนือกว่าที่ข้าคาดการณ์ไว้ พยายามต่อไปให้มาก ถึงอย่างไรก็เหมือนที่คนบางคนพูด หนังหน้าของข้าคนนี้หนานักล่ะ…”
ไม่รอให้เฉินผิงอันพูดจบ กู้เจี้ยนหลงที่จับจ้องสนามรบฝั่งหนึ่งก็รีบพูดขึ้นอย่างเร่งร้อนว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน ขอให้ข้าได้พูดประโยคที่เป็นธรรมสักคำได้ไหม?!”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ไสหัวไป”
กู้เจี้ยนหลงพูดอย่างปลงอนิจจัง “ใต้เท้าอิ่นกวานช่างใจกว้างยิ่งนัก!”
เฉินผิงอันโบกมือ เอ่ยว่า “อีกหนึ่งเค่อต่อจากนี้ ควานหาตัวผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจเซียนดินให้ได้ยี่สิบคน ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ขัดต่อการดำเนินไปของสถานการณ์ใหญ่ พวกเราก็ไม่สู้มอบผลงานทางการสู้รบที่แค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาให้เหล่าผู้อาวุโสเซียนกระบี่ ตัวเลือกของทั้งฝั่งเราและฝั่งศัตรู พวกเจ้าร่วมมือกันวางแผน หากได้รายชื่อมาแล้วและแน่ใจว่าไม่มีข้อผิดพลาดก็ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปให้แก่เซียนกระบี่ฝั่งของพวกเรา ระหว่างนี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง พวกเจ้าใครที่เป็นวิชาคัดลอกศิลา นอกจากจะรับผิดชอบคัดลอกสมุดจี่เปิ่นแล้ว สมุดทั้งหมดสิบเอ็ดเล่มข้างมือข้านี้ก็พยายามมาคัดลอกเอาไปเป็นระยะๆ พยายามให้บนโต๊ะของทุกคนมีกันทุกเล่ม เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน”
เฉากุ่นยิ้มกล่าว “ข้าทำได้”
เฉินผิงอันจึงย้ายสมุดสิบเอ็ดเล่มบนโต๊ะตัวเองไปไว้บนโต๊ะของเฉากุ่น จากนั้นก็นั่งยองอยู่ตรงนั้น ใช้เสียงในใจบอกถึงข้อคิดประสบการณ์บางอย่างของตนเองแก่เฉากุ่น เฉากุ่นรวบรวมสมาธิตั้งใจฟัง บางครั้งก็พยักหน้า บางครั้งก็เอ่ยถามสองสามคำ
หนึ่งชั่วยามผ่านไป
ปีศาจใหญ่หวงหลวนที่นั่งอยู่บนราวรั้วกับหย่างจื่อก็ยิ้มเอ่ยว่า “อยากด่าคนจริงๆ”
ในใจหย่างจื่อก็ยิ่งเดือดดาลคลั่งแค้น กองทัพใหญ่โจมตีเมืองสองกองใต้บังคับบัญชาของนางที่กระแสคลื่นสมบัติอาคมไหลซัดสาดเป็นปีกอยู่สองด้านนั้น ส่วนใหญ่แล้วเมื่อปล่อยแสงกระบี่ล้อมวนไประลอกหนึ่งก็มักจะทำลายผู้ฝึกตนเซียนดินได้เป็นจำนวนมาก พอหลายๆ ครั้งรวมกันเข้า ความเสียหายนั้นก็จะยิ่งมากมหาศาล แต่นี่ยังไม่ใช่จุดที่น่าแค้นที่สุด เรื่องที่ทำให้นางเดือดดาลและเจ็บปวดใจอย่างแท้จริงนั้นอยู่ที่การลงมือของพวกเซียนกระบี่จากกำแพงเมืองปราณกระบี่ พวกเขาแค่ลงมือแบบ ‘ง่ายๆ ตามแต่ใจ’ เพื่อประคองช่องว่างของค่ายกลกระบี่ไว้เท่านั้น!
และความแม่นยำ ความอำมหิตในการออกกระบี่ของเซียนกระบี่พวกนั้นก็ราวกับว่ามีคนของฝั่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างคอยไปแจ้งข่าวอย่างไรอย่างนั้น
ปีศาจใหญ่ขอบเขตยอดเขาที่ยังคงมีโทษติดตัวผู้นี้ เดิมทีสามารถไปสังหารพวกเซียนกระบี่ที่สร้างความวุ่นวายในใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้แล้ว ทว่าเวลานี้หย่างจื่อกลับนั่งไม่ติด ยิ่งไม่มีหน้าจะออกจากสนามรบทั้งอย่างนี้ นางลุกขึ้นยืน ทอดสายตามองไปยังหัวกำแพง ตวาดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?!”
“เริ่มตกปลาอีกแล้ว หย่างจื่อ ต่อให้เจ้างับเหยื่อก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะทำได้สำเร็จ ไม่สู้เจ้าและข้ามาร่วมมือกันดีไหม?”
หวงเหลียนชี้ไปยังมุมหนึ่งบนหัวกำแพง นั่นเป็นจุดที่ลู่จือยืนอยู่ ข้างกายสตรีเซียนกระบี่ใหญ่ผู้นี้ ไม่รู้ว่ามีคนหนุ่มที่ในมือถือพัดพับคนหนึ่งโผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่
หย่างจื่อเงยหน้ามองไปยังลู่จือ
หากนางทำอะไรโดยใช้อารมณ์ โจมตีหัวเมืองเองโดยพลการ อาจเป็นไปได้ว่าไปแล้วน่าจะไม่ได้หวนกลับ แต่หากเพิ่มหวงหลวนเข้าไปอีกคน สองคนร่วมมือกันก็น่าจะไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว ต่อให้ไม่ได้เปรียบมากมาย แต่ก็ไม่ถึงขั้นถูกทางฝ่ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ตัดขาดทางถอยอย่างแน่นอน
ดังนั้นขณะที่นางเตรียมจะตอบตกลง ทางฝั่งของหัวกำแพงเมือง คนหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายลู่จือก็ดูเหมือนว่าจะกำลังมองมาทางพวกเขาพอดี
คนหนุ่มยกมือขึ้นสูง คลี่ยิ้มเจิดจ้า แล้วชูนิ้วกลาง ไม่เพียงเท่านี้ เขายังขยับปากเบาๆ เหมือนจะเอ่ยคำสามคำว่า
ไอ้แม่… (ภาษาจีนใช้คำว่ากั้นหนี่เหนียง 干你娘 เป็นคำด่าที่หยาบคาย ตรงกับภาษาอังกฤษคือคำว่า fuck แปลว่าไอ้แม่… หรือ…แม่มึง)