กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 632.9 สายลมบางเบาแสงจันทร์ใสกระจ่าง
ตอนนั้นเจียงซ่างเจินอารมณ์ดียิ่งนัก ไม่เพียงแต่เข้ามาในบ้าน ยังดื่มเหล้าร่วมกับกู้ช่าน ครั้นจึงสร้างฟ้าดินขนาดเล็กตัดขาดโลกภายนอกขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ เอ่ยประโยคที่ชวนให้ตะลึงพรึงเพริดอยู่หลายคำโดยที่ไม่เห็นกู้ช่านเป็นคนนอกแม้แต่น้อย
บอกว่าทุกวันนี้เขาเจียงซ่างเจินแม่งอึดอัดจะตายห่าอยู่แล้ว ข้างเตียงนอนมีแต่คนมาส่งเสียงกรนดังสนั่นอยู่แบบนี้
แล้วยังด่าไปถึงเจ้าสำนักผู้เฒ่าของสำนักกุยหยก ด่าว่าเขาเลือกที่ตั้งสำนักได้เลอะเลือนนัก เปลี่ยนไปเป็นสถานที่แห่งอื่นที่นกไม่มาขี้ก็ยังได้ แต่ดันมาเลือกสถานที่แห่งนี้ มิใช่ว่าคิดอยากให้เขาเจียงซ่างเจินต้องนอนไม่หลับทุกคืนหรือไร
กู้ช่านแค่รับฟังเฉยๆ มือสองข้างประคองจอกเหล้า แล้วก็ไม่ได้ดื่มเหล้า
ท่าทางเช่นนี้มีความหมายเรียบง่ายมาก ก็คือเขากู้ช่านอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน ก็จะเป็นแค่กู้ช่านในแบบที่เจ้าสำนักเจียงคิดว่าควรต้องเป็นอย่างไรถึงจะถูกต้องเหมาะสมเท่านั้น
ส่วนตัวกู้ช่านเองเป็นอย่างไรกันแน่ คิดอย่างไร จิตใจดั้งเดิมเป็นอย่างไร ความต้องการในอนาคต ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนไม่สำคัญแม้แต่น้อย
ดังนั้นเจียงซ่างเจินเพียงแค่มาเยือนครั้งเดียว ดื่มเหล้าไม่กี่จอกก็จากไป
เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ นอกจากคำพูดบางอย่างของเจ้าสำนักเจินจิ้งแล้ว เขาก็ไม่เคยปิดบังอะไรต่อเจิงเย่และหม่าตู่อี๋ ทว่าตอนแรกเจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ยังเป็นกังวลอย่างมาก กังวลว่ากู้ช่านจะเปลี่ยนไปเป็นกู้ช่านที่เคยอยู่บนเกาะชิงเสียอีกครั้ง ไม่ใช่กู้ช่านที่เคยเดินทางผ่านพันภูเขาหมื่นสายน้ำกับท่านเฉิน
ยังดีที่กู้ช่านไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาเป็นกังวลมากนัก นอกจากงานเลี้ยงรับรอง งานเลี้ยงสุราที่มีมากมายนับไม่ถ้วนจนน่าเหลือเชื่อแล้ว ทุกปีกู้ช่านจะต้องเอาเวลาอย่างน้อยที่สุดหกเดือนพาเจิงเย่กับหม่าตู่อี๋เดินทางท่องไปบนภูเขาล่างภูเขาบริเวณใกล้เคียงทะเลสาบซูเจี่ยนด้วยกัน
ท่ามกลางการเดินทางเหล่านี้ นอกจากเดินทางไปเยือนสถานที่ท่องเที่ยวตามขุนเขาสายน้ำแล้วก็เคยมีความขัดแย้งที่คาดไม่ถึงมากมายเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นคือพวกเขาได้ไปเจอโศกนาฎกรรมที่น่าสังเวชจนแทบทนมองไม่ได้
คราวนั้นกู้ช่านไม่ได้ไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้ง หรือเพียงยิ้มรับแล้วปล่อยผ่านไป การลงมือครั้งนั้นเขาใช้กระบี่ธรรมดาทั่วไปที่ปกติพกไว้ตรงเอวแค่ให้พอเป็นพิธีสังหารผู้ฝึกลมปราณสิบสองคนเพียงลำพัง ทุกคนล้วนตายคาที่ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว คนหนึ่งในนั้นยังเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่เจิงเย่และหม่าตู่อี๋ต่างก็หวาดเกรงอย่างยิ่งด้วย เพียงแต่ว่าเมื่อมาอยู่ต่อหน้ากู้ช่านที่ไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่ด้วยซ้ำ กลับไม่มีเรี่ยวแรงใดๆ ให้เอาคืนแม้แต่น้อย
ครั้งนั้นแม้แต่เจิงเย่และหม่าตู่อี๋ก็ยังรู้สึกว่าช่างสาแก่ใจ ผู้ฝึกตนกลุ่มนั้นตายไปก็ไม่น่าเสียดาย
สุดท้ายกู้ช่านที่หันหลังให้คนทั้งสอง มือหนึ่งถือกระบี่ ไม่รีบร้อนสอดกระบี่กลับเข้าฝัก มือหนึ่งกำเป็นหมัดเบาๆ เคาะลงบนมือข้างที่กำกระบี่ สลัดเลือดที่ติดอยู่บนกระบี่เล่มยาวออกไป
ตอนที่กู้ช่านหมุนตัวกลับมากระบี่ก็ถูกสอดกลับเข้าฝักแล้ว เขายิ้มเอ่ยว่า ‘ไปกันเถอะ ฟ้าดินให้กำเนิดและหล่อเลี้ยง ฟ้าดินคอยเก็บศพ ไม่ต้องไปสนใจ’
ตอนนี้กิจการของกู้ช่านไม่เล็ก นอกจากเกาะชิงเสียที่หลิวจื้อเม่าเอากลับคืนมาได้แล้ว ก็ยังมีเกาะอีกหลายแห่งที่ได้รับการบันทึกให้อยู่ในนามของเขา ดังนั้นอันที่จริงกู้ช่านจึงมาที่ตรอกนี้น้อยครั้ง แต่ทุกครั้งที่กลับมาจากการออกเดินทาง หรือไม่ก็แอบปลีกตัวมาจากงานที่ยุ่ง เขาก็มักจะมาพักค้างคืนที่นี่
วันนี้ข้าวโพดมีเยอะมากพอ แม้ว่าทุกครั้งจะได้กินแค่ท่อนเล็ก แต่เด็กชายก็ยังกินจนพุงป่อง
กู้ช่านคิดเรื่องในใจเรื่องหนึ่ง
เขาตั้งใจจัดวางหมากสองตัวไว้ในภูเขาตะวันเที่ยงและสกุลสวี่นครลมเย็นโดยใช้วิธีที่อ้อมไปอ้อมมาร้อยพันตลบ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าจะดึงเส้นสายที่วางไว้นี้ขึ้นมาได้เมื่อใด
ในเมื่อรีบร้อนไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยๆ ปล่อยให้มันเป็นไปก็แล้วกัน
เด็กชายเรอดังเอิ้ก ทิ้งตัวนั่งแปะลงบนพื้นเสียเลย มองเจ้าคนแซ่กู้ที่อยู่ด้านข้างแล้วก็ถามว่า “นอกจากข้าแล้วยังจะมีใครที่พูดง่ายยอมให้เจ้าได้กินข้าวโพดท่อนใหญ่อีก?”
กู้ช่านชำเลืองตามองเขา
เด็กชายพลันรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
แล้วกู้ช่านก็หัวเราะ ชี้ไปบนใบหน้าของเด็กชาย “เช็ดขี้มูกหน่อย”
เด็กชายรีบสูดน้ำมูกทันที ไม่จำเป็นต้องใช้หลังมือหรือชายแขนเสื้อเช็ดด้วยซ้ำ
กู้ช่านคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ข้ากับคนผู้นั้นคงยากที่จะกลับไปมีความสัมพันธ์เหมือนในอดีตได้แล้ว แต่ก็ไม่เป็นไร ขอแค่ข้าไม่ทำความผิดใหญ่หลวง ไม่ทำความผิดแม้แต่ครั้งเดียว เขาก็จะคิดถึงข้าไปตลอด ใต้หล้านี้มีเพื่อนสนิทกี่มากน้อยที่คิดจะเลิกคบก็เลิกคบกันไปเลย ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทะเลาะกัน แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไกลกันอยู่ดีไม่ใช่หรือ ข้ากับเขาในเวลานี้ไม่ไกลไม่ใกล้ กลับทำให้ข้าสบายใจได้มากกว่า”
กู้ช่านหันมามองเด็กชายที่ย่นคอนั่งอยู่บนพื้น ยิ้มกล่าว “เจ้าคิดว่าอย่างไร? เจ้าขี้มูกยืดน้อย?”
ไม่รู้ว่าเหตุใด เด็กชายถึงรู้สึกเพียงว่ากู้ช่านในเวลานี้ไม่เหมือนกู้ช่านที่ตนรู้จักอีกแล้ว ดังนั้นจึงไม่กล้าเอะอะโวยวายเหมือนเมื่อก่อนอีก ได้แต่เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าว่าอย่างไรก็อย่างนั้น ข้าอายุน้อย ไม่ว่าอะไรก็ล้วนไม่เข้าใจ ล้วนฟังเจ้าทั้งหมด”
กู้ช่านหัวเราะ “ก็ฉลาดอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับข้าแล้วยังห่างชั้นไปหน่อย”
คราวนี้เด็กชายไม่กลัวเขาแล้ว ถลึงตาใส่ทันที “ข้าฉลาดรึ? เจ้าลองไปถามไม้บรรทัดของอาจารย์ดูสิ!”
กู้ช่านอืมรับหนึ่งที แล้วพูดอย่างปลงอนิจจังว่า “มีเหตุผลจริงๆ”
กู้ช่านพลันลุกขึ้นยืน พูดกับเด็กคนนั้นว่า “เจ้าไปนั่งอยู่ในห้องข้าสักพัก จำไว้ว่าอย่าหยิบจับอะไรส่งเดช”
เด็กชายไม่เข้าใจ แต่ก็ยังไปอยู่ในห้องของกู้ช่านอย่างว่าง่าย เพียงแต่ว่าเขย่งปลายเท้าชะเง้อมองจากหน้าต่าง ด้วยกังวลว่าจะเกิดเรื่องกับกู้ช่าน
ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าเขาเป็นเด็กที่ฉลาดจริงๆ
มีความฉลาดอยู่อย่างหนึ่งที่เกิดจากสัญชาตญาณแต่กำเนิด
กู้ช่านมองไปทางประตูใหญ่ ยิ้มกล่าว “ไม่ยอมเข้ามาก็ไม่เป็นไร ข้าออกจากบ้านไปพบเจ้าเองก็แล้วกัน”
บัณฑิตอ่อนแอคนหนึ่งโผล่หน้าเข้ามา เขาปรากฏตัวด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ เอ่ยแนะนำตัวเองว่า “ข้าชื่อหลิ่วชื่อเฉิง เป็นคนจากแคว้นป๋ายซาน แคว้นป๋ายซานที่อยู่ใกล้กับสำนักศึกษากวานหูมากๆ น่ะ เดิมทีข้าเดินทางมาทัศนศึกษาที่ทะเลสาบซูเจี่ยน ไปถึงนครอวิ๋นโหลวแล้ว มึนงงไปครู่หนึ่ง อยู่ดีๆ ก็มายืนอยู่ตรงนี้แล้ว เข้าใจผิด ล้วนเป็นความเข้าใจผิดกัน ข้าไม่ใช่โจรแน่นอน แต่เป็นสุภาพชนจริงแท้ สุภาพชนประเภทที่ว่ามีคุณงามความดีติดตัวน่ะ!”
กู้ช่านหรี่ตาลง แล้วจึงกุมหมัดคารวะ “ในเมื่อไม่จำเป็นต้องให้ผู้น้อยออกไปข้างนอก ถ้าอย่างนั้นก็ขอเชิญท่านผู้อาวุโสออกมาจากร่างเถิด”
บุคลิกของบัณฑิตพลันแปรเปลี่ยน ก้าวเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา
‘หลิ่วชื่อเฉิง’ จุ๊ปากพูด “เด็กรุ่นหลังนี่น่ากลัวจริงๆ”
กู้ช่านลุกขึ้นยืน ยิ้มบางๆ “ขอแค่ผู้อาวุโสไม่รู้สึกว่า ‘เด็กคนนี้ไม่ควรเก็บเอาไว้’ จะอย่างไรก็ได้หมด”
หลิ่วชื่อเฉิงผู้นั้นได้ยินคำก็หัวเราะร่า “น่าสนใจๆ ยอดเยี่ยมนักๆ ใช่แล้ว เดิมทีข้ามาเอา ‘คัมภีร์สกัดคงคา’ เล่มนั้นคืน กังวลว่ามันจะเจอกับคนไม่ดี คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคู่สร้างคู่สมเช่นนี้ เจ้าเด็กน้อย ดูแล้วเจ้าอายุยังไม่มาก แต่ขอบเขตกลับสูงพอสมควร ชื่อว่าอะไรล่ะ?”
กู้ช่านมีสีหน้าปั้นยาก นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสมาเพื่อรับลูกศิษย์หรือ?”
หลิ่วชื่อเฉิงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย รู้สึกกระอักกระอ่วน ก่อนจะถอนหายใจหนึ่งที “เวลานี้เหตุการณ์นี้ช่างชวนให้ลำบากใจนัก”
กู้ช่านเอ่ย “ขอผู้อาวุโสโปรดพูดคุยกันดีๆ เถิด มีเรื่องอะไรก็ยิ่งต้องปรึกษากันให้ดีๆ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ กู้ช่านก็หยุดชะงักไปชั่วครู่ จ้องเขม็งไปยัง ‘บัณฑิต’ ที่ขอบเขตต้องสูงอย่างถึงที่สุดแน่นอนตรงหน้านี้ แต่กลับไม่เหลือสีหน้าเคารพยำเกรงอีกแล้ว “ไม่อย่างนั้นผู้อาวุโสจะลำพองใจได้ครู่หนึ่งแล้วก็คงต้องผิดหวังแล้ว”
หลิ่วชื่อเฉิงอืมรับหนึ่งที แล้วก็พูดเลียนแบบกู้ช่านว่า “มีเหตุผลจริงๆ”
จากนั้นหลิ่วชื่อเฉิงก็ยิ้มเอ่ย “เจ้าไม่ควรอยู่ในสระน้ำเล็กๆ แห่งนี้ ควรจะไปอยู่ในนครจักรพรรดิขาวของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง”
……
สถานการณ์แคว้นของราชวงศ์ต้าหลีเจริญรุ่งเรืองในทุกๆ วัน
ช่วงนี้อาณาเขตขุนเขากลางเก่าของต้าหลีมีฝนเม็ดเล็กพรมลงมาไม่ขาดสาย ทำให้คนรู้สึกรำคาญ
องค์เทพของอดีตห้าขุนเขาเดิมของต้าหลี ตอนนี้ถูกลดระดับขั้นให้เป็นเทพภูเขา บวกกับที่ภูเขาพีอวิ๋นขุนเขาเหนือแห่งใหม่กำลังจะเลือกภูเขาอีกสามลูกให้เป็นภูเขาผู้สืบทอดของขุนเขาเหนือ นี่ก็ยิ่งทำให้เทพภูเขาบางองค์กลัดกลุ้ม
ในอดีตแจกันสมบัติทวีปไม่มีความพิถีพิถันในเรื่องนี้ ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็เคยมีการกระทำที่คล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์มาก่อน แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่เด่นชัดนัก ถึงขั้นพูดได้ว่าสร้างหายนะไว้อย่างลึกล้ำยาวไกล เพราะการกระทำเช่นนี้ทั้งเปลืองเงินเปลืองแรง ไม่เป็นที่ชื่นชอบ ง่ายที่จะเกิดปัญหาแทรกซ้อน สร้างความยุ่งยากต่างๆ ตามมา
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก เพราะเทือกเขาใต้อาณัติเหล่านี้ ส่วนใหญ่แล้วมักจะอยู่ห่างจากขุนเขาใหญ่มาไกลอย่างถึงที่สุด ไม่ใช่ภูเขาที่เป็นเพื่อนบ้านกับขุนเขาใหญ่ บนภูเขามีเทพภูเขาอยู่ก่อนแล้ว เดิมทีในนามก็ถือว่าอาศัยอยู่ใต้ชายคาผู้อื่น ต่ำเตี้ยกว่าซานจวินของขุนเขาใหญ่หนึ่งระดับ หากได้กลายเป็นภูเขาผู้สืบทอด การพันธนาการทางกฎเกณฑ์ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เพราะซานจวินสามารถมาเยือนภูเขาบ้านของตนได้อย่างรวดเร็วตามใจปรารถนา ตามหลักพิธีการที่อริยะลัทธิขงจื๊อเป็นผู้ตั้ง เดิมทีในราชสำนักมีเพียงที่ว่าการของกรมพิธีการเท่านั้นที่สามารถตรวจสอบและประเมินความชอบความผิด ผลได้ผลเสียของเทพภูเขาในพื้นที่หนึ่งได้
แม้จะบอกว่าเจ้ากรมและรองเจ้ากรมพิธีการต่างก็ไม่กล้าเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ เพราะถึงอย่างไรเรื่องใหญ่ของแคว้นก็หนีไม่พ้นเรื่องพิธีบวงสรวงและเรื่องของกองทัพ แต่กิจธุระน้อยใหญ่ที่เป็นรูปธรรมก็ล้วนให้หลางจงของฝ่ายงานพิธีการรับผิดชอบดูแล ที่ต้องคอยคบค้าสมาคมอยู่เป็นประจำจริงๆ แท้จริงแล้วก็คือใต้เท้าหลางจงที่ระดับขั้นไม่สูง แต่กลับกุมอำนาจที่แท้จริงนี้
ไม่เพียงเท่านี้ ซานจวินกับขุนเขาใหญ่ยังสามารถดึงเอาโชคชะตาภูเขาแม่น้ำจากภูเขาน้อยใหญ่ที่เทพภูเขาเฝ้าพิทักษ์มาได้ตามใจปรารถนา แน่นอนว่าขุนเขาใหญ่สามารถมอบกลับคืนแก่ภูเขาทายาทได้ เพียงแต่ว่าต่อให้ใต้เท้าซานจวินพูดจามีหลักมีฐานน่าเชื่อถือ แต่จะเชื่อได้จริงๆ หรือ?
สตรีสวมชุดเขียวคนหนึ่งที่ถือร่มน้ำมันอยู่ในมือกำลังเดินอยู่บนทางภูเขา
การเดินทางไปครั้งนี้ต้องใช้เหตุผลก่อน หากเหตุผลยังคุยกันไม่รู้เรื่อง ถ้าอย่างนั้นก็กินอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก่อนแล้วกัน
เพราะถึงอย่างไรอาณาเขตของตลอดทั้งอดีตขุนเขากลางก็ถือเป็นพื้นที่อิทธิพลแห่งใหม่ของสำนักกระบี่หลงเฉวียนแล้ว
ระหว่างที่นางเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้ได้เก็บแม่นางน้อยคนหนึ่งมาจากข้างทาง เลยพามาไว้ข้างกายทั้งอย่างนี้
แม่นางน้อยที่มีชาติกำเนิดเป็นภูตยิ้มถามอย่างอารมณ์ดี “พี่หญิงซิ่วซิ่ว รู้หรือไม่ว่าชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งของร่มกระดาษที่พวกเราถืออยู่ในมือคืออะไร?”
หร่วนซิ่วตอบอย่างคนใจลอย “ไม่รู้หรอก”
“กางดอกไม้ ชื่อสมกับรูปร่างของมันมากเลยแล้วก็ไพเราะมากเลยใช่ไหม?”
“ใช่กระมัง”
“พี่หญิงซิ่วซิ่ว เหตุใดท่านถึงได้เซื่องซึมแบบนี้ตลอดเลยเล่า”
“กินขนมหมดแล้ว หิว”
“แบบนี้ค่อยเข้าใจได้หน่อย พี่หญิงซิ่วซิ่ว ถ้าอย่างนั้นท่านเคยได้ยินคำว่ากินหยางเหมยไม่คายเมล็ด กินแตงโมไม่คายเมล็ดก็สามารถช่วยให้ทนหิวได้หรือไม่?”
หร่วนซิ่วหัวเราะ ตบศีรษะของแม่นางน้อยเบาๆ “เจ้านี่ช่างฉลาดจริงๆ”
แม่นางน้อยยกเท้าขึ้น มองรองเท้าที่เปื้อนไปด้วยโคลนแล้วก็พูดบ่น “น่ารำคาญ”
หร่วนซิ่วพยักหน้ารับ “น่ารำคาญมากๆ เลย”
แม่นางน้อยขยับห่างไปไกลหลายก้าว จากนั้นก็กระทืบเท้าลงบนดินโคลนหนักๆ ถามว่า “พี่หญิงซิ่วซิ่ว ท่านมีคนในใจหรือไม่?”
หร่วนซิ่วยิ้มตาหยี “มีสิ”
แม่นางน้อยหันหน้ากลับมา ชูร่มกระดาษน้ำมันที่ถือในมือขึ้นสูง หันมามองใบหน้าด้านข้างของซิ่วซิ่ว มองอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่า “พี่หญิงซิ่วซิ่ว ท่านดีขนาดนี้ เหตุใดเขาไม่ออกเดินทางมาเป็นเพื่อนท่านล่ะ?”
หร่วนซิ่วคิดแล้วก็เอ่ยว่า “เขาก็อยู่ในใจของข้าตลอดเวลานี่นา”
แม่นางน้อยใช้นิ้วจิ้มแก้ม ทำหน้าทะเล้น “พี่หญิงซิ่วซิ่ว ท่านเป็นผู้หญิงนะ ไม่อายบ้างเลย”
แล้วหร่วนซิ่วก็เริ่มตอบคำถามแม่นางน้อยที่มีคำถามมากมายผู้นี้อย่างขอไปทีอีกครั้ง “งั้นหรือ”
……
เมืองหลวงต้าสุย
สตรีที่ทุกปีหากไม่สวมชุดสีแดงสดก็สวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดง วันนี้ไม่ได้อยู่ที่สำนักศึกษาซานหยา แต่ไปยังสวนส้มธรรมดาแห่งหนึ่งที่อยู่ชานเมือง
น่าเสียดายที่ยังไม่ถึงฤดูหนาว ไม่อย่างนั้นส้มที่แขวนห้อยอยู่บนต้นไม้ก็จะเหมือนแม่นางน้อยหลายคนที่พากันสวมเสื้อสีแดง
วันนี้หลี่เป่าผิงเกิดความคิดขึ้นมากะทันหัน เพราะจำได้ว่าในอดีตเคยเดินผ่านสถานที่แห่งนี้ นางจึงอยากจะมาดูสักหน่อย พอมาเห็นแล้วก็รู้สึกพึงพอใจ นางจึงย้อนกลับไปทางเดิม
ระหว่างทางก็ได้เจอกับคนสองคนที่ทำให้หลี่เป่าผิงอารมณ์ดีมากกว่าเดิม
คนหนึ่งคือถ่านดำน้อยที่สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็ก ในมือถือไม้เท้าเดินป่า
กับอีกคนที่ถูกถ่านดำน้อยตั้งฉายาให้ว่าห่านขาวใหญ่
เผยเฉียนวิ่งตะบึงมาหาหลี่เป่าผิง
หลี่เป่าผิงลูบศีรษะของเผยเฉียน “ตัวสูงขึ้นอีกแล้วหรือนี่? ระวังหน่อยล่ะ ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนจากฟักแคระไปเป็นไม้ไผ่สูงชะลูดนะ”
เผยเฉียนที่เดิมทียังอารมณ์เบิกบานรู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมาทันใด
หลี่เป่าผิงบิดแก้มของเผยเฉียน ยิ้มเอ่ยว่า “ล้อเจ้าเล่นหรอกน่า เหตุให้หัวสมองแตงน้อยๆ ถึงยังไม่ฉลาดขึ้นเสียทีนะ”
เผยเฉียนมีคำพูดมากมายอยากพูดกับพี่หญิงเป่าผิง
หลี่เป่าผิงบอกกับเผยเฉียนว่าไม่ต้องรีบร้อน ก่อนจะหันหน้ามาถาม “อาจารย์อาน้อยสบายดีหรือไม่?”
ชุยตงซานพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์อาน้อย อาจารย์ อาจารย์พ่อ ต้องกลับมาแน่”
เผยเฉียนกล่าวอย่างเดือดดาล “ต้องเอา ‘อาจารย์พ่อ’ วางไว้ข้างหน้า ‘อาจารย์’ สิ!”
หลี่เป่าผิงมองคนสองคนที่ไล่ตีกันแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง สองมือนวดคลึงข้างแก้มแรงๆ น่าเสียดายที่อาจารย์อาน้อยไม่อยู่
ไม่อย่างนั้นเมื่อเข้าหน้าหนาวก็จะมีหิมะตก ทุกคนจะได้เล่นปาหิมะด้วยกัน
นับแต่เติบใหญ่มา ก็เป็นอาจารย์อาน้อยนี่แหละที่ตนได้พบหน้าน้อยครั้งที่สุด แต่แน่นอนว่านางกับอาจารย์อาน้อยคือพวกเดียวกัน
……
บนต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสำนักศึกษาซานหยา
ชุยตงซาน หลี่เป่าผิง เผยเฉียน แต่ละคนพากันปีนขึ้นต้นไม้ด้วยท่าทางคล่องแคล่วคุ้นเคยอย่างถึงที่สุด
แล้วไปนั่งเรียงกันอยู่บนกิ่งไม้
เผยเฉียนนั่งตรงกลาง ชุยตงซานแย่งกับนางไม่สำเร็จ หลี่เป่าผิงยอมให้นาง เผยเฉียนที่ได้สมใจจึงอารมณ์เบิกบานอย่างถึงที่สุด
หลี่เป่าผิงรับฟังเรื่องราวระหว่างขุนเขาสายน้ำที่เผยเฉียนพบเจอมา นางเล่าช้ามาก ลำพังเรื่องที่นั่งเรือข้ามฟากจากภูเขาหนิวเจี่ยวไปยังนครมังกรเฒ่าก็เพิ่งจะเล่าจบไปเมื่อครู่นี้
ชุยตงซานสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย แกว่งขาสองข้าง
เมืองหลวงต้าสุยท่ามกลางม่านราตรี มองไปมีแต่แสงไฟโชติช่วงเรืองรอง
คาดว่าสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองส่วนใหญ่ของใต้หล้าไพศาลก็คงเป็นประมาณนี้กระมัง
แสงจันทร์กระจ่างสายลมบางเบา
ความร่ำรวยมีเกียรติในโลกที่สงบสุข
ชุยตงซานหลับตาลง ไม่อยากมองภาพพวกนี้อีก
เพราะเคยเห็นมามากเกินไปแล้วจริงๆ
หวังเพียงว่าช่วงเวลาอันงดงามในปีหนึ่งที่พืชหญ้างอกงามนกแมลงบินล้อมวน อาจารย์จะกลับบ้านเกิดในเร็ววัน