กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 633.2 ถามกระบี่กันและกัน
หลิวเสี้ยนหยางจ้องเป๋งมองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันถาม “มีตรงไหนไม่ถูกหรือ?”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “เจ้าคิดออกนอกประเด็นไปแล้วหรือเปล่า ใครบอกว่าถามกระบี่จะต้องทำสำเร็จในครั้งเดียว? วันนี้ข้าทิ่มก้นคนเขาหนึ่งกระบี่ เห็นท่าไม่ดีก็รีบเผ่นหนี พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ แทงเป้าคนเขาหนึ่งที นี่ก็คือการถามกระบี่เหมือนกันไม่ใช่หรือ? จำเป็นต้องเป็นอย่างที่เจ้าพูดคือฆ่าคนเขาให้ตายคราวเดียวยังไม่พอ แม้แต่จิตแห่งกระบี่และจิตใจคนก็ยังต้องทำลายจนแหลกสลายไปด้วยหรือ? เฉินผิงอัน เป็นคนบนภูเขาแล้วก็เลยรักหน้าตาขนาดนี้เชียว? เรื่องประเภทที่ว่าตายก็ยังต้องมีเกียรติ ตอนมีชีวิตเลยลำบาก ข้าจำได้ว่าเจ้าและข้าไม่เคยเป็นคนแบบนี้ ไม่เคยทำการค้าที่ขาดทุนอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วไม่ใช่หรือ? ข้าหลิวเสี้ยนหยางเป็นคนอย่างไร เจ้าไม่รู้หรือ? แม้ว่าอาจพูดจาไม่มีสาระ แต่ลงมือทำอะไรขึ้นมาก็น่าจะพอเชื่อถือได้กระมัง?”
หลิวเสี้ยนหยางหุบยิ้ม “ไม่ว่าเจ้าทำอะไร บอกกับตัวเองว่าเพียงเจ้าคิดว่าไม่ผิดๆ ก็แสดงว่ามีแค่ไม่ผิดจริงๆ หรือ? ผิดแล้ว เจ้าก็แค่กำลังทำเรื่องที่ดีที่สุดโดยที่ตัวเองคิดไม่ถึงก็เท่านั้น คนอย่างข้าต่างหากที่ถึงจะเรียกว่ากึ่งเลอะเลือนกึ่งฉลาด ไม่หวังความสมบูรณ์แบบ สามารถรับมือกับตัวเองได้ก็สามารถรับมือกับคู่ต่อสู้ได้ ใช้ชีวิตแต่ละวันผ่านไปอย่างเลอะเลือน หรือคิดเล็กคิดน้อยก็ล้วนเป็นการใช้ชีวิต สบายใจก็ผ่านไปได้ ย่ำแย่ก็ผ่านไปได้ แล้วจะใช้ชีวิตที่ย่ำแย่ให้ผ่านไปอย่างสบายใจได้อย่างไร เจ้าต้องหัดเรียนรู้จากข้าให้มากๆ ไม่ได้บอกว่าเจ้าผิด หากพูดกันแค่เรื่องผิดถูก เจ้าต้องถูกมากกว่าข้าอยู่แล้ว แบบนี้ดีมาก แต่คนคนหนึ่งน่ะ บางครั้งก็ต้องแอบอู้ให้ตัวเองมีเวลาได้หายใจหายคอบ้าง หลักการเหตุผลเช่นนี้ไม่มีเอ่ยถึงในตำรา แต่ปีนั้นที่ข้ายังไม่ได้เรียนหนังสือ ข้าก็เข้าใจได้แล้ว เพียงแต่ไม่เคยมีโอกาสได้บอกกับเจ้าก็เท่านั้น”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไปนานอย่างที่หาได้ยากยิ่ง
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “เจ้าขี้มูกยืดน้อยไม่ใช่เจ้าขี้มูกยืดน้อยอีกแล้ว แต่นายท่านใหญ่หลิวของเจ้ายังคงเป็นนายท่านใหญ่หลิวของเจ้าอยู่นี่นา”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางส่ายหน้า “ไม่ใช่เข้าใจแล้ว ต้องจำไว้ด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แล้วแต่เจ้าเลย”
คนทั้งสองนั่งอยู่ตรงข้ามกันในเรือยันต์
ชีวิตคนมีการจากลามากมาย
กลัวก็แต่ลมฤดูใบไม้ผลิบุปผาฤดูใบไม้ร่วง พบเจอและแยกย้ายช่างง่ายดายนัก หวังเห็นบุปผาฤดูใบไม้ผลิแสงจันทร์ฤดูใบไม้ร่วง การพบกันใหม่อีกครั้งไม่ยากเย็น
หลิวเสี้ยนหยางเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะขยิบตาเอ่ยว่า “นั่นหรือยัง?”
เฉินผิงอันทำหน้าสงสัย
หลิวเสี้ยนหยางกวาดตามองไปรอบด้าน เห็นว่าไม่มีใครจึงเอานิ้วสองข้างจิ้มกันเบาๆ
เฉินผิงอันรีบปัดมือหลิวเสี้ยนหยางทิ้งทันที กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “เจ้าอยากตายหรือไร อยากตายก็อย่าลากข้าไปตายด้วย!”
หลิวเสี้ยนหยางอึ้งตะลึง “ยังไม่เคยจับมือกันอีกหรือ? ข้าคนนี้อ่านตำรามาไม่มาก ทว่าก็เป็นคนซื่อตรงมาตั้งแต่เด็ก เจ้าอย่าได้หลอกข้าเชียว”
เฉินผิงอันเหมือนถูกห้าอสนีผ่าหัว
ใบหน้าหลิวเสี้ยนหยางเต็มไปด้วยแววเวทนา “อนาถยิ่งกว่าข้าเสียอีก ไม่ใช่คนโสดแต่น่าสงสารยิ่งกว่าคนโสด”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าไปหาว่าที่พี่สะใภ้ข้ามาให้ได้ก่อนแล้วค่อยพูดถึงเรื่องนี้”
หลิวเสี้ยนหยางส่ายหน้า ทิ้งตัวไปด้านหลัง นอนอยู่บนเรือ “อยากจะหาสตรีที่รูปโฉมงดงามทำให้ข้าน้ำลายสอได้ ยากนัก”
เรือยันต์มาจอดตรงหน้าประตูใหญ่ของคฤหาสน์หลบร้อน
ตามกฎของสายอิ่นกวาน ไม่ว่าคนนอกคนใดก็ห้ามเข้าไปในตำหนักโดยพลการ
คนทั้งสองพลิ้วกายลงบนพื้น เฉินผิงอันเก็บเรือยันต์ใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ หลิวเสี้ยนหยางไม่ได้ทะยานลมจากไปทันที
หลิวเสี้ยนหยางยืนอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอัน ช่วยจัดคอเสื้อให้เขา ก่อนจะตบไหล่เฉินผิงอันแล้วพยักหน้าเอ่ยว่า “ไปล่ะ ยามที่ข้าไม่อยู่ เจ้าก็อย่าเอาแต่ดูแลคนอื่น จำไว้ว่าต้องดูแลตัวเองให้ดีด้วย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เจ้าเองก็ระวังตัวให้มาก”
หลิวเสี้ยนหยางเพิ่งจะหมุนตัวกลับ เฉินผิงอันก็โยนตราประทับชิ้นหนึ่งไปให้ “มีอยู่ชิ้นเดียว เก็บเอาไว้ให้ดีล่ะ ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจขายได้ราคาสูงเทียมฟ้า”
หลิวเสี้ยนหยางไม่แม้แต่จะมองดู เก็บใส่ชายแขนเสื้อแล้วก็ทะยานลมจากไป
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม เนิ่นนานก็ยังไม่ถอนสายตากลับมา
ประตูใหญ่ของคฤหาสน์หลบร้อนเปิดอ้าไว้ตลอดเวลา แล้วก็ไม่มีคนเฝ้าประตู
เฉินผิงอันเดินตรงไปที่ห้องโถงใหญ่ พอไปถึงโฉวเหมียวก็ถามว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน การวางหมากที่ควรทำล้วนเรียบเรียงเสร็จแล้ว เมื่อครู่พวกเราลองคำนวณร่วมกันดู ทุกครั้งคนสามคนไปออกกระบี่ที่หัวกำแพงเมืองจะไม่ถ่วงเวลาการวางแผนต่างๆ อีกทั้งคอยมองสนามรบอยู่ไกลๆ ก็ไม่สู้พาตัวไปอยู่ในสถานการณ์ด้วยตัวเอง เพราะจะทำให้จับรายละเอียดได้มากกว่า”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “กลุ่มแรกมีใครบ้าง?”
โฉวเหมียวลุกขึ้นยืน หมี่อวี้และต่งปู้เต๋อก็ลุกขึ้นตามมาด้วย
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไปเถิด แต่เซียนกระบี่หมี่อย่าเพิ่งรีบร้อน เปลี่ยนมาเป็นเติ้งเหลียงแทน จำไว้ว่าอย่าเอาแต่เตะถ่วงอยู่ที่นั่นไม่ยอมกลับมา เมื่อผ่านไปสิบวันต้องเปลี่ยนคน ถึงคราวที่เซียนกระบี่หมี่ ผังหยวนจี้และหลินจวินปี้ขึ้นไปแทน ต่อมาก็เป็นซ่งเกาหยวน เฉากุ่น เสวียนเซิน จากนั้นจึงเป็นหลัวเจินอี้ สวีหนิง ฉางไท่ชิง สุดท้ายถึงเป็นกู้เจี้ยนหลง หวังซินสุ่ย กวอจู๋จิ่ว และอาจจะเพิ่มข้าเข้าไปอีกคน”
สำหรับพวกโฉวเหมียวสี่คน เซียนกระบี่โฉวนั้นเฉินผิงอันไม่รู้สึกกังขาใดๆ คนผู้นี้คือ ‘คนหนุ่ม’ เด็กรุ่นหลังที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสและอาเหลียงชื่นชมอย่างยิ่ง
แต่กับอีกสามคนที่เหลือซึ่งมีหลัวเจินอี้เป็นหนึ่งในนั้น เฉินผิงอันยังเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย ดังนั้นจึงจัดวางไว้หลังคนสองกลุ่มอย่างพวกเติ้งเหลียง ซ่งเกาหยวน แต่หากจัดวางพวกหลัวเจินอี้ไว้ท้ายสุด หลังพวกกู้เจี้ยนหลงสามคนไปอีกก็จะเกินไปหน่อย อีกทั้งให้พวกหลัวเจินอี้สามคนขึ้นหัวกำแพงเมืองไปด้วยกันก็ถือว่าเป็นการชดเชยอย่างหนึ่งที่จะมีหรือไม่มีก็ได้
ดังนั้นการที่พวกหลัวเจินอี้สามคนจะมีอคติต่อใต้เท้าอิ่นกวานเช่นตนตลอดมา ก็ถือว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้ว ขอแค่ไม่ขัดต่อสถานการณ์ใหญ่ ทำเรื่องที่สมควรทำ เฉินผิงอันก็ไม่ถือสาความรู้สึกไม่พอใจเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ อันที่จริงความรู้สึกที่เฉินผิงอันมีต่อผู้ฝึกกระบี่ ‘เก็บเงิน’ ที่คุ้นเคยกับขนบธรรมเนียมของใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างถึงที่สุดกลุ่มนี้ไม่ได้แตกต่างจากความรู้สึกที่มีต่อพวกเฉินซานชิวสักเท่าไร นั่นคือเป็นความรู้สึกเลื่อมใสและหวังว่าตัวเองจะเป็นเหมือนอีกฝ่ายได้ แต่กระนั้นก็ต้องว่ากันไปตามสถานการณ์ ใจที่คิดป้องกันคนอื่นไม่ควรขาด ด้วยเหตุนี้ต่อให้พวกหลัวเจินอี้สามคนจะไม่พอใจ เฉินผิงอันก็ไม่คิดมาก หากเขาอยากจะเป็นคนดีที่ผู้คนพากันเรียกขานติดปากจริงๆ ก็ไม่มีทางมาเป็นใต้เท้าอิ่นกวาน
โฉวเหมียวสามคนออกจากห้องโถงใหญ่ ขี่กระบี่ออกไปจากคฤหาสน์หลบร้อน
ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานส่วนใหญ่อายุน้อยแต่กลับฉลาดเฉลียว ต่างก็รู้กันดีว่าสงครามครั้งนี้จะดำเนินไปอีกยาวนาน ระยะสั้นก็สามปีห้าปี ระยะยาวก็สิบกว่าปี ไม่ว่าใครก็บอกเวลาที่แน่ชัดไม่ได้ เพียงแต่ว่าระดับขั้นความรุนแรงน่าสังเวชของสนามรบกลับยังคงเหนือการคาดการณ์อยู่ดี
กระแสคลื่นสมบัติอาคมจากผู้ฝึกตนเฒ่าปีศาจที่หวงหลวนเป็นผู้นั่งบัญชาการณ์ รวมไปถึงเจ้าอารามดอกบัวที่รับหน้าที่เป็นแม่ทัพหลักของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจซึ่งนำพาผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจหลายหมื่นตนมาถามกระบี่ต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่
อีกทั้งเมื่อสงครามทั้งสองครั้งนี้ผ่านไปก็จะมีเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างจำนวนนับล้านพากันออกจากบ้านเกิด เคลื่อนขบวนอย่างยิ่งใหญ่กรูเข้าหากำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างบ้าคลั่งภายใต้การนำ การบงการ การบังคับใช้แรงงานของพวกผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจ ว่ากันว่าระหว่างเส้นทางที่เดินทางมายังสนามรบทางทิศเหนือล้วนมีแต่กองกระดูกกองทับถมอยู่สองข้างทาง
มดตัวน้อยรุมกัดช้าง ปีศาจใหญ่เอ่ยประโยคว่านั่งรอขูดรีดถลกหนัง คราวนี้ถึงตาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ต้องรับความทรมานบ้างแล้ว
หลังจากอดทนผ่านการถามกระบี่ครั้งนี้ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปได้ ผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองก็น่าจะถึงคราวที่ต้องลงสนามรบเข่นฆ่าศัตรูแล้ว
เฉินผิงอันไม่ได้เดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ทันที แต่ไปเดินเล่นอยู่บนลานกว้างนอกประตู
คนของสายอิ่นกวานต่างก็เคยชินกับการกระทำเช่นนี้ของใต้เท้าอิ่นกวานแล้ว เขามักจะเดินวนเป็นวงกลมอยู่ในลานกว้างคนเดียวเป็นประจำ
เมื่อนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ก็จะเอ่ยกับพวกผู้ฝึกกระบี่ในห้องสองสามประโยค
เฉินผิงอันนึกถึงบทสนทนาในห้องโถงใหญ่ก่อนหน้านี้ เป็นบทสนทนาที่โฉวเหมียวกับเติ้งเหลียงเป็นผู้เริ่ม
สายตาของโฉวเหมียวมองไปได้ค่อนข้างไกล หลังจากที่สายอิ่นกวานพอจะอนุมานศึกฝูงมดโจมตีเมืองครั้งถัดไปได้คร่าวๆ แล้ว โฉวเหมียวก็บอกว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างย่อมไม่มีทางคิดง่ายๆ เพียงแค่หวังเปลี่ยนแปลงฟ้าอำนวยดินอวยพรของกำแพงเมืองปราณกระบี่แน่นอน
เติ้งเหลียงจึงยกตัวอย่าง บอกว่าในอดีตยามที่เขาใช้สถานะของผู้ฝึกตนอิสระลงไปหาประสบการณ์ด้านล่างภูเขา เคยเดินทางผ่านเมืองแห่งหนึ่งและได้เห็นการต่อสู้ในตลาดระหว่างสองพรรคในยุทธภพกับตาตัวเอง มีคนตายและบาดเจ็บเกือบร้อยคน ฝ่ายที่เอาชนะมาได้ด้วยสภาพอเนจอนาถนั้น ไม่เพียงแต่ยึดครองพื้นที่ทั้งหมดมาได้ ยังสร้างพลังข่มขวัญให้แก่เพื่อนบ้านในบริเวณใกล้เคียงได้ชะงัดนัก เพียงไม่นานพลังสยบขวัญนี้ก็แทรกซอนออกไป จวนขุนนางประจำท้องถิ่น กลุ่มอิทธิพลในยุทธภพ เศรษฐีพ่อค้าผู้ร่ำรวย ต่างก็พากันหวาดกลัวพวกคนที่อำมหิตเหล่านั้น แต่ละคนต่างมีความคิด บ้างก็จ่ายเงินฟาดเคราะห์ บ้างก็เข้าสวามิภักดิ์ด้วย ซึ่งแต่ละฝ่ายมีจำนวนไม่ใช่น้อย ไปๆ มาๆ พรรคที่อยู่รอบๆ เมืองแห่งนั้นก็พ่ายแพ้ในด้านบารมีอำนาจ พื้นที่อิทธิพลจึงค่อยๆ ถูกฮุบกลืนไปทีละนิดจนหมดสิ้น
ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยอะไร
เพราะหากจะใช้สิ่งนี้มาบรรยายสามฝ่ายอันได้แก่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างและใต้หล้าไพศาล ก็ดูเหมือนว่าตัวอย่างนี้จะไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าใด แต่ผลลัพธ์ที่อนุมานออกมาได้กลับถูกต้อง
เฉินผิงอันเคยสอบถามอริยะสองลัทธิพุทธและขงจื๊อที่เฝ้าพิทักษ์อยู่บนหัวกำแพงเมืองมาก่อน สิ่งที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างต้องการจะทำก็คือหลังจากตีกำแพงเมืองปราณกระบี่และภูเขาห้อยหัวแตกแล้ว สามารถหยัดยืนอยู่ในใต้หล้าไพศาลได้อย่างมั่นคงทันที ต้องการเปลี่ยนอาณาบริเวณของใต้หล้าไพศาลให้กลายมาเป็นพื้นที่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เพื่อใช้สิ่งนี้มาเปลี่ยนแปลงฟ้าดินของสองฝ่าย จะได้เป็นฝ่ายยึดครองความได้เปรียบ หรือควรจะพูดอีกอย่างว่าพยายามสุดความสามารถเพื่อช่วงชิงโอกาสชนะมาให้แก่ปีศาจใหญ่ยอดเขา ลดการสยบกำราบจากมหามรรคาที่ลี้ลับมหัศจรรย์ให้เหลือน้อยลง ดังนั้นกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่มองดูเหมือนมดตัวน้อยมากมายขนาดนั้นถึงได้มารบตายอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นจำนวนมาก ถึงขั้นที่ว่าพวกที่ตายไปอย่างอยุติธรรมยังมีมากยิ่งกว่า ทว่าการตายของพวกมันต้องไม่ได้เสียเปล่า อนาคตต้องสามารถเอามาใช้ประโยชน์ได้แน่นอน
หมี่อวี้ที่ตำแหน่งในห้องคล้ายจะเหมือนเทพทวารบาลพลันเอ่ยถามอย่างสงสัย “ใต้เท้าอิ่นกวาน เจ้ากลายเป็นผู้ฝึกกระบี่แล้วใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันหันหน้ามาถาม “ทำไมถึงถามอย่างนี้ล่ะ?”
หมี่อวี้เอ่ย “ขอแค่คิดหนึ่งในหมื่นให้เป็นหนึ่งหมื่นได้ ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นเรื่องจริงเสมอ”
เฉินผิงอันไม่ได้ให้คำตอบ เพียงแค่ยิ้มกล่าวว่า “เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ไม่ได้ไปเป็นผู้ถวายงานบนภูเขาบ้านเกิดของข้า ช่างน่าเสียดายจริงๆ”