กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 635.1 ย้ายภูเขาคว่ำมหาสมุทร
ใต้เท้าอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่?
ไม่ใช่แม่นางน้อยมัดผมแกละในตำนานผู้นั้นหรอกหรือ? เล่าลือกันว่านางใช้แค่สองหมัดก็สามารถต่อยให้ร่างจริงของปีศาจใหญ่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างแหลกสลายได้แล้ว คือหนึ่งในคนที่สู้รบเก่งที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่
เหตุใดถึงเปลี่ยนมาเป็นคนหนุ่มหน้าตาไม่คุ้นเคยตรงหน้านี้ได้?
เพียงแต่ว่าไม่กล้าพูดอะไร และเวลานี้ก็ได้แต่ต้องเชื่ออีกฝ่ายเท่านั้น
มีเซียนกระบี่นั่งอยู่ด้วยมากมายขนาดนี้ ไม่เหลือพื้นที่ให้คนหนุ่มพูดจาเหลวไหลอยู่แล้ว
หรือควรจะพูดว่าต่อให้ไม่เชื่อก็ได้แต่แสร้งทำเป็นว่าเชื่อ ไม่อย่างนั้นหากถูกกระบี่บินของเซียนกระบี่ทวีปเดียวกันตัดหัวแล้วโยนออกไปจากภูเขาห้อยหัว ความแค้นครั้งนี้จะไปคิดบัญชีกับใคร? หรือจะให้ลากคนมาเป็นพรรคพวก มองอีกฝ่ายเป็นศัตรูที่มีร่วมกันแล้วพากันไปคิดบัญชีกับกำแพงเมืองปราณกระบี่? อย่าลืมล่ะว่าคนร่วมอาชีพ แต่ไหนแต่ไรมาก็ถือเป็นศัตรูกันอยู่แล้ว และในความเป็นจริงแล้วการค้าของเรือข้ามฟากทั้งหลายก็มีความขัดแย้งกันเองเรื่อยมา
ผู้ดูแลเฒ่าคนหนึ่งของธวัลทวีปใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็ลุกขึ้นยืน ค้อมเอวคารวะอีกฝ่าย ก่อนเอ่ยเนิบช้า “ขอแสดงความยินดีกับเซียนกระบี่เฉินที่ได้รับเกียรติเลื่อนขั้นเป็นใต้เท้าอิ่นกวาน ข้าน้อยแซ่ไต้นามเฮา เป็นผู้ดูแลเรือข้ามฟาก ‘ไท่เกิง’ ของธวัลทวีป ตบะก็ยิ่งไม่มีค่าพอให้พูดถึง กลัวก็แต่ว่าพูดไปแล้วจะสกปรกหูใต้เท้าอิ่นกวาน ผู้น้อยขอบังอาจเอ่ยคำหนึ่ง การปรึกษาหารือกันในวันนี้ ลำพังเพียงแค่ใต้เท้าอิ่นกวานออกหน้าก็ถือว่าเป็นเกียรติใหญ่เทียมฟ้าของพวกเราแล้ว ใต้เท้าอิ่นกวานเป็นผู้ออกคำสั่ง มีหรือที่พวกเราจะกล้าไม่ทำตาม? อันที่จริงไม่จำเป็นต้องรบกวนให้ผู้อาวุโสเซียนกระบี่มากมายขนาดนี้มาเยือน ผู้น้อยโง่เขลาแถมยังสายตาไม่ดี ไม่รู้ถึงสถานการณ์การสู้รบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในทุกวันนี้ รู้เพียงว่าไม่ว่าผู้อาวุโสเซียนกระบี่คนใดก็ตาม ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งบนยอดเขาที่มีพลังพิฆาตสูงสุดในใต้หล้าทั้งสิ้น มาหยุดรั้งรออยู่ที่ภูเขาห้อยหัว ก็ทำให้ออกกระบี่ได้น้อยครั้งลงไปอีก ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก”
มุมปากของอู๋ฉิวกระตุกขึ้นแล้วถูกเขากดลงไปอีกครั้ง
คำพูดประโยคนี้ของไต้เฮามีทั้งแข็งและอ่อน ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี ไม่เสียแรงที่เป็นโอสถทองบนเส้นทางของการฝึกตน เป็นห้าขอบเขตบนบนเส้นทางการค้า
เซียนกระบี่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปหลายทวีปมากมายขนาดนี้ แทนที่จะมาพูดคุยเรื่องการค้าที่ไม่มีเกียรติกับพวกเขา ก็ไม่สู้ไปออกกระบี่สังหารปีศาจที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ยังจะเหมาะสมเสียกว่า
เหมาะสมกับมาดอันองอาจของเซียนกระบี่มากกว่า
อู๋ฉิวรู้สึกว่าคงต้องเห็นแก่ความสัมพันธ์ควันธูปของเรือข้ามทวีป ‘ไท่เกิง’ ครั้งนี้แล้ว เพราะถึงอย่างไรไต้เฮาเสี่ยงอันตรายเปิดปากพูดเช่นนี้ก็เพื่อช่วงชิงผลประโยชน์ให้แก่เรือข้ามทวีปของอีกแปดทวีปที่เหลือ
หากมีเซียนกระบี่เดือดดาลอยากสังหารคนจริงๆ เขาอู๋ฉิวต้องลงมือขัดขวางเป็นแน่
เซี่ยซงฮวาเซียนกระบี่หญิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผู้ดูแลเรือข้ามฟากของธวัลทวีปเลิกคิ้วขึ้นสูง
เจ้าตัวดี ตัวเองรับผิดชอบกิจการของธวัลทวีป แต่ดันกลายเป็นคนแรกที่กระโดดออกมา ‘ถามกระบี่’ ทำลายสถานการณ์อย่างนั้นรึ?
เฉินผิงอันอดทนรับฟังโอสถทองเฒ่าผู้นี้พูดจนจบ สายตาจับจ้องไต้เฮาที่คำพูดเป็นดั่งสำลีซ่อนเข็มอยู่ตลอดเวลา แต่กลับยื่นมือไปทางเซี่ยซงฮวาแล้วกดลงบนความว่างเปล่าสองที บอกเป็นนัยให้นางรู้ว่าไม่เป็นไร นี่เป็นเรื่องเล็ก
เฉินผิงอันพยักหน้าให้ผู้ดูแลโอสถทองเฒ่าแล้วยิ้มเอ่ย “อันดับแรกข้าไม่ใช่เซียนกระบี่ จะใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง หากพวกเจ้าสนใจก็สามารถลองเดาดูได้ ข้าเคยนั่งเรือข้ามทวีปมาแล้วหลายลำ รู้ดีว่าการเดินทางไกลข้ามทวีปนั้นเส้นทางยาวไกล หากไม่มีเรื่องให้คลายความอุดอู้บ้างเลยย่อมไม่ได้ อันดับต่อมา เหล่าเซียนกระบี่ที่แท้จริงซึ่งนั่งอยู่ที่นี่ ยกตัวอย่างเช่นเซียนกระบี่เซี่ยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเจ้าไต้เฮาควรจะออกกระบี่เมื่อไหร่ เก็บกระบี่เมื่อไหร่ คนนอกสามารถเอ่ยโน้มน้าวด้วยความหวังดีได้ คนดีมีความหวังดี ยินดีเอ่ยถ้อยคำที่มาจากใจจริง ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ไต้เฮา เจ้าเริ่มต้นได้ดีมาก ต่อจากนี้การพูดคุยของพวกเราก็ควรจะเป็นเช่นนี้ เปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่ว่าเรื่องอะไรก็พูดกันได้หมด”
นี่ทำให้พวกผู้ดูแลเรือข้ามฟากหลายคนที่เดิมทีคิดว่าคนหนุ่มจะอับอายจนพานเป็นความโกรธแล้วหาเรื่องทะเลาะให้แตกหักกันไปรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เฉินผิงอันหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนยื่นมือมาเคาะผิวโต๊ะเบาๆ รอยยิ้มไม่ลดน้อยลง “แต่สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว จะควบคุมได้หรือไม่ ก็อย่าว่าแต่ข้าเลย ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสท่านนั้นของพวกเราก็ไม่เคยควบคุมเหล่าเซียนกระบี่ เพราะอะไร? เหตุผลเรียบง่ายมาก เซียนกระบี่อย่างไรก็เป็นเซียนกระบี่ ทั้งร่างกายจิตใจและกระบี่บินล้วนมีอิสระเสรี ไม่อย่างนั้นจะเป็นผู้นำของสี่ผีใหญ่ตอแยยากบนภูเขาได้อย่างไร นี่ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาไม่ค่อยสนใจเงินเทพเซียน หลักการเหตุผลอริยะปราชญ์หรือกฎเกณฑ์ของสำนักอะไรหรอกนะ”
ฝั่งตรงข้ามของป๋ายซีผู้ดูแลเรือข้ามทวีป ‘อ่างกระเบื้อง’ แห่งถ้ำซานสุ่ยฝูเหยาทวีปก็คือเซียนกระบี่เซี่ยจื้อคนทวีปเดียวกันที่มีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนอิสระ
ส่วนฝั่งตรงข้ามผู้ดูแลเรือข้ามฟากของเกราะทองทวีปก็คือซ่งพิ่นเซียนกระบี่หญิงที่ยามแรกดื่มสุราคารวะแล้วค่อยตามมาด้วยสุราลงทัณฑ์
ตรงข้ามของหลิวเสียทวีปคือเซียนกระบี่ผูเหอ นั่นคือคนที่หิ้วคอผู้ดูแลเรือข้ามฟากก่อกำเนิดคนหนึ่งโยนออกไปนอกเรือนชุนฟานเหมือนหิ้วลูกเจี๊ยบ แล้วยังบอกอีกว่าจะพาสหายสองสามคนพกกระบี่ไปพูดคุยเรื่องในวันวานกับหลี่สวิ้นที่ศาลบรรพจารย์
ผู้แทนของเรือข้ามทวีปสามลำนี้ต่างก็เข้าใจความหมายในคำพูดประโยคนี้ของใต้เท้าอิ่นกวานได้ลึกซึ้งอย่างแท้จริง
สีหน้าของเฉินผิงอันเป็นมิตรอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่ากำลังพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับคนสนิท “ไต้เฮา ความหวังดีของเจ้า แม้ข้าจะรับเอาไว้แล้ว เพียงแต่คำพูดพวกนี้ หากเปลี่ยนมาเป็นคนของทวีปอื่นเป็นคนพูด ดูเหมือนจะดียิ่งกว่า เจ้าเป็นคนพูด กลับดูไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร สองครั้งที่เซียนกระบี่เซี่ยออกกระบี่ ครั้งแรกทำลายรากฐานมหามรรคาของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบเผ่าปีศาจ อีกครั้งหนึ่งทำลายทุกสิ่งอย่างของเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบทั่วไป จิตวิญญาณของอีกฝ่ายแหลกสลายไม่เหลือทิ้งไว้แม้แต่เสี้ยว ทารกก่อกำเนิดเอย โอสถทองอะไรเอย แน่นอนว่าย่อมไม่เหลืออยู่แล้ว ดังนั้นจึงถือว่าเซียนกระบี่เซี่ยสร้างคุณูปการได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่เพียงแต่จะไม่กลับไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ กลับกันยังจะออกจากภูเขาห้อยหัว กลับบ้านเกิดที่ธวัลทวีปไปพร้อมกับพวกเจ้า เกี่ยวกับเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้ยามที่คนบ้านเดียวกันพูดคุยกันอย่างชื่นบาน เซียนกระบี่เซี่ยไม่ได้บอกเจ้าเลยหรือ?”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเซี่ยซงฮวา
เซี่ยซงฮวาจ้องไต้เฮาเขม็ง ปากก็เอ่ยว่า “เคยบอกแล้ว คาดว่าเทพเซียนผู้เฒ่าไต้คงลืมไปแล้ว”
เฉินผิงอันโบกมือ ชำเลืองตามองหิมะใหญ่เท่าขนห่านที่ตกอยู่นอกห้องโถงกลางของเรือนชุนฟาน เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร เวลานี้ก็ถือเสียว่าพูดซ้ำอีกรอบ พบเจอคนบ้านเดียวกันในต่างบ้านต่างเมือง นับเป็นเรื่องที่หาได้ยากนัก ไม่ว่าอย่างไรก็มีค่าพอให้พูดเตือนบ่อยๆ”
ไต้เฮายืนขึ้นมาแล้วก็ไม่กล้านั่งลง คาดว่าต่อให้นั่งลงแล้วก็ยังรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็มกระมัง
“ยืนอยู่ทำไม? ทุกคนต่างก็นั่งกันหมด ยืนอยู่คนเดียวย่อมตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าคิดหลุบตาลงต่ำมองเหล่าเซียนกระบี่อย่างดูแคลน”
เฉินผิงอันหุบยิ้ม พูดกับโอสถทองเฒ่าคนนั้น “นั่งลง”
ไต้เฮาจึงรีบนั่งลงทันที
ก่อกำเนิดสองท่านจากแผ่นดินกลางอย่างอู๋ฉิวและถังเฟยเฉียนที่นั่งอยู่ติดกันมองสบตากันอย่างรวดเร็ว
ดูท่าใต้เท้าอิ่นกวานคนใหม่ผู้นี้จะไม่ใช่เซียนกระบี่จริงๆ
เจียงเกาไถ ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบของเรือข้ามฟาก ‘หนันจี’ แห่งธวัลทวีปที่อำพรางตัวตนอย่างมิดชิดมีอายุมากแล้ว แต่กลับยังมีรูปโฉมอ่อนเยาว์ ตำแหน่งที่นั่งของเขาค่อนมาทางด้านหน้า นั่งติดกับถังเฟยเฉียน เขาพอจะมีความสัมพันธ์ควันธูปกับไต้เฮาแห่งเรือข้ามฟาก ‘ไท่เกิง’ อยู่บ้าง บวกกับที่ถูกกำแพงเมืองปราณกระบี่ลากตัวออกมา เปิดโปงการเสแสร้งของเขา ในบรรดาพ่อค้าทั้งหลายที่นั่งกันอยู่ตรงนี้ มีใครบ้างที่ไม่ใช่จิ้งจอกเฒ่าที่ฝึกฝนจนมีดวงตาทิพย์ เจียงเกาไถจึงเป็นกังวลว่าการค้าขายกับร่องเจียวหลงในวันหน้าจะถูกใครบางคนก่อกวนจนเสียเรื่อง
ไม่ว่าจะด้านส่วนรวมหรือส่วนตัว ตามเหตุตามผลแล้ว เจียงเกาไถก็ควรจะเอ่ยอะไรบ้าง ไม่อย่างนั้นจะปล่อยให้ธวัลทวีปที่กว้างใหญ่ถูกสตรีอย่างเซี่ยซงฮวาบีบคอไว้จริงๆ หรือไร?
เจียงเกาไถไม่ได้ลุกขึ้นยืนด้วยซ้ำ เขาเปิดปากพูดโดยตรงว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน พวกเราต่างก็มีขอบเขตต่ำต้อยไม่มีค่าพอให้พูดถึง หากจะพูดถึงความสามารถในการเข่นฆ่าสังหาร บางทีทุกคนรวมกันแล้ว แค่เซียนกระบี่สองสามท่านพร้อมใจกันลงมือ แขกทุกคนในเรือนชุนฟานอาจตายหมดเกลี้ยงก็เป็นได้”
เซี่ยซงฮวาหรี่ตาลง ยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา ใช้ฝ่ามือถูกับที่วางแขนเก้าอี้เบาๆ
เจียงเกาไถแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เอ่ยต่อไปว่า “คนที่มีกลิ่นเหม็นสาบเหรียญทองแดงเต็มตัวอย่างพวกเรา เรื่องที่ถนัด ทั้งไม่ใช่เรื่องการเข่นฆ่า แน่นอนว่ายิ่งไม่อาจรักษาชีวิตตัวเองไว้ได้ด้วย เราจึงทำได้เพียงทำการค้าต้นทุนต่ำเพื่อหากำไรน้อยนิดอย่างยากลำบาก หากใต้เท้าอิ่นกวานรู้สึกว่าสามารถพูดคุยกันได้ก็คุยกันดีๆ หากคิดว่าไม่จำเป็นต้องคุยกับพวกเรา เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด ต่อให้เป็นการค้าที่ไม่เหมาะสมแค่ไหน พวกเราก็ต้องยอมรับไว้แต่โดยดี เพื่อนร่วมอาชีพทวีปอื่นคิดอย่างไร ข้าไม่อาจไปควบคุมได้ แต่ข้าเจียงเกาไถกับเรือข้ามทวีปหนันจีผุๆ ลำหนึ่งจะขอเป็นตัวแทนเอ่ยว่า ใต้เท้าอิ่นกวานเชิญเปิดราคามาได้ตามสบาย ต่อให้เป็นการค้าที่ต้องขาดทุน ข้าก็จะทำ ถือเสียว่าเป็นการแสดงความยินดีที่เซียนกระบี่เฉินได้เลื่อนขั้นเป็นใต้เท้าอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่”
พวกอู๋ฉิว ป๋ายซีต่างก็รู้สึกว่าต้องมองเจียงเกาไถผู้นี้เสียใหม่
ไม่อืดอาดชักช้าแม้แต่น้อย
ยอดเยี่ยม
เรื่องเดียวที่อู๋ฉิวเป็นกังวลกลับไม่ใช่อิ่นกวานหนุ่มที่มีรอยยิ้มซ่อนมีด แต่เป็นการทะเลาะกันในโปงผ้าห่มของ ‘คนบ้านเดียวกัน’ ยกตัวอย่างเช่นอุตรกุรุทวีปกับธวัลทวีปที่ผูกปมแค้นกันมาเนิ่นนานแล้ว
ก่อนหน้านี้เส้าอวิ๋นเหยียนแห่งเรือนชุนฟานจัดการให้พวกผู้ดูแลเรือข้ามฟากของทวีปเดียวกันไปรวมตัวอยู่ในเรือนเดียวกัน แล้วให้เซียนกระบี่ของทวีปนั้นๆ เป็นผู้รับรองแขก นี่ช่างเป็นแผนการที่ชั่วร้ายจริงๆ
อุตรกุรุทวีปกับธวัลทวีปไม่ถูกกัน เป็นเรื่องที่ผู้คนรู้กันทั่วโลก
ดังนั้นผู้ดูแลที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดของเรือข้ามทวีปลำหนึ่งจากอุตรกุรุทวีปจึงอยากจะรื้อ ‘แท่นสูง’ (คือคำว่าเกาไถ เป็นคำเดียวกับชื่อของเจียงเกาไถ อีกความหมายหนึ่งก็คือการเลื่อยขาเก้าอี้ การปัดแข้งปัดขา) ในทันที ต่อให้จะไม่ได้ดื่มเหล้ากับลี่ไฉ่เจ้าสำนักทะเลสาบกระบี่ฝูผิง แต่ขอแค่เจ้าลูกกระต่ายของธวัลทวีปกล้าโอ้อวดบารมี อุตรกุรุทวีปก็เต็มใจยิ่งที่จะขัดคอ ผู้ดูแลเรือข้ามทวีปสองลำของธวัลทวีปทยอยกันเปิดปากพูด คิดว่าคนของอุตรกุรุทวีปตายกันไปหมดแล้วหรือไร?!
เดิมทีในใต้หล้าไพศาลนี้ก็มีเพียงเรือข้ามทวีปของอุตรกุรุทวีปที่มาเยือนภูเขาห้อยหัวเท่านั้นที่ทำกำไรได้น้อยที่สุด!
เพียงแต่ว่าผู้ดูแลเรือข้ามฟากทุกคนรวมถึงผู้ฝึกกระบี่เฒ่าเป็นหนึ่งในนั้นกลับได้รับเสียงในใจเตือนมาจากลี่ไฉ่ “ไม่ต้องสนใจคนพวกนี้ การคุยธุระในคืนนี้ พวกเจ้าแค่ดูเรื่องสนุกอย่างเดียวก็พอ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลุกขึ้นพูด คือมารยาทที่สำคัญที่สุดของใต้หล้าไพศาล”
อิ่นกวานหนุ่มเอ่ยเช่นนี้ ผู้ดูแลเรือข้ามทวีปส่วนใหญ่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเซียนกระบี่ต่างก็หน้าเปลี่ยนสีไปตามๆ กัน
บอกให้ไต้เฮานั่งลง แล้วยังบอกให้เจียงเกาไถลุกขึ้นยืน?
มารดามันเถอะ หลักการเหตุผลล้วนเป็นเจ้าเฉินผิงอันพูดได้คนเดียวอย่างนั้นรึ?
เจียงเกาไถสีหน้ามืดทะมึน ชีวิตที่ผ่านมาของเขาส่วนใหญ่ล้วนราบรื่นสมใจปรารถนา มีโชควาสนาเกิดขึ้นไม่หยุด ต่อให้จะทำการค้ากับพวกคนใหญ่คนโตของสกุลหลิวธวัลทวีปก็ยังไม่เคยถูกหมิ่นเกียรติเช่นนี้ มีแต่จะได้รับการปฏิบัติอย่างมีมารยาทนอบน้อม
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มมองเจียงเกาไถอยู่อย่างนั้น
ไต้เฮาพูดกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ว่าอย่าได้ถ่วงรั้งเวลาการฆ่าปีศาจของเซียนกระบี่ อิ่นกวานหนุ่มก็พล่ามเรื่องที่ไม่ได้สลักสำคัญชุดใหญ่ คำพูดที่มีน้ำหนักอย่างแท้จริงก็คือเซียนกระบี่เซี่ยทำลายก่อกำเนิดโอสถทองของปีศาจใหญ่ขอบเขตหยกดิบตนหนึ่ง จงใจเอาโอสถทองไว้ข้างหลังก็คือจะพูดกระทบโอสถทองเฒ่าอย่างไต้เฮาหรือ?
เจียงเกาไถคิดจะถอยเพื่อรุก วางท่าชัดเจนว่าทั้งไม่ให้โอกาสเซียนกระบี่ได้ออกกระบี่ ทั้งยังสามารถหยั่งเชิงเส้นขีดจำกัดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อีกด้วย ผลกลับกลายเป็นว่าใต้เท้าอิ่นกวานหนุ่มดันพูดเรื่องมารยาทของใต้หล้าไพศาล?
ในใจผู้ดูแลเฒ่าหลายคนอึดอัดเป็นกำลัง เรื่องพวกนี้ไม่ใช่วิธีการใช้เหตุผลที่ใต้หล้าไพศาลของพวกเขาเชี่ยวชาญที่สุดหรอกหรือ?
เจียงเกาไถคลี่ยิ้ม ลุกขึ้นกุมหมัดกล่าว “เป็นข้าที่เสียมารยาทไป ต้องขออภัยใต้เท้าอิ่นกวานแล้ว”
พวกอู๋ฉิว ถังเฟยเฉียน ป๋ายซีต่างก็แอบผ่อนลมหายใจโล่งอก
คิดไม่ถึงว่าคนหนุ่มผู้นั้นจะยิ้มกล่าวอีกว่า “รับคำขอโทษ สามารถนั่งลงพูดคุยกันได้แล้ว”
เจียงเกาไถผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ ห้าขอบเขตบนผู้ยิ่งใหญ่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สีหน้าเขียวคล้ำ
หากจับคู่เข่นฆ่าบนสนามรบของการทำการค้ากับอิ่นกวานหนุ่ม ไม่ว่าในทางส่วนตัวจะเหนื่อยยากทรมานแค่ไหน เจียงเกาไถคือคนทำการค้า คงไม่ตกอยู่ในสภาพชวนให้อึดอัดใจเช่นนี้ แต่สิ่งที่ทำให้เจียงเกาไถเป็นกังวลอย่างแท้จริงก็คือ คืนนี้หน้าของตนถูกคนถลกหนังโยนทิ้งไว้บนพื้นเรือนชุนฟาน กระทืบไปหนึ่งครั้งแล้วยังกระทืบซ้ำอีก นี่จะต้องส่งผลต่อการค้าขายในทางส่วนตัวกับสกุลหลิวธวัลทวีปต่อจากนี้อีกมาก