กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 636.2 ทุกวันประสบความสำเร็จ ทุกเดือนพัฒนาก้าวหน้า
เฉินผิงอันนำพาเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะท่านนี้ไปส่งถึงหน้าประตูใหญ่ของเรือนชุนฟาน
เว่ยจิ้นเอ่ย “ข้าไม่ค่อยชอบยุ่งเรื่องคนอื่นสักเท่าไร เพียงแต่ว่ามีคำถามบางอย่าง จะถามได้ไหม?”
“ไม่มีอะไรที่ท่านถามไม่ได้หรือข้าพูดไม่ได้หรอก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ดีใจมากที่ได้พบเจอเซียนกระบี่จากแจกันสมบัติทวีปบ้านเกิดของตัวเองที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อีกทั้งยังไม่แพ้ให้กับเซียนกระบี่ผู้อาวุโสคนอื่นเลย”
เฉินผิงอันเอ่ย “นี่เป็นความจริง หากโกหกก็ยอมให้ด่าเลย จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ท่าน”
เว่ยจิ้นคลี่ยิ้ม “หากเจ้าไม่พูดประโยคที่เกินความจำเป็นนี้ ข้าก็คงเชื่อเจ้าจริงๆ แล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “เชิญถามได้เลย”
เว่ยจิ้นจึงถามว่า “เซียนกระบี่ต่างถิ่นทุกคนซึ่งรวมเซี่ยจื้อเป็นหนึ่งในนั้น ต่างก็ไม่ได้หวังว่าจะได้อะไรเพิ่มเติมเพราะเหตุการณ์ในคืนนี้ เหตุใดก่อนที่จะมาเยือนเรือนชุนฟาน เจ้าถึงยืนกรานจะทำการค้าครั้งหนึ่งกับพวกเขาก่อน นี่จะเป็นการ…วาดงูเติมขาหรือไม่? ช่างเถิด คงจะไม่ได้เป็นเช่นนี้ การคิดคำนวณบัญชีเป็นเรื่องที่เจ้าถนัด ถ้าอย่างนั้นข้าจะเปลี่ยนคำถามใหม่ ตอนนั้นเจ้าพูดแค่ว่าจะไม่ทำให้เซียนกระบี่ที่มาเยือนภูเขาห้อยหัวแล้วทำตัวเป็นคนเลวในเรือนชุนฟานต้องมาเสียเที่ยว แต่เหตุใดเจ้าถึงไม่บอกรายละเอียดอย่างชัดเจนว่าจะตอบแทนด้วยอะไร กลับยังกล้าพูดว่าจะไม่ทำให้เซียนกระบี่ทุกท่านต้องผิดหวัง คำว่าตอบแทนของเจ้าคืออะไรกันแน่?”
เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนเอ่ยเนิบช้าว่า “หากพูดถึงด้านจิตใจ ข้าพยายามที่จะให้คนทำดีได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทนให้ได้มากที่สุด แต่หากพูดกันถึงสถานการณ์ ก็ไม่อยากให้กำแพงเมืองปราณกระบี่ต้องติดค้างน้ำใจใครอีก ให้ทุกอย่างชัดเจนเปิดเผย มีเรื่องอะไรก็ว่ากันไปตามเนื้อผ้า ทำการค้าที่ถามใจตัวเองแล้วไม่ละอายกับพวกเซียนกระบี่ต่างถิ่นเหล่านั้น ส่วนค่าตอบแทนที่ท่านถามถึง ย่อมต้องแตกต่างกันไปตามบุคคล รายละเอียดคงไม่บอกกับท่านแล้ว เพราะนี่เกี่ยวพันกับเรื่องส่วนตัวของเซียนกระบี่ทั้งหลาย”
นอกจากนี้เฉินผิงอันก็ไม่ได้ปิดบัง “แต่มีเส้นบรรทัดฐานอยู่เส้นหนึ่งที่สามารถพูดได้ตามตรง นั่นก็คือในอนาคต เซียนกระบี่ต่างถิ่นทุกท่านที่ยังมีโอกาสได้กลับคืนสู่บ้านเกิด จะสามารถนำตัวอ่อนเซียนกระบี่ห้าขอบเขตล่างอย่างน้อยคนหนึ่งไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ หากไม่ยินดีจะพาใครไป ถึงเวลานั้นก็จะมีการตอบแทนอย่างอื่น ยินดีพาไปด้วยคนสองคน ขอแค่กำแพงเมืองปราณกระบี่มีต้นอ่อนห้าขอบเขตล่างที่ดีเช่นนี้อยู่ ก็สามารถพาไปได้ตามสบายเลย”
เว่ยจิ้นส่ายหน้ายิ้มเฝื่อน
นี่หัวสมองของเขาต้องเป็นแบบใดกัน
เซียนกระบี่ต่างถิ่น เรือข้ามทวีป ตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่ยังไม่เติบโตของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เมื่อก่อน ตอนนี้ อนาคต สรุปก็คือล้วนถูกเขาคิดคำนวณเข้าไปด้วยกันหมดแล้ว
อีกทั้งหากมีโอกาสเช่นนั้นจริง ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดอายุน้อยที่เป็นดั่ง ‘บุปผาบานในกำแพงแต่ส่งกลิ่นหอมไปถึงนอกกำแพง’ ได้ไปแตกกิ่งก้านสาขาอยู่ในทวีปใหญ่แห่งต่างๆ ของใต้หล้าไพศาลจริง นั่นจะกลายเป็นทัศนียภาพแบบใด?
ส่วนพวกเซียนกระบี่ต่างถิ่นที่ทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคากลุ่มนั้น ไม่ว่าแต่ละคนจะมีนิสัยเช่นไร ทว่าการที่พวกเขากล้ามาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ กล้ามาตายอยู่บนหัวกำแพงเมือง จะไม่ทุ่มเทความคิดจิตใจถ่ายทอดความรู้ให้กับลูกศิษย์ผู้สืบทอดเหล่านี้ ไม่โปรดปรานพวกเขาเป็นพิเศษได้อย่างไร?
หากเด็กกลุ่มนี้ได้เติบขึ้นมาจริงๆ สุดท้ายลุกผงาดขึ้นในอาณาเขตของแต่ละทวีป แต่ละคนจะไม่สมัครสมานสามัคคีกันได้หรือ? พวกเขาสามัคคีกัน พวกเซียนกระบี่ที่ออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ย้อนกลับไปยังบ้านเกิดจะไม่สามัคคีกันตามไปด้วยได้อย่างไร?
ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้ในอนาคตกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่อยู่แล้ว แต่ยามที่เซียนกระบี่เหล่านี้ไปพบเจอกันตามสถานที่ต่างๆ ในอนาคต นั่นก็จะไม่ถือว่าเป็นกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกแห่งที่แตกต่างออกไปหรอกหรือ?
เว่ยจิ้นหัวเราะ
เขารอคอยที่จะได้เห็นภาพเหตุการณ์นั้นอย่างยิ่ง
นี่คือการมองไปเบื้องหน้าของเว่ยจิ้น แต่หากมองย้อนกลับไป
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ครั้งแรกที่ทั้งสองได้พบเจอกัน ในความทรงจำของเว่ยจิ้น คนหนุ่มข้างกายผู้นี้ ตอนนั้นยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มบ้านนอกขาเปื้อนโคลนที่ทึ่มทื่อ ขลาดเขลาอยู่เลย
อีกทั้งเด็กหนุ่มในปีนั้นยังมีสายตาที่ใสกระจ่างอย่างยิ่ง
เว่ยจิ้นหยุดเดิน ถอนหายใจ หันหน้ามามองเฉินผิงอันที่ถูมือหาความอบอุ่นอย่างเคยชิน “เจ้าเป็นคนต่างถิ่นคนหนึ่ง จำเป็นต้องคิดเพื่อกำแพงเมืองปราณกระบี่มากขนาดนี้และยาวไกลขนาดนี้ด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้ามีภรรยาอยู่ที่นี่ ท่านไม่มี จะมาเทียบกับข้าได้อย่างไร?”
เว่ยจิ้นส่ายหน้า อยู่ดีๆ ก็นึกอยากดื่มเหล้าขึ้นมาอีก ไม่อยากคุยเรื่องนี้แล้ว
เกี่ยวกับทิศทางการดำเนินไปของเขาต่อจากนี้ เฉินผิงอันเคยพูดคุยกับเขาอย่างตรงไปตรงมา ตอนนั้นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็อยู่ด้วย
เว่ยจิ้นไม่คิดจะปฏิเสธ
หวังเพียงว่าตนจะไม่เป็นรองเซี่ยซงฮวาแห่งธวัลทวีป สร้างคุณความชอบทางการสู้รบที่ไม่ผิดต่อ ‘หอเทพเซียน’ ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เสียก่อน แล้วค่อยไปทำเรื่องนั้นที่ฝูเหยาทวีป
เกี่ยวกับศาลลมหิมะ เว่ยจิ้นไม่ได้มีความคิดอะไรมากนัก เมื่ออาจารย์จากไป เขาก็ปล่อยวางได้นานแล้ว แต่ในเมื่ออาจารย์ส่งมอบ ‘หอเทพเซียน’ มาไว้ในมือตน เขาก็ควรจะทำอะไรบ้าง
พวกผู้ฝึกตนอายุมากอย่างอาจารย์ คนเฒ่าคนแก่มักจะรักศักดิ์ศรีหน้าตาเป็นที่สุด เว่ยจิ้นที่เป็นลูกศิษย์จึงต้องช่วยช่วงชิงหน้าตามาให้อาจารย์ วันหน้ายามที่ไปดื่มสุราคารวะหน้าหลุมศพก็จะได้มีกับแกล้ม ไม่ต้องทำเพียงแค่ดื่มเหล้าเงียบๆ
เฉินผิงอันเอ่ย “จะเล่าเรื่องหนึ่งที่ไม่เคยเล่าให้คนอื่นฟังแก่ท่านดีไหม?”
เว่ยจิ้นตอบ “หากไม่มีแผนการอะไรล่ะก็ ข้าจะลองฟังดู”
เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะใช้กระบี่แหวกม่านราตรี คนยังไม่ทันมาถึง กระบี่กลับพุ่งมาก่อนแล้ว
ความองอาจของเซียนกระบี่เช่นนั้น
ซ่งอวี่เซาแห่งแคว้นซูสุ่ย หนึ่งคนหนึ่งม้าเผชิญหน้ากับกองทัพใหญ่ ต่อกรกับหนึ่งแคว้นด้วยกำลังของตัวเองคนเดียว
ความกล้าหาญของผู้ฝึกยุทธเช่นนั้น
ติงอิงมารร้ายแห่งพื้นที่มงคลดอกบัว เป้าหมายแท้จริงที่เขาจะถามหมัด อันที่จริงคือมหามรรคา
นิสัยทะเยอทะยานที่คิดจะช่วงชิงชัยชนะกับสวรรค์เช่นนั้น
นี่คือสงครามไม่กี่ครั้งที่เฉินผิงอันสามารถย้อนขบคิดแล้วได้ประสบการณ์ความรู้มากที่สุด
เว่ยจิ้นฟังคำบอกเล่าของเฉินผิงอันออกคร่าวๆ แล้ว เขายิ้มกล่าว “ฟังดูแล้วเหมือนว่าจะไม่เกี่ยวกับขอบเขตสูงต่ำสักเท่าไร”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ไม่ค่อยเกี่ยวกัน”
เว่ยจิ้นออกไปจากเรือนชุนฟาน
เฉินผิงอันเดินย้อนกลับไปทางเดิมเพียงลำพัง
เดินไปได้ครึ่งทางก็นั่งยองบนพื้นส่วนริมขอบของเพดานเปิดกว้าง กอบหิมะขึ้นมาแล้วเช็ดไปบนใบหน้าลวกๆ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก่อนจะปั้นลูกหิมะแข็งๆ แน่นๆ ขึ้นมาลูกหนึ่ง
เส้าอวิ๋นเหยียนมายืนอยู่ด้านหลังอิ่นกวานหนุ่ม พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “เซียนกระบี่ฆ่าคนไม่เห็นเลือด การกระทำของใต้เท้าอิ่นกวานในคืนนี้ก็คล้ายคลึงกับคำเอ่ยนี้อยู่ไม่น้อย”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ไม่ได้ดีอะไรเท่าไรหรอก ก็เหมือนคนตระกูลหนึ่งที่ครอบครัวมีรากฐาน ผู้น้อยในตระกูลจึงอาศัยอำนาจนี้ลงมือ ทำสำเร็จ แน่นอนว่าต้องมีส่วนที่เป็นความสามารถของตระกูลอยู่ด้วย แต่กลับไม่ได้มากอย่างที่คิด”
เขาขว้างลูกหิมะไปบนหลังคา ดึงเชือกสีทองที่ห้อยแผ่นหยกนั้นขึ้นมา “หากเปลี่ยนเป็นเยี่ยนหมิงหรือน่าหลันไฉ่ฮ่วนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งของข้า ก็สามารถทำเรื่องนี้ได้สำเร็จเหมือนกัน สิ่งที่พวกเขามีน้อยกว่าข้า ไม่ใช่จิตใจและกลอุบาย แต่แท้จริงแล้วมีเพียงแค่แผ่นหยกนี้เท่านั้น”
เส้าอวิ๋นเหยียนส่ายหน้า “ข้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากทุกคนเป็นเหมือนอาจารย์เส้าที่แยกแยะคำพูดจริงใจกับคำพูดตามมารยาท ฟังความนัยนอกเหนือจากคำพูดออก ก็คงประหยัดแรงกายแรงใจได้มาก”
เส้าอวิ๋นเหยียนกล่าว “หากจะต้องได้ขอขมากันจริงๆ มีซุนจวี้เฉวียนกับหมี่อวี้แล้ว ส่วนเรื่องชดใช้เงิน ก็เป็นเยี่ยนหมิงก่อนแล้วค่อยเป็นน่าหลันไฉ่ฮ่วน จากนั้นจึงเป็นข้า หรือว่าจะเป็นลำดับขั้นตอนแบบอื่น อันที่จริงความต่างก็ไม่มาก เรื่องเดียวที่ใต้เท้าอิ่นกวานจำเป็นต้องระวัง ก็หนีไม่พ้นเรื่องที่ว่าจะต้องสำรองเงินไว้มากถึงขั้นไหน จะชดใช้ให้หมดเนื้อหมดตัว จะได้จบๆ เรื่องกันไป หรือจะให้ทั้งสามฝ่ายควักออกมากันคนละครึ่งก่อน”
เฉินผิงอันเอ่ย “สำรองกันไปคนละครึ่งก่อนเถอะ หากถึงเวลานั้นการหมุนเวียนการเงินยังไม่ดีขึ้น หรือเกิดเรื่องไม่คาดฝัน ตระกูลเยี่ยนกับตระกูลน่าหลันก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องขาดทุน และทำได้เพียงให้เซียนกระบี่เส้าขายเรือนชุนฟานเปลี่ยนมือให้คนอื่นในราคาถูกกว่าเกณฑ์เท่านั้น”
เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มเอ่ย “ได้สิ อันที่จริงข้าไม่กลัวเรื่องไม่คาดฝัน กลัวก็แต่เหตุการณ์จะไม่ไปถึงขั้นนั้น”
เฉินผิงอันเอ่ย “คิดจะให้เจ้าของเรือพวกนั้นออกจากเรือนชุนฟานไปแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจกอดกันเพื่อหาความอบอุ่น ไม่อาจทำเหมือนปีนั้นที่จู่ๆ ก็มีคนหนุ่มที่เป็นบรรพบุรุษของถ้ำซานสุ่ยกระโดดออกมาทำลายสถานการณ์ ช่วยดึงใจคนให้มาขมวดรวมเป็นเชือกเส้นเดียวกัน หากคิดจะทำข้อนี้ให้สำเร็จก็ต้องให้พวกเขารู้สึกเสียขวัญกำลังใจกันเองก่อน ไม่มีความเชื่อใจใดๆ ต่อพันธมิตรเก่าอย่างสิ้นเชิง แม้ภายนอกจะกลมเกลียวแต่กลับเอาใจออกห่าง ก่อนหน้านี้คำพูดที่มีเมฆหมอกบดบังกึ่งจริงกึ่งเท็จของข้า ถึงอย่างไรก็ยังไม่ใช่เรื่องจริงแท้แน่นอน พวกจิ้งจอกเฒ่าที่อยู่ข้างใน มีหลายคนที่ยังเป็นพวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา หากไม่เคยกินรสขมของท่อนไม้ ก็ไม่รู้รสหวานของพุทรา ดังนั้นต่อจากนี้ข้าจะทำเรื่องสกปรกบางอย่าง แล้วก็อาจมีหลายเรื่องที่ต้องให้เซียนกระบี่เส้าช่วยลงมือแทน ระหว่างนี้ต้องการให้ข้าเรียกใช้เซียนกระบี่คนใดก็บอกมาได้เลย”
เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มกล่าว “ใต้เท้าอิ่นกวาน ไม่พูดถึงจิตใจคน พูดถึงแค่นิสัยการทำเรื่องต่างๆ ของเจ้านี้ นี่ก็คู่ควรให้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสโปรดปราน ฝากความหวังไว้มากด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด เงยหน้าถาม “เซียนกระบี่เส้า ไม่ต้องพูดเหมือนขวานผ่าซากแบบนี้ก็ได้กระมัง?”
เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มกล่าว “ระหว่างสหายไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้”
เฉินผิงอันกอบหิมะเหมือนวักน้ำขึ้นมาอีกกำมือหนึ่ง มือทั้งสองตบเบาๆ ทันใดนั้นหิมะก็แตกกระจายปลิวปราย เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “คิดจะทำเรื่องบางอย่าง อีกทั้งยังอยากจะทำให้ได้ดี ก็มักจะยากกว่าการใช้เหตุผล ยากกว่าการเป็นคนดีเสมอ”
ในสายตาของคนนอก คนคนหนึ่งที่ไม่ค่อยมีเหตุผล อันที่จริงเขากลับจะมีเหตุผลมากมายมาประคับประคองความ ‘ไร้เหตุผล’ นี้ คนคนหนึ่งชอบหาเงินแล้วยังหาเงินได้เก่ง อันที่จริงสิ่งที่เขาต้องจ่ายไป ส่วนใหญ่คือค่าตอบแทนที่ตัวเองไม่คิดว่าเป็นข้าตอบแทน
หา? มีคนแบบนี้อยู่ด้วยหรือ?
อ้อ ที่แท้ก็มีคนแบบนี้อยู่ด้วย
สายตามองไป เห็นเพียงฟ้าดินมืดสลัว สี่ด้านชนกำแพง ก็หนีไม่พ้นต้องปล่อยให้เป็นไปตามชะตาฟ้าลิขิต
สายตามองเห็นอย่างชัดเจน ฟ้าดินสว่างไสว กลับกลายเป็นว่าจะมองเห็นเรื่องที่ไม่งดงามมากมาย
หนึ่งต้องเจอกับความลำบากกาย
หนึ่งต้องวุ่นวายใจ
เส้าอวิ๋นเหยียนเอ่ย “ใช้ความทุกข์ยากที่ตัวเองต้องเผชิญมาปฏิเสธความหวังดีทั้งหมดของวิถีทางโลก ใช้ความปรารถนายิ่งใหญ่มาปฏิเสธสุขทุกข์พบพรากของคนอื่นทุกคน อันที่จริงล้วนไม่ค่อยดีเท่าไร”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนพลางยิ้มเอ่ย “มองจิตใจคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เห็นความจริงอย่างชัดเจน เซียนกระบี่เส้าช่างสมกับเป็นยอดฝีมือจริงๆ”
เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้ม “สู้อิ่นกวานไม่ได้หรอก”
“ที่ไหนกันๆ”
“เกรงใจแล้วๆ”
เพิ่งพบเจอกันก็เหมือนคนที่รู้จักกันมานาน กอดคอพูดคุยถูกคอ
“พี่เส้า เถาน้ำเต้าเส้นนั้นไม่เหลือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สักลูกทิ้งไว้ที่เรือนชุนฟานจริงๆ หรือ? ขอข้าดูสักหน่อยสิ แค่ดูให้เป็นบุญตา พี่เส้าอย่าได้ป้องกันข้าราวกับโจรขโมยเลย”
“ไม่มีเก็บไว้จริงๆ ให้แม่หนูหลูสุ้ยเอากลับไปที่อุตรกุรุทวีปหมดแล้ว หากใต้เท้าอิ่นกวานไม่เชื่อก็เชิญค้นได้ตามสบาย หากหาเจอสักลูก ข้าจะแถมเพิ่มให้อีกลูกเลยด้วย”
“ได้สิ รบกวนพี่เส้าช่วยมอบแผนที่เรือนชุนฟานให้ข้าสักแผ่น วันหน้าไม่แน่ว่าข้าจะมาเป็นแขกที่นี่บ่อยๆ เรือนหลังนี้ใหญ่เกินไป อาจหลงทางเอาได้”
“ข้าว่าไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นกระมัง”
“หากพี่เส้ายังทำอะไรไม่ว่องไวคล่องแคล่วเช่นนี้ พวกเราก็คงเป็นพี่น้องแต่ปากที่ทำให้คนอื่นขบขันแล้วนะ”
“ที่ไหนกันๆ”
……
ผู้ดูแลเรือข้ามฟากของอุตรกุรุทวีปต่างก็ไม่มีความเห็นต่างสำหรับทรัพยากรทั้งหมดในสมุดและการตั้งราคาที่แทบจะใกล้เคียงกับคำว่ายิบย่อยนั้น
ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาไม่เหมือนกับพวกผู้ดูแลเรือข้ามฟากคนอื่นๆ ที่จะต้องไล่อ่านไปทีละคำทีละประโยค ผู้ฝึกตนเฒ่าของอุตรกุรุทวีปล้วนเปิดสมุดแบบผ่านๆ หากไม่ดื่มเหล้าก็ดื่มชา แต่ละคนเกียจคร้านและผ่อนคลายยิ่ง
เดิมทีก็ไม่ค่อยได้กำไรอยู่แล้ว ตอนนี้โอกาสที่จะได้กำไรมีมากขึ้นแล้ว แล้วยังจะต้องคาดหวังอะไรให้มากมายอีก?
ทางฝั่งของเรือข้ามทวีปจากทักษินาตยทวีปมีความเห็นต่างบ้างเล็กน้อย
เจ้าของเรือสองลำอย่างตระกูลฝูและตระกูลติงจากนครมังกรเฒ่าแจกันสมบัติทวีปก็มีความเห็นต่างเล็กๆ ตามไปด้วย
เจ้าของเรือสามทวีปอย่างทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ธวัลทวีปและฝูเหยาทวีป ยังไม่มีใครเปิดปากพูดอะไร
หลิวเสียทวีปกับทวีปเกราะทองคือทวีปใหญ่ที่เป็นเพื่อนบ้านกัน โดยภาพรวมแล้วความสัมพันธ์ไม่เลว ทรัพยากรแร่ธาตุจำนวนมากที่ขนส่งมายังภูเขาห้อยหัวล้วนเป็นสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างไม่มี ดังนั้นพวกเขาจึงสื่อสารกันด้วยเสียงในใจอยู่นานแล้ว
คิดว่ารอให้พวกสี่คนอย่างอู๋ฉิว ถังเฟยเฉียน เจียงเกาไถ ป๋ายซีเปิดปากเสียก่อน พวกเขาจะดูสถานการณ์ต่ออีกหน่อยแล้วค่อยพูด
สมุดหนาเล่มนั้น เฉินผิงอันเป็นคนรับผิดชอบทิศทางคร่าวๆ ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนส่ายอิ่นกวานสลับกันอ่านเอกสาร แล้วจึงช่วยกันเรียบเรียงขึ้นมา แน่นอนว่าผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นอย่างพวกหลินจวินปี้มีคุณความชอบใหญ่ที่สุด บันทึกเอกสารเก่าที่มีอยู่แต่เดิมของสายอิ่นกวาน อันที่จริงจะตามการเปลี่ยนแปลงของใต้หล้าไพศาลในปัจจุบันไม่ทัน หมี่อวี้เป็นคนคัดลอกบทสรุป เขาไม่กล้าพูดว่าท่องจำได้ขึ้นใจ แต่อยู่ในห้องโถงใหญ่ การที่ให้หมี่อวี้เป็นผู้ปรึกษาพูดคุยกับพวกเจ้าของเรือที่ใคร่ครวญถ้อยคำให้เหมาะสมก่อนพูด ก็ถือว่าเพียงพอมากแล้ว
หลิวอวี่กับหลิ่วเซินได้รับมอบหมายหน้าที่เล็กๆ เพิ่มเติม คอยช่วยจดบันทึกเนื้อหาที่ทั้งสองฝ่ายปรึกษากัน ก่อนที่เสาอวิ๋นเหยียนจะออกจากห้องโถงใหญ่ไปหาเฉินผิงอัน เขาก็ได้เตรียมโต๊ะ พู่กันและหมึกมาให้เจ้าของเรือทั้งสองคนนี้ก่อนแล้ว
ใต้หล้านี้จะหาเงินอย่างไร ก็หนีไม่พ้นสี่คำว่าเพิ่มรายได้ตัดรายจ่าย
คนหนุ่มบอกว่าผลผลิตของแปดทวีปต่างมีความพิเศษเฉพาะตน ดังนั้นควรจะขยับขยายเส้นทางการเงินอย่างไร จะลดค่าใช้จ่ายของเรือข้ามทวีปอย่างไร จึงถือเป็นความรู้ที่ใหญ่มากข้อหนึ่ง
ในนั้นมีบททัศนียภาพและบทเรือข้ามฟาก บนสมุดจะเขียนคำบรรยายเล็กๆ เอาไว้ ล้วนเป็นวัตถุประสงค์หลัก หวังว่าเรือข้ามทวีปและสำนัก ภูเขาเบื้องหลังของพวกเขาทั้งแปดทวีปจะเขียนคำแนะนำของตัวเองกันลงไป
ดังนั้นการคุยธุระในคืนนี้จึงไม่ได้ง่ายดายเพียงแค่หั่นราคากันไปมาระหว่างเรือข้ามทวีปและกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น
มันซับซ้อนกว่าและลึกล้ำยาวไกลยิ่งกว่า เกี่ยวพันกับเรือข้ามทวีปทุกลำและช่องทางการค้าเก่าแต่ละเส้น ซึ่งต่างก็จำเป็นต้องมาพูดคุยเรื่องสิ่งของ ราคาและค่าตอบแทนกันใหม่อีกครั้ง
หากเอ่ยตามคำของคนหนุ่มผู้นั้นก็คือ ถึงอย่างไรก็สามารถพูดคุยกันดีๆ ได้ คุยกันอย่างเปิดเผย คุยกันเป็นการส่วนตัว ล้วนคุยกันได้ทั้งนั้น