กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 636.3 ทุกวันประสบความสำเร็จ ทุกเดือนพัฒนาก้าวหน้า
น่าหลันไฉ่ฮ่วนที่อยู่ข้างๆ มองดูด้วยสายตาเย็นชามาโดยตลอด เพียงแต่ว่ายิ่งใคร่ครวญก็ยิ่งรู้สึกว่ามีช่องทางและวิธีการละเอียดยิบย่อยมากมายอยู่ในเรื่องครั้งนี้ ขอแค่สามารถนำมาร้อยเรียงต่อกันได้ก็จะค้นพบว่าทุกอย่างล้วนเป็นแผนการที่เปิดเผยตรงไปตรงมา
หากจะมองว่าใช้ผลประโยชน์ส่วนตนของพวกเจ้าของเรือเป็นคำข่มขู่ การออกกระบี่อย่างป่าเถื่อนบนสนามรบการค้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ คือการปล่อยออกไป
ถ้าอย่างนั้นการบอกเป็นนัยมากมายจากอิ่นกวานหนุ่ม การที่เตือนให้พ่อค้าทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ลองพิจารณาถึงการฝึกตนบนมหามรรคาของตัวเองดู ไม่สู้ลองคิดคำนวณผลได้ผลเสียส่วนตนให้มากหน่อย และกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็จะไม่เพียงแต่ไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ กลับกันยังยินดีที่จะได้เห็น ถึงขั้นเต็มใจช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ นี่ก็คือการที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ออกกระบี่ไปแล้วแต่กลับเอากระบี่สอดคืนเข้าฝัก ถือเป็นการเก็บอย่างหนึ่ง
รับประกันว่าวันหน้าการค้าขายของเรือข้ามฟากทุกลำจะไม่มีทางได้เงินน้อย อย่างมากสุดก็คือการปักบุปผาลงบนผ้าแพร
แต่หากสามารถทำให้เจ้าของเรือทุกท่านเก็บเงินเข้ากระเป๋าตัวเองได้ เปลี่ยนจากกิจการภาพรวมของภูเขา ‘บ้านตัวเอง’ มาเป็นกิจการ ‘ของตัวเอง’ อย่างแท้จริง ถ้าอย่างนั้นก็คือการส่งถ่านให้ท่ามกลางหิมะ
ระหว่างการปล่อยและการเก็บนี้ จิตใจคนก็ไม่ใช่จิตใจดั้งเดิมอีกแล้ว
เพียงแต่ว่าแผนการทั้งหมดนี้จะมีผลลัพธ์อย่างไร ยังต้องดูที่ว่ามันทนรับการเคาะตีจากเรื่องราวทางโลกได้หรือไม่ แบกรับความขัดแย้งที่พุ่งมาชนของมรสุมมากมายที่คาดไม่ถึงในวันหน้าได้หรือไม่
เดินมาใกล้ถึงห้องโถงกลางของเรือนชุนฟาน เฉินผิงอันก็พลันถามว่า “มีคนที่มีพรสวรรค์ด้านการคิดบัญชีโดดเด่นบ้างหรือไม่?”
เส้าอวิ๋นเหยียนกล่าวอย่างเสียดาย “เมื่อก่อนข้ามีลูกศิษย์ผู้สืบทอดอยู่คนหนึ่งที่เป็นยอดฝีมือในด้านนี้ การค้าขายของเรือนชุนฟานล้วนเป็นเขาที่คอยดูแล ไม่เคยมีความผิดพลาดแม้แต่น้อย มีความสามารถที่ ‘เกิดจากไม่มี’ อยู่จริงๆ”
เฉินผิงอันถาม “มีโอกาสจะเรียกกลับมาทำงานที่เรือนชุนฟานหรือไม่?”
เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มถาม “เชื่อสายตาการมองคนของข้าหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าว “จิตใจคนยากจะคาดเดา ที่ว่ายากนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่าเมื่อก่อนและตอนนี้เป็นอย่างไร แต่อยู่ที่ว่าหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร ดังนั้นจึงไม่กล้าเชื่อทั้งหมด ยังดีที่ข้าเชื่อในความสามารถด้านการแก้ไขความผิดพลาดของกำแพงเมืองปราณกระบี่”
เส้าอวิ๋นเหยียนพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะลองดูว่าจะรียกคนผู้นี้กลับมาได้หรือไม่ ในเรื่องศาสตร์ของการคำนวณ เขามีพรสวรรค์ดีเยี่ยม เกิดมาก็มีพรสวรรค์ที่แม่นยำเกี่ยวกับตัวเลขยิบย่อยชวนให้ปวดหัว อีกทั้งยังมีความสุขกับการได้ทำเรื่องพวกนี้ เดิมทีข้าส่งจดหมายลับไปให้เขาฉบับหนึ่ง บอกให้เขาไปเข้าร่วมกับสำนักการค้าที่กิจการค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่งในธวัลทวีป หากสามารถฝึกประสบการณ์จากที่เรือนชุนฟานไปก่อนได้ คาดว่าคงไม่ต้องใช้จดหมายลับฉบับนั้นของข้าเป็นใบเบิกทางแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ย “ต่อให้ต้องจับมัดก็ต้องมัดตัวเขากลับมาที่ภูเขาห้อยหัวให้จงได้”
เข้ามาในห้องโถงใหญ่ก็เริ่มการต่อรองราคาที่ยาวนานกันอีกครั้ง
และน่าหลันไฉ่ฮ่วนก็ต้องประหลาดใจอีกหน
เพราะดูเหมือนอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นจงใจจะให้ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาศึกษารายละเอียดต่างๆ และเรื่องราคา ไม่ถือสาว่าจะต้องเรียบเรียงตำราขึ้นมาใหม่อีกเล่มแม้แต่น้อย
เพราะแม้แต่ผู้ดูแลเรือข้ามฟากของอุตรกุรุทวีปที่ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เอ่ยอะไรก็ยังถูกเฉินผิงอันที่คลี่ยิ้มลากให้ขึ้นมาอยู่บนโต๊ะของการทำการค้า ซักถามอย่างละเอียดว่าอุตรกุรุทวีปมีสินค้าที่ใกล้เคียงหรือสามารถทดแทนกันได้กับทรัพยากรในสมุดหรือไม่
ไปๆ มาๆ พวกผู้ฝึกตนเฒ่าก็เริ่มรำคาญแล้ว ในเมื่อใต้เท้าอิ่นกวานวางท่าชัดเจนว่าจะเป็นพ่อค้าที่คุยเรื่องการค้า ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่เกรงใจแล้ว พอเปิดปากก็เลยพูดกันยาว
ขนาดเจ้าของเรือของอุตรกุรุทวีปที่สวมกางเกงตัวเดียวกัน (เปรียบเปรยว่าสนิทกัน มีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยม) ยังเป็นเช่นนี้ ทักษินาตยทวีปก็ยิ่งไม่เกรงใจ แม้แต่เรือข้ามทวีปสองลำของแจกันสมบัติทวีปที่มีสิทธิ์มีเสียงน้อยที่สุดก็ยังกล้าพูดมากขึ้น
ราคาใหม่ของสินค้าบางอย่างที่ตกลงกันได้แล้ว อิ่นกวานหนุ่มก็จะให้หมี่อวี้ลบราคาเดิมที่ตั้งไว้บนสมุดทิ้งไปโดยตรง แล้วเขียนราคาใหม่ลงไปด้านข้างแทน
อู๋ฉิวกับถังเฟยเฉียนพอจะสบายใจได้แล้วจึงเปิดปากบ้าง
มีทั้งที่ขยับราคาขึ้นสูงได้ แล้วก็มีทั้งที่ไม่ทันระวังกลายเป็นว่าลดราคาต่ำลง สรุปก็คือสองฝ่ายผลัดกันรุกผลัดกันถอย
เยี่ยนหมิงไม่นั่งเงียบอีกต่อไป แม้แต่น่าหลันไฉ่ฮ่วนก็ไม่คิดจะทำตัวเป็นคนใบ้ต่อ
ยิ่งนานพวกผู้ดูแลเจ้าของเรือก็ยิ่งปกปิดจิตใจแห่งการคิดคำนวณของตัวเองไม่ได้
ก่อนหน้านี้มีเซียนกระบี่สิบกว่าท่านนั่งบัญชาการณ์ ฆ่ากันไปฆ่ากันมา อิ่นกวานหนุ่มที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน เจ้าคือผู้ตัดสินใจ
ตอนนี้การคิดบัญชีคือความถนัดของพวกข้า ลูกคิดในรางถูกดีดขึ้นดีดลง ใครจะแพ้จะชนะก็ยังไม่อาจบอกได้
ทางฝั่งของเจ้าของเรือธวัลทวีป เจียงเกาไถขอบเขตหยกดิบเปิดปากพูดค่อนข้างบ่อย ไปๆ มาๆ ก็เหมือนจะกลายเป็นผู้นำของเรือข้ามฟากธวัลทวีปไปโดยปริยาย
เจ้าของเรือคนอื่นๆ รู้สึกเลื่อมใสเจียงเกาไถผู้นี้จริงๆ คนที่ก่อนหน้านี้ไปเดินวนหน้าประตูผีมา คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะยังไม่กลัวตายขนาดนี้
เจียงเกาไถมีสีหน้าเป็นปกติ พยายามจะแสดงมาดของเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบน แต่แท้จริงแล้วในใจกลับสบถด่ามารดาไม่หยุด มารดามันเถอะ ข้าผู้อาวุโสถูกใต้เท้าอิ่นกวานบีบให้ต้องลดราคาดิ่งฮวบ คิดว่าตนเป็นคนตาไร้แวว เป็นวีรบุรุษชายชาตรีที่สองมือแบกหัวให้คนฟันเหวอะจนแผลใหญ่เท่าปากชามก็ยังไม่รู้สึกรู้สาจริงๆ หรือไร?
เฉินผิงอันเงยหน้ามองไปนอกประตูแวบหนึ่ง
โดยไม่ทันรู้ตัวฟ้าก็สว่างแล้ว
บนสมุดบัญชีไม่มีการค้าใดที่สามารถได้ข้อสรุปที่แน่นอน ส่วนใหญ่แล้วกลายเป็นว่ามีหลายข้อที่ต้องเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก เห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายยังต้องเสียเวลากันอีกเยอะ
ประเด็นสำคัญคือเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป ระหว่างทวีปแต่ละแห่งและเรือข้ามฟากแต่ละลำก็เริ่มเกิดความขัดแย้ง แรกเริ่มยังพอจะสำรวมกันอยู่บ้าง แต่ภายหลังกลับไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์มิตรภาพอะไรอีกแล้ว ตบโต๊ะถลึงตาใส่กันก็ยังมี ถึงอย่างไรอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นก็ไม่สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว กลับกันยังหัวเราะร่า แทนที่จะเป็นกลางกลับลำเอียง เอ่ยประโยคที่เป็นการกระพือไฟให้ลุกโหมสองสามคำ อาศัยโอกาสตอนที่พูดเกลี้ยกล่อมมาลดราคาให้ฝ่ายตัวเอง แล้วยังคอยจิบเหล้าอยู่เป็นระยะ วางท่าชัดเจนว่าจะเริ่มทำตัวหน้าไม่อายอีกครั้ง
ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างก็เป็นผู้ฝึกตนจึงไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้าอะไร แต่จะเหนื่อยใจหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง
แต่ทุกคนล้วนรู้กันดีว่า หากเรื่องราวในคืนนี้กลายเป็นข้อสรุปในท้ายที่สุด ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าใครก็ตามที่นั่งอยู่ที่นี่คืนนี้แล้วช่วงชิงผลประโยชน์เสี้ยวหนึ่งมาให้บนสมุดบัญชีของเรือข้ามฟากตัวเองได้ ต่อให้จะเป็นความต่างเล็กน้อยแค่หนึ่งถึงสองเหรียญเงินเกล็ดหิมะ วันหน้าก็ยังจะกลายเป็นผลประโยชน์ที่ใหญ่มากก้อนหนึ่งได้อยู่ดี
พอคิดเช่นนี้ ต่อให้เหนื่อยใจ แต่ไม่นานก็รู้สึกสบายใจได้หลายส่วน
ช่วงเที่ยงวันใต้เท้าอิ่นกวานเสนอให้ทุกคนกลับไปยังเรือนที่ตัวเองเคยไปพักก่อนหน้านี้ก่อน พวกผู้ดูแลของหนึ่งทวีปลองปิดประตูแล้วพูดคุยกันอีกครั้ง
หากคิดจะแวะเวียนไปปรึกษาตามเรือนต่างๆ ทางฝั่งของเรือนชุนฟานก็ไม่ขัดขวาง
ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่จึงแยกย้ายกันไป
เจียงเกาไถลุกขึ้นยืนค่อนข้างช้า มองอิ่นกวานหนุ่มอย่างไม่ให้เป็นที่จับสังเกต ฝ่ายหลังผงกหน้ายิ้มให้บางๆ
เยี่ยนหมิงและน่าหลันไฉ่ฮ่วนก็ต้องไปปรึกษากันด้วย
เฉินผิงอันมาหาเกาขุยก่อน “รบกวนท่านแล้ว เซียนกระบี่เกาสามารถกลับไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้แล้วล่ะ”
เกาขุยเอ่ยเสียงเรียบเฉย “ก็แค่ลุกขึ้นยืนถลึงตาใส่สตรีไม่กี่ที แล้วยังได้ดื่มเหล้าถ้ำสวรรค์จู่ไห่เปล่าๆ กาหนึ่ง จะรบกวนอะไรกัน”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “คำพูดตามมารยาท ถึงอย่างไรก็ยังต้องพูดกันบ้าง”
หมี่อวี้หัวเราะร่าเอ่ยว่า “เกาขุย พูดจากับใต้เท้าอิ่นกวาน เจ้าหัดพูดให้มีมารยาทหน่อย”
สำหรับขอบเขตหยกดิบที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหมอนปักลายบุปผาของกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นี้ หากเป็นเมื่อก่อนแล้วเกาขุยได้พบหมี่อวี้ที่วันๆ คิดแต่จะมุดใต้กระโปรงสตรีโดยบังเอิญ ถ้ามองนานไปหน่อย หรือพูดมากไปสักคำก็ถือว่าเขาเกาขุยแพ้
แต่พอผ่านเมื่อคืนวานไป ความประทับใจที่มีต่อหมี่อวี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสักเท่าไร ก็แค่เขายินดีจะพูดกับอีกฝ่ายมากขึ้นเท่านั้น แต่แน่นอนว่าต้องไม่ใช่คำพูดที่ดีอะไร “หมี่อวี้ วันหน้าอย่าเอาแต่ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ อีก หากไม่ใช่เพราะหมี่ฮู่พี่ชายของเจ้ามีเจ้าเป็นตัวถ่วง ป่านนี้ก็น่าจะเป็นขอบเขตเซียนเหรินไปนานแล้ว ต้องรู้นะว่าช่วงแรกเริ่มสุด ทุกคนต่างก็ยอมรับกันว่าพรสวรรค์ของเยว่ชิงสู้หมี่ฮู่ไม่ได้”
เกาขุยพูดจบก็ก้าวยาวๆ จากไป
หมี่อวี้เอ่ยอย่างระอาใจ “เกาขุยผู้นี้สมควรแล้วที่ต้องเป็นโสด ข้าชื่นชอบสตรีอย่างจริงใจที่สุด และสตรีก็ชอบข้าอย่างจริงใจที่สุด ความจริงใจแลกมาด้วยความซื่อสัตย์ ยังจะผิดอีกหรือ?”
เฉินผิงอันเอ่ย “อย่างเจ้าเนี่ยนะ ไม่ถูกพวกเซียนกระบี่ชายโสดฟันตายก็ต้องขอบคุณเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ฮู่แล้ว”
หมี่อวี้หันหน้าไปมองเซียนกระบี่หญิงจากธวัลทวีปที่ยังคงนั่งอย่างเบื่อหน่ายอยู่ที่เดิม เพิ่งจะเอ่ยไปคำเดียวว่าขอบคุณเซียนกระบี่เซี่ย เซี่ยซงฮวาก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “รบกวนเจ้าไปตายให้ไกลๆ หน่อย”
หมี่อวี้ทอดถอนใจหนึ่งที เดินออกจากห้องโถงใหญ่ ข้ามธรณีประตูออกไปปั้นตุ๊กตาหิมะในมุมเงียบๆ ตุ๊กตาที่ปั้นออกมารูปร่างไม่เหมือนแต่ให้ความรู้สึกเหมือนสตรีคนหนึ่ง
เซียนกระบี่ใหญ่หมี่เลือกสวนดอกไม้แห่งหนึ่งของเรือนชุนฟานที่แม้หิมะใหญ่จะตกในวันที่อากาศหนาวเหน็บ บุปผาก็ยังบานสะพรั่ง
สตรีอย่างน่าหลันไฉ่ฮ่วนผู้นั้นไม่มีทางมาเยือนสถานที่แบบนี้แน่นอน หน้าตาก็งดงามดี แต่น่าเสียดายที่เห็นแก่เงินไปหน่อย แต่หากเป็นแม่นางที่มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางผู้นั้น มีความเป็นไปได้มากว่านางจะมาที่นี่ อีกทั้งนางจะต้องชอบดอกโบตั๋นตระกูลเซียนที่ยังคงแบ่งบานภายใต้หิมะในสวนแห่งนี้อย่างแน่นอน พอมาถึงสวนดอกไม้ เห็นดอกไม้พวกนี้ แล้วหันไปเห็นตุ๊กตาหิมะที่แอบยืนอยู่ใต้บุปผา ถึงเวลานั้นนางก็จะรู้ได้ว่าตนเป็นคนลุ่มหลงในรักแค่ไหน
ยามที่เซียนกระบี่ต่างถิ่นออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ส่วนใหญ่แล้วเซียนกระบี่ในพื้นที่จะต้องเลี้ยงเหล้าสักมื้อเสมอ
ก็เหมือนกับปีนั้นที่ถงหวงของสำนักกระบี่ไท่ฮุยกำลังจะย้อนกลับบ้านเกิด เซียนกระบี่ผู้อาวุโสอย่างต่งซานเกิงก็ยังมาเลี้ยงส่งด้วยตัวเอง
เซี่ยซงฮวาจากไปครั้งนี้ แน่นอนว่าก็ต้องมีคนมาเลี้ยงส่งนาง
แต่แท้จริงแล้วเฉินผิงอันกลับเดินมาส่งนางแค่ที่หน้าประตูเรือนชุนฟานเท่านั้น
เซี่ยซงฮวารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
รู้สึกว่าตัวเองไม่ควรไปจากภูเขาห้อยหัวทั้งอย่างนี้
เฉินผิงอันจึงบอกว่าไปรอที่ร่องเจียวหลงก่อนได้ หากเบื่อจริงๆ ก็สามารถไปเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ที่สำนักอวี่หลง
เซี่ยซงฮวาจึงสนใจขึ้นมาทันที ถามว่า “นี่เท่ากับว่าเลือกเจียงเกาไถผู้นั้นแล้วหรือ? แล้วไต้เฮาล่ะ? จัดการพร้อมกันไปทีเดียวเลยไหม? น้ำใจที่ข้าติดค้างเจ้าไว้ เจ้าคิดบัญชีเก่งขนาดนี้ ก็ควรจะใช้ทุกอย่างให้เกิดประโยชน์สูงสุด ล้วนขึ้นเหนือไปเหมือนกัน ถึงอย่างไรผู้ฝึกกระบี่ขี่กระบี่ก็เร็วมากอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ถึงเวลานั้นค่อยรอฟังข่าวจากข้าเถอะ”
เซี่ยซงฮวาพูดบ่น “นิสัยจู้จี้ยืดยาดแบบนี้ หากไม่เป็นเพราะน้ำใจของเจ้าเป็นของแท้แน่นอน ข้าก็คร้านจะพูดกับเจ้าให้มากความด้วยซ้ำ วันหน้าไปถึงธวัลทวีปอย่าได้ไปหาข้าเพื่อดื่มเหล้าพูดคุยเรื่องเก่าๆ อะไรเลย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แม้นางน้อยสองคนในโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย วันหน้าคงต้องรบกวนให้เซียนกระบี่เซี่ยช่วยคุ้มครองแล้ว”
เซี่ยซงฮวานึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ก็พลันอารมณ์ดี “ต่างก็เป็นต้นกล้าที่ดี ข้าจะต้องอบรมปลูกฝังอย่างตั้งใจแน่นอน กลายเป็นเซียนกระบี่อย่างอาจารย์ของพวกนางอาจจะยากไปสักหน่อย แต่ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินเป็นเรื่องที่หนีไม่พ้นแน่ เฉินผิงอัน เรื่องนี้ยังต้องขอบคุณเจ้า แต่ไม่ถือว่าติดค้างน้ำใจอะไรเจ้า แค่เอ่ยขอบคุณเจ้าก็พอแล้ว”
เฉินผิงอันกำชับเรื่องยิบย่อยไปอีกพักใหญ่ อย่างเช่นว่าแม่นางน้อยทั้งสองต่างก็มีชาติกำเนิดมาจากหมู่บ้านร้านตลาดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ อายุยังน้อยเกินไป อีกทั้งยังไม่เคยเห็นฟ้าดินภายนอกมาก่อน เรื่องของการสอนกระบี่ถ่ายทอดมรรคาสำคัญมาก แต่จะทำอย่างไรให้พวกนางมีชีวิตอยู่ในใต้หล้าไพศาลได้อย่างอิสระเสรีโดยที่ไม่ลืมกำพืดของตน ล้วนต้องให้เซียนกระบี่เซี่ยทุ่มเทจิตใจแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่พวกนางจะสามารถปกป้องตัวเองได้ก็ห้ามบอกพวกนางเด็ดขาดว่าพวกนางมีชาติกำเนิดมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ และในชีวิตของการฝึกตนที่หากมีคนนอกซุบซิบนินทากำแพงเมืองปราณกระบี่ก็อย่าทำอะไรโดยใช้อารมณ์เด็ดขาด ต่อให้คำพูดนั้นจะไม่น่าฟังแค่ไหนก็ต้องอดทนเข้าไว้ ถือเสียว่าเป็นการฝึกจิตใจนอกเหนือจากฝึกกระบี่แล้วกัน…
เซี่ยซงฮวาฟังจนปวดหัวไปหมด พูดแค่ว่ารู้แล้วๆ
คนทั้งสองเดินมาใกล้ประตูใหญ่ของเรือนชุนฟาน
ในที่สุดเฉินผิงอันก็ไม่พร่ำบ่นต่อ แต่ถามคำถามประหลาด “เซียนกระบี่เซี่ยหมักเหล้าเองเป็นไหม?”
เซี่ยซงฮวาไม่เข้าใจ “แน่นอนว่าไม่”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้ามีสหายอยู่คนหนึ่งเคยพูดว่าความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดของเขาในชีวิตนี้ก็คือ ‘ในภูเขามีอะไร? เหล้าหมักซงฮวา น้ำฤดูใบไม้ผลิต้มชา’”
เซี่ยซงฮวาถามเข้าประเด็นโดยตรง “เฉินผิงอัน นี่เป็นเพราะเจ้าอยู่กับหมี่อวี้ผู้นั้นนานเกินไป ใกล้หมึกเปื้อนดำ ก็เลยคิดจะเกี้ยวพาราสีข้าใช่ไหม?”
เฉินผิงอันมีร้อยปากก็ไม่อาจอธิบายได้กระจ่าง
เฉินผิงอันรู้สึกว่าตนเองไม่ถนัดคบค้ากับสตรีเอาเสียเลย อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับเซียนกระบี่หมี่อวี้ได้ติด ยิ่งไม่อาจสู้เจียงซ่างเจินที่เปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นมิตร พูดตามตรง แม้แต่สหายสนิทอย่างฉีจิ่งหลงเขาก็ยังสู้ไม่ได้
เซี่ยซงฮวาหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานใจ “เป็นลูกนกที่เพิ่งหัดบินจริงๆ ด้วย แม้ว่าเวลาปกติจะหัวไวแค่ไหน แต่ก็ยังไม่เข้าใจพูดหยอกล้ออยู่ดี”
เฉินผิงอันโล่งอก
เซี่ยซงฮวากุมหมัดกล่าว “ใต้เท้าอิ่นกวานส่งถึงแค่ตรงนี้เถิด ไม่ต้องไปส่งต่อแล้ว ข้าไม่มีความเคยชินที่จะเดินเล่นกับบุรุษหรอกนะ”
เฉินผิงอันยิ้มพลางกุมหมัดคารวะกลับคืน “ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าบุรุษที่เซียนกระบี่เซี่ยถูกใจจะมีเสน่ห์แค่ไหน วันหน้าหากได้พบเจอกันอีกครั้ง หวังว่าเซียนกระบี่เซี่ยจะยอมให้ข้าได้พบเขาบ้าง”
เซี่ยซงฮวาหัวเราะเสียงเย็น “เสน่ห์? เสน่ห์กับมารดามันเถิด คบกับข้าแล้วยังกล้าทำตัวหว่านเสน่ห์ข้าจะฟันให้ตาย”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เซียนกระบี่เซี่ย เสน่ห์ที่ข้าพูดถึงไม่ใช่เสน่ห์แบบนั้น”
เซี่ยซงฮวาหัวเราะฮ่าๆ “ยังเด็กเกินไปจริงๆ ด้วย คิดหรือว่าความรู้น้อยนิดแค่นี้ข้าจะไม่เข้าใจ? สามารถทำให้ใต้เท้าอิ่นกวานสะอึกอึ้งได้สองครั้ง ข้าอารมณ์ดีนักล่ะ ไปแล้วๆ หยุดแต่พอสมควรดีกว่า!”
เซี่ยซงฮวาก้าวยาวๆ จากไป เดินอยู่บนถนนนอกเรือนชุนฟานได้สิบกว่าก้าวก็ยกมือขึ้นโบก ไม่ได้หันกลับมา แต่กลับเอ่ยบางอย่าง
ประโยคนั้นสมกับเป็นเซี่ยซงฮวาอย่างยิ่ง
“ก้นก็ไม่ใหญ่ เอวก็ไม่บาง จะมองอะไรกันนักหนา ไปมองน่าหลันไฉ่ฮ่วนโน่นเถอะ หลิ่วเซินผู้นั้นก็ไม่เลว ทับอยู่บนโต๊ะจนโต๊ะแทบหักลงมาแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มจืดเจื่อน หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในเรือน
ใช้นิ้วมือเคาะกัน เดินไปเบื้องหน้าช้าๆ
ศิษย์พี่ใหญ่จั่วโย่วไปที่ใบถงทวีปที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จะไปหาเทียนจวินผู้เฒ่าของภูเขาไท่ผิงและเจ้าภูเขาซ่งเหมาก่อน
เว่ยจิ้นจะไปทักษินาตยทวีป
เส้าอวิ๋นเหยียนยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะไปเยือนฝูเหยาทวีปกับเซียนกระบี่ใหญ่คนใด
ในอนาคตการไปเยือนฝูเหยาทวีปของเส้าอวิ๋นเหยียนก็แค่มีการแบ่งหลักรองเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรเส้าอวิ๋นเหยียนก็มีขีดจำกัดอยู่ที่ขอบเขตในทุกวันนี้ ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง หากอยู่ตัวคนเดียวย่อมไม่อาจแบกรับภาระนั้นไว้ได้ ดังนั้นเฉินผิงอันจึงยังคิดไม่ตกว่าเซียนกระบี่คนที่สามควรจะเลือกใคร จำเป็นต้องเป็นเซียนกระบี่ในท้องถิ่น แล้วก็ต้องมีขอบเขตเริ่มต้นที่ขอบเขตเซียนเหริน
เฉินผิงอันเคยคิดถึงลู่จือ แล้วก็เคยคิดถึงเฉินซีหรือไม่ก็ฉีถิงจี้ เมื่อเทียบกับศิษย์พี่จั่วโย่วและเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะแล้ว แน่นอนว่าย่อมต้องออกเดินทางช้ากว่า
เพียงแต่ว่าเมื่อกระตุกผมเส้นเดียวก็สะเทือนไปทั้งร่าง การเลือกครั้งนี้จะชักดึงเส้นสายมากมายที่อำพรางไว้ออกมา จะเป็นปัญหาอย่างใหญ่หลวง หากไม่ระวังให้ดีก็จะกลายเป็นหายนะ ดังนั้นจึงยังต้องรอไปก่อน คอยดูกันไปก่อน
อันที่จริงตอนนั้นที่อยู่บนหัวกำแพงเมือง คนที่เฉินผิงอันไม่เชื่อใจจริงๆ ไม่ใช่เฒ่าหูหนวกที่มีชาติกำเนิดเป็นปีศาจใหญ่ ทว่ากลับรักษากฎอย่างเคร่งครัด แต่เป็นเซียนกระบี่ใหญ่ขั้นสูงสุดอย่างลู่จือต่างหาก
นี่ไม่ได้เป็นการบอกว่าลู่จือใช้แผนในนอกประสานกับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ไม่ได้เป็นเช่นนี้ แต่เป็นเพราะลู่จือย่อมไม่มีทางยินดีรบตายอยู่บนหัวกำแพงเมืองอย่างแน่นอน นางเป็นคนประเภทที่ว่า ‘เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ใหญ่มั่นคงดีแล้ว ข้าก็จะเก็บกระบี่จากไปไกล’
อันที่จริงเฉินชิงตูคงไม่ถือสาหากลู่จือเลือกทำเช่นนี้ เฉินผิงอันก็ยิ่งไม่เกิดใจดูแคลนใดๆ ต่อลู่จือเพราะเหตุนี้
แต่การที่เฉินชิงตูเลือกให้ลู่จือเป็นคนปกป้องสายอิ่นกวานในตอนแรกนั้น แท้จริงแล้วก็คือการบอกเป็นนัยอย่างหนึ่ง
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะนี่จะไม่เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ หากอยู่ดีๆ เข้าใจขึ้นมาได้ ถ้าอย่างนั้นในฐานะอิ่นกวานคนใหม่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็แค่ทำเรื่องที่ใต้เท้าอิ่นกวานควรจะทำก็พอ
ยกตัวอย่างเช่นให้ลู่จือออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างไม่ละอายใจ
ขอแค่ไม่อยู่ในสงครามใหญ่แล้วทรยศกำแพงเมืองปราณกระบี่ หันปลายกระบี่เข้าหาคนของตัวเอง ตัดศีรษะคนของตัวเอง ใช้สิ่งนี้ไปขอคุณความชอบจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
นี่ก็คือเส้นบรรทัดฐานเพียงหนึ่งเดียวของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเฉินชิงตู
ในประวัติศาสตร์นับหมื่นปีของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่พูดถึงพวกคนที่ยินดีตายเอง ในบรรดานั้นก็มีเซียนกระบี่อีกกี่มากน้อยที่ไม่อยากตาย ตามเหตุตามผลแล้วไม่ต้องตายก็ได้ เพียงแต่ว่าล้วนตายกันไปหมด
สาเหตุหลักทุกอย่าง หากพูดถึงแค่พื้นฐาน ก็ล้วนเป็นเพราะเฉินชิงตูต้องการให้พวกเขาตาย
หากลองเอาตัวไปอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส จะคิดอย่างไร?
ไม่ใช่แค่สองสามปี ไม่ใช่แค่ร้อยพันปี แต่นานถึงหนึ่งหมื่นปีเต็ม
เฉินผิงอันรู้สึกเพียงว่าหากเปลี่ยนมาเป็นตน ป่านนี้จิตแห่งมรรคาคงแหลกสลายไปนานแล้ว สภาพจิตใจกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย ต่อให้พยายามจะเก็บก็เก็บไม่ขึ้น หากไม่เป็นบ้าเพื่อหลีกหนี ก็คงจะเดินไปยังทางสุดโต่งอีกทางหนึ่ง
เรื่องพวกนี้ไม่คิดไม่ได้ แต่คิดมากไปกลับไร้ประโยชน์
เฉินผิงอันจึงนึกถึงถ้อยคำที่ศิษย์พี่จั่วโย่วเอ่ยก่อนจากลากัน เดิมทีเฉินผิงอันยังนึกว่าจั่วโย่วจะไม่ทำสีหน้าดีๆ ให้ตนเห็น
แต่น่าประหลาดใจนัก ก่อนที่ศิษย์พี่จั่วโย่วจะจากไป เขายังมีรอยยิ้ม และคำพูดก็อ่อนโยนอย่างมาก ถึงขั้นกึ่งๆ หยอกเย้าศิษย์น้องเล็กของตนด้วยซ้ำ ‘เรียนตำราไม่สำเร็จหันมาเรียนกระบี่ก่อน แล้วค่อยใช้กระบี่และวรยุทธมาเล่าเรียนทีหลัง ศิษย์พี่ไม่ได้ความเช่นนี้ เป็นศิษย์น้องก็อย่าเลียนแบบศิษย์พี่ในเรื่องนี้เลย’
……
เวลานี้เซียนกระบี่เส้าอวิ๋นเหยียนยืนอยูในห้องหนังสือของตัวเอง
หลังนั่งลงแล้วก็ยกพู่กันเขียนประโยคที่ได้มาจากประสบการณ์ลงไปเบาๆ เส้าอวิ๋นเหยียนพอใจอย่างมาก
‘เด็กน้อยอย่างข้า ไม่ฉลาดเฉลียวไม่รอบคอบ ทุกวันประสบความสำเร็จทุกเดือนก้าวหน้า ความรู้จึงสั่งสมพัฒนาจนยิ่งใหญ่’
……
เฉินผิงอันเดินกลับไปยังห้องโถงใหญ่ นั่งลงบนตำแหน่งประธาน เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่มีอะไรให้ทำก็เลยยื่นมือไปวางลงบนโต๊ะสี่เซียน รูบากและเดือยของโต๊ะที่เดิมทีเชื่อมติดกันแนบแน่นเริ่มคลายตัวออกแล้วสั่นสะเทือนเบาๆ
เมื่อเฉินผิงอันยกมือขึ้น โต๊ะตัวนั้นก็กลับคืนมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินออกไปสองสามก้าวก็หันกลับมาอีกครั้ง นั่งยองลงบนพื้น มองโต๊ะตัวนั้น
มองความมั่นคงทุกด้านหมื่นหมื่นปี