กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 637.2 ปลาน้อยมีมากเท่าไรในน้ำมรกต
หมี่อวี้กระอักกระอ่วนเล็กน้อย “ใต้เท้าอิ่นกวานพูดมาตรงๆ ก็ได้ หมี่อวี้ก็แค่สนใจเรื่องความรักชายหญิงมากกว่า ออดอ้อนคลอเคลียกับสตรี ข้าถนัดกว่าฝึกกระบี่สังหารศัตรู”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “น้ำดินของพื้นที่หนึ่งเลี้ยงคนรูปแบบหนึ่ง ใต้หล้าไพศาลไม่มีทางมีผู้ฝึกกระบี่ได้มากมายขนาดนี้ แต่ค่าตอบแทนก็คือต้องให้คนนอกที่คุ้นเคยกับกฎของต่างถิ่นมาเป็นอิ่นกวาน แต่หากข้าเสียสมาธิเพราะเรื่องนี้ ยิ่งนานวันจิตแห่งมรรคาก็ยิ่งห่างไกลกับคำว่าบริสุทธิ์มากขึ้นทุกที คอขวดการฝึกตนในอนาคตของข้าก็มีแต่จะยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ข้าสามารถรับรองได้ว่า ขอแค่ไม่มีเรื่องไม่คาดฝันที่ใหญ่นัก ความสำเร็จบนมหามรรคาของเซียนกระบี่หมี่ โดยเฉพาะความสามารถในการเข่นฆ่าก็น่าจะสูงยิ่งกว่าข้า”
หมี่อวี้พยักหน้า “ขอบเขตไม่สามารถแก้ไขเรื่องทุกอย่างได้ แต่สามารถแก้ไขเรื่องหลายอย่างได้”
เฉินผิงอันเอ่ย “ขอบเขตสามารถแก้ไขเรื่องหลายอย่างได้ แต่ขอบเขตไม่สามารถแก้ไขเรื่องทุกอย่างได้”
หมี่อวี้เอ่ยชื่นชม “การที่ใต้เท้าอิ่นกวานได้เป็นใต้เท้าอิ่นกวาน ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล”
เฉินผิงอันไม่ได้ต่อคำ เพียงยิ้มเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้เส้าอวิ๋นเหยียนได้เอ่ยถ้อยคำที่ถือเป็นการผลักเรือตามกระแสน้ำกับข้า ถือเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่แสดงออกถึงท่าทีของเขา โดยคร่าวๆ แล้วก็คือตรงข้ามกับเจ้าพอดี เขาเกลี้ยกล่อมไม่ให้ข้าทำอะไรโดยใช้อารมณ์ ฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อ คำพูดที่ใช้ละมุนละม่อมมาก แต่หากข้าไม่ยอมเชื่อฟังคำเกลี้ยกล่อมของเขา วันหน้าหากมีการพูดคุยธุระกันอีก คาดว่าก็คงต้องเปลี่ยนสถานที่ประชุมเป็นตำหนักสุ่ยจิงหรือเรือนหลิงจือแล้ว เจ้าคิดว่าการที่เส้าอวิ๋นเหยียนไปนั่งอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ ก็เพียงแค่เพื่อเป็นเทพทวารบาลให้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราเท่านั้นจริงๆ หรือ? เซียนกระบี่ท่านหนึ่ง ความหยิ่งทระนงไม่ได้ต่ำเช่นนั้นหรอก”
หมี่อวี้ขมวดคิ้วมุ่น
เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่จำเป็นต้องพานโมโหเส้าอวิ๋นเหยียนเพราะเรื่องนี้ ขอแค่พูดจามีเหตุผล ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ควรจะฟัง แล้วนับประสาอะไรกับที่นับแต่นี้ไป เส้าอวิ๋นเหยียนก็ไม่ถือสาหากพวกเราจะใช้วิธีการที่อำมหิตบางอย่าง ข้าเคยลองหยั่งเชิงแล้ว เขารับได้ ไม่เพียงเท่านี้ เขายังยินดีจะลงมือด้วยตัวเอง อีกทั้งยังรับปากข้าว่าจะตามผู้มีพรสวรรค์ด้านการค้าที่เชี่ยวชาญการปลอมบัญชีคนนั้นกลับมา ดังนั้นแม้จะบอกว่าวกวนอ้อมค้อม แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นผลลัพธ์ที่ข้าต้องการ”
หมี่อวี้เอ่ยเบาๆ “ลำบากอยู่ไม่น้อย”
โดยทั่วไปแล้ว หากประโยคใดที่ไม่เอ่ยเรียกว่าใต้เท้าอิ่นกวาน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นถ้อยคำจากใจจริงของหมี่อวี้
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “จะแค่ฟาดไม้ทุบให้คนมึนงงอย่างเดียวไม่ได้ ควรจะมอบผลประโยชน์ที่แท้จริงให้บ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นรอให้พวกเขาคืนสติก็จะยังอวดฉลาดลงมือทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ข้าสามารถรับมือได้ไหว แต่ไม่มีเวลามากขนาดนั้น”
ย้อนกลับไปที่ห้องโถงกลางของเรือนชุนฟาน ทุกคนประจำที่นั่งกันแล้ว
เฉินผิงอันนั่งลงบนตำแหน่งประธาน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ทะเลาะถกเถียงก็ไม่ใช่สหาย ในเมื่อเป็นเพื่อนกันแล้ว ข้าจึงมีของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มอบให้กับทุกคน”
คิดไม่ถึงว่าไม่มีใครที่รู้สึกผ่อนคลาย แต่ละคนกลั้นหายใจทำสมาธิ เจ้าของเรือผู้เฒ่าหลายคนถึงขั้นเอามือเก็บซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อสองข้าง เตรียมพร้อมหากพูดจาไม่เข้าหูกันจะได้…หนีเอาชีวิตรอดได้ทัน
ตอนนี้ไม่มีเซียนกระบี่นั่งคุมอยู่ฝั่งตรงข้าม ใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้นกลับคิดจะฆ่าคนแล้วอย่างนั้นหรือ?
ดูเหมือนว่าสมองของอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้จะไม่ค่อยเหมือนคนปกติ เขาน่าจะทำอย่างนั้นได้จริงๆ!
เฉินผิงอันยิ้ม “ก็แค่ของขวัญเล็กๆ ทำเองเท่านั้น ทุกคนไม่จำเป็นต้องนั่งกันอย่างสำรวมขนาดนี้”
หมี่อวี้ลุกขึ้นยืนช้าๆ
เจ้าของเรือฝั่งตรงข้ามหลายคนที่ค่อนข้างขี้ขลาดเกือบจะลุกขึ้นตามจิตใต้สำนึก เพียงแต่ก้นเพิ่งจะกระดกขึ้นเล็กน้อยก็พบว่าไม่เหมาะสม จึงนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้เงียบๆ อีกครั้ง
หมี่อวี้เอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งสะบัดชายแขนเสื้อของชุดคลุมเบาๆ แผ่นหยกประหลาดที่มีประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ไหลวนเวียน มีปราณกระบี่โอบล้อมก็มาลอยอยู่เบื้องหน้าเจ้าของเรือแปดทวีปทั้งห้าสิบสี่คน
จิตของหมี่อวี้เคลื่อนไหวเล็กน้อย ไม่มีริ้วคลื่นใดๆ ชักนำ แผ่นหยกทั้งหมดกลับตั้งตรงขึ้นมาในชั่วพริบตา แล้วจึงพลิกหมุนช้าๆ เพื่อให้พวกคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้เบิกตาสุนัขมองให้ชัดเจน
ทุกคนไม่มีเวลามาสนใจวิชาอภินิหารของเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบท่านนี้แล้ว
อู๋ฉิวเพ่งสายตามองไป รูปร่างคล้ายป้ายสงบสุขปลอดภัยที่ธรรมดาที่สุดของใต้หล้าไพศาล ไม่ได้แยกชัดว่าด้านไหนหน้าตรงด้านไหนฝั่งหลัง ด้านหนึ่งแกะสลักคำว่า ‘กำแพงเมืองปราณกระบี่’ อีกฝั่งหนึ่งแกะสลักคำว่า ‘ใต้หล้าไพศาล’ เพียงแต่ว่าด้านที่แกะสลักสี่คำว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ยังมีตัวอักษรตัวเล็กๆ อีกสองคำว่า ‘อิ่นกวาน’ รวมไปถึงตัวอักษรเล็กเท่าหัวแมลงวันที่เล็กยิ่งกว่า เขียนระบุตัวเลข เก้า
อู๋ฉิวกวาดตามองไปยังแผ่นหยกชิ้นอื่นอย่างรวดเร็ว ของถังเฟยเฉียนคือตัวเลข ‘สิบสอง’ เจียงเกาไถสิบหก
ป๋ายซีผู้ดูแลเรือข้ามฟาก ‘อ่างกระเบื้อง’ แห่งฝูเหยาทวีป ตัวอักษรระบุตัวเลขเป็นคำว่าสิบสาม
หลิ่วเซินเจ้าของเรือ ‘หนีซาง’ ที่นั่งอยู่ใกล้ประตูใหญ่มากที่สุดคือ เก้าสิบหก
เฉินผิงอันนั่งเอนตัวพิงโต๊ะสี่เซียน
หมี่อวี้เปิดปากเอ่ยว่า “อย่าได้สนใจตัวเลขมากน้อย สรุปก็คือไม่ว่าใครก็ล้วนมีส่วน แผ่นหยกชิ้นนี้ใต้เท้าอิ่นกวานเป็นวาดและแกะสลักกับมือตัวเอง แผ่นหยกทุกแผ่นล้วนมีปราณกระบี่ของเซียนกระบี่สองถึงสามท่านอยู่ด้านใน ส่วนเรื่องที่ว่าจะเป็นเซียนกระบี่ท่านไหนที่โปรดปรานแผ่นหยกชิ้นไหน นอกจากใต้เท้าอิ่นกวานแล้วก็ไม่มีใครรู้อีก จะอนุมานจนหาคำตอบเจอได้อย่างไร ทุกท่านก็ได้แต่อาศัยวิธีการของตัวเองไปสืบเสาะเอาเท่านั้น สรุปก็คือมองไปทั่วทั้งใต้หล้าไพศาล ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเลียนแบบได้ หากจะบอกว่ามีราคา ก็คงไม่ถึงขั้นนั้น ทุกท่านล้วนเป็นคนทำการค้า มีของสิ่งใดที่ไม่เคยเห็นมาก่อนบ้าง แต่หากจะบอกว่าไม่มีค่าเสียเลย ถึงอย่างไรมันก็เป็นของที่หายากชิ้นหนึ่ง”
หมี่อวี้กล่าวมาถึงตรงนี้ก็เพิ่มน้ำหนักในระดับน้ำเสียง “วันหน้าหากคนอื่นๆ คิดอยากจะได้รับแผ่นหยกเช่นนี้ก็คงต้องดูว่าจะมีโอกาสได้พบหน้าใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเราหรือไม่ จะมีคุณสมบัติกลายเป็นแขกผู้มีเกียรติของเรือนชุนฟานหรือไม่ ข้าสามารถยืนยันได้เลยว่า ยากมาก อีกอย่างแผ่นหยกนี้ก็มีรวมทั้งหมดแค่เก้าสิบเก้าแผ่น ไม่มีทางสร้างเพิ่มไปมากกว่านี้แล้ว เป็นเหตุให้จำนวนตัวเลขที่มากที่สุดก็คือเก้าสิบเก้า ดังนั้นในอนาคตหากใครเห็นแผ่นหยกที่มีตัวเลขเป็นหนึ่งร้อย จงมองเป็นเรื่องตลกได้เลย”
เส้าอวิ๋นเหยียนพลันเปิดปากเอ่ยว่า “ข้าเองก็เป็นแขกเหมือนกัน เหตุใดถึงมีเพียงข้าที่ไม่มีแผ่นหยกนี้? ข้าว่ายิ่งตัวเลขน้อยเท่าไรก็ยิ่งเป็นแขกผู้มีเกียรติเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอแผ่นหยกที่สลักจำนวนตัวเลขว่าเก้าสิบเก้าก็แล้วกัน”
หมี่อวี้ไม่กล้าตัดสินใจเองโดยพลการ จึงหันหน้าไปมองเฉินผิงอัน
เจียงเกาไถพลันลุกขึ้นกุมหมัด พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน แผ่นหยกของข้านี้สามารถเปลี่ยนเป็นชิ้นที่มีเลขเก้าสิบเก้าได้หรือไม่?”
ครั้งนี้ไม่ใช่ว่าใต้เท้าอิ่นกวานหนุ่มพูดบอกอะไรกับเขาจริงๆ แต่เป็นเจียงเกาไถเองที่หวังว่าจะเปลี่ยนแผ่นหยกตรงหน้าให้เป็นแผ่นที่มีตัวเลขมากที่สุด
เดิมพันเล็กๆ น้อยๆ?
ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นการเดิมพันที่เล็ก
เจียงเกาไถเชื่อมั่นในลางสังหรณ์ของตัวเองมาโดยตลอด ช่วงเวลาที่เป็นกุญแจสำคัญมากมายบนเส้นทางของการฝึกตน ก็เพราะเจียงเกาไถอาศัยความเลื่อนลอยที่ไร้เหตุผลให้อธิบายข้อนี้ถึงช่วงชิงทรัพย์สินมากมายอุดมสมบูรณ์เช่นนี้มาได้
เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าของเรือเจียง นี่เจ้าจะแย่งกับข้าหรือ? ไม่มีคุณธรรมไปหน่อยหรือไม่? แล้วนับประสาอะไรกับที่ยิ่งตัวเลขน้อย ก็ไม่แน่ว่าเซียนกระบี่สองสามท่านที่ราดรดปราณกระบี่ลงไปในแผ่นหยกอาจจะยิ่งมีขอบเขตสูง เหตุใดถึงต้องคิดเล็กคิดน้อยกับตัวเลขมากน้อยพวกนี้ด้วยเล่า?”
เจียงเกาไถยิ้มพลางหันกลับมากุมหมัดอีกครั้ง “ขอเซียนกระบี่เส้าโปรดตัดใจมอบของรักให้ข้าด้วยเถิด”
เส้าอวิ๋นเหยียนส่ายหน้า “เรื่องนี้ไม่ได้หรอก”
เฉินผิงอันกล่าว “เรื่องของแผ่นหยกก็ถือเสียว่าเป็นการเดิมพันเล็กๆ ของทุกท่านก็แล้วกัน เดิมพันว่าปราณกระบี่ของเซียนกระบี่ท่านใดซ่อนแฝงอยู่ด้านใน ยินดีจะแลกเปลี่ยนกันเอง หรือถูกชะตากับแผ่นหยกที่อยู่ตรงหน้าก็ตามใจ พวกเจ้าสามารถพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวได้ แต่หลังจบเรื่องจำต้องมาแจ้งให้ข้าบันทึกเอาไว้ว่าใครได้แผ่นหยกชิ้นไหนไป แม้ว่าข้าจะเป็นคนมอบของขวัญ แต่จะดีจะชั่วก็ควรให้ข้าได้รู้บ้าง ก่อนจะออกไปจากเรือนชุนฟาน จำไว้ว่ามาบอกเซียนกระบี่หมี่ของพวกเราสักคำ ส่วนเรื่องที่ว่าทุกท่านได้รับแผ่นหยกไปแล้วจะมอบให้สำนัก ให้ภูเขา เก็บเอาไว้เอง หรือจะเอาไปขายต่อ ขายมันเป็นเหมือนหยกธรรมดาชิ้นหนึ่ง ถึงอย่างไรก็ไม่ได้มีราคาอะไรอยู่แล้ว ก็ตามใจพวกเจ้าได้เลย ตอนนี้พวกเราไม่คุยเรื่องเล็กๆ นี้ มาคุยเรื่องเป็นงานเป็นการกันต่อเถอะ”
หมี่อวี้นั่งกลับลงไปอีกครั้ง
เส้าอวิ๋นเหยียนและเจียงเกาไถก็นั่งลงด้วย
ก่อนหน้านี้ตอนที่เดินกันมา หมี่อวี้ถามคำถามหนึ่งด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ‘แม้แต่ข้ายังรู้สึกอึดอัด แล้วเซียนกระบี่พวกนั้นจะไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ? รู้หรือไม่ว่าจะต้องเอาแผ่นหยกพวกนี้มามอบให้พวกตะพาบกลุ่มนี้?’
‘รู้ ข้าอธิบายให้เซียนกระบี่ทุกท่านฟังอย่างชัดเจนแล้ว’
ตอนนั้นคำตอบของเฉินผิงอันเรียบง่ายมาก ‘จะอึดอัดไปไย วันหน้าอยู่ในใต้หล้าไพศาล ทุกครั้งที่เห็นแผ่นหยกเหล่านี้ก็จะต้องมีคนเอ่ยถึงนามและเรื่องราวของเซียนกระบี่ ชื่ออะไรแซ่อะไร ขอบเขตเท่าไร สร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่อะไรไว้บ้าง สังหารปีศาจใหญ่ตนใดไปบ้าง ไม่แน่ว่าอาจรู้ชัดเจนยิ่งกว่าเจ้าหมี่อวี้เสียอีก’
หมี่อวี้ยิ้มเจื่อนทันที ‘ใต้เท้าอิ่นกวาน ข้าก็เป็นเซียนกระบี่เหมือนกันนะ เหตุใดก่อนหน้านี้ไม่เห็นบอกข้าสักคำ?’
เฉินผิงอันหัวเราะร่า ‘เซียนกระบี่หลายคนที่ไม่พูดไม่จาก็ตอบตกลงทันทีต่างก็ถามคำถามหนึ่งเพิ่มเติมมาว่า ในบรรดาแผ่นหยกพวกนี้มีปราณกระบี่ของเซียนกระบี่ใหญ่หมี่หรือไม่ พอข้าบอกว่าไม่มี อีกฝ่ายก็โล่งอกทันที เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไรล่ะ? เจ้าลองว่ามาสิ จะดีจะชั่วเจ้าก็เป็นบุคคลที่เป็นดั่งหัวมังกรของสายอิ่นกวาน มีชื่อเสียงเลื่องลือ แต่เหตุใดถึงได้รับการปฏิบัติที่ย่ำแย่เช่นนี้จากทุกคน? บนสมุดเจี่ยเปิ่นเล่มรอง ข้าช่วยฉีกหน้าของเจ้าหมี่อวี้ออกมาใส่ไว้ด้านหน้าสุด แต่แล้วจะอย่างไร จะได้ผลหรือ? หากเจ้าคิดว่าได้ผล แล้วจะรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ถ้าอย่างนั้นก็ฉีกออกเองแล้วเอามาวางใกล้ๆ กับหน้าของเยว่ชิง ของพี่ชายอย่างหมี่ฮู่ได้เลย ข้าสามารถแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นได้’
จิตใจของหมี่อวี้เหมือนถูกมีดคว้าน ความจริงใจถูกขยี้จนเละ สาหัสยิ่งกว่ายามเจ็บปวดจากความรักเสียอีก
ทว่าตอนนี้เขากลับไม่รู้สึกอึดอัดอีกแล้ว
เสียดายก็แต่ตนไม่อาจมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ได้
และเวลานี้ทุกคนในห้องโถงต่างก็เก็บแผ่นหยกไปอย่างระมัดระวังแล้ว
ความระมัดระวังนี้ นอกจากมองว่าเป็นของล้ำค่าที่ควรปฏิบัติอย่างดีแล้ว แน่นอนว่ายังมีความกังวลว่าจะผ่านมือใครมาก่อน อยู่ดีๆ แผ่นหยกกับปราณกระบี่ระเบิดขึ้นพร้อมกัน แล้วก็กังวลว่าปราณกระบี่ของแผ่นหยกไม่ได้ฆ่าคน แต่กลับจะเปิดเผยร่องรอยของพวกเขา หรือไม่ก็กลายเป็นว่าทุกการกระทำทุกคำพูดของพวกเขาล้วนอยู่ในสายตาของอิ่นกวานหนุ่ม เพราะถึงอย่างไรหยกประดับที่พกตรงเอวของนักปราชญ์และวิญญูชนทุกคนของสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อก็มีประโยชน์เช่นนี้อยู่
หมี่อวี้รู้สึกสะท้อนใจยิ่งนัก
นึกถึงตอนที่เดินมาด้วยกันแล้วอิ่นกวานหนุ่มชี้แนะบางอย่างแก่เขา
‘กับพ่อค้าพวกนี้ ต่อให้ปากจะพูดว่ามีความสัมพันธ์ควันธูปกันมากแค่ไหน พูดถึงมิตรภาพในวันวานก็ดี หรือรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะกับเรื่องในอนาคตก็ช่าง ล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งนั้น’
‘จำเป็นต้องมองจากเล็กไปเห็นใหญ่’
‘พวกเราไม่ต้องบอกอย่างชัดเจนว่าพวกเขาอาศัยหยกชิ้นนี้แล้วจะได้รับอะไรไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ให้พวกเขาไปคาดเดากันเอาเอง คนฉลาดใช้ความคิดเดาคำตอบออกมาได้ ถูกหรือไม่ถูก ไม่สำคัญ แต่ถึงอย่างไรก็เชื่อถือได้มาก’
การปรึกษาพูดคุยในห้องโถงใหญ่ยิ่งราบรื่นมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมีความขัดแย้งถูกยกมาวางบนโต๊ะมากเท่าไรก็ยิ่งหมายความว่าไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
กระทั่งถึงยามสนธยาจึงหยุดพักกันก่อนชั่วคราว
ระหว่างนี้แผนการกลอุบายน้อยใหญ่ทั้งหลาย เรือข้ามฟากของแปดทวีปวางแผนร่วมกันเล่นงานกำแพงเมืองปราณกระบี่ เรือข้ามทวีปลำหนึ่งสามัคคีกันเล่นงานทวีปอื่นที่อยู่ใกล้เคียง การวางแผนขัดขากันเองของเรือข้ามฟากแต่ละลำในทวีปเดียวกัน หมี่อวี้ไม่คิดจะสนใจจริงๆ เพียงแต่มีภาระหน้าที่ติดตัว อีกทั้งจำเป็นต้องมีส่วนร่วม นี่จึงทำให้หมี่อวี้เกิดความคิดว่าอันที่จริงตั้งใจฝึกกระบี่อย่างเดียวก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบากเป็นครั้งแรก
ทุกคนแยกย้ายกันไปอีกครั้ง ต่างคนต่างกลับไปปรึกษากันอย่างลับๆ ในเรือนของตัวเอง อันที่จริงหลังจากที่เซียนกระบี่ส่วนใหญ่จากไปแล้ว การสื่อสารกันผ่านเสียงหัวใจในห้องโถงใหญ่ก็ปลอดภัยมากพอแล้ว แต่การที่มีขั้นตอนเช่นนี้ กลับยังทำให้พวกผู้ดูแลของเรือข้ามฟากสบายใจได้ไม่น้อย อย่างน้อยที่สุดก็รู้สึกเป็นตัวของตัวเองได้มากกว่า ไม่อย่างนั้นหากต้องคอยเหลือบมองไปฝั่งตรงข้ามบ่อยๆ ต่อให้เซียนกระบี่ไม่อยู่ ลำพังเพียงแค่เก้าอี้ว่างเปล่าที่เซียนกระบี่เหล่านั้นเคยนั่งก็เป็นพลานุภาพสยบที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่ง ทำให้คนยากจะผ่อนคลายสบายอารมณ์ได้จริงๆ
เฉินผิงอันเดินเล่นอยู่ในเรือนชุนฟานเพียงลำพังอีกครั้ง เขานัดหมายกับทุกคนว่าจะมาประชุนกันใหม่ในอีกสองชั่วยามให้หลัง
แต่เซียนกระบี่หมี่อวี้กลับมีเรื่องให้ต้องไปทำ
เพราะอิ่นกวานหนุ่มมอบหมายให้หมี่อวี้ทำเรื่องสองเรื่อง
เวลาอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนแล้วต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์เหล่านั้น หมี่อวี้ก็ยังคงรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินอยู่ดี คิดไม่ถึงว่าพอมาถึงภูเขาห้อยหัว ภาระที่ตกลงบนบ่าของตนกลับค่อนข้างหนักไม่น้อย
เรื่องหนึ่งคือยามที่แวะไปเยี่ยมตามเรือนต่างๆ เป็นการส่วนตัวก็ให้พูดเตือนพวกเจ้าของเรือทั้งหลายด้วยคำว่า ‘ปฏิบัติต่อผู้อื่นเฉกเช่นที่คนอื่นเขาปฏิบัติต่อตน’
จำเป็นต้องบอกเป็นนัยแก่พวกเขาว่านี่คือมิตรภาพส่วนตัวเล็กๆ ระหว่างพวกเขากับอิ่นกวาน ไม่ถือว่าเป็นการค้าใหญ่ระหว่างเรือข้ามทวีปกับกำแพงเมืองปราณกระบี่
และหมี่อวี้ก็ต้องเป็นคนรับของขวัญ เพราะเยี่ยนหมิงกับน่าหลันไฉ่ฮ่วนไม่เหมาะจะทำเรื่องนี้
หมี่อวี้จึงถามว่าสุดท้ายแล้วผลประโยชน์พวกนี้จะตกไปอยู่กับใคร
เฉินผิงอันบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า ล้วนต้องมอบให้กับเยี่ยนหมิงและน่าหลันไฉ่ฮ่วน แต่ก่อนจะทำเช่นนั้น ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานทุกคนสามารถเลือกของที่ตัวเองถูกใจไปคนละชิ้นก่อนได้
หมี่อวี้จึงถามอย่างใคร่รู้ว่า หรือว่าข้าก็มีส่วนด้วย?
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยว่าแน่นอน หากอดใจรักถนอมสตรีไม่ไหวจริงๆ สมบัติสองชิ้นที่เจ้าของเรือก่อกำเนิดหญิงผู้นั้นมอบให้ ของส่วนตัวเจ้าสามารถมอบกลับคืนให้นางได้ ถือเสียว่าเป็นค่าแรงที่เจ้าหมี่อวี้เบิกไปล่วงหน้า
หมี่อวี้ทอดถอนใจอย่างชื่นชม ในโลกนี้คนที่รู้ใจข้ามากที่สุดก็หนีไม่พ้นใต้เท้าอิ่นกวานนี่เอง
อีกเรื่องหนึ่งก็คือให้หมี่อวี้ไปหาเยี่ยนหมิงกับน่าหลันไฉ่ฮ่วน คนทั้งสามร่วมกันวางแผนช่วยคิดชื่อดีๆ ให้กับการประชุมที่เรือนชุนฟานครั้งนี้ ให้เจ้าของเรือทุกลำมีหน้ามีตา รู้สึกว่าการประชุมครั้งนี้เป็นการร่วมงานที่ยิ่งใหญ่ หาใช่ถูกคนบีบบังคับไม่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ควรให้คนนอกคิดว่าเป็นเช่นนี้ และยิ่งต้องทำให้ทุกคนรู้สึกว่าการประชุมที่เรือนชุนฟานคือเรื่องเล่าอันยอดเยี่ยมที่มีค่าพอจะเอาออกไปพูดภายนอก ขอแค่มีการเริ่มต้นที่ดี ต่อให้พ่อค้าพวกนี้ออกไปจากภูเขาห้อยหัว ผู้ดูแลเรือข้ามฟากทุกคนก็ย่อมช่วยผลักคลื่นลม ช่วยสร้างสถานการณ์ให้อย่างลับๆ เจ้าของเรือลำเล็กบางคนที่เดิมทีจำต้องมอบแผ่นหยกให้กับสำนักก็จะสามารถใช้โอกาสครั้งนี้เก็บแผ่นหยกไว้เป็นของส่วนตัวได้
ผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลล้วนรักหน้าตา ถ้าอย่างนั้นก็มอบมันให้พวกเขา ถึงอย่างไรกำแพงเมืองปราณกระบี่และสายอิ่นกวานก็ไม่ต้องควักเงินสักแดง
เซียนกระบี่ถึงสิบเอ็ดท่านต่างก็มารับรองแขกด้วยตัวเอง
ก่อนหน้านี้พวกเจ้าของเรือเผชิญกับความทุกข์ทรมานที่เรือนชุนฟานมากเท่าไร วันหน้าเมื่อออกจากเรือนชุนฟานไป ขอแค่ทั้งสองฝ่ายจิตใจสื่อถึงกัน ต่างคนต่างเข้าใจกันโดยไม่ต้องเอ่ยคำ ถ้าอย่างนั้นหากเรื่องครั้งนี้จัดการได้อย่างเหมาะสม เจ้าของเรือพวกนี้ก็จะมีความสง่างาม สามารถช่วงชิงชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่มาให้กับตน และทุกคนก็ล้วนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าอันงดงามที่ใหญ่เทียมฟ้าในครั้งนี้