กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 638.3 คนเดินทางไกลล้วนคือผู่กงอิง
หมี่อวี้สองจิตสองใจ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเล่าถึงฝีมืออันต่ำต้อยให้ฟังแล้วนะ?”
เพราะถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ตอนอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้ยังไม่ได้เป็นใต้เท้าอิ่นกวาน ยังคงเป็นเถ้าแก่รอง ก็มีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็มีเซียนกระบี่หมี่อวี้นี่แหละที่ตั้งใจศึกษาตราประทับร้อยเซียนกระบี่ ตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ รวมไปถึงตัวอักษรบนหน้าพัดมากมายเหล่านั้นของเขามากที่สุด ความรู้มากมาย เคล็ดลับมากมาย โดยเฉพาะบนหน้าพัดที่พวกสตรีชื่นชอบเป็นนักหนา ยามที่หมี่อวี้แอบสืบข่าวมาได้ก็จะต้องคัดลอกลงบนกระดาษ พออ่านจบหนึ่งรอบ หมี่อวี้ทบทวนซ้ำไปซ้ำมาก็รู้สึกเพียงว่าได้รับประโยชน์มหาศาล
อันที่จริงส่วนลึกในใจของหมี่อวี้เองก็รู้สึกว่า ตัวอักษรบนหน้าพัดเล่มนั้นของตน อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะประสบความสำเร็จได้สักเจ็ดแปดส่วนของเถ้าแก่รองแล้ว
เวลานี้ถึงอย่างไรบนเรือก็ไม่มีคนอื่น ก็ถือเสียว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้กัน เอาออกมาเล่าสู่กันฟัง คงไม่น่าอายสักเท่าไร
สองด้านของหน้าพัด ด้านหนึ่งเขียนว่า ‘รู้จักทะนุถนอมเห็นค่าคนตรงหน้าให้ดี อยากเจอแต่มิกล้าเจอ ข้าผ่ายผอมเพราะคิดถึงท่าน ข้าเขินอายก็เพราะท่าน’
อีกด้านหนึ่งเขียนว่า ‘เดินก็คิดถึง นั่งก็คิดถึง จะนั่งจะเดินล้วนไม่เป็นสุข อยากเจอแต่มิได้เจอ คืนนี้จงดื่มให้เมามาย ชีวิตคนจะยืนยาวได้สักเท่าไร’
เฉินผิงอันฟังแล้วก็เงียบไปนาน
สุดท้ายอดไม่ไหวสบถว่า “ไสหัวออกจากเรือไปขี่กระบี่กลับเองเลย”
นั่นเป็นเพราะเฉินผิงอันรู้สึกว่า บนเส้นทางของความรักชายหญิงที่ต้องอาศัยพรสวรรค์ที่สุด ไม่ต้องพูดถึงการฝึกตนสายนี้ ชีวิตนี้ตนคงถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางได้เห็นแม้แต่แผ่นหลังของหมี่อวี้แล้ว
เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ที่เจอกับหายนะโดยไม่คาดฝันได้แต่ลุกขึ้นยืนอย่างขุ่นเคือง ออกจากเรือยันต์ไปขี่กระบี่เดินทางไกลอยู่ห่างไปไม่ไกลแต่โดยดี
……
พอมาถึงภูเขาห้อยหัวก็ไปเยือนเรือนชุนฟานก่อนรอบหนึ่ง เรื่องหนึ่งที่พิเศษที่สุดของหนึ่งในสี่เรือนส่วนตัวขนาดใหญ่แห่งนี้อยู่ที่ว่า ตลอดทั้งเรือนชุนฟานล้วนเป็นวัตถุที่ผ่านการหล่อหลอม นับตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่สร้างมันขึ้นมา เส้าอวิ๋นเหยียนก็จัดวางค่ายกลยันต์ไว้เป็นจำนวนมาก เป็นเหตุให้ตั้งแต่แรกเริ่มเรือนชุนฟานก็ไม่ได้หยั่งรากลงสู่ตราประทับอักษรภูเขาที่ใหญ่ที่สุดบนโลกแห่งนี้อย่างแท้จริง หันกลับมาดูจวนหยวนโหรวที่สิ้นเปลืองทรัพยากรมากกว่า กลับไม่มีการพิจารณาในเรื่องนี้ ส่วนสวนดอกเหมยนั้นก็ยิ่งไม่มีทางถูกหลอมได้
เส้าอวิ๋นเหยียนมอบสมบัติอันเป็นแกนกลางของค่ายกลใหญ่ให้แก่เฉินผิงอัน
เฉิงผิงอันยืนยันในรายละเอียดบางอย่างจนแน่ใจแล้วถึงได้พาหมี่อวี้ออกมาจากเรือนชุนฟาน
เยี่ยนหมิงและน่าหลันไฉ่ฮ่วนต่างก็อยู่ในเรือน รับผิดชอบคอยรับรองผู้ดูแลเรือข้ามฟากของแปดทวีปซึ่งจะทยอยกันมาจอดเทียบท่า
หมี่อวี้เองก็ต้องอยู่ต่อ เพียงแต่ว่ายังต้องคุ้มครองเฉินผิงอันไปส่งให้ถึงประตูที่เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างฟ้าดินใหญ่ทั้งสองแห่งเสียก่อน เขาถามอย่างประหลาดใจว่า “เหตุใดทุกครั้งถึงไม่ไปประตูเก่าที่ใกล้กับเรือนชุนฟานมากกว่า ผู้อาวุโสจางลู่ที่เฝ้าพิทักษ์ที่นั่นกับนักพรตน้อยคนที่ชอบอ่านหนังสือล้วนน่าสนใจกันมาก”
เฉินผิงอันเพียงอืมรับหนึ่งที แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ
เดิมทีหมี่อวี้ก็แค่ถามชวนคุยไปอย่างนั้นเอง จึงคร้านจะคิดอะไรให้มากความ
หลังพาใต้เท้าอิ่นกวานมาส่งถึงหน้าประตูแล้ว หมี่อวี้ก็จำต้องย้อนกลับไปที่เรือนชุนฟาน มีเจ้าของเรือและนักพรตบนเรือข้ามฟากที่เป็นสตรีหลายคนเป็นคนรู้จักเก่าของเขา น่าเสียดายที่ต่างก็เป็นคนประเภทที่ว่ามีบุญนำพาแต่ไร้วาสนาเสริมส่ง
เฉินผิงอันไปถึงห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์หลบร้อน ทุกคนต่างก็เงยหน้าขึ้น
กวอจู๋จิ่วเป็นคนแรกที่เปิดปาก “อาจารย์ ออกจากบ้านคราวนี้สังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานไปได้กี่ตน?”
เฉินผิงอันมีท่าทางเหนื่อยล้าเล็กน้อย เขานั่งลงบนธรณีประตู “แค่ตนเดียว”
กวอจู๋จิ่วกะพริบตาปริบๆ “สังหารได้จริงๆ หรือนี่? อาจารย์ ข้าไม่รู้แล้วว่าควรจะพูดอะไรต่อไป!”
เซียนกระบี่โฉวเหมียวมองมาทางเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ยิ้มเอ่ย “เป็นเรื่องจริง”
โฉวเหมียวกุมหมัด แต่กลับไม่เอ่ยอะไร
ผู้ฝึกกระบี่สามคนที่ไปออกกระบี่บนหัวกำแพงเมืองก็คือโฉวเหมียว ต่งปู้เต๋อ เติ้งเหลียง ทุกคนต่างกลับมาแล้ว
เพราะหมี่อวี้ถูกเฉินผิงอันพาตัวไปที่เรือนชุนฟาน ดังนั้นตอนนี้จึงมีเพียงผังหยวนจี้และหลินจวินปี้ที่ไปออกกระบี่ที่นั่น
เฉินผิงอันเอ่ย “ถึงอย่างไรก็ไม่เป็นตัวของตัวเองเท่ากับอยู่ที่นี่ ข้าขอแอบอู้สักเดี๋ยว พวกเจ้าทำธุระกันไปก่อน”
ทุกคนที่อยู่ในห้องจึงง่วนทำงานของตัวเองต่ออีกครั้ง
ต่อให้เป็นกวอจู๋จิ่วก็ยังฝืนอดใจไม่ลุกขึ้นไปชวนอาจารย์คุย
ตอนนี้สายอิ่นกวานเริ่มมีภูเขาลูกเล็กหลายลูกปรากฏให้เห็นแล้ว
หลินจวินปี้และผังหยวนจี้ค่อนข้างถูกชะตากัน ทุกวันนี้ความทะเยอทะยานของผังหยวนจี้มีไม่มาก นอกจากทำงานตามภาระหน้าที่ บางครั้งก็จะเล่นหมากล้อมกับหลินจวินปี้ ขอความรู้จากอีกฝ่าย
ผังหยวนจี้เรียนหมากล้อมได้เร็วมาก หลินจวินปี้ที่อยู่นอกกระดานหมากล้อมก็เติบโตเร็วยิ่ง คนอื่นทุกคนของสายอิ่นกวานต่างก็มองเห็นอยู่สายตา เก็บไว้ในใจ
ซ่งเกาหยวนผู้ฝึกกระบี่จากต่างถิ่นค่อนข้างพูดคุยถูกคอกับหลัวเจินอี้ สวีหนิง ฉางไท่ชิง
เติ้งเหลียงชอบมาคุยกับต่งปู้เต๋อทุกสามวันห้าวัน ขนาดคนตาบอดก็ยังรู้ว่าผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระ สุดท้ายสามารถเลื่อนขั้นเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลได้สำเร็จผู้นี้ต้องการสิ่งใด
เพียงแต่ในสายตาต่งปู้เต๋อไม่มีเติ้งเหลียง เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็มองออกเช่นกัน
ในทางส่วนตัว เฉินผิงอันเคยเอ่ยสัพยอกเติ้งเหลียงว่า ข้าเป็นพี่น้องคนสนิทของเฉินซานชิว หากเจ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ข้าจะลากเฉินซานชิวเข้ามาอยู่ในสายอิ่นกวานด้วยนะ
เติ้งเหลียงหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ บอกว่าไม่เป็นไร ข้าคือผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด นายน้อยใหญ่ตระกูลเฉินผู้นั้นเพิ่งจะเป็นคอขวดโอสถทอง ขอแค่ใต้เท้าอิ่นกวานไม่ลำเอียง รับรองว่าเขาเดินตัวตรงเข้ามา ตรงนอนตัวเอียงออกไปแน่นอน
จากนั้นเติ้งเหลียงก็เอ่ยเสริมมาอีกคำว่า ต่อให้ไม่พูดถึงเรื่องขอบเขต พูดถึงแค่เรื่องการดื่มเหล้า นายน้อยใหญ่เฉินก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่ดี
กู้เจี้ยนหลงและหวังซินสุ่ย บวกกับเฉากุ่น เสวียนเซิน กลายเป็นบุคคลที่เป็นดั่งสี่ผู้พิทักษ์ใหญ่ ทั้งรุกทั้งถอยร่วมมือกันได้อย่างรู้ใจ อีกทั้งยังชอบฟังคำบัญชาการณ์จากกวอจู๋จิ่ว ขอแค่กวอจู๋จิ่วใช้ท่าไม้ตายของสำนัก อีกสี่คนที่เหลือต่างก็พากันทำตาม
วันนี้เป็นข้อยกเว้น นั่นเพราะคุณความชอบจากการสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่ซ่อนตัวตนหนึ่งได้ น่าสะท้านพรั่นพรึงเกินไป จนพวกกู้เจี้ยนหลงสี่คนไม่กล้าพูด
หลินจวินปี้ เสวียนเซินต่างก็เป็นยอดฝีมือวิชาหมากล้อม จึงมักจะเล่นหมากล้อมด้วยกันบ่อยๆ
เฉินผิงอันเองก็จะคอยช่วยชี้แนะเสวียนเซิน เสวียนเซินซื่อบื้อไม่รู้จักจำ กี่ครั้งที่ฟังคำชี้แนะจากใต้เท้าอิ่นกวานก็ต้องพ่ายแพ้ราบคาบเสียทุกครั้ง
กวอจู๋จิ่วเลยบ่นเสวียนเซินว่าเหตุใดถึงตามความคิดของอาจารย์ไม่ทัน ช่างสิ้นเปลืองถ้อยคำที่ล้ำค่าดุจหยกดุจทองคำซึ่งมากพอจะช่วยให้เขาคว้าชัยชนะได้ยิ่งนัก
กู้เจี้ยนหลงกับหวังซินสุ่ยไม่เข้าใจการเล่นหมากล้อม แต่ก็ชอบมาร้องเฮให้กำลังใจอยู่ด้านข้าง คนหนึ่งรับผิดชอบชูธงร้องสนับสนุนเสวียนเซิน อีกคนหนึ่งรับหน้าที่บ่นหลินจวินปี้ เป็นวิธีโจมตีจิตใจที่ยอดเยี่ยมสมชื่อ
ผังหยวนจี้มักจะหาที่สงบๆ แห่งหนึ่งในคฤหาสน์หลบร้อนไปนั่งเหม่อลอยเพียงลำพัง
โฉวเหมียวก็คอยชี้แนะเวทกระบี่ให้แก่เด็กรุ่นหลังอายุน้อยทุกคนซึ่งรวมถึงเติ้งเหลียง ซ่งเกาหยวน ขอแค่ยินดีถาม โฉวเหมียวที่เป็นเซียนกระบี่แล้วก็ยินดีที่จะอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด
ต่งปู้เต๋อคอยดึงเอาหลัวเจินอี้ไปพูดคุยเรื่องของสตรีด้วยกันบ่อยๆ หลัวเจินอี้ที่เดิมทีชอบทำหน้าเคร่งตั้งแต่เช้าจรดค่ำจึงพอจะมีความอ่อนโยนของสตรีปรากฎให้เห็นบนคิ้วตาได้บ้าง
กวอจู๋จิ่วกลับเป็นคนที่ไม่มีภูเขาเป็นของตัวเองมากที่สุด นางสามารถขอวิชาความรู้กับเซียนกระบี่โฉวเหมียว แล้วก็สามามารถพูดคุยกับผังหยวนจี้ไปเรื่อยเปื่อย ยิ่งชอบไปอยู่กับพวกต่งปู้เต๋อและหลัวเจินอี้ แม่นางน้อยพอจะพูดกับสตรีแก่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่สองคนนั้นได้อยู่บ้าง แน่นอนว่าทุกครั้งล้วนปิดฉากการสนทนาด้วยเสียงตึงๆๆ หากไม่ใช่เสียงหัวโขกโต๊ะก็โขกกำแพง เหมือนกันทุกครั้งไม่มียกเว้น
เฉินผิงอันรู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องดี
สภาพจิตใจของคนคนหนึ่งจะขมวดขึงตึงแน่นอยู่ตลอดไม่ได้ ต้องมีผ่อนคลายบ้าง ถึงจะคงอยู่ได้ยาวนาน
สายของอิ่นกวาน ต่างคนต่างก็มีหน้าที่เป็นของตัวเอง ขณะเดียวกันก็คอยส่งเสริมชดเชยกันและกัน เอาข้อดีมาชดเชยข้อด้อย หาช่องโหว่แล้วเติมให้เต็ม อันที่จริงนี่ก็ถือว่าเป็นระเบียบไม่วุ่นวาย เดินเข้าสู่ทิศทางที่ถูกที่ควรแล้ว
เฉินผิงอันไม่คาดหวังว่าผู้ฝึกกระบี่เหล่านี้จะทำได้ดียิ่งกว่านี้แล้ว แต่แม้ในใจจะคิดเช่นนี้ ในฐานะใต้เท้าอิ่นกวาน บางครั้งก็ยังต้องทำตัวเป็นคนเลวบ้าง
หากจะพูดถึงความสามารถในการพูดจาระคายหู ใช้ถ้อยคำสวยหรูงดงามแต่เนื้อหากลับโหดร้ายทิ่มแทงใจคน เฉินผิงอันนี่แหละคือต้นฉบับที่แท้จริง กู้เจี้ยนหลงที่เป็นยอดฝีมือในเรื่องนี้ยังต้องละอายใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้
แน่นอนว่าการจะทำเช่นนั้นได้ เรื่องที่พูดต้องตรงประเด็น ไม่อย่างนั้นหากเอาแต่ค่อนแคะหาเรื่องอย่างเดียว มีแต่จะได้ผลในทางตรงกันข้าม
เฉินผิงอันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็โยนวัตถุจื่อชื่อและวัตถุฟางชุ่นที่ได้มาจากเรือข้ามทวีปอ่างกระเบื้องของถ้ำซานสุ่ยให้กับกวอจู๋จิ่วที่รับหน้าที่สรุปรวบรวมบันทึก ยิ้มเอ่ยว่า “ผลประโยชน์ที่ได้มาเพิ่มเติม”
จากนั้นเฉินผิงอันก็เล่าขั้นตอนการเดินทางไกลครั้งนี้อย่างละเอียด เนื้อหาที่พูดไม่ได้ก็ข้ามผ่านไป ยกตัวอย่างเช่นสรุปแล้วทำอย่างไรถึงสามารถเค้นเอาเรื่องวงในที่เป็นความลับมากมายของถ้ำซานสุ่ยมาจากเจ้าของเรือก่อกำเนิดผู้นั้นได้ แล้วทำอย่างไรถึงสามารถรับประกันได้ว่าหลังจากสังหารอีกฝ่ายแล้วจะยังรักษาแท่นฝนหมึกและพัดกลมให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ อีกทั้งยังต้องรู้วิธีเปิดประตูของวัตถุทั้งสองชิ้นด้วย
กวอจู๋จิ่วขยับของบนโต๊ะออก สายตาทั้งคู่ของแม่นางน้อยสาดประกายแสงเจิดจ้า ถ่มน้ำลายใส่บนฝ่ามือทั้งสองแล้วถูเข้าด้วยกัน จากนั้นสองนิ้วของมือสองข้างก็เริ่มขยับ ปากก็พร่ำพูดว่าเริ่มงานๆ แล้วถึงได้เริ่มนับสมบัติตระกูลเซียนที่อยู่ในวัตถุจื่อชื่อและวัตถุฟางชุ่น รวมไปถึงเงินเทพเซียนกองโต
ต่งปู้เต๋อยิ้มกล่าว “ใต้เท้าอิ่นกวาน บอกพวกเรามาตามตรงเถอะ เจ้ามีวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่เรียกว่าอ่างเก็บสมบัติอยู่ใช่หรือไม่?”
ก่อนหน้านี้ที่กลับมาคฤหาสน์หลบร้อน ก็เอาสมบัติตระกูลเซียนกลับมาจากเรือนชุนฟานตั้งหนึ่งร้อยสิบกว่าชิ้น
คราวนี้ออกจากภูเขาห้อยหัวไปครั้งหนึ่งก็นำสมบัติหนักบนภูเขาสองชิ้นนี้กลับมา แล้วด้านในยังมีทรัพย์สมบัติมากมายสมบูรณ์เก็บไว้อีกด้วย
กวอจู๋จิ่วไม่แม้แต่จะเงยหน้า นางแค่นเสียงเอ่ย “ก็เพราะว่าอาจารย์ของข้ามีคุณธรรม จงใจเก็บวิชาอภินิหารเอาไว้ ไม่อย่างนั้นวันนี้ก็คงไปเยือนทักษินาตยทวีป ส่วนพรุ่งนี้ก็ไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ภูเขาเงินภูเขาทองล้วนถูกย้ายมาหมด”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ภูเขาเงินภูเขาทองย้ายมาไม่ไหวหรอก กลับเป็นลูกหิมะไม่มีค่าลูกหนึ่งที่เอากลับมาให้เจ้า เจ้าทำงานในมือให้เสร็จก่อน แล้วเดี๋ยวพวกเราค่อยมาปั้นตุ๊กตาหิมะด้วยกันหลายๆ ตัว”
เฉินผิงอันหยิบหิมะลูกใหญ่ที่เก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อของตัวเองออกมา
หากเป็นจุดอื่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ลูกหิมะนี้ยากจะเก็บไว้ได้นาน แต่หากอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อน ขอแค่เอาไปไว้ด้านใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น คาดว่าไม่ต้องทำอะไรก็สามารถเก็บไว้ได้หลายวัน
กวอจู๋จิ่วกล่าวอย่างเบิกบาน “อาจารย์ มอบของขวัญให้ข้าอีกแล้วหรือ?! โชคดีที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่เห็น ไม่อย่างนั้นนางต้องเปลี่ยนฐานะศิษย์พี่ศิษย์น้องกับข้าแน่เลย”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ พูดด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ระวังหน่อยล่ะ ศิษย์พี่หญิงใหญ่ของเจ้าเจ้าคิดเจ้าแค้นนัก สมุดบัญชีเล่มเล็กนั้นของนาง แม้แต่ข้าที่เป็นอาจารย์ก็ยังไม่ยอมให้อ่าน”
กวอจู๋จิ่วนั่งอยู่ที่เดิม ยักไหล่ซ้ายยักไหล่ขวาเลียนแบบศิษย์พี่หญิงใหญ่ วันนี้นางอารมณ์ดีมาก อารมณ์ดีจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีแล้ว
ฆ้องอันน้อยก็ไม่อยู่ข้างมือเสียด้วย น่าเสียดาย น่าเสียดาย
จากนั้นทุกคนในห้องก็เห็นว่าอิ่นกวานหนุ่มที่นั่งอยู่บนธรณีประตูค้อมเอวลง หันหลังให้พวกเขา แล้วเริ่มปั้นตุ๊กตาหิมะตัวเล็กขึ้นในคฤหาสน์หลบร้อนที่อาการเย็นสบายที่สุดท่ามกลางฤดูร้อนที่ร้อนแผดเผานี้
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “เกี่ยวกับเรื่องของ ‘เปียนจิ้ง’ ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยาน อย่าได้เกิดยอกแสลงใจต่อหลินจวินปี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา อีกฝ่ายจงใจวางแผนให้ตัวเองกลายมาเป็นศิษย์พี่ของหลินจวินปี้ก็เพราะมีเป้าหมายใหญ่”
โฉวเหมียวยิ้มกล่าว “พวกเราต่างก็รอฟังประโยคนี้จากใต้เท้าอิ่นกวานอยู่”
และประโยคนี้ของเขาก็ทำให้คนหลายคนถอนหายใจโล่งอกได้จริงๆ
เฉินผิงอันเอ่ยอีกว่า “ใช่แล้ว ทรัพย์สินของถ้ำซานสุ่ย สายอิ่นกวานของพวกเราไม่ได้มีส่วนแบ่งด้วย”
เสียงโห่ดังระงม
กวอจู๋จิ่วใช้สองมือตบโต๊ะ ตะโกนว่าบังอาจ บังอาจ ถือเป็นคนเดียวที่เป็นผู้พิทักษ์ของใต้เท้าอิ่นกวาน
กู้เจี้ยนหลงกับหวังซินสุ่ยคือคนที่โวยวายมากที่สุด แต่ละคนเป่าปากโห่กันสุดเสียง
แม้แต่หลัวเจินอี้ก็บ่นขึ้นมาพร้อมๆ กับต่งปู้เต๋อ
เสวียนเซินและเฉากุ่นก็ยิ่งทอดถอนใจไม่หยุด บอกว่าชีวิตอันยากลำบากที่ต้องตระหนี่ถี่เหนียวแบบนี้ไม่รู้จะผ่านพ้นไปได้อย่างไรแล้ว
เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ “คราวนี้ไม่มีจริงๆ แล้ว”
กวอจู๋จิ่วพูดสมน้ำหน้า “แต่ละคนสมองไม่ค่อยเฉียบไวกันเท่าไรเลยนะ”
เฉินผิงอันกวักมือ “มาดูตุ๊กตาหิมะตัวน้อยที่อาจารย์ปั้นสิ”
กวอจู๋จิ่วกระโดดผลุงขึ้นมา สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กอย่างว่องไวแล้วเดินอาดๆ ข้ามผ่านธรณีประตู นั่งแปะลงไปแล้วนางก็ต้องอึ้งค้างอยู่นาน ก่อนจะถามอย่างขลาดๆ ว่า “อาจารย์ นี่ใครกัน? คือศิษย์พี่หญิงใหญ่ของข้า ใช่ไหม?”
บนหัวโตๆ ของตุ๊กตาหิมะตัวน้อยเสียบใบไผ่เอียงๆ ไว้สองใบ อยู่ในท่าไก่ทองยืนขาเดียว ในมือถือกิ่งไผ่อันหนึ่ง มองดูแล้วซื่อบื้อนัก ไม่งดงามเอาเสียเลย
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มอบให้เจ้า เอาไปวางบนโต๊ะ”
กวอจู๋จิ่วขมวดคิ้วแน่น แสร้งทำท่าคิดหนัก
หันหน้าไปมองต่งปู้เต๋อ ฝ่ายหลังยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นแล้วกดลงบนโต๊ะเบาๆ
กวอจู๋จิ่วจึงได้แต่ประคองตุ๊กตาหิมะน้อยกลับมานั่งที่เดิมเงียบๆ เชื่อฟังคำสั่งของอาจารย์เอาตุ๊กตาหิมะน้อยวางลงบนโต๊ะแต่โดยดี จากนั้นก็ขยับตำแหน่งของมันให้หันหลังให้ตน หันหน้าหาต่งปู้เต๋อ
เฉินผิงอันปัดมือ ลุกขึ้นยืน
นึกถึงเด็กสองคนที่ถูกเซี่ยซงฮวาพาไปยังธวัลทวีป วันหน้าเว่ยจิ้น เส้าอวิ๋นเหยียน รวมถึงเซียนกระบี่ทุกคนที่ออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่หวนคืนสู่บ้านเกิด ต่างก็จะพาตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ที่อายุยังน้อย ขอบเขตยังไม่สูงคนสองคนออกไปด้วย
ผู่กงอิง (ดอกแดนดิไลออน ดอกไม้แห่งความหวัง/ดอกไม้แห่งความสุข) ลอยตามลมไปยังต่างถิ่นต่างแดน
หวังว่าเด็กๆ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เหล่านี้ ในอนาคตจะเป็นอย่างหลิวเสี้ยนหยาง เฉินผิงอันที่ออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูเดินทางไกล ถึงขั้นที่ว่าจะยังมีชีวิตได้ดียิ่งกว่า มีอนาคตสดใสมากกว่า