กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 646.3 ดึงเอาโอสถทอง
ปีศาจใหญ่กวานเซี่ยงพยักหน้ารับ “เป็นผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม สมุดบันทึกของพวกเจ้า ทางฝั่งกระโจมเจี่ยจื่อได้เปิดอ่านอย่างละเอียดแล้ว แผนการรอบคอบรัดกุม ต่อให้ต้องแลกเปลี่ยนหนึ่งต่อหนึ่งกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทางฝั่งของพวกเราก็ยังสามารถยอมรับได้ ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเจ้าไม่เต็มใจมากที่สุด ใช่หรือไม่?”
มู่จีพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว เซียนกระบี่มากมายขนาดนี้ กว่าจะถูกพวกเราบีบให้ออกจากหัวกำแพงเมืองลงมาเข่นฆ่าบนสนามรบได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้อริยะของสามลัทธิจะช่วยสร้างฟ้าดินแห่งหนึ่งขึ้นมาปกป้องพวกเขา แต่ก็ใช่ว่าจะแข็งแกร่งจนมิอาจทำลาย ขอแค่พวกท่านผู้อาวุโสลงมืออย่างเต็มกำลัง หากได้หัวของเซียนกระบี่มาน้อยกว่าสี่หัว ข้ามู่จีก็ยินดีจะให้หลีเจินตัดหัวถือไปขอบพระคุณผู้อาวุโสทุกท่านที่กระโจมเจี่ยจื่อ”
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “อริยะสามลัทธิบนหัวกำแพงเมืองสามารถสร้างแม่น้ำสายยาวขึ้นมาสกัดขวางสนามรบ ลดทอนแรงกดดันให้กับผู้ฝึกกระบี่บนหัวกำแพงเมืองได้กี่ครั้ง พวกเจ้าเคยอนุมานจนได้ผลลัพธ์หรือไม่?”
มู่จีส่ายหน้า “เคยคาดเดามาก่อน แต่เป็นเรื่องที่ลี้ลับเกินไป พวกเราไม่กล้าใช้การคาดเดาของตัวเองเป็นข้อมูลอ้างอิงในการอนุมานทิศทางการดำเนินไปของสนามรบ”
ผู้เฒ่าเอ่ย “เรื่องนี้จะโทษพวกเจ้าไม่ได้จริงๆ เรื่องใหญ่เช่นนี้คงได้แต่รอคำตอบจากกระโจมเจี่ยจื่อเท่านั้น เด็กๆ อย่างพวกเจ้าคิดเหลวไหลกันไปร้อยปี ก็ได้แต่อาศัยการเดิมพันเท่านั้น ผลลัพธ์ที่กระโจมเจี่ยจื่ออนุมานออกมาได้คือสามครั้ง เมื่อผ่านสามครั้งไป รากฐานมหามรรคาของอริยะของสามลัทธิก็จะต้องเสียหาย”
มู่จีกล่าวอย่างกังขา “กระโจมเจี่ยจื่อต้องการจะให้อริยะสามลัทธิตายไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ?”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “หลังจากที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกตีแตก อริยะที่มีเทวรูปซึ่งนั่งบัญชาการณ์บนม่านฟ้าทั้งหลายของใต้หล้าไพศาลจะทำอย่างไร พวกเราขวางไม่อยู่ แต่อริยะสามลัทธิสามคนนี้ต้องตายอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ดังนั้นทางฝั่งกระโจมเจี่ยจื่อจึงมีการตัดสินใจใหม่ ไม่ได้ยอมรับแผนการของพวกเจ้าทั้งหมด แต่ก็ไม่คิดจะนั่งดูดายอยู่เฉยๆ ปล่อยให้พวกเซียนกระบี่เหล่านั้นโอ้อวดบารมี ข้า ฉงกวง โซ่วเฉิน และยังมีอีกสิบกว่าคนที่ขอบเขตสูงมากพอจะลงมืออย่างเต็มกำลัง แต่อาจารย์ของโซ่วเฉินและหลิวป๋าย อาจารย์ของจู๋เชี่ยจะยังคงไม่ลงมืออยู่เหมือนเดิม”
เด็กหนุ่มยิ้มกว้างเอ่ยว่า “พวกผู้อาวุโสในกระโจมเจี่ยจื่อความคิดลึกล้ำยาวไกล ผู้น้อยในกระโจมเจี่ยเซินรู้สึกนับถือจากใจจริง”
ผู้เฒ่าเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “พวกเจ้าต่างหากถึงจะเป็นอนาคตของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเรา พวกเรามีแต่จะแก่ชราเสื่อมสภาพลงไปทุกวัน”
จากนั้นผู้เฒ่าก็หันหน้ามายิ้มเอ่ย “แน่นอนว่าไม่นับรวมโซ่วเฉิน เพราะยังหนุ่มอยู่มาก”
มู่จีพลันเอ่ยว่า “บรรพจารย์กวานเซี่ยง เซียนกระบี่โซ่วเฉิน ข้ายังมีอีกเรื่องที่อยากจะขอร้อง”
ผู้เฒ่ากล่าว “ไหนลองว่ามาสิ”
มู่จีจึงเล่าสถานการณ์การล้อมสังหารที่กระโจมเจี่ยเซินปรึกษากันไว้เรียบร้อยนานแล้วให้ผู้เฒ่าฟังอย่างละเอียด หวังว่าครั้งหน้าที่มีเซียนกระบี่มาเฝ้าบัญชาการณ์แม่น้ำสายยาว ผู้ฝึกกระบี่ห้าคนของกระโจมเจี่ยเซินพวกเขาจะลงสนามรบอย่างพร้อมเพรียงกัน ไปซ่อนตัวอยู่ในกองทัพใหญ่ ร่วมมือกันล้อมสังหารอิ่นกวานคนใหม่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างเฉินผิงอัน ดังนั้นมู่จีจึงหวังว่าทางฝั่งของกระโจมเจี่ยจื่อจะส่งตัวผู้อาวุโสคนหนึ่งมาคอยรับหน้าที่เปิดทางถอยให้แก่พวกเขา แน่นอนว่าฝั่งของกระโจมเจี่ยเซินเองก็จะตรวจสอบดูโอกาสและสถานการณ์ให้ดี จะไม่รีบเปิดเผยตัวตนตั้งแต่แรก จนเป็นเหตุให้ผู้อาวุโสที่รับผิดชอบเปิดทางผู้นั้นต้องตกอยู่ในอันตรายเด็ดขาด
ผู้เฒ่าเอ่ย “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ข้าพยักหน้าตอบตกลงไปก็ไม่มีความหมาย จะต้องไปบอกกล่าวทางกระโจมเจี่ยจื่อสักคำ พวกเจ้ารอฟังข่าวจากข้าแล้วกัน”
เด็กหนุ่มเอ่ยขอบคุณ
หลิวป๋ายเอ่ย “ศิษย์พี่โซ่วเฉิน จะต้องให้อาจารย์ตอบตกลงให้ได้นะเจ้าคะ”
โซ่วเฉินกล่าวอย่างระอาใจ “ก็ต้องดูว่าผลลัพธ์จากแผนการน้อยใหญ่สองแผนของพวกเจ้าเป็นอย่างไร ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของอาจารย์ เจ้าก็ใช่ว่าจะไม่รู้เสียหน่อย”
นอกจากแผนการใหญ่ที่ใช้รับมือกับเซียนกระบี่ซึ่งออกจากเมืองมาเฝ้าแม่น้ำสีทองแล้ว
อันที่จริงยังมีการงัดข้อกันของคนรุ่นหนุ่มสาวของสองฝ่ายที่เป็นดั่งคลื่นใต้น้ำกำลังก่อตัวอยู่ด้วย
กระโจมหลายแห่งร่วมมือกันวางแผนโดยมีกระโจมเจี่ยเซินเป็นผู้นำ คัดเลือกนักรบเดนตายเผ่าปีศาจมาหนึ่งกลุ่มใหญ่ ล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่เซียนดินที่ติดค้างอยู่ในขอบเขตโอสถทองหรือไม่ก็คอขวดก่อกำเนิดมาหลายปี
เหล่าผู้กล้าจากทุกสารทิศที่แม้จะกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่แล้วก็ยังต้องตกมาเป็นนักรบเดนตายเหล่านี้ ก่อนจะกระโจนลงสู่สนามรบ ในมือแต่ละคนจะมีสมุดเล็กเล่มหนึ่งที่กระโจมเจี่ยเซินเป็นผู้เขียน ด้านบนบันทึกข้อมูลของผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์ห้าสิบคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่เอาไว้
หนิงเหยาอยู่ในหน้าแรก
ฉีโซ่ว เกาเหย่โหว ผังหยวนจี้ ซือถูเหว่ยหรัน หลัวเจินอี้ เฉินซานชิว ต่งฮว่าฝู เตี๋ยจ้าง เยี่ยนจั๋ว สวีหนิง ฉางไท่ชิง กู้เจี้ยนหลง กวอจู๋จิ่ว เกาโย่วชิง…
รายชื่อยาวเหยียด ขอบเขต กระบี่บิน วิชาอภินิหารของกระบี่บิน นิสัยใจคอ นิสัยยามเข่นฆ่า สหายสนิทที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะปรากฎตัวอยู่บนสนามรบเดียวกันมีใครบ้าง ล้วนมีบันทึกไว้ในสมุดอย่างละเอียดจนแทบจะเรียกได้ว่ายิบย่อย
คาดว่าต่อให้จะแตกต่างจากเอกสารคดีของสายอิ่นกวานในกำแพงเมืองปราณกระบี่อยู่บ้าง แต่ก็คงต่างกันไม่มากเท่าไร
เพียงแต่ว่าผังหยวนจี้ถูกบันทึกเอาไว้ แต่ก็ถูกตัดชื่อออกไป แล้วใช้พู่กันหมึกแดงเขียนลงไปว่า ‘ห้ามฆ่า’
ในช่วงเวลาระหว่างนี้มีผู้ฝึกกระบี่เฒ่าโอสถทองของเผ่าปีศาจที่เป็นฝ่ายเสนอตัวว่าจะเป็นนักรบเดนตาย ก่อนจะไปยังสนามรบพลันถูกกระโจมทัพเรียกตัวมาสังหารทิ้ง
ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจที่อยู่ด้านข้างอึ้งตะลึง แต่ก็ไม่คิดอะไรมาก ตายไปแล้ว แค่ตายเร็วเท่านั้น หากไม่ตายก็ไม่จำเป็นต้องเห็นเป็นเรื่องสนุก เพราะก็แค่ตายช้าหน่อยเท่านั้นเอง
คาดว่าน่าจะเป็นคนทรยศที่คิดจะส่งข่าวให้แก่กำแพงเมืองปราณกระบี่กระมัง
เรื่องเล็กๆ ที่เกี่ยวข้องกับเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ เกี่ยวข้องกับผู้ฝึกกระบี่และความเป็นความตาย เกี่ยวข้องกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างและกำแพงเมืองปราณกระบี่เหล่านี้ล้วนหายไปท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาตลอดกาลทั้งอย่างนี้ เหมือนจอกแหนใบหนึ่งที่ล่องลอยตามกระแสน้ำมาอย่างยาวนาน อยู่ดีๆ หมุนคว้างแล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
กำแพงเมืองปราณกระบี่ยุคสมัยนี้มีผู้มากความสามารถมากมาย ถูกขนานนามว่าเป็นช่วงเวลาอันดีงามใหญ่ครั้งที่สองของตัวอ่อนเซียนกระบี่ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมา สิ่งที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างต้องทำต่อจากนี้ก็คือเอาปียิ่งใหญ่ที่ดีงามของอีกฝ่ายมาบดขยี้ให้กลายเป็นปีเล็กๆ ไร้ความหมาย โดยจ่ายค่าตอบแทนเป็นชีวิตของผู้ฝึกกระบี่เซียนดินฝ่ายตัวเอง
มองดูเหมือนว่าต่อให้ทำสำเร็จแล้วก็ยังไม่ถือว่าได้กำไร
แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ได้เป็นเช่นนี้
และความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ปณิธานกระบี่บริสุทธิ์ที่หลงเหลืออยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยิ่งเป็นปณิธานกระบี่ที่เก่าแก่ยาวนานเท่าไรก็ยิ่งไม่ผลักไสผู้ฝึกกระบี่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมากเท่านั้น ขอแค่ฝ่ายหลังมีจิตแห่งกระบี่ที่ใสสะอาดมากพอก็สามารถได้รับความโปรดปรานจากปณิธานกระบี่บรรพกาลเหล่านั้นให้คว้าโอกาสบนมหามรรคามาได้เช่นกัน
ใต้หล้าทั้งหลายบนโลกใบนี้ หากพูดถึงแค่โชคชะตาบนวิถีกระบี่ กำแพงเมืองปราณกระบี่รุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่ที่สุด
ถ้าอย่างนั้นหากกำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกตีแตก เซียนกระบี่ตายสิ้น บวกกับผู้มีพรสวรรค์อายุน้อยที่รอดชีวิตมีน้อยลงเรื่อยๆ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็จะช่วงชิงโชควาสนาเหล่านี้มาได้มากกว่าเดิม เมล็ดพันธ์ร้อยเซียนกระบี่ก็จะเหมือนได้รับฝนรสหวานไร้รูปลักษณ์ที่ผลักดันให้เติบโตได้อย่างรวดเร็ว
……
บนสนามรบ ผู่อวี๋เองก็ไม่ได้อยู่เฉย พยายามเรียกกระบี่บิน ‘ม่านฝน’ ออกมาใช้อย่างสุดกำลัง ต่อให้ช่วยอะไรมากไม่ได้ แต่ก็พยายามจะทำให้ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าไม่ต้องถึงขั้นตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมอันตรายเพียงเพราะช่วยพวกเขา เพราะถึงอย่างไรเรื่องของการบำรุงกระบี่บินด้วยความอบอุ่นของผู้ฝึกกระบี่ นอกจากจะต้องหล่อหลอมปณิธานกระบี่แล้ว การหลอมตัวกระบี่ก็สามารถช่วยหลอมเรือนกายให้แข็งแกร่งได้เช่นกัน แต่เผ่าปีศาจนั้นมีร่างกายที่แข็งแกร่งทนทานมาแต่กำเนิด หากเป็นผู้ฝึกกระบี่ด้วย ถ้าอย่างนั้นระดับความแข็งแกร่งของเรือนกายก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนถึงขั้นเกินจริง
เริ่นอี้ก็ยิ่งร่วมมือกับวิชาอภินิหารกระบี่บินของผู่อวี๋ ใช้กระบี่บินที่มีความเร็วสูงสุดลอบสังหารผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจ เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายมีผู้ฝึกตนโอสถทองที่จงใจสละผู่อวี๋และเริ่นอี้ทิ้ง เว้นเสียแต่ว่ากระบี่บินเข้าประชิดตัว ไม่อย่างนั้นมันก็จะหันไปเล่นงานผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยที่ขอบเขตไม่สูงโดยเฉพาะ บีบให้ผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์สองคนนี้ยากจะออกกระบี่ได้อย่างเต็มความสามารถ
ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์คนอื่นๆ ก็ได้รับคำเตือนจากผู่อวี๋และเริ่นอี้ ตอนนี้จึงแค่รับมือไปตามแผนการ บังคับกระบี่บินให้ปกป้องแค่ตัวเองเท่านั้น
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่แอบเก็บโอสถทองใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออย่างลับๆ ล่อๆ ผู้นั้น ดูเหมือนว่าจะถูกโจมตีอย่างแรง ร่างกระเด็นหวือออกไป พลิกตลบอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืน ‘กระอักเลือด’ ใส่ฝ่ามือ จากนั้นก็เรียกกระบี่บินออกมาทิ่มแทงผู้ฝึกกระบี่เดนตายที่สิ้นลมไปแล้วมั่วซั่วอุตลุดอยู่พักหนึ่ง แล้วร่างของเขาก็ลอยหวือไปด้านข้างอีกครั้ง เท้าไถลครูดห่างไปหลายจั้ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนโงนเงน ยกมือเช็ดคราบเลือดบนใบหน้า
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่ายื่นมือออกมา กำกระบี่ยาวของหอกระบี่ที่อยู่บนพื้นไว้ในมือ
แล้วก็มีแสงกระบี่เฉียบคมอีกเส้นหนึ่งพุ่งมาถึงในเสี้ยววินาที
คือผู้ฝึกกระบี่โอสถทองของเผ่าปีศาจอีกคน!
ผู้เฒ่าถือกระบี่ยาวไว้ในมือ สกัดกั้นแสงกระบี่เส้นนั้น ร่างทั้งร่างถอยกรูดออกไป ไถขูดให้พื้นดินเกิดร่องยาวที่ไล่จากลึกมาตื้น
สุดท้ายกระบี่ยาวจากหอกระบี่ถูกแสงกระบี่ฟันหักท่อน ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าใช้นิ้วทำมุทราบังคับกระบี่หักให้ทยอยกันกลับเข้าฝัก จากนั้นก็คุมเชิงอยู่กับนักรบเดนตายที่เป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองซึ่งออกมาจากขบวนรบเพียงลำพังอยู่ไกลๆ
ไม่เพียงแค่ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างพวกผู่อวี๋เท่านั้นที่ตกตะลึง ต่อให้เป็นโอสถทองและทหารใต้บังคับบัญชาเผ่าปีศาจก็ยังมึนงง เมื่อใดกันที่ฝ่ายของตนมีผู้ฝึกกระบี่ที่มีค่าที่สุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมาเพิ่มตั้งสองคน?
ในใจเฉินผิงอันพอจะมั่นใจได้คร่าวๆ แล้ว
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้หาทางหนีทีไล่ไว้สำหรับการสกัดกั้นสนามรบในครั้งนี้แล้ว
ยกตัวอย่างเช่นเรียกเอาตัวนักรบเดนตายที่เป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองมารับมือกับผู่อวี๋ เริ่นอี้โดยเฉพาะ
อายุมากแล้ว มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ชีวิตนี้ยากจะฝ่าคอขวด ไร้ความหวังบนมหามรรคา มาทำหน้าที่เป็นนักฆ่าเดนตายย่อมเหมาะสมที่สุด
หากทุกหนทุกแห่งในสนามรบล้วนเป็นเช่นนี้ เป็นแผนการรอบคอบรัดกุมที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างคาดการณ์ไว้นานแล้ว สำหรับผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว นี่จะเป็นปัญหาที่ยุ่งยากอย่างมาก
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่คิดจะรั้งรออยู่นาน จัดการเก็บกวาดสนามรบจุดนี้ ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปให้เว่ยจิ้น แล้วให้เขานำข่าวส่งไปที่คฤหาสน์หลบร้อน จากนั้นก็ต้องรีบไปที่สนามรบแห่งนั้นโดยเร็ว
เพราะถึงอย่างไรตนก็ยังเป็นอาจารย์กระบี่ผู้คุ้มกันของฟ่านต้าเช่อ เรื่องที่รับปากเอาไว้ ถึงอย่างไรก็ต้องทำให้ได้
เฉินผิงอันม้วนชายแขนเสื้อ กระทืบเท้าหนึ่งที ร่างพลันหายไปจากจุดเดิม
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองเผ่าปีศาจคนนั้นทำตัวไม่ถูกอย่างเห็นได้ชัด ปล่อยกระบี่บินออกไปแล้วแต่ดันหาตัวคนไม่เจอ จะทำอย่างไร
พริบตานั้นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายของความแก่ชราก็ปลิวกระเด็นออกไป เรือนกายที่แข็งแกร่งผิดปกติกระแทกทะลุวงล้อม ชนโดนเผ่าปีศาจจนพวกเดียวกันเองเลือดเนื้อแตกกระจาย ตายคาที่
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่สะพายกระบี่ของหอกระบี่และสวมชุดคลุมของหอภูษาเหมือนเงาตามติด ไม่รอให้ร่างของผู้ฝึกกระบี่โอสถทองร่วงลงพื้นก็ปล่อยหมัดที่สองออกไป ระเบิดทั้งเรือนกายและโอสถแห่งชะตาชีวิตของศัตรูให้แหลกเป็นจุลไปพร้อมกัน
นาทีถัดมาผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่พลิ้วกายลงพื้นก็ส่งกระบี่บินกลับไปยังหัวกำแพงเมืองอย่างเงียบเชียบ บอกให้ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินที่เฝ้าพิทักษ์อยู่บนหัวกำแพงจำเป็นต้องดึงคนส่วนหนึ่งออกมา อำพรางลมปราณแล้วออกจากหัวกำแพง พยายามเป็นฝ่ายเอาคืนด้วยการดักสังหารผู้ฝึกกระบี่เดนตายของฝ่ายตรงข้ามให้ได้มากที่สุด
กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจบนสนามรบจุดนี้เหมือนฝูงสัตว์ที่แตกฮือ เผ่นหนีเอาชีวิตรอดกันอย่างบ้าคลั่ง ผู้ฝึกตนโอสถทองเผ่าปีศาจหลายคนก็ยิ่งทะยานลมไปอย่างว่องไว พากันเรียกสมบัติอาคมที่ใช้ในการป้องกันตัวออกมา ขอแค่ไม่ถอยห่างจากทางทิศใต้ไปมากนัก คิดจะผลัดเปลี่ยนสนามรบแล้วเปิดฉากเข่นฆ่าต่อก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดใหญ่อะไร นอกจากนี้ตอนนี้สนามรบถูกกั้นขวางสกัดกลาง ขุนนางผู้ตรวจตราการศึกของใต้หล้าเปลี่ยวร้างย่อมไม่มีเวลามามัวสนใจพวกที่ถอยทัพเพราะขลาดกลัวได้จริงๆ แม้จะบอกว่าเผ่าปีศาจที่ลงสนามรบล้วนทุ่มสุดชีวิตเพื่อช่วงชิงคุณความชอบมาครอง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ว่ารู้ว่าต้องตายแล้วยังรนหาที่ตาย ต่อให้ได้ไปลูบกำแพงเมืองแค่ทีสองทีก็ยังดี จะดีจะชั่วก็ยังถือว่าเป็นคุณความชอบครั้งหนึ่ง
ผู้ฝึกกระบี่ทั้งหลายซึ่งมีผู่อวี๋เป็นคนหนึ่งในนั้นแค่ต้องไล่ฆ่าไปเท่านั้น
เริ่นอี้ชำเลืองตามองผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่ทะยานลมจากไปไกลด้วยสีหน้าซับซ้อน
ผู่อวี๋กล่าวอย่างจนใจ “ไม่ต้องเดาแล้ว ก็คือเถ้าแก่รองชาติสุนัขผู้นั้นนั่นแหละ”
เพียงแต่ทั้งสองคนต่างก็ไม่เข้าใจ เหตุใดเพิ่งไม่เจอกันแค่ปีเดียว คนหนุ่มที่กลายเป็นอิ่นกวานคนใหม่ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างไรอย่างนั้น
โดยเฉพาะจิตสังหารอันเข้มข้นของหมัดสุดท้ายนั่น ต่อให้เป็นคนรุ่นเยาว์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เป็นฝ่ายเดียวกันเองก็ยังรู้สึกปรับตัวไม่ค่อยได้ เกิดความรู้สึกหายใจติดขัดอย่างเลี่ยงไม่ได้
หากเป็นศัตรูกับอีกฝ่ายบนสนามรบ จะเป็นความรู้สึกแบบใดกัน?
ผู้ฝึกกระบี่มากพรสวรรค์สองคนที่ผ่านประสบการณ์การเข่นฆ่ามาอย่างโชกโชนสลัดความคิดวุ่นวายทั้งหมดในใจทิ้งแทบจะเวลาเดียวกัน จิตใจโล่งสว่าง จิตแห่งกระบี่ใสสะอาด พยายามออกกระบี่ให้ได้เร็วที่สุด
ส่วนอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นจะเป็นผู้ฝึกกระบี่แล้ว หรือว่าเป็นแค่การเสแสร้งแบบใหม่ ทั้งสองคนต่างก็คร้านจะคาดเดา ถึงอย่างไรก็เดาไม่ถูกอยู่แล้ว ความจริงเป็นเช่นไร มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้
ไม่ว่าจะอย่างไร รู้แค่ว่าเจ้าคนที่แท้จริงแล้วถือว่าเป็นคนวัยเดียวกันผู้นั้น
ทุกวันนี้อีกฝ่ายสังหารโอสถทองได้เหมือนเด็ดต้นหญ้า
ใต้หมัดและกระบี่ของคนผู้นี้ล้วนมีแต่มดตัวน้อย ก็พอแล้ว