กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 647.1 ทะลวงขบวนรบ
ทะเลเมฆเหนือม่านฟ้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ อริยะลัทธิเต๋าลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะผู้ที่มาเยือนอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ยิ้มเอ่ย “หาได้ยากๆ”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “มองไกลจากมุมสูง เมื่อเทียบกับสิ่งที่มองเห็นจากกระท่อมเล็กๆ ผุพังของข้าแล้ว ทัศนียภาพของที่นี่ดีกว่ามาก”
เอ่ยคำพูดเกรงใจตามมารยาทกันจบก็ไม่มีเรื่องให้พูดคุยกันอีกแล้ว
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่มาเยือนเหนือทะเลเมฆอย่างที่หาได้ยากผู้นี้จึงทำเพียงแค่มองไปยังสนามรบที่วุ่นวายอึกทึกทางทิศใต้
เทพเซียนผู้เฒ่าของลัทธิเต๋าพลันถามว่า “เหตุใดถึงดูเหมือนว่าอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นคล้ายจะมีอคติต่อข้าผู้เป็นนักพรต?”
เฉินชิงตูเอ่ย “เขาก็มีอคติต่อตลอดทั้งลัทธิเต๋านั่นแหละ หาใช่ตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับเจ้าคนเดียวไม่ อันที่จริงเขาเองก็รู้ว่าทำเช่นนี้ไม่เหมาะ เพียงแต่ว่ายังไม่อาจเปลี่ยนความคิดของตัวเองได้”
มักจะมีคนประหลาดบางคนที่สามารถวางเรื่องราววางคำพูดของตัวเองได้ลง มีเพียงคำพูดและการกระทำบางอย่างของคนข้างกายเท่านั้นที่กลับกลายเป็นว่ากักเก็บไว้นาน ยากจะปล่อยวาง
คนแบบนี้อันที่จริงเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็เคยพบเห็นมาไม่น้อย ไม่ต้องพูดถึงใครอื่นไกล ใกล้ๆ นี้ก็มีจั่วโย่ว แน่นอนว่ามีผังหยวนจี้ด้วย
อริยะลัทธิเต๋ายกชายแขนเสื้อขึ้น เริ่มนับนิ้วคำนวณ นักพรตเต๋าไม่ยินดีทำอย่างนี้เป็นการส่วนตัว เพียงแต่ว่าในเมื่อเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสปรากฎตัวแล้วจึงไม่มีพันธนาการอะไรอีก คำนวณอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่าจะมีบุญคุณความแค้นยิ่งใหญ่ขนาดนั้นล้อมพันตัวอยู่ มิน่าเล่า มิน่าเล่า”
ตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ อริยะลัทธิเต๋าท่านนี้คือคนที่อยู่ห่างไกลจากฝุ่นผงในโลกโลกีย์มากที่สุด สามารถฝึกตนอย่างสงบได้อย่างแท้จริง อย่าว่าแต่กิจธุระในกำแพงเมืองปราณกระบี่เลย ต่อให้เป็นเรื่องราวขึ้นๆ ลงๆ ในลัทธิเต๋าบ้านของตนก็ยังไม่คิดจะสนใจ
ไม่มีใครมาหาเขาที่นี่ เขาก็ไม่คิดจะเป็นฝ่ายไปหาใคร
เทพเซียนผู้เฒ่าลัทธิเต๋าที่รับหน้าที่เฝ้าพิทักษ์กำแพงเมืองปราณกระบี่ท่านนี้คือยอดฝีมือผู้บรรลุมรรคาสายลูกศิษย์ใหญ่ของมรรคาจารย์เต๋า หากกลับไปเยือนป๋ายอวี้จิงในใต้หล้ามืดสลัวแห่งนั้น ห้านครสิบสองหอเรือน เรือนหนึ่งในนั้นที่สูงอย่างถึงที่สุดก็คือถ้ำสถิตตระกูลเซียน คือสถานที่ฝึกตนของเขา
เฉินชิงตูเอ่ย “หลายปีมานี้ทำให้เจ้าต้องเสียเวลาเปล่า ยากที่จะพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้นได้ ลำบากเจ้าแล้ว”
นักพรตเต๋ารีบประสานมือคารวะ “มิกล้าๆ”
เฉินชิงตูกล่าวอย่างอ่อนใจ “หากเจ้าเด็กนั่นมาพบเจ้า คาดว่าเจ้าสองคนคงคุยกันได้ถูกคอ”
นักพรตเต๋านับนิ้วคำนวณอีกครั้ง แล้วส่ายหน้าเอ่ย “ไม่แน่เสมอไปหรอก”
เฉินชิงตูจึงไม่คิดจะพูดอะไรให้มากความอีก เพียงแต่ว่าเพิ่งจะมาก็กลับเลย คงไม่ค่อยดีสักเท่าไร จึงยืนอยู่ที่เดิม หลุบตาลงต่ำมองสนามรบ
นักพรตเต๋าพลันร้องเอ๊ะขึ้นมาหนึ่งที “อิ่นกวานหนุ่มผู้นี้ของเรามีความเกี่ยวข้องกับนักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูของพวกเราด้วยหรือนี่?”
เจ้าอารามเสวียนตู ซุนไหวจง เวทกระบี่เลิศล้ำค้ำฟ้ามานานแล้ว
อีกทั้งยังถูกขนานนามให้เป็นบุคคลอันดับห้าที่ฟ้าผ่าก็ไม่มีทางขยับเขยื้อนของใต้หล้ามืดสลัว
นักพรตเต๋าเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ยิ่งคิดไม่ถึงว่านักพรตซุนผู้นี้จะออกจากใต้หล้าบ้านตัวเองมาเยือนใต้หล้าไพศาล”
ไม่คำนวณก็แล้วไป แต่พอคำนวณก็คำนวณได้ร้อยพัน จนแทบจะล่วงรู้ฟ้าลิขิต
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “สายเซียนกระบี่ของลัทธิเต๋าสายนั้นพอจะมีดีอยู่บ้าง นักพรตซุนผู้นั้นก็เป็นคนที่น่าสนใจไม่น้อย”
ขอแค่พูดถึงเรื่องกระบี่แล้วเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘พอจะมีดีอยู่บ้าง’ นั่นก็แสดงว่าต้องมีดีมากจริงๆ
ไม่อย่างนั้นเฉินชิงตูที่กินอิ่มว่างงานจะคอยพร่ำพูดอยู่ข้างหูจั่วโย่วทุกสามวันห้าวันว่าเวทกระบี่ของเจ้าไม่สูงมากพอหรือ? และหากพูดถึงแค่เวทกระบี่ อันที่จริงจั่วโย่วก็คือบุคคลอันดับหนึ่งอย่างสมศักดิ์ศรีของใต้หล้าไพศาลมานานแล้ว
กระบี่เซียนสี่เล่ม ช่วงแรกเริ่มสุดก็คือตัวแทนของ ‘ทฤษฎีที่มีชื่อเสียง’ สี่สายของวิถีกระบี่ในใต้หล้า
จวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์มีเล่มหนึ่ง บัณฑิตที่เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเล่มหนึ่ง เต๋าเหล่าเอ้อร์ครอบครองเล่มหนึ่ง บวกกับเล่มสุดท้ายที่ใต้หล้าไพศาลป่าวประกาศแก่คนภายนอกมาโดยตลอดว่าหอสยบกระบี่หนึ่งในเก้าหอพิทักษ์เมืองเป็นผู้สยบเอาไว้
ในความเป็นจริงแล้วกระบี่เซียนเล่มที่อยู่ในมือของบัณฑิตทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางนั้น เดิมทีควรเป็นของสายเซียนกระบี่ลัทธิเต๋าสายนี้ ตามเหตุตามผลแล้วก็ควรถูกตั้งบูชาไว้ในศาลบรรพจารย์ของอารามเสวียนตู เพียงแต่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันไปถึงเส้นสายต้นกำเนิดที่ซับซ้อนอย่างถึงที่สุด บวกกับที่ซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตูเป็นผู้บำเพ็ญตนประเภทที่ว่ามีกลิ่นอายของจอมยุทธมากกว่ากลิ่นอายกระบี่ จึงไม่เคยคิดจะอาศัยอำนาจไปช่วงชิงมันกลับคืนมายังอารามเสวียนตูแห่งใต้หล้ามืดสลัว
นี่ถึงได้มีวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่บัณฑิตคนหนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟันผ่าถ้ำสวรรค์หวงเหอ แล้วจึงมีประโยคที่ว่า ‘ป๋ายเหย่ซือไร้เทียมทาน คือความภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์’ เลื่องลือไปทั่วใต้หล้า
นักพรตเฒ่าเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “อยู่ๆ ก็คิดถึงอารามเสวียนตูแห่งนั้นขึ้นมา ยามที่ดอกท้อบานสะพรั่ง หากบนดอกท้อมีนกขมิ้นเกาะอยู่ด้วยจะยิ่งชวนให้คนเคลิบเคลิ้ม ไม่กล้ากะพริบตา มีเพียงจิตใจที่หวั่นไหว”
เฉินชิงตูยิ้มเอ่ย “ไม่ใช่ว่า ‘งดงามอย่างถึงที่สุด’ เลยหรือ?”
นักพรตเต๋าส่ายหน้า “คำนี้ธรรมดาไปแล้ว”
……
กิจการของร้านเหล้าที่เป็นคูหาติดกันสามร้านซบเซา อันที่จริงไม่เพียงแต่ร้านนี้เท่านั้น ร้านเหล้าเหลาสุราทั้งหมดในนครก็ล้วนเป็นเช่นนี้
มีเพียงคนแก่ สตรี เด็กและคนอ่อนแอ หรือไม่ก็บุรุษที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตถูกทำลาย ไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่เท่านั้นที่จะอยู่ในนคร แล้วนับประสาอะไรกับที่สงครามบนหัวกำแพงเมืองนั้นดุเดือดรุนแรง น้อยคนนักที่จะมาจ่ายเงินซื้อเหล้าดื่มในเวลานี้
ลูกจ้างในร้านสองคนที่เป็นคนวัยเดียวกันอย่างเด็กหนุ่มชิวหล่งและเด็กสาวหลิวเอ๋อต่างก็ประหลาดใจ เพราะเด็กชายเถาป่านเพื่อนร่วมงานที่อายุน้อยที่สุดในร้าน ก่อนหน้านี้เฝิงคังเล่อวิ่งตะบึงมากระซิบข้างหูเขาอยู่พักหนึ่ง ทั้งสองก็พากันวิ่งไปไกล กระทั่งกลับกันมาอีกครั้ง เด็กทั้งสองต่างก็หน้าเขียวจมูกบวม เนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่น พอนั่งลงแล้วเฝิงคังเล่อก็บอกให้ท่านพ่อของตนทำบะหมี่หยางชุนมาให้สองถ้วยใหญ่ คนทั้งสองเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ เพราะตัวเล็กเกินไป เท้าทั้งสองจึงลอยพ้นเหนือพื้น เด็กทั้งสองเลยต้องยืดตัวฟุบกินบะหมี่จากบนโต๊ะ ไม่มีผักดอง เพราะเถาป่านบอกว่าไม่ซื้อเหล้าก็ไม่มีผักดองให้กิน นี่คือกฎของร้าน
หลิวเอ๋อนั่งลงด้านข้าง ยิ้มถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
เฝิงคังเล่อท่าทางไม่สบอารมณ์ เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินบะหมี่
เถาป่านเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “พวกตะพาบน้อยกลุ่มหนึ่งด่าเถ้าแก่รองของพวกเราว่าไร้จิตสำนัก ไม่ใช่คนดี สรุปก็คือล้วนเป็นถ้อยคำที่ไม่น่าฟัง สมควรโดนอัดไหมล่ะ? ข้ากับคังเล่อก็เลยซ้อมพวกเขาไปรอบหนึ่ง”
เด็กสาวเอ่ยสัพยอก “สรุปแล้วใครซ้อมใครกันแน่?”
เฝิงคังเล่อหลุดหัวเราะพรืด “เพราะพวกเขาคนเยอะกว่าหรอกนะ พวกเราสองคนจะสู้ไหวได้อย่างไร วีรบุรุษท่องยุทธภพ สองหมัดยากจะต่อกรกับสี่มือของศัตรู ในตำราล้วนกล่าวเช่นนี้ เรื่องแค่นี้เจ้าก็ไม่รู้หรือ?”
เถาป่านยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห “ที่น่าโมโหที่สุดก็คือพวกคนที่ดูเรื่องสนุกอยู่ด้านข้าง แต่ละคนฟังเรื่องเล่าไม่คิดเงินจากเถ้าแก่รองไปมากมายขนาดนั้น ไม่รู้จักช่วยพวกเราซะบ้าง คนกลุ่มนี้ต่างหากที่ยิ่งไร้จิตสำนึก”
หลิวเอ๋อกลั้นยิ้ม “ข้าจะไปเอาไข่มาสองฟอง ให้พวกเจ้ากินลดบวม”
เถาป่านพยักหน้า “คังเล่อ ให้ท่านพ่อเจ้าทำบะหมี่หยางชุนอีกสองชาม พวกเรากินกันคนละชาม บวกกับไข่ดาวอีกคนละฟอง อร่อยนักล่ะ”
เฝิงคังเล่อขยับศีรษะมาใกล้ กระซิบเสียงเบา “อย่าๆๆ พวกเราได้รับบาดเจ็บ หายช้าหน่อยสิจึงจะดี ให้เถ้าแก่รองเห็นย่อมดีที่สุด”
เถาป่านถาม “ทำไมล่ะ? เถ้าแก่รองขี้เหนียวขนาดนั้น ไม่มีทางให้เงินเจ้าหรอก”
เฝิงคังเล่อหัวเราะหึหึ “ข้าก็จะได้ฟังเรื่องเล่าเพิ่มมากขึ้นน่ะสิ”
เถาป่านกลอกตามองบน “จากนั้นก็ไปเล่าให้นังหนูนั่นฟัง? เจ้าน่ะ อายุยังน้อยเกินไป ไม่รู้หรอกว่าแม่นางน้อยที่หน้าตางดงามพวกนี้ก็เจ้าเล่ห์เหมือนกัน ในบ้านมีเงินหรือไม่มีเงิน นี่ต่างหากที่สำคัญที่สุด”
เฝิงคังเล่อยิ้มกล่าว “ตอนนี้ที่บ้านข้ามีเงินแล้ว”
เถาป่านกินบะหมี่หยางชุนเงียบๆ
เฝิงคังเล่อเกาหัว พูดเสียงเบา “เถาป่าน วันหน้าหากเจ้าขาดเงินใช้ จำไว้ว่าจะต้องมายืมข้าก่อน ในไหใบนั้นของข้ามีแต่เงินเหรียญทองแดง ตอนนี้หนักมากเลยล่ะ ข้าใกล้จะยกไม่ไหวแล้ว! แต่นั่นล้วนเป็นเงินแต่งเมียของข้า รอให้เมื่อไหร่ที่ข้าต้องแต่งเมีย เจ้าต้องเอามาคืนข้าด้วยนะ”
ไม่ว่าเรื่องอะไรเฝิงคังเล่อก็ล้วนเล่าให้เถาป่านฟัง มีครั้งหนึ่งเล่าถึงเรื่องน่าน้อยใจของตัวเอง กลางดึกเขาลุกขึ้นไปฉี่นอกประตู ผลคืองัวเงียเลยนั่งหลับอยู่ข้างไม้กวาดตรงประตู หลับเป็นตายเลยทีเดียว ท่านพ่อท่านแม่หาตัวเขาอยู่ครึ่งคืน กว่าจะหาเขาเจอได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ท่านแม่เลยตีเขาจนก้นลาย เจ็บมากจนเขาแหกปากร้องไห้ดังลั่น เพียงแต่ว่าพอเถาป่านได้ยินเรื่องนี้กลับก้มหน้าร้องไห้ ภายหลังเฝิงคังเล่อถึงได้รู้ว่าบรรพบุรุษแต่ละรุ่นของเถาป่านจนมาถึงพ่อแม่ของเขาล้วนทำงานอยู่ในหอภูษา ตลอดทั้งปีเถาป่านไม่เคยมีโอกาสได้พบหน้าพ่อแม่ของตัวเอง
เถาป่านพลันยิ้มเอ่ยว่า “อันที่จริงข้าก็ชอบแม่หนูนั่นอยู่เหมือนกัน”
เฝิงคังเล่อปากอ้าตาค้าง
เถาป่านหัวเราะฮ่าๆ “หลอกเจ้าเล่นหรอกน่า สตรีนี่นะ มีอะไรให้น่าชอบกัน”
เฝิงคังเล่อก็หัวเราะตามไปด้วย
เด็กหนุ่มชิวหล่งเอาไข่มาสองฟอง ยิ้มเอ่ยว่า “จดลงบัญชีของข้า”
เถาป่านยกนิ้วโป้งให้เขาเลียนแบบเถ้าแก่รอง “ใจกว้าง”
เฝิงคังเล่อพยักหน้า “ข้ากับเถ้าแก่รองเป็นสหายรักที่สนิทสนมกันมาก วันหน้าจะให้เขาเป็นพ่อสื่อ ยกหลิวเอ๋อให้เจ้า”
เด็กหนุ่มอับจนคำพูด
เด็กสาวหน้าแดงก่ำ เขินอายจนหน้าแดงดุจดอกท้อ
……
คฤหาสน์หลบหนาวของสายอิ่นกวานว่างเปล่ามาโดยตลอด ทว่าวันนี้กลับมีคนมาเพิ่มสิบกว่าคน
นอกจากหญิงชราผมขาวโพลนคนหนึ่งแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นเด็กเล็ก อายุน้อยสุดก็สี่ห้าขวบ อายุมากสุดก็แค่เจ็ดแปดขวบเท่านั้น มีทั้งชายและหญิง ชาติกำเนิดต่างกันราวฟ้ากับเหว มีทั้งลูกหลานคนรวยที่กินอิ่มนอนอุ่นของถนนไท่เซี่ยง ถนนอวี้ฮู่ แล้วก็มีเด็กยากจนที่ต้องตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดอยู่ในหมู่ชาวบ้าน
หญิงชราเอ่ย “พวกเจ้าล้วนเป็นตัวอ่อนผู้ฝึกยุทธ เมื่อก่อนกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราก็พอจะมีปรมาจารย์ด้านการฝึกยุทธอยู่บ้าง เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่ล้วนอายุไม่ยืน ยากที่จะมีชีวิตได้เกินร้อยปี เส้นทางสายวรยุทธนั้นต้องอาศัยพรสวรรค์ ยิ่งอาศัยความมานะพยายามในภายหลัง ดังนั้นหากอายุสั้น ขอบเขตย่อมไม่มีทางสูงไปได้แน่ ข้าถือว่าเป็นคนที่ค่อนข้างโชคดี พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร?”
เด็กคนหนึ่งที่มาจากตรอกไท่เซี่ยง อายุน้อย แต่กล้าหาญมาก พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนเยาว์ไร้เดียงสา “ป๋ายหมัวมัวแห่งจวนหนิง หมัวมัวผู้เฒ่าที่หมัดแข็งมาก”
“ใช่ ข้าชื่อป๋ายเลี่ยนซวง มาจากจวนหนิง คือผู้ฝึกยุทธหญิง วิชาหมัดพอใช้ได้” หญิงชราพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม นางปล่อยเท้าเตะเข้าที่หน้าท้องของเด็กคนนี้ อีกฝ่ายกระเด็นหวือออกไป ร่างตกลงบนพื้นแล้วยังกลิ้งไปอีกหลายตลบ สุดท้ายร่างทั้งร่างงองุ้มเข้าหากัน เจ็บปวดจนเด็กน้อยร้องไห้น้ำมูกน้ำตาเต็มหน้า
หญิงชราถามอีก “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดพวกเจ้าถึงมารวมตัวกันที่นี่?”
เด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งจากถนนอวี้ฮู่หน้าซีดขาว ตอบเสียงสั่นว่า “ป๋ายหมัวมัว ข้าอยากเป็นผู้ฝึกกระบี่ ไม่อยากเรียนวรยุทธ เรียนวรยุทธไม่มีทางได้ดิบได้ดี”
หญิงชราลูบศีรษะของเด็กหญิงตัวน้อยแล้วกดลงเบาๆ ฝ่ายหลังนั่งแปะลงไปกับพื้น หญิงชราชำเลืองตามองเด็กที่ค่อนข้างงอแงผู้นี้ ลองประเมินดูครู่หนึ่งก็บอกได้แค่ว่าฐานกระดูกพอใช้ได้ จึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อยากเป็นผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ สามารถเป็นผู้ฝึกกระบี่ได้หรือไม่ คือคนละเรื่องกัน ในอดีตข้าเองก็เคยมีความคิดไม่ต่างจากเจ้า เพียงแต่ว่าไม่อาจเป็นผู้ฝึกกระบี่ได้ แล้วก็ไม่มีปัญหาจะไปฝืน เพราะนี่เป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้”
เด็กหญิงกำลังจะเปิดปากพูด หญิงชรากลับยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ต้องรีบร้อน หนึ่งเดือนผ่านไป ต่อให้อยากเรียนวรยุทธก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะได้อยู่ต่อ ส่วนคนที่ไม่อยากเรียน ไม่แน่ว่าอาจเป็นคนที่ต้องอยู่ต่อก็ได้”
หญิงชราหันหน้าไปมองบรรดาเด็กๆ ที่มีสีหน้าระมัดระวัง แต่ดวงตากลับฉายประกายกระตือรือร้นกลุ่มนั้น “คุณสมบัติในการเรียนวรยุทธ เมื่อเทียบกับการเรียนกระบี่แล้ว ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น เพียงแต่ว่านี่เป็นแค่การเปรียบเทียบเท่านั้น จะเรียนได้หรือไม่ พวกเจ้าก็ต้องเจอกับความยากลำบากก่อนถึงจะรู้ได้ ถูกหรือไม่?”
เด็กกลุ่มนี้พากันพยักหน้ารับ
หญิงชราเอ่ย “มาเรียนท่าหมัดสองอย่างจากข้าไปก่อน หมัดไร้ท่า บ้านไร้เสา ย่อมไม่มีทางสำเร็จผลได้ จะสอนท่ายืนนิ่งกับเดินนิ่งให้พวกเจ้าก่อน วิชาพื้นฐานง่ายดาย แต่จะฝึกให้คุ้นชินกลับไม่ง่าย กระบวนท่าหมัดนับพัน ฝึกฝนให้คุ้นเคยคือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง”