กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 647.3 ทะลวงขบวนรบ
สถานการณ์ที่สามารถทำให้หนิงเหยารู้สึกว่าผิดปกติได้ ขอแค่เตี๋ยจ้างและต่งถ่านดำไม่ได้เสียสติก็ล้วนจำเป็นต้องระมัดระวัง และปฏิบัติต่อเรื่องนั้นอย่างจริงจัง
เฉินซานชิวและเยี่ยนจั๋วต่างก็ชอบใช้กระบี่พกของตัวเองอย่าง ‘จิงซู’ และ ‘จื่อเตี้ยน’ แทนกระบี่บิน
นอกจากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของใครของมันแล้ว ทิศทางการโคจรของกระบี่พกทั้งสองเล่มนี้ต่างก็มีกฎเกณฑ์อย่างมาก กระบี่ยาวจิงซูจะอยู่ที่ความสูงประมาณช่วงเอว มีเฉินซานชิวเป็นใจกลาง บินห่างออกไปเป็นวงใหญ่ประมาณสองลี้ ส่วนจื่อเตี้ยนเล่มนั้นของเยี่ยนจั๋วจะบินอยู่ที่ความสูงประมาณลำคอของบุรุษทั่วไป จากนั้นจึงวาดออกไปเป็นวงกลม กระบี่ยาวทั้งสองเล่มไม่ปะทะกันเอง หากมีเผ่าปีศาจที่อาศัยโชคดี พละกำลังอันแข็งแกร่ง หรือไม่ก็สมบัติอาคมติดกายโชคดีบุกเข้ามาในวงล้อมได้ คนทั้งสองก็ไม่จำเป็นต้องไปสนใจแม้แต่น้อย ล้วนยกหน้าที่ให้หนิงเหยากับฟ่านต้าเช่อเป็นคนจัดการ เรียบง่ายตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง
ส่วนเถ้าแก่ใหญ่เตี้ยจ้างที่ ‘สนหัวไม่สนเป้า’ กับต่งถ่านดำที่ ‘กระเหี้ยนกระหือรือฟันคน’ ค่ายกลกระบี่วงกลมของเยี่ยนจั๋วกับเฉินซานชิวก็คร้านจะสนใจเจ้าสองคนเบื้องหน้านั่น
ถึงอย่างไรหากมีเรื่องไม่คาดฝันจริงๆ หนิงเหยาที่เป็นคนคุมสถานการณ์ใหญ่ก็จะลงมือจัดการเอง
เดิมทีเฉินซานชิวยังมีกระบี่อวิ๋นเหวินอีกหนึ่งเล่ม แต่ให้ฟ่านต้าเช่อยืมไปแล้ว
กระบี่พกที่ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดพวกนี้ล้วนเป็นกระบี่ดีที่อาเหลียงยืมมาจากป๋ายอวี้จิงจำลองของราชวงศ์ต้าหลี
มีเพียงฮ่าวหรันชี่เล่มนั้นที่วิญญูชนลัทธิขงจื๊อที่เตี๋ยจ้างชอบนำกลับไปยังใต้หล้าไพศาล
หนิงเหยาเอ่ยอีกว่า “น่าจะมีการซุ่มโจมตี อีกเดี๋ยวข้าจะถ่วงเวลาพวกคนที่ขอบเขตสูงที่สุดเอาไว้ พวกเจ้าถอยกลับไปอย่างวางใจ”
น้ำเสียงนี้ฟังง่ายๆ สบายๆ ไม่ต่างจากเวลาที่นางพูดคุยยามปกติ แต่มีเพียงเตี๋ยจ้างที่เป็นสตรีเหมือนกันเท่านั้นที่พอจะจับเบาะแสบางอย่างได้
หนิงเหยาซุกซ่อนความไม่พอใจเล็กๆ เอาไว้
เตี๋ยจ้างเองก็จนใจเหมือนกัน นับตั้งแต่ที่ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของสายอิ่นกวานย้ายไปที่คฤหาสน์หลบร้อน ก็นานมากแล้วที่อิ่นกวานหนุ่มไม่เคยปรากฎตัวบนหัวกำแพงเลย
แม้แต่เรื่องที่ฟ่านต้าเช่อเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองได้อย่างไม่ง่าย เขาก็ไม่มาร่วมดื่มเหล้าเลี้ยงฉลอง ต้องรู้ว่าคนแรกที่ฟ่านต้าเช่ออยากจะบอกข่าวดีนี้ไม่ใช่สหายรักอย่างเฉินซานชิวแล้ว
หนิงเหยากวาดตามองรอบด้าน สถานการณ์ทางการสู้รบไม่มีอะไรผิดปกติ เพราะถึงอย่างไรสี่ด้านแปดทิศก็ล้วนมีแต่กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่แน่นขนัด
หนิงเหยาขมวดคิ้ว กำลังจะเอ่ยเตือนฟ่านต้าเช่อให้ถอยกลับไปก่อน จากนั้นค่อยให้เตี๋ยจ้างและต่งฮว่าฝูที่อยู่ด้านหน้าสุดช่วยคุมหลังให้ฟ่านต้าเช่อ ป้องกันไม่ให้ฟ่านต้าเช่อตกไปอยู่ในวงล้อมของกองทัพใหญ่ ส่วนตัวนางเองถอยกลับไปช้ากว่าเฉินซานชิวและเยี่ยนจั๋วหน่อยก็ไม่เป็นไร เฉินซานชิวมีชุดคลุมอาคมและยันต์ช่วยชีวิตอยู่ติดตัว เยี่ยนจั๋วก็ยิ่งเชี่ยวชาญวิชารักษาชีวิตรอดมาตั้งแต่เกิด สหายสองคนนี้ บางทีความเร็วในการสังหารศัตรูอาจสู้เตี๋ยจ้างกับต่งถ่านดำไม่ได้ แต่ระหว่างฆ่าคนและช่วยตัวเองกลับมีสมดุลที่ดีเยี่ยมอย่างมาก
เพียงแต่ไม่รอให้หนิงเหยาใช้เสียงในใจเอ่ยเตือน นางก็ค้นพบด้วยความตกตะลึงเล็กน้อยว่าฟ่านต้าเช่อขี่กระบี่ทะยานตัวขึ้น ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เป็นฝ่ายถอยกลับทิศเหนือด้วยตัวเอง
ในใจหนิงเหยาอัดอั้นเล็กน้อย ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฟ่านต้าเช่อหัวไวขนาดนี้?
ไม่เพียงแค่นี้ ฟ่านต้าเช่อยังถูกเด็กหนุ่มที่ขี่กระบี่มาถึงอย่าง ‘โงนเงน’ ชนเข้าอย่างจัง อีกฝ่ายหลบสมบัติอาคมและอาวุธวิเศษจากกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจอย่างหวุดหวิดเสี่ยงอันตรายมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายคนผู้นั้นรั้งแขนของฟ่านต้าเช่อเอาไว้ หัวเราะร่าพลางตะโกนว่า ‘เจ้าไปได้’ แล้วเหวี่ยงแขนขว้างฟ่านต้าเช่อออกไปเต็มแรง เท้าหนึ่งยกขึ้นถีบลงบนด้ามกระบี่อวิ๋นเหวิน เป็นเหตุให้หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ของฟ่านต้าเช่อพุ่งไปเร็วยิ่งกว่าเดิม พริบตาเดียวก็ถูกโยนห่างไปร้อยกว่าจั้ง
ฟ่านต้าเช่อผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่ออกจากสนามรบมาด้วยสภาพกระเซอะกระเซิงเล็กน้อยขี่กระบี่จากไปไกลอย่างว่องไว ไม่ลังเลแม้แต่น้อย ไม่ว่าอะไรก็ไม่สนทั้งนั้น เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเผ่นหนีลูกเดียว
เหตุผลมีอยู่สองข้อ นั่นคือคำเรียกขานว่า ‘ต้าเช่ออ่า’ ที่ไม่ได้ยินมานาน รวมไปถึงถ้อยคำที่กระชับสั้นได้ใจความว่า ‘ยังไม่หนีอีกหรือ คิดจะเอาหัวไปส่งหรือไง?’
เวลาเดียวกันนั้นทะเลสาบหัวใจของผู้ฝึกกระบี่ทุกคนก็มีเสียงที่ทุกคนคุ้นเคยอย่างถึงที่สุดดังขึ้นด้วยน้ำเสียงรัวเร็ว “ถอยทัพไปตามลำดับ ข้ากับหนิงเหยาจะคุมหลังให้เอง เฉินซานชิวกับเยี่ยนจั๋วอยู่รับมือตรงกลาง เตี๋ยจ้าง ต่งถ่านดำรับผิดชอบเปิดทางอยู่ด้านหลังฟ่านต้าเช่อ ระหว่างพวกเราสามฝ่ายทิ้งระยะห่างกันแค่ร้อยกว่าจั้งก็พอ ห้ามห่างกว่านี้ แล้วก็ห้ามสั้นเกินไป ฝ่ายศัตรูมีกองกำลังซุ่มอยู่เป็นจำนวนมาก ตอนนี้ข้าค้นพบแค่สองจุดเท่านั้น ตำแหน่งทางตะวันออกเฉียงเหนือที่เตี๋ยจ้างอยู่ในเวลานี้ ห่างออกไปสามสิบจั้ง ตำแหน่งทิศตะวันตกเฉียงใต้ของฟ่านต้าเช่อห่างออกไปหนึ่งร้อยยี่สิบจั้ง ทุกคนระวังตัวกันเอาไว้ ฝ่ายตรงข้ามล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีขอบเขตเริ่มต้นที่โอสถทอง โอกาสที่จะเป็นก่อกำเนิดมีมากที่สุด ไม่แน่ว่าอาจมีเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบด้วย ทุกคนระวังตัวกันไว้ให้ดี”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกกระบี่ฝ่ายตรงข้ามยังคิดจะเล่นงานฟ่านต้าเช่อก่อนเพื่อล่อให้พวกเราไปช่วย ต้าเช่ออ่า วิถีโคจรของกระบี่ รบกวนเจ้าช่วยเบี่ยงซ้ายเบี่ยงขวาหน่อย ตรงแน่วขนาดนั้น อีกฝ่ายปล่อยกระบี่บินมาลอยค้างรอ เจ้าคิดจะเอาหัวเข้าไปโหม่งชนหรือไง?”
“ซานชิว เจ้าอ้วนเยี่ยน เตรียมสมบัติอาคมก้นกรุที่มีติดตัวเอาไว้ให้พร้อม ครั้งนี้อีกฝ่ายคิดว่าจะต้องซุ่มสังหารพวกเจ้าให้จงได้ พวกนักรบเดนตายล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ ย่อมไม่มีทางปล่อยให้พวกเราถอยกลับไปอย่างสบายๆ เป็นแน่ จำเอาไว้ว่าต้องปกป้องฟ่านต้าเช่อไปพร้อมกันด้วย”
คำพูดจู้จี้จุกจิกที่พร่ำพูดยาวเหยียด
เฉินผิงอันได้แต่จัดวางกองกำลังด้วยความเร็วที่มากที่สุด การคาดเดาที่มากกว่านั้นไม่จำเป็นต้องพูด
แน่นอนว่าต้องมีผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่เป็นนักรบเดนตายสองถึงสามคนซึ่งอำพรางตัวได้ดีอย่างถึงที่สุดรอคอยฉวยจังหวะโจมตี ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบของเผ่าปีศาจหลบอยู่ด้านในลึกยิ่งกว่า เลียนแบบเลี่ยจี่ที่ไม่สนใจชีวิตของตัวเอง คิดแต่จะส่งกระบี่ออกไปอย่างเดียวเท่านั้น
เหตุผลนั้นเรียบง่ายอย่างยิ่ง ในกลุ่มของผู้ฝึกกระบี่กลุ่มนี้ นอกจากฟ่านต้าเช่อที่เพิ่งเลื่อนเป็นโอสถทองคนใหม่แล้ว ทุกคนล้วนอยู่ในอันดับของคนที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างต้องสังหารให้จงได้
หนิงเหยา เฉินซานชิว ต่งฮว่าฝู เตี๋ยจ้าง เยี่ยนจั๋ว
ล้วนเป็นยอดฝีมือในช่วงเวลายิ่งใหญ่อันดีงามของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในทุกวันนี้ทั้งสิ้น
หนิงเหยาเลิกคิ้ว มองดูเหมือนรำคาญเจ้าคนที่พร่ำพูดไม่หยุดปากผู้นั้น แต่แท้จริงแล้วในคิ้วตาคู่ที่งดงามที่สุดในใต้หล้าของนางกลับแผ่กระเพื่อมริ้วคลื่นของความยินดี เบิกบานและภาคภูมิใจ
เหมือนกับริ้วน้ำในทะเลสาบที่ถูกลมฤดูใบไม้ผลิพัดเป่าเบาๆ
‘เด็กหนุ่ม’ เรือนกายสูงเพรียวคนหนึ่งขี่กระบี่มาหยุดลอยตัวอยู่ข้างกายหนิงเหยา
นางกับเขาไม่ได้เป็นเพียงแค่หนิงเหยาแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ และเฉินผิงอันแห่งใต้หล้าไพศาลอีกแล้ว
แต่ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่กับผู้ฝึกกระบี่ที่ปรากฏตัวบนสนามรบด้วยกัน
ทุกเรื่องล้วนยากที่การเริ่มต้น เจ้าคนที่อยู่ข้างกายผู้นี้ชอบคิดมาก ดังนั้นเวลาจะทำอะไรจึงยากยิ่งกว่าการเริ่มต้นที่ยากที่สุด
แต่ขอแค่เขาเริ่มทำก็ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงเขาอีกแล้ว
ยกตัวอย่างเช่นชอบนาง
ยกตัวอย่างเช่นการฝึกหมัด
หรือยกตัวอย่างเช่นเป็นผู้ฝึกกระบี่ แล้วค่อยกลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่
หนิงเหยาใช้เสียงในใจสอบถาม “กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต?”
เฉินผิงอันตอบรับพร้อมรอยยิ้มบางๆ “สองเล่ม”
หนิงเหยาไม่เอ่ยอะไรอีก
เห็นไหมล่ะ
เฉินผิงอันย่อมไม่รู้ว่าหนิงเหยาคิดอะไร แล้วก็ไม่มีเวลามากพอให้มาคาดเดาความคิดของนางด้วย
เรื่องที่ทำให้เขากังวลใจมากที่สุดก็คือนักรบเดนตายของฝ่ายตรงข้ามเลือกที่จะอดทนข่มกลั้น ปกปิดร่องรอยของตัวเองต่อไป
แนวเส้นการรบที่พวกหนิงเหยารับผิดชอบเส้นนี้ ทางฝั่งของบนหัวกำแพงเมืองทั้งไม่มีผู้ฝึกกระบี่ทยอยมาผลัดเปลี่ยน อีกทั้งยังต้องสังหารศัตรูให้ได้มากที่สุด บุกทะลวงขบวนรบให้ได้เร็วที่สุด สังหารทะลวงค่ายกลของทัพใหญ่ไปให้ได้เร็วที่สุด สุดท้ายเมื่อขยับเข้าใกล้แม่น้ำยาวสีทองเส้นนั้นจึงจะถือว่าผลงานใหญ่สำเร็จ
หากพลังอำนาจของทั้งฝ่ายตัวเองและฝ่ายศัตรูทัดเทียมกัน ฟ่านต้าเช่อที่เพิ่งเลื่อนขั้นเป็นโอสถทองได้ไม่นานก็คือช่องโหว่ที่จะทำลายสถานการณ์ได้ดีที่สุด
หากขอให้ฟ่านต้าเช่อออกไปจากสนามรบโดยตรงแล้วไปนั่งชมการต่อสู้เฉยๆ ทั้งอย่างนี้ ตามเหตุตามผลแล้วล้วนไม่เหมาะสม
ไม่ว่าจะอย่างไร เฉินผิงอันก็แน่ใจได้แค่ว่าการปรากฏตัวของตัวเองอาจเป็นการทำลายเรื่องไม่คาดฝันอย่างหนึ่ง แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะนำพาเรื่องไม่คาดฝันที่ใหญ่ยิ่งกว่าให้ตามมา
นี่ก็เหมือนกลยุทธสองอย่างของเสวียนเซินกับสวีหนิง ก่อนที่ผลลัพธ์จะเป็นดั่งน้ำลดตอผุด อันที่จริงไม่ว่าใครก็ไม่รู้ว่าต้องเลือกแบบไหนถึงจะดียิ่งกว่า
จุดที่ทำให้จนใจมากที่สุดนั้นอยู่ที่ว่ากลยุทธของสวีหนิง หากสายอิ่นกวานนำมาใช้ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่ากลยุทธของเสวียนเซิน แต่ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่อยากจะพูดแรงๆ เช่นนี้ โฉวเหมียวไม่สะดวกจะพูดเช่นนี้ ส่วนหลินจวินปี้กลับไม่กล้าพูดแบบนี้
คนคำนวณเมื่อเทียบกับฟ้าลิขิตแล้ว ต่อให้เจ้าจะวางแผนคิดคำนวณนับพันอย่างอย่างสุดกำลังความสามารถ แต่ก็ยังให้ความรู้สึกเล็กจ้อยไร้เรี่ยวแรงอยู่ดี
นี่ก็คือความรู้สึกสะท้อนใจที่ใหญ่ที่สุดในส่วนลึกของหัวใจเฉินผิงอันหลังจากที่ได้เป็นอิ่นกวาน
คนทั้งกลุ่มรบพลางถอยไปพลาง
เตี๋ยจ้างและต่งฮว่าฝูพยายามปกป้องฟ่านต้าเช่อให้ถอยออกไปจากสนามรบ มีหนิงเหยากับเฉินผิงอันประกบอยู่ด้านหลัง เฉินซานชิวกับเยี่ยนจั๋วที่พอไม่มีเรื่องให้กังวลแล้วจึงเอาความสนใจไปไว้ที่เรื่องของการสังหารปีศาจ
หนิงเหยาไม่ได้เรียกกระบี่บินออกมา เพียงแค่ถือกระบี่แล้วลงมือ แต่กระนั้นก็ยังคงให้ความรู้สึกลวงตาราวกับว่านางคือผู้ครอบครองแก่นแท้สูงสุดของวิชากระบี่บนโลก
กระบี่แล้วกระบี่เล่าที่ปล่อยออกไป เมื่อเทียบกับท่าทางสงบนิ่งก่อนหน้านี้ หนิงเหยากลับออกกระบี่รวดเร็วมากกว่าเดิม ปราณกระบี่ตัดสลับฉวัดเฉวียน เพียงชั่วพริบตาก็เห็นศพกองเป็นแถบใหญ่
เป็นเหตุให้เฉินผิงอันที่ขี่กระบี่ติดตามอยู่ข้างกายหนิงเหยาไม่มีเรื่องอะไรให้ทำชั่วขณะ จึงมีเวลาคอยสังเกตหาเบาะแสบนสนามรบได้มากขึ้นพอดี
บวกกับผู้ฝึกกระบี่นักรบเดนตายที่เผยพิรุธสองคนก่อนหน้านี้ แล้วยังมีผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจแผ่กลิ่นอายโอสถทองที่เฉินผิงอันหาตัวเจออีกคนหนึ่ง เพราะปราณกระบี่ของหนิงเหยาปาดผ่านไปโดนโดยบังเอิญ เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนคนนั้นหลบได้ค่อนข้างเร็ว มีแค่การหยุดชะงักเล็กน้อยที่ยากจะสังเกตเห็นได้ ถึงขั้นที่ว่าเพื่อไม่ให้ตัวตนถูกเปิดเผย อีกฝ่ายยังจงใจแสร้งทำเป็นได้รับบาดเจ็บ ปล่อยให้หัวไหล่ถูกปราณกระบี่ปาดเนื้อออกไปก้อนใหญ่
หนิงเหยาออกกระบี่เพื่อความเร็วเท่านั้น ถึงขั้นที่ว่าบางครั้งยังดูไร้จุดหมาย เห็นได้ชัดว่าเป็นการกระทำที่จงใจ นี่ก็เพื่อให้เฉินผิงอันได้เห็นรายละเอียดมากกว่าเดิม
ผู้ฝึกกระบี่กลุ่มของหนิงเหยาเปลี่ยนจากกลุ่มคนที่ฝ่าทะลวงค่ายกลรวดเร็วที่สุด อยู่ใกล้กับแม่น้ำยาวสีทองมากที่สุดไปเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่ใกล้กับหัวกำแพงเมืองมากที่สุดโดยไม่ทันรู้ตัว
พวกเฉินซานชิวไม่คิดมากกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย
ถึงอย่างไรกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่อยู่บนแนวรบเส้นนี้ก็ไม่มีใครมาแย่งด้วยอยู่แล้ว
แล้วนับประสาอะไรกับที่ก็ไม่มีใครรู้สึกว่าตัวเองจะเจาะทะลวงค่ายกลใหญ่ได้ช้ากว่าผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่บนเส้นแนวรบอื่นๆ อยู่แล้ว
เพราะว่ามีหนิงเหยา และตอนนี้ก็ยังมีเฉินผิงอันอีกคน
ทุกคนจึงรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินมากที่สุด
หลังจากอยู่ห่างจากสถานการณ์ไม่คาดฝันที่มีอันตรายรายล้อมมาได้ชั่วคราว ฟ่านต้าเช่อก็ทำท่าจะพูดแต่หยุดไป
เฉินซานชิวเอ่ยเบาๆ “ไม่เป็นไร อย่าได้รู้สึกว่าน่าอาย”
พวกเตี๋ยจ้างเองก็รู้สึกว่าฟ่านต้าเช่อคิดจะกลับไปที่หัวกำแพงเมืองก่อน
แต่ฟ่านต้าเช่อกลับเอ่ยว่า “ข้าขอบเขตต่ำที่สุด ความสามารถไม่ได้เรื่องมากที่สุด ถ้าอย่างนั้นก็ให้ข้าทำหน้าที่เป็นเหยื่อล่อแล้วกัน ไม่กลัวโจรจะขโมยของ แต่กลัวว่าโจรจะเฝ้านึกถึงแต่ของของตัวเอง แทนที่จะให้ทุกคนต้องคอยเสียสมาธิก็ไม่สู้เป็นฝ่ายทำลายสถานการณ์เองเสียดีกว่า”
เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ฟ่านต้าเช่อมองมายังเฉินผิงอัน “อาจารย์กระบี่ผู้คุ้มกัน ว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ได้สิ”
เฉินผิงอันมองสนามรบที่อยู่เบื้องหน้าแวบหนึ่ง บนสนามรบเกิดภาพเหตุการณ์ที่ประหลาดอย่างถึงที่สุด บนแนวเส้นที่กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจรวมตัวกัน ห่างจากผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่กลุ่มนี้ไปร้อยกว่าจั้ง ให้ตายอย่างไรก็ไม่มีใครกล้ากระโจนขึ้นหน้ามา
เฉินผิงอันเอ่ย “ข้าจะคุมหลังให้เอง พวกเจ้าออกกระบี่ให้เต็มที่”
จากนั้นเฉินผิงอันก็มองหนิงเหยา หนิงเหยาเองก็พยักหน้าเอ่ยว่า “ตกลง”
หนิงเหยาสอดกระบี่ยาวในมือกลับคืนกล่องกระบี่ที่สะพายอยู่ด้านหลัง เจี้ยนเซียนถูกชักออกจากฝักแล้วถูกนางถือไว้ในมือแทน “ข้าจะทะลวงขบวนรบให้เอง”
เตี๋ยจ้างมองสบตากับต่งฮว่าฝูแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ตกลง”
เฉินซานชิวกับเยี่ยนจั๋วก็ยิ่งเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังรอคอย
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก ฟ่านต้าเช่อรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขารู้สึกอย่างไร
ถ้าอย่างนั้นได้รบเคียงบ่าเคียงไหล่หนิงเหยาตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกเช่นนั้น
เพราะหนิงเหยาคอยโอนอ่อนผ่อนตาม คอยให้การดูแล ‘ผู้มีพรสวรรค์’ อย่างพวกเขามาโดยตลอด ยามที่ออกกระบี่นางจึงเหมือนถูกมัดมือมัดเท้ามานานมากแล้ว
สุดท้ายหนิงเหยาเอ่ยเสริมมาประโยคหนึ่งว่า “ทะลวงขบวนรบเร็วมาก อย่าตามไม่ทันล่ะ”