กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 648.2 ไร้กระบี่ให้ออก
จุดที่ห่างจากด้านหลังของหนิงเหยาไปไกล
บนสนามรบว่างเปล่า ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจปลาเล็กปลาน้อยที่ห่างออกมาไกลเล็กน้อย และกองกำลังทหารเผ่าปีศาจที่สติปัญญายังไม่เปิดออกก็ถูกเตี๋ยจ้างและต่งฮว่าฝูที่พยายามสุดชีวิตเพื่อตามหนิงเหยาไปให้ทันสังหารทิ้งอย่างง่ายดาย
ต่งฮว่าฝูถึงขั้นมีเวลายืนเกาหัว บ่นเสียงเบาว่า “พี่หญิงหนิง จะดีจะชั่วก็เหลือไว้ให้พวกเราเยอะๆ หน่อยสิ”
เตี๋ยจ้างบิดตัวโยนเจิ้นเยว่ในมือออกไปอย่างว่องไว สังหารผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรของเผ่าปีศาจคนหนึ่งโดยตรง จากนั้นก็กวักมือหนึ่งครั้ง ไม่ได้เก็บกระบี่มาไว้ในมือ แต่ดีดปลายเท้าขี่กระบี่ไปหาหนิงเหยา รักษาระยะห่างให้ห่างจากปณิธานกระบี่กลุ่มที่อยู่ใกล้กับทิศใต้มากที่สุด และอันที่จริงนางกับต่งฮว่าฝูก็ยังอยู่ห่างไปอีกร้อยกว่าจั้ง
นางหันหน้ามาพูดอย่างไม่พอใจ “มัวบ่นอะไรอยู่ได้ ตามมาสิ อีกเดี๋ยวพวกเราก็จะมองไม่เห็นแม้แต่แผ่นหลังของหนิงเหยาแล้ว”
แน่นอนว่าเตี๋ยจ้างไม่ได้ไม่พอใจหนิงเหยา เพียงแต่ว่าคิดจะบ่นต่งถ่านดำสักคำสองคำย่อมไม่เป็นปัญหา
เฉินซานชิวกับเยี่ยนจั่วก็ยิ่งไม่มีเรื่องให้ทำยิ่งกว่าเตี๋ยจ้างและต่งฮว่าฝูที่อยู่เบื้องหน้าเสียอีก
เฉินซานชิวเกิดมาก็มีนิสัยเกียจคร้าน จึงไม่ถือสาสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนที่ไม่มีศัตรูให้ฆ่าอย่างในเวลานี้ แต่เยี่ยนจั๋วกลับถือสาอยู่นิดๆ ทว่าก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
ฟ่านต้าเช่อแค่ขี่กระบี่ทะยานมาด้านหน้าอย่างเดียวเท่านั้น
ด้านหลังสุดคือเฉินผิงอันที่ติดสอยห้อยตามมา ซึ่งอย่างมากก็แค่ขี่กระบี่อ้อมวนไปเตร็ดเตร่อยู่รอบด้านเล็กน้อย คอยเก็บของที่ตกหล่นอยู่บนสนามรบ แต่ผลเก็บเกี่ยวไม่มากนัก
อันที่จริงต้องบอกว่าเป็นเฉินผิงอันที่รู้สึกจนใจมากที่สุด ราวกับว่าถึงแม้เขาจะจับตามองสนามรบอยู่ก็จริง แต่ก็ไม่ได้ต่างจากการไม่จับตามองสักเท่าไร เบาะแสบางอย่างที่กว่าเขาจะมองออกได้อย่างยากลำบาก ไม่ทันรอให้เขาเปิดปากเอ่ยเตือน หากไม่วิ่งหนีฉี่ราดอึราดก็เป็นพวกที่วิ่งหนีได้ช้าหน่อย สุดท้ายก็ตายกันหมดสิ้น เพียงแต่ก็ไม่ถือว่าไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิงเสียเลย เพราะอยู่ห่างจากหนิงเหยาไกลเกินไป เฉินผิงอันจึงได้แต่ใช้เสียงในใจพูดกับเฉินซานชิว หวังว่าเขาจะบอกต่อไปยังต่งถ่านดำ สุดท้ายค่อยบอกหนิงเหยาว่าให้ระวังใต้ดิน เมื่อครู่นี้มีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่อย่างน้อยก็ต้องเป็นคอขวดโอสถทอง หรืออาจถึงขั้นขอบเขตหยกดิบที่ในที่สุดก็อดรนทนไม่ไหวเตรียมจะลงมือแล้ว
เพียงแต่เฉินผิงอันเพิ่งจะอ้าปาก
บนสนามรบที่ห่างไปไกลแสนไกล หนิงเหยาฝ่าทะลวงค่ายกลไม่หยุดยั้งไปเพียงลำพัง
ในที่สุดก็ยอมหยุดนิ่งอีกครั้ง ใช้เจี้ยนเซียนในมือค้ำยันผืนดิน กดด้ามกระบี่เบาๆ กระบี่ยาวสีทองก็ผลุบหายเข้าไปในผืนดินไม่เห็นร่องรอยอีก
เห็นได้ชัดว่าสัมผัสได้ถึงร่องรอยที่ปรากฏอย่างลึกลับของเผ่าปีศาจก่อกำเนิดคนนั้นแล้ว
พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของหนิงเหยาปริแตก กระบี่ยาวสีทองนำหน้ารับศัตรูไปก่อน ตามมาด้วยปราณกระบี่ในบริเวณใกล้เคียงที่เป็นดั่งฝนกระหน่ำพรำลงสู่พื้นดิน แทรกซึมเข้าไปเบื้องล่างอย่างถี่กระชั้น นางคร้านจะสิ้นเปลืองความคิดว่าจะตามหาตำแหน่งที่ซ่อนตัวของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจตนนั้นให้แม่นยำได้อย่างไรด้วยซ้ำ
นางชำเลืองตามองพวกผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจริมขอบ ‘ค่ายกลกระบี่’ ที่ขอบเขตนับว่าสูงอยู่บ้าง แล้วเอ่ยอย่างเฉยเมยมา “มาอีก”
แล้วก็มีปณิธานกระบี่บรรพกาลอีกสี่เส้นที่ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมาสวนพุ่งผ่านไหล่ของผู้ฝึกกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนไปอย่างไม่แยแส ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามไขว่คว้าอย่างยากลำบากแค่ไหนก็ไม่ได้มาครอง แต่เวลานี้กลับเผยกายระหว่างฟ้าดินเพียงเพราะหญิงสาวผู้นี้เปิดปากเอ่ยเพียงสองคำ
บวกกับปณิธานกระบี่สี่เส้นก่อนหน้านั้น ปราณกระบี่บรรพกาลรวมแล้วแปดเส้นมาอยู่สี่ด้านแปดทิศของหนิงเหยา สร้างกรงค่ายกลกระบี่ที่ใหญ่กว่าเดิมขึ้นมา
ในค่ายกลใหญ่ คนบาดเจ็บและล้มตายมีเกินคณานับ
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ หนิงเหยาก็ยังรู้สึกว่าไม่พอ
สองนิ้วทำมุทราวิชากระบี่เก่าแก่วิชาหนึ่ง จิตขยับเล็กน้อย ปณิธานกระบี่แปดเส้นก็พลันใช้ปราณกระบี่แทนเลือดเนื้อ ใช้ปณิธานกระบี่เป็นโครงกระดูก สร้างเซียนกระบี่แปดท่านที่สวมชุดขาวพลิ้วไสวขึ้นมา เซียนกระบี่ที่สีหน้าเย็นชาทั้งแปดท่านเรือนกายสูงหลายจั้ง แต่ละคนยื่นมือออกมากำ ปราณกระบี่ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงก็พุ่งเข้ามารวมตัวกันเป็นกระบี่ยาวในมือพวกเขา จากนั้นทุกคนก็พากันหันตัวกลับ หันหลังให้แก่หนิงเหยาที่ออกคำสั่งให้พวกมันปรากฏกาย แล้วแยกย้ายกันออกไปสี่ด้านแปดทิศ ครั้นจึงเปิดฉากออกกระบี่สังหารศัตรูแทบจะในเวลาเดียวกัน
‘เซียนกระบี่’ บรรพกาลไร้สติปัญญาเหล่านี้ แน่นอนว่าไม่อาจกลับคืนสู่สภาวะสูงสุดได้ หากพูดถึงแค่พลังในการสู้รบก็แค่เทียบเท่าได้กับผู้ฝึกกระบี่โอสถทองเท่านั้น แล้วก็ไม่มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตและวิชาอภินิหารด้วย
แต่พลังการต่อสู้ของผู้ฝึกกระบี่โอสถทองแปดคน อีกทั้งต่อให้จะถูกกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างทำลาย ‘เรือนกาย’ ให้แหลกสลาย ก็แค่ต้องรวบรวมปราณกระบี่บนสนามรบขึ้นมาใหม่เท่านั้น ถือกำเนิดได้ไม่รู้ดับ ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่รู้จักเป็นตาย ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องปราณวิญญาณที่มีสะสมอยู่ ใช้สิ่งนี้เข่นฆ่าบนสนามรบยังไม่ง่ายอีกหรือ? ขอแค่พลังจิตของหนิงเหยาไม่ถูกเผาผลาญมากเกินไป บวกกับที่ปณิธานกระบี่บริสุทธิ์แปดส่วนที่มีสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นเป็น ‘รากฐานมหามรรคา’ นี้ไม่ถูกผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดหรือเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนของฝ่ายศัตรูบังคับสะบั้นการเชื่อมโยงทางจิตระหว่างพวกมันกับหนิงเหยา เซียนกระบี่บรรพกาลทั้งแปดท่านนี้ก็สามารถดำรงอยู่บนสนามรบได้ตลอดไป
‘เวทกระบี่ ปณิธานกระบี่ วิถีกระบี่ของแม่หนูหนิง ขอแค่มอบเวลาให้กับนาง อีกทั้งไม่ต้องนานมากนัก ทั้งสามอย่างนี้ล้วนสามารถยกระดับขึ้นไปสู่จุดที่สูงมากได้’
นี่คือคำพูดที่เฉินชิงตูเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเป็นคนพูดเอง
เหตุใดในบรรดากลุ่มผู้ฝึกกระบี่ผู้มีพรสวรรค์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ถึงดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเรียกหนิงเหยาว่าผู้มีพรสวรรค์? นั่นก็เพราะหากอย่างนางถึงจะเรียกว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์อย่างพวกฉีโซ่ว ผังหยวนจี้ก็จะต้องถูกลดระดับขั้นลงมาหนึ่งขั้นเต็มๆ แม้แต่ผู้มีพรสวรรค์ก็ไม่ถือว่าใช่ด้วยซ้ำ
หนิงเหยา
แต่ไหนแต่ไรมาก็มีเพียงหนึ่งเดียวเสมอ
นับตั้งแต่วันแรกที่หนิงเหยาฝึกกระบี่ยามยังเป็นเด็กเล็ก ก็ไม่มีผู้มีพรสวรรค์ซึ่งเป็นคนรุ่นเดียวกัน หรือแม้กระทั่งคนที่แก่กว่านางหนึ่งรุ่น ยินดีจะถามกระบี่ ประลองกระบี่กับนาง
เพราะไม่มีความจำเป็น
พื้นดินใต้ฝ่าเท้าที่หนิงเหยายืนก่อนหน้านี้ปริแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อยแล้วยุบถล่มลงไป
ส่วนหนิงเหยานั้นลอยตัวอยู่กลางอากาศ นางยังมีเวลาหันไปมองข้างหลัง คงจะมองดูว่าเตี๋ยจ้างกับต่งฮว่าฝูตามมาทันหรือไม่
เวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วพริบตา เมื่อกระบี่ยาวสีทองหาตัวผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดผู้นั้นเจอ ร่างของหนิงเหยาก็ดิ่งฮวบลงอย่างรวดเร็วแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
กระทั่งเตี๋ยจ้างกับต่งฮว่าฝูตามมาถึงริมขอบของหลุมใหญ่ หนิงเหยาที่ถือกระบี่ก็ไปปรากฎตัวอยู่ตรงทิศใต้สุดของหลุมใหญ่ จากนั้นก็บุกทะลวงค่ายกลมุ่งลงใต้ต่อไปอีกครั้ง
เพราะนางเจอตัวนักรบเดนตายที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง
เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายดันเลือกที่จะถอยหนีทั้งที่ยังไม่ได้ต่อสู้
หนิงเหยาที่หันหน้าเข้าหาทางทิศใต้ยกมือขึ้นปาดรอยแผลบนใบหน้าที่ถูกมีดอาคมกรีด ก็แค่แผลถลอกเท่านั้น
เตี๋ยจ้างชำเลืองตามองก้นหลุมใหญ่ ในหลุมใหญ่คือเผ่าปีศาจก่อกำเนิดที่เผยร่างจริง คือวานรเรือนกายใหญ่ยักษ์ ลักษณะคล้ายเผ่าพันธ์วานรย้ายภูเขายุคบรรพกาล จุดจบของมันน่าจะเรียกได้ว่าถูกสับออกเป็นแปดชิ้น ระหว่างรอยแยกบนศพยังมีปราณกระบี่สีทองหลงเหลืออยู่ที่เดิม
เห็นได้ชัดว่าถูกเจี้ยนเซียนอาวุธเซียนในมือหนิงเหยาสังหาร ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่โอสถทองกับทารกก่อกำเนิดก็ยังไม่ทันได้ระเบิดทำลายตัวเอง
ตรงก้นหลุม ข้างศพนั้นมีดาบแคบสีขาวใสที่เมื่อเทียบกับเรือนกายมโหฬารนั้นแล้วก็เล็กราวกับเข็มเย็บผ้าเล่มหนึ่งลอยตัวอยู่ ประกายแสงบนดาบเปล่งวิบวับไม่หยุดนิ่ง สะดุดตามากเป็นพิเศษ
ต่งฮว่าฝูเตรียมจะลงไปเก็บสมบัติขึ้นมา
ผลกลับถูกเตี๋ยจ้างถลึงตาใส่ “เจ้าโง่หรือไง?”
ต่งฮว่าฝูร้องอ้อหนึ่งที แล้วรีบขี่กระบี่ลงใต้ไปพร้อมกับเตี๋ยจ้างอย่างรวดเร็ว
เฉินซานชิวและเยี่ยนจั๋วก็ตามมาถึงริมขอบของหลุมใหญ่ แล้วมุ่งหน้าลงใต้ต่ออีกครั้ง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของคนทั้งสองกับกระบี่พกที่เอามาใช้งานเหมือนกระบี่บินมีประโยชน์อยู่อย่างเดียว นั่นก็คือพยายามเก็บผลงานทางการสู้รบจากสองฝั่งซ้ายขวาของสนามรบมาให้ได้มากที่สุด เพราะได้มาบ้างก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย หลีกเลี่ยงไม่ให้กลายเป็นว่าว่างงานไม่มีอะไรทำ แบบนั้นคงไม่เข้าท่าเท่าไร คนทั้งสองก็เหมือนคนที่เก็บเมล็ดข้าวเปลือกจากพื้นขึ้นมาใส่ถ้วย ทีละเมล็ดทีละเมล็ด จนกระทั่งถึงตอนนี้ก้นถ้วยก็ยังไม่เต็ม
ฟ่านต้าเช่อมึนงงไปเล็กน้อย
ไหนบอกว่าให้ข้าเป็นเหยื่อล่อไงเล่า?
พอฟ่านต้าเช่อมาถึงปลายสุดทางทิศใต้ของหลุมใหญ่ หันกลับไปมองก็เห็นว่าเถ้าแก่รองผู้นั้นกำลังทรุดตัวลงนั่งเก็บเศษซากของที่เหลืออยู่ด้วยท่าทางคล่องแคล่วว่องไว ถึงขั้นมีมาดที่ทำให้คนมองรู้สึกสบายใจสบายตาไม่น้อย
ฟ่านต้าเช่ออยู่ใกล้กับเฉินผิงอันมากที่สุด แล้วนับประสาอะไรกับที่ในเมื่อเป็นเหยื่อล่อแล้วจะแบ่งสมาธิวอกแวกสักหน่อยก็คงไม่มีปัญหา ดังนั้นฟ่านต้าเช่อจึงรู้ดีว่าตลอดทางมุ่งหน้าลงใต้นี้ เถ้าแก่รองได้เก็บสะสมจากน้อยจนกลายเป็นมาก ทองแดงแตกเหล็กผุก็เก็บ วัตถุวิเศษที่แตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแต่เศษชิ้นส่วนกระจายอยู่บนพื้น หรือเศษซากสมบัติอาคมก็ล้วนไม่ปล่อยผ่านไป ดังนั้นในด้านจำนวนจึงถือว่ามากน่าดูชม คาดว่าเมื่อบวกกับการมาเยือนหลุมใหญ่นี้ก็คงจะมีคุณภาพเทียบเท่ากับสมบัติอาคมได้แล้ว
เฉินผิงอันขี่กระบี่ออกมาจากหลุมใหญ่ด้วยอารมณ์ซับซ้อน จะให้เขาเอาแต่เก็บตกของดีอยู่แบบนี้ก็ดูไม่เหมาะสมสักเท่าไรเลยนะ
ดูจากท่าทางแล้วพวกผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจที่เป็นนักรบเดนตายเหล่านั้นก็คงไม่มีความกล้าที่จะลงมือลอบโจมตีอีกแล้ว
เฉินผิงอันจึงได้แต่ใช้เสียงในใจบอกเตือนเฉินซานชิวและเยี่ยนจั๋ว “คาดว่าพวกเราคงตามไม่ทันแล้ว หาโอกาสสังหารพวกเผ่าปีศาจโอสถทองที่ตัวตนค่อนข้างชัดเจนดีกว่า หากมีก่อกำเนิดก็ร่วมมือกันสังหาร อย่าปล่อยให้พวกมันเผ่นหนีไปยังสนามรบจุดอื่นได้”
คิดไม่ถึงว่าหนิงเหยาที่อยู่ห่างไปไกลสุดทางทิศใต้จะลงมือเร็วกว่า นางบอกเซียนกระบี่บรรพกาลแปดท่านนั้นว่าไม่ต้องสังหารกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่อยู่บนเส้นแนวรบเหนือใต้แล้ว ให้เริ่มไปตามหาเผ่าปีศาจที่เป็นโอสถทองและก่อกำเนิดที่พยายามหลบหนีไปสองฝากฝั่ง หากพบเจอ นางจะชะลอความเร็วในการทะลวงขบวนรบ ถือเจี้ยนเซียนอ้อมเส้นทางไปไล่สังหารอีกฝ่าย
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบผู้นั้นคล้ายจะเชี่ยวชาญด้านการอำพรางตัวอย่างยิ่ง ใช้วิธีการที่ไม่ค่อยต่างจากท่านปู่น่าหลันสักเท่าไร หนิงเหยาเองก็ไม่คิดอะไรมาก อยากหลบก็หลบไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ในที่สุดเตี๋ยจ้างกับต่งฮว่าฝูก็ตามมาทันหนิงเหยา
เฉินผิงอันเกาหัว
จากนั้นผู้ฝึกกระบี่กลุ่มนี้ก็ลงใต้กันไปทั้งอย่างนี้
คาดว่านักรบเดนตายเผ่าปีศาจกลุ่มนั้นคงคิดว่าจะรอให้ถึงคราวที่พลังจิตของหนิงเหยาถูกเผาผลาญจนหมดสิ้นเสียก่อน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าหนิงเหยาที่คอยบุกทะลวงขบวนรบลงใต้มาตลอดทางนี้ไม่มีวี่แววว่าจิตวิญญาณจะโรยรา ปราณวิญญาณจะแห้งขอดเลยแม้แต่น้อย
นอกจากนี้ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่เป็นนักรบเดนตายสองคน และผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดของเผ่าปีศาจอีกคนก็ทยอยกันถูกสังหาร หนิงเหยาสังหารก่อกำเนิดกับมือตัวเอง ส่วนโอสถทองที่บาดเจ็บสองคนนั้นก็มอบให้พวกเตี๋ยจ้างที่อยู่ด้านหลังจัดการกันไป
หนิงเหยาถึงขั้นคร้านจะเสแสร้ง ดูแคลนที่จะล่อหลอกให้ศัตรูลงมือด้วยซ้ำ
ข้าหาตัวพวกเจ้าเจอ
จากนั้นพวกเจ้าก็ไปตายกันได้แล้ว
นี่ก็คือการออกกระบี่ของหนิงเหยา
เมื่อเทียบกับเถ้าแก่รองที่ชื่อเสียงฉ่าวโฉ่กระฉ่อนไปทั่วผู้นั้น ยามที่คนทั้งสองอยู่ในสนามรบก็เรียกได้ว่าเป็นคนสองรูปแบบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แล้วพวกเขาก็ขยับลงใต้ไปด้วยวิธีการเช่นนี้กันจริงๆ
ขยับเข้าใกล้แม่น้ำยาวสีทอง เซียนกระบี่ท่านหนึ่งยิ้มเอ่ยทักทายหนิงเหยา
หนิงเหยาอืมรับหนึ่งที ก่อนจะผงกศีรษะตอบรับคำทักทายของผู้อาวุโสเซียนกระบี่คนนั้น
และในที่สุดหนิงเหยาก็หยุดฝีเท้า ผู้ฝึกกระบี่เจ็ดคนจึงได้มารวมตัวกันเป็นครั้งแรกอย่างไม่ง่ายนัก
หนิงเหยามองเฉินผิงอัน ถามว่า “บุกสังหารกลับไป? พวกเตี๋ยจ้างสี่คนเปลี่ยนสนามรบกลับทิศเหนือ เจ้า ข้า บวกกับฟ่านต้าเช่อ สามคนเปลี่ยนเส้นทาง แบบนี้ได้ไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มีอะไรไม่ได้เล่า”
พวกเตี๋ยจ้าง เฉินซานชิวสี่คนไปยังสนามรบจุดอื่น เปลี่ยนจากใต้ขึ้นเหนือ ย้อนกลับไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่
ตลอดทางที่ติดตามมานี้ นอกจากการต่อยตีเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็ดูเหมือนว่าทุกคนไม่ต้องออกกระบี่ ไม่มีกระบี่ให้ออก นี่ก็ชวนให้พิพักพิพ่วนอยู่เหมือนกัน
หนิงเหยากับเฉินผิงอันและฟ่านต้าเช่อสามคนย้อนกลับกำแพงเมืองปราณกระบี่ทางทิศเหนือด้วยกัน
ฟ่านต้าเช่อรู้สึกว่ายิ่งอยู่นานตัวเองก็ยิ่งเป็นส่วนเกิน
เฉินผิงอันไม่ขี่กระบี่อีกต่อไป เก็บกระบี่ยาวของหอกระบี่ไว้ด้านหลัง สะบัดชายแขนเสื้อ
ฟ่านต้าเช่อขี่กระบี่นำไปทางทิศเหนือก่อน เพียงแต่ว่าไม่กล้าทิ้งระยะห่างจากสองคนที่อยู่ด้านหลังมากนัก
แม้แต่สามคำว่า ‘ต้าเช่ออ่า’ เฉินผิงอันก็ไม่ทันได้พูด ไม่ได้เจอกันปีกว่า ฟ่านต้าเช่อหัวไวขึ้นไม่น้อย มิน่าเล่าถึงเลื่อนขั้นเป็นโอสถทองได้ คาดว่าคงดื่มเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ไปไม่น้อยเลย
หลังจากที่ฟ่านต้าเช่อจากไปก่อนอย่างรู้กาลเทศะ
หนิงเหยาพลันถามขึ้นว่า “เป็นอิ่นกวาน เหนื่อยหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ต่อให้เหนื่อย ตอนนี้ก็หายเหนื่อยแล้ว”
หนิงเหยาลังเลเล็กน้อย แม้ว่าจะขัดเขิน แต่ก็ยังใช้เสียงในใจเอ่ยเบาๆ ว่า “ถึงอย่างไรอยู่ข้างกายข้า เจ้าก็สามารถคิดให้น้อยลงได้”
จากนั้นหนิงเหยาก็เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น
นี่คือเรื่องจริงนะ
มีอะไรให้นางต้องลำบากใจกันเล่า
เฉินผิงอันหันตัวมาหา ยกมือขึ้น ใช้นิ้วโป้งลูบบาดแผลบนใบหน้าของนางเบาๆ จากนั้นก็บีบแก้มนาง ยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ใครว่าไม่ใช่กันล่ะ?”