กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 649.1 ฝ่าขอบเขตอย่างง่ายดาย
ก่อนหน้านี้ตอนที่หนิงเหยาเดินออกจากกลุ่ม หมายจะบุกฝ่าขบวนรบนำไปก่อนเพียงลำพัง กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่อยู่แนวหน้าก็หยุดชะงักเคลื่อนทัพต่อไม่ได้ รอกระทั่งหนิงเหยาบุกฆ่าฝ่าขบวนรบ นำพาผู้ฝึกกระบี่หกคนมาถึงบริเวณใกล้เคียงกับแม่น้ำเส้นยาวสีทอง กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่อยู่สองฝั่งของสนามรบก็พากันเพิ่มความเร็วบุกรุดหน้า พยายามจะอยู่ให้ห่างจาก ‘เซียนกระบี่’ หญิงที่ดุร้ายเฉียบคมผู้นี้มาให้ได้มากที่สุด
หนิงเหยาในเวลานี้เหมือนกลายมาเป็นขุนนางผู้ตรวจตราการศึกที่ ‘ช่วยคุมหลังท้ายขบวน’ กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจจึงพยายามบุกขึ้นหน้ากันไปอย่างสุดชีวิต
ดังนั้นหลังจากฟ่านต้าเช่อขี่กระบี่นำคนทั้งสองออกมา อยู่ดีๆ ก็เกิดภาพเหตุการณ์ประหลาด กลายเป็นว่าเขาคือผู้ฝึกกระบี่โอสถทองเพียงคนเดียวที่ไล่ฆ่ากองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร
ลำพังเพียงแค่เรื่องนี้ ฟ่านต้าเช่อก็คิดว่าคราวหน้าควรจะดื่มเหล้าภูเขาชิงเสินที่ราคาแพงที่สุดสักกา คุณความชอบทางการสู้รบมากพอ ในที่สุดก็ไม่ต้องยืมเงินเฉินซานชิวมาซื้อเหล้าแล้ว
เฉินผิงอันมองสนามรบเบื้องหน้า ขบวนทัพช่วงหลังของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจยิ่งนานก็ยิ่งหนาแน่นแออัด เพราะพยายามจะเบียดกรูกันขึ้นไปด้านหน้าให้ได้เร็วที่สุด อีกทั้งยิ่งเป็นผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ขอบเขตสูงเท่าไรก็ยิ่งพยายามอยู่ห่างจากพวกเขาสามคนให้ได้มากเท่านั้น แน่นอนว่าอันที่จริงก็แค่อยากอยู่ห่างจากหนิงเหยาคนเดียวเท่านั้น
เขาเอ่ยกับฟ่านต้าเช่อ “ผู้ฝึกกระบี่สองฝั่งจะต้องรู้สึกกดดันมากเพราะพวกเรา”
หนิงเหยาเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็พยายามไปรวมตัวกับผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่ด้านหน้าสุดให้เร็วที่สุด ส่วนแผนที่เป็นรูปธรรม จะเอายังไง?”
เฉินผิงอันเหยียบลงบนกระบี่ยาวของหอกระบี่ ยิ่งนานก็ยิ่งคุ้นชินที่จะขี่กระบี่แนบติดพื้น เขาม้วนชายแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นอย่างรวดเร็ว “คราวนี้เปลี่ยนให้ข้าเป็นคนบุกบ้าง เจ้าตามมาด้านหลัง หากมีเผ่าปีศาจโอสถทองหรือก่อกำเนิดเผยตัว เจ้าเป็นคนจัดการ”
หนิงเหยาถาม “ไม่คิดจะเรียกกระบี่บินออกมาหรือ?”
“ออกแค่หมัดก็พอ จะได้ขัดเกลาคอขวดของวิถีวรยุทธไปด้วย”
เฉินผิงอันเอ่ยอีกว่า “วางใจเถอะ ความเร็วในการบุกทะลวงขบวนรบย่อมเทียบกับเจ้าไม่ได้แน่ แต่เมื่อเทียบกับสนามรบแห่งอื่นก็ไม่มีทางช้ากว่า”
หนิงเหยาพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ออกหมัดให้เต็มที่”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ขี่กระบี่พุ่งไปราวกับสายรุ้ง พอตามไปทันฟ่านต้าเช่อก็ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ต้าเช่อ เจ้าออกกระบี่อยู่ตรงกลาง ข้าฝ่าขบวนรบอยู่เบื้องหน้า ระหว่างนี้ไม่ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นเจ้าไม่ต้องสนใจ แค่ขี่กระบี่ไปเบื้องหน้าอย่างเดียวก็พอ บางทีข้าอาจจะแบ่งสมาธิมาสนใจเจ้ามากนักไม่ได้ แต่หนิงเหยาตามมาด้านหลัง ก็น่าจะไม่มีปัญหามากนัก”
ฟ่านต้าเช่อตอบรับเสียงหนัก “ตกลง!”
อันที่จริงเวลาที่เถ้าแก่รองไม่เอ่ยคำว่า ‘ต้าเช่ออ่า’ ฟ่านต้าเช่อก็รู้ดีว่าตนต้องระวังตัวให้มาก
ชั่วพริบตานั้นเฉินผิงอันที่สวมชุดคลุมอาคมของหอภูษาสองชุดก็พลันเพิ่มความเร็ว ขี่กระบี่เป็นเส้นตรงทะยานพรวดออกไป
ระหว่างทางขณะที่ยังอยู่ห่างจากกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจเบื้องหน้ามาร้อยจั้งกว่า เฉินผิงอันก็ตั้งท่าหมัด เท้าหนึ่งเหยียบกระทืบลงไป กระบี่ยาวใต้ฝ่าเท้าก็พลันเอนดิ่งลงเพราะไม่สามารถรับน้ำหนักเท้านั้นไว้ได้ จึงกลายเป็นว่าบินแนบติดพื้นดินไปอย่างแท้จริง เมื่ออยู่ในสายตาของฟ่านต้าเช่อที่อยู่เบื้องหลัง ร่างของเฉินผิงอันหายวับไปจากจุดเดิม ทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้ยันต์ฟางชุ่นย่อพื้นที่ แต่กลับมีประสิทธิผลเช่นเดียวกับยันต์ฟางชุ่น หรือว่าเวลาเพิ่งจะผ่านไปปีกว่าๆ ก็ฝ่าทะลุคอขวดของวิถีวรยุทธ เปลี่ยนจากผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองมาเป็นปรมาจารย์ขอบเขตเดินทางไกลท่านหนึ่งแล้ว?
ครั้งนี้หนิงเหยาเลือกจะขี่กระบี่ นางอธิบายให้ฟ่านต้าเช่อฟังว่า “ตอนนี้เขายังเป็นแค่ขอบเขตร่างทอง ไม่ใช่ขอบเขตเดินทางไกล สวมชุดคลุมอาคมสามตัวก็ไม่ใช่เพื่อรักษาชีวิตอีกแล้ว เพียงแค่เพื่อสะกดปณิธานหมัดเอาไว้ บวกกับการสยบกำราบจากปราณกระบี่ในระดับหนึ่ง ทั้งสามอย่างนี้ขัดเกลากันเองก็ถือว่าเป็นการฝึกประสบการณ์อย่างหนึ่ง ไม่ต่างจากการที่คนฝึกยุทธในยุทธภพชอบมัดถุงทรายไว้บนข้อเท้าตั้งแต่เช้าจรดค่ำสักเท่าไร”
การที่หนิงเหยายินดีพูดมากขนาดนี้
แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะเฉินผิงอัน
แล้วก็เพราะฟ่านต้าเช่อคือเพื่อนของนางและเพื่อนของเฉินผิงอัน อีกทั้งเฉินผิงอันยังให้การดูแลฟ่านต้าเช่อมากที่สุด ไม่ใช่เพียงแค่เพราะขอบเขตของฟ่านต้าเช่อไม่สูงมากพอเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันจะมองเห็นเงาร่างของตัวเองในอดีตได้จากบนร่างของฟ่านต้าเช่อ เอาเศษเล็กเศษน้อยมาประกบประกอบกัน จึงกลายเป็นว่ารู้สึกใกล้ชิดกับฟ่านต้าเช่อไปโดยปริยาย
เพียงแต่ว่าสาเหตุที่เป็นรูปธรรมในเรื่องนี้ หนิงเหยาคิดแล้วก็ยังไม่เข้าใจ เชื่อว่าวันหน้าเมื่อเฉินผิงอันมีเวลาว่าง หรือควรจะบอกว่าใต้เท้าอิ่นกวานแอบปลีกตัวจากงานที่ยุ่งมาได้
เขาย่อมเล่าให้นางฟังเอง
หนิงเหยาเอ่ยอีกว่า “ในอดีตตอนที่เขาเพิ่งเริ่มเรียนวิชาหมัดเมื่อครั้งยังอยู่ในบ้านเกิด ก็จะผูกถุงที่ใส่เศษหินไว้จนเต็มไว้บนข้อเท้า ครั้งแรกที่ออกจากบ้านเดินทางไกลก็ใช้ยันต์ครึ่งจิน แล้วก็ยันต์แปดตำลึง เขาเคยชินกับการทำอย่างนี้มานานแล้ว แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าหากตัวเองปล่อยหมัดอย่างเต็มแรงจะเป็นอย่างไร ในเมื่อตัวเขาเองยังไม่รู้ว่าหมัดของตัวเองหนักเท่าไร เร็วเท่าไร ถ้าอย่างนั้นคู่ต่อสู้ก็ยิ่งไม่มีทางรู้ได้”
ระหว่างที่พูดหนิงเหยาก็ยกกระบี่ขึ้นฟันฉับไปหนึ่งที คือผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจโอสถทองคนหนึ่งที่อยู่บนสนามรบจุดอื่น อีกฝ่ายแค่ชำเลืองตามองนางไกลๆ แต่จิตของหนิงเหยาสัมผัสได้ เจี้ยนเซียนในมือจึงถูกปล่อยออกไปเป็นเส้นตรงประหนึ่งใช้มีดผ่าเต้าหู และเมื่อร่างของเผ่าปีศาจที่ถูกเล่นงานคนนั้นถูกผ่าครึ่ง ศพแยกออกเป็นสองซีก โอสถทองเม็ดหนึ่งระเบิดแตกก็ลามกระทบไปโดนเผ่าปีศาจอีกมากมายนับไม่ถ้วน
อยู่ดีๆ หนิงเหยาก็นึกถึงเรื่องเล็กเรื่องหนึ่งขึ้นมา
จำได้ว่าปีนั้นเฉินผิงอันที่ยังเป็นเด็กหนุ่มสะพายกล่องกระบี่ไม้ไหวบรรจุกระบี่สองเล่มมาหานางที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นครั้งแรก ยามที่คนทั้งสองอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง เขาชอบหาเรื่องมาคุยให้นางฟัง เล่าเรื่องในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดมากมาย ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่ช่างไม้ตีเส้นหมึก ช่างไม้เก่าแก่ที่ฝีมือยอดเยี่ยม ยามตีเส้นจะตีได้แม่นยำมาก
หนิงเหยามองสนามรบหลังจากที่ตัวเองปล่อยกระบี่หนึ่งไปอย่างที่ไม่ค่อยทำบ่อยนัก ดูเหมือนว่าจะเป็นแบบที่เขาเล่าจริงๆ
ฟ่านต้าเช่อไม่รู้เลยว่าควรจะคุยกับนางเรื่องอะไร
อันที่จริงยืนอยู่ข้างกายหนิงเหยา เขารู้สึกกดดันมาก ความกดดันนั้นใหญ่มากจนบรรยายไม่ถูก
เฉินซานชิวสหายรักของเขาเคยพูดกับฟ่านต้าเช่อเป็นการส่วนตัวว่า หากขอบเขตของสหายอย่างพวกเขาและเตี๋ยจ้างต่ำกว่าหนิงเหยาหนึ่งขั้น อันที่จริงยังนับว่าดี แต่หากทั้งสองฝ่ายมีขอบเขตเท่ากันขึ้นมาเมื่อไหร่ก็จะรู้สึกสงสัยในชีวิตแล้วจริงๆ เขาเป็นผู้ฝึกกระบี่จริงๆ หรือ? ขอบเขตนี้ของข้าคงไม่ใช่ของปลอมหรอกกระมัง?
เพียงแต่ว่าตอนนั้นที่ฟ่านต้าเช่อมองเฉินซานชิวดื่มเหล้าเนิบช้า พูดเหมือนบ่นก็จริง แต่ใบหน้าเฉินซานชิวกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เถ้าแก่รองเคยบอกว่า เหล้าก็คือคันเบ็ดตกปลาที่ดีที่สุดบนโลก สามารถตกเอาถ้อยคำในใจของพวกผีขี้เหล้ามาไว้ที่ปาก โดยเฉพาะเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ของบ้านข้าที่ยิ่งร้ายกาจ
คงเป็นเพราะการที่ได้เป็นสหายกับหนิงเหยา ต่อให้เป็นลูกรักแห่งสวรรค์อย่างเฉินซานชิวก็ยังทั้งรู้สึกกดดัน แต่ก็รู้สึกว่ามีค่าพอให้ดื่มเหล้าอย่างเบิกบานใจด้วยกระมัง
ฟ่านต้าเช่อสังเกตการณ์ดูสนามรบรอบด้านอย่างระมัดระวังไปด้วย แต่อันที่จริงรอบด้านนั้นว่างเปล่า ไม่มีวิกฤตอันตรายใดๆ แอบแฝง เพียงแต่ว่าฟ่านต้าเช่อยังคงกังวลว่าใต้ดินจะมีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ซุกซ่อนตัวอย่างลับๆ ล่อๆ โผล่มาแทงกระบี่ใส่เขา หรือไม่ก็ทุ่มสมบัติอาคมเข้าใส่
บนสนามรบเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง
ฟ่านต้าเช่อเคยเห็นมาเองกับตาว่าผู้ฝึกกระบี่คนวัยเดียวกันที่มีพรสวรรค์ดีเยี่ยมคนหนึ่ง ไม่ทันระวังถูกผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจย้ายภูเขาคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน คำนวณทิศทางการขี่กระบี่ของเขามาไว้ล่วงหน้าแล้ว จากนั้นก็โผล่ออกจากใต้ดินมากระชากข้อเท้าทั้งสองข้างของผู้ฝึกกระบี่เอาไว้ แล้วฉีกร่างของฝ่ายหลังออกเป็นสองซีก บนสนามรบ ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดที่แท้จริง ส่วนใหญ่มักจะไม่ใช่เผ่าปีศาจแข็งแกร่งที่ขอบเขตอยู่ในช่วงคอขวด หรือมีพลังพิฆาตสามารถบดขยี้สนามรบจุดหนึ่งได้ การคุมเชิงกับอีกฝ่าย หากไม่ได้เจอกับสถานการณ์ที่ต้องตายอย่างแน่นอนก็ยังพอจะหลบเลี่ยงประกายเฉียบคมมาได้ แต่ที่ทำให้คนกริ่งเกรงยิ่งกว่ากลับเป็นพวกผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจที่ความตั้งใจเดิมไม่ใช่เพื่อผลงานทางการสู้รบ แต่แค่ต้องการขัดเกลาตบะ ยามลงมือจึงใช้วิธีการอำมหิต เชี่ยวชาญการเสแสร้ง แสวงหาการฆ่าศัตรูให้ตายด้วยการโจมตีเดียว สังหารคนอย่างไร้ร่องรอย หากโจมตีไม่เป็นผลก็เผ่นหนีไปอย่างเด็ดเดี่ยว ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจประเภทนี้ ยามอยู่บนสนามรบจะยิ่งเหมือนปลาได้น้ำ มีชีวิตอยู่ได้อย่างยืนยาว คอยแอบสับเปลี่ยนสนามรบไปเรื่อยๆ ผลงานการต่อสู้แต่ละครั้งที่พอสะสมรวมเข้าด้วยกันก็เป็นจำนวนที่มากจนน่าตกใจเลยทีเดียว
ว่ากันว่าเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนที่อายุน้อยที่สุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ปีศาจใหญ่ที่ชื่อว่าโซ่วเฉินผู้นั้น ในอดีตก็ใช้วิธีการเสี่ยงอันตรายเช่นนี้พาตัวเองเดินลุกผงาดมาทีละก้าวเช่นกัน
จุดที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นอยู่ที่ว่า ต่อให้โซ่วเฉินจะกลายเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนแล้ว แต่ก็ยังชอบทำอะไรลึกลับหลบซ่อน อำพรางกลิ่นอายปีศาจใหญ่ของตน จงใจสะกดภาพบรรยากาศของเซียนกระบี่เอาไว้ ใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่โอสถทองเผ่าปีศาจมาลงสนามรบ เพื่อฉวยโอกาสคอยโจมตี
แล้วก็เพราะสาเหตุนี้ เป็นเหตุให้ปีนั้นอาเหลียงเป็นฝ่ายค้นหาทิศทางการเคลื่อนไหวของโซ่วเฉินในสนามรบด้วยตัวเอง สุดท้ายพออาเหลียงเจอตัวอีกฝ่ายก็ส่งกระบี่ออกไปไกลๆ เพียงแต่ว่าเดิมทีโซ่วเฉินก็เป็นเซียนกระบี่อยู่แล้ว อีกทั้งเวลานั้นยังใช้ยันต์คุ้มกันกายที่อาจารย์ผู้มีพระคุณมอบให้ สุดท้ายจึงสามารถหนีออกไปจากสนามรบได้
ฟ่านต้าเช่อพลันอึ้งตะลึง
เถ้าแก่รองของตนก็ไม่ได้เป็นแบบนี้หรอกหรือ? อีกทั้งยังถือว่ามีฝีมือมาตรฐานระดับปรมาจารย์ของด้านนี้อีกด้วย?
น่าเสียดายก็แต่เขากลายไปเป็นอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว
ไม่อย่างนั้นต่อให้เถ้าแก่รองไม่มาทำหน้าที่เป็นอาจารย์กระบี่ผู้คุ้มกันของฟ่านต้าเช่อ ปล่อยให้เฉินผิงอันเข้าออกสนามรบจุดต่างๆ ตามใจชอบเพียงลำพัง บวกกับที่ได้กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่แล้ว อีกทั้งตัวเขาเองยังเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอยู่ด้วย และการที่ตัวเฉินผิงอันมีความสามารถในการควบคุมจุดที่เล็กละเอียดบนสนามรบ มีการอนุมานที่แม่นยำต่อพลังการสู้รบของตัวเองและศัตรู เชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นการสะสมคุณความชอบหรือระดับความเร็วในการเติบโตก็ล้วนไม่เป็นรองปีศาจใหญ่โซ่วเฉินผู้นั้นแม้แต่น้อย
มาดของเซียนกระบี่ที่ปรากฏบนร่างของหนิงเหยา แน่นอนว่าน่าอกสั่นขวัญผวา ทำให้คนรู้สึกเลื่อมใสได้อย่างแท้จริง
แต่ไม่ว่าจะเคารพยำเกรงหรือชื่นชมบูชาอย่างไร หนิงเหยาก็คือหนิงเหยา หนิงเหยาที่ต่อให้คนวัยเดียวกันทั่วทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่จะพยายามเลียนแบบอย่างไรก็ทำได้ไม่เหมือน
ทว่าวิธีการรบมือกับศัตรูของเถ้าแก่รอง อันที่จริงแม้แต่ฟ่านต้าเช่อก็ยังเรียนรู้มาได้ ขอแค่ตั้งใจ ได้เห็นมากับตาตัวเอง ฟังให้มาก ดูให้มาก จำให้มาก ก็สามารถเอามาปรับใช้กับตัวเองได้ พัฒนาตบะให้รุดหน้า อยู่บนสนามรบขอแค่มีโอกาสชนะเพิ่มมาเสี้ยวหนึ่ง ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะช่วยให้ผู้ฝึกกระบี่ทำลายเรื่องไม่คาดฝันบางอย่างทิ้งไปได้
บนสนามรบเบื้องหน้า เฉินผิงอันไม่ขี่กระบี่ต่อแล้ว เขาเป็นฝ่ายพาตัวไปตกอยู่ในวงล้อมที่มีเผ่าปีศาจรวมตัวกันโอบเข้ามาเป็นชั้นแน่นหนา
ตั้งท่าหมัดเต็มที่ ปณิธานหมัดบนร่างประหนึ่งสายน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก มีความคล้ายคลึงกับฟ้าดินขนาดเล็กที่เกิดจากการรวมตัวกันของปราณกระบี่ที่หนิงเหยาสร้างขึ้นก่อนหน้านี้
ใครที่หากไม่ระวังหรือกล้าขยับเข้ามาใกล้ ก็จงเป็นศัตรูกับปณิธานหมัดของข้าก่อน
เผ่าปีศาจตนหนึ่งที่เกิดมาก็เรือนกายใหญ่โตดุจหอเรือน เป็นทั้งผู้ฝึกตนที่สติปัญญาเปิดโล่งแล้ว อีกทั้งวัตถุแห่งชะตาชีวิตสองชิ้นยังเอามาใช้เพื่อเพิ่มวิชาอภินิหารคุ้มกันกายโดยเฉพาะ จึงอาศัยเรือนกายที่แข็งแกร่งทนทานแต่กำเนิดมาวางอำนาจอยู่บนสนามรบ
ผลคือพอถูกเฉินผิงอันใช้หมัดเปิดทาง ร่างทั้งร่างก็เหมือนถูกกระบี่ยาวเล่มหนึ่งผ่าออกเป็นสองท่อน เลือดสดทะลักปุดๆ แต่กลับถูกปณิธานหมัดกระเทือนให้แหลกสลายไปอีกครั้ง
ต่อยคนพันที ไม่สู้แทงทีเดียว
เฉินผิงอันรับมือกับศัตรู ใช้แค่หมัดอย่างเดียว
คนคนเดียวตกอยู่ในวงล้อม สี่ด้านแปดทิศล้วนรายรอบไปด้วยศัตรู
แต่กระนั้นก็ยังใช้หนึ่งหมัดต่อยให้ศัตรูตายในคราวเดียว หรือไม่ก็ทำร้ายให้อีกฝ่ายบาดเจ็บไปถึงรากฐาน ต่อยจิตวิญญาณให้แหลกลาญ
ทุกหมัดมองดูเหมือนออมแรงเอาไว้ แต่แท้จริงแล้วทุกหมัดที่ปล่อยออกไปเปี่ยมด้วยพละกำลังหนักอึ้ง บุกรุดหน้าไม่มีหยุดยั้ง พอจะมองออกได้อย่างเลือนรางว่าความบริสุทธิ์ของปณิธานหมัดถึงขั้นทำให้ปราณกระบี่รอบทิศเป็นฝ่ายหลบทางให้
ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจคนหนึ่งที่หลบไม่พ้น เรือนกายใหญ่โตสูงสองจั้งจึงเหวี่ยงค้อนใหญ่ทุบฟาดลงมา
เผชิญหน้ากับหนิงเหยาในตำนานผู้นั้น บางทีอาจแค่รอความตายเท่านั้น แต่เจอกับ ‘เด็กหนุ่ม’ ตรงหน้าผู้นี้ที่ไม่มีกระบี่บิน มีเพียงวิชาหมัดอันสูงส่ง จะดีจะชั่วก็ยังไม่ขาดความกล้าในการต่อสู้
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งไปต้านรับค้อนใหญ่ที่ทุบลงแสกหน้า ร่างทั้งร่างล้วนถูกปกคลุมอยู่ในเงามืด ข้อเท้าของเฉินผิงอันขยับเบี่ยงไปชุ่นกว่าๆ พยายามส่งถ่ายพละกำลังมหาศาลนั้นไปที่พื้นดิน ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังถูกทุบจนเข่าทั้งสองข้างจมลงไปในดิน
สามารถหลบได้แต่กลับไม่หลบ รับค้อนหนักที่เหวี่ยงมาใส่นี้ไว้จังๆ อีกทั้งยังจงใจทำให้ร่างของตัวเองต้องหยุดชะงักไปชั่วครู่ นี่ก็เพื่อล่อให้เผ่าปีศาจที่แฝงตัวอยู่รอบด้านรู้สึกว่ามีโอกาสให้ฉกฉวย
ผู้ฝึกตนสำนักการทหารเผ่าปีศาจที่สวมเกราะยันต์เหล็กชั้นดีคนหนึ่ง สองมือถือดาบขยับเข้ามาใกล้เฉินผิงอัน พลังอำนาจที่พุ่งมานั้นน่าเกรงขาม เงื้อดาบผ่าฟันเข้าใส่
ยังมีผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งที่ยื่นมือข้างหนึ่งออกจากชายแขนเสื้อ โยนยันต์สีทองสองแผ่นที่วาดเป็นรูปห้าขุนเขาที่แท้จริงและรูปสายน้ำคดเคี้ยวออกมา จากนั้นค่อยยื่นฝ่ามืออีกข้างยกขึ้นสูง
พื้นดินรอบด้านใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอันถูกผู้ฝึกตนโอสถทองคนนั้นใช้เวทลับทำให้เป็นน้ำแข็ง ปิดผนึกพื้นที่ในรัศมีหลายสิบจั้งนี้ไว้ก่อน
ยันต์ขุนเขาที่วาดขึ้นบนกระดาษสีทองปรากฏภูเขาห้าลูกที่สีสันแตกต่างกัน ขนาดใหญ่แค่กำปั้น สี่ลูกในนั้นลอยอยู่ข้างกายผู้ฝึกยุทธเด็กหนุ่ม มีเพียงขุนเขากลางที่กระแทกลงบนหัวของอีกฝ่าย
เฉินผิงอันที่ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งยันต์ค้อนใหญ่เอาไว้ยกมือข้างซ้ายขึ้นกุมดาบอาคมที่ปราณสกปรกเข้มข้นจนกลายเป็นสีดำสนิทเหมือนสีหมึกเล่มนั้นไว้โดยตรง ปณิธานหมัดบริสุทธิ์ที่ปล่อยออกจากกลางฝ่ามือเสียดสีกับแสงดาบสีดำทำให้ประกายไฟแลบพุ่งกระเด็นไปสี่ทิศ
บิดข้อมือหนึ่งครั้ง กระชากผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยดาบมาด้านหน้า แล้วเหวี่ยงให้กระแทกชนภูเขาลูกเล็กเหนือศีรษะที่สร้างขึ้นจากยันต์สีทอง
เผ่าปีศาจเหวี่ยงค้อนที่ทำหน้าที่ล่อศัตรูได้สำเร็จมิอาจกดค้อนใหญ่ในมือลงมาได้อีกแม้แต่เสี้ยวเดียว จึงเก็บอาวุธไปชั่วคราว เหวี่ยงแขนขึ้นสูงอีกครั้ง หมายจะทุบซ้ำอีกรอบ
ผู้ฝึกตนสำนักการทหารเห็นท่าไม่ดี ทั้งไม่อยากกระแทกชนกับขุนเขากลางลูกนั้น แล้วก็ไม่ยินดีจะถูกค้อนใหญ่ที่เหวี่ยงตามมาทุบให้บาดเจ็บจึงสละดาบทิ้งแล้วถอยหนีอย่างเด็ดขาด ยกเท้าถีบเข้าที่หน้าอกของเด็กหนุ่ม อาศัยแรงดีดนี้ถอยไปด้านหลัง
นาทีถัดมา เฉินผิงอันที่เดิมทีใช้กระบวนท่าหมัดวานรที่จูเหลี่ยนถ่ายทอดให้ตลอดพลันเปลี่ยนมาเป็นท่าหมัดยอดเขาของจ้งชิว ‘เด็กหนุ่ม’ ร่างสูงเพรียวที่หัวไหล่ห่อเล็กน้อยและเอวก็งองุ้มลงกลับคืนมาสู่ท่าหมัดปกติในทันใด ปณิธานหมัดแปรเปลี่ยน ยิ่งหนาข้นขุ่นคลั่กกระแทกให้ตราผนึกของเวทอาคมรอบด้านแหลกสลายไปโดยตรง ปล่อยหมัดต่อยลงบนขุนเขากลางขนาดจิ๋ว ขณะที่หมัดสัมผัสกับภูเขาลูกเล็ก ริ้วคลื่นปณิธานหมัดก็กระเพื่อมซัดออกไปรอบด้านอย่างบ้าคลั่ง ชนสลายขุนเขาลูกนั้นให้กลายเป็นแสงสีทองกลุ่มหนึ่งที่สาดกระจายออกไป
เฉินผิงอันที่มือซ้ายยังกุมดาบอาคมตำแหน่งใกล้กับปลายดามไถลร่างถอยกรูดออกไป หลบค้อนที่สองที่ปีศาจร่างกำยำเหวี่ยงลงมาอย่างเต็มแรง
มือซ้ายที่ถือดาบดึงกลับมาเล็กน้อย หมัดขวาคลายออกเป็นท่าฝ่ามือมีดที่ฟันฉับลงไป ฟันให้ดาบอาคมเล่มนั้นหักเป็นสองท่อน เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนสำนักการทหารเผ่าปีศาจที่เดิมทีคิดจะเป็นฝ่ายทำลายวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ใช้โจมตีชิ้นนี้ด้วยตัวเอง กลายเป็นว่าขโมยไก่ไม่สำเร็จแล้วยังต้องเสียข้าวสารไปอีกหนึ่งกำมือ กลับกลายเป็นว่าต้องกระอักแก่นเลือดในหัวใจออกมาหนึ่งคำแทน ชำเลืองตามองเด็กหนุ่มที่ยังคงถูกกักตัวอยู่ท่ามกลางวงล้อมสี่ขุนเขา ผู้ฝึกตนสำนักการทหารผู้นี้กลับเลือกที่จะขี่ลมทะยานห่างไปไกลจากสนามรบจุดนี้โดยตรง