กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 650.3 คนบนเส้นทางเดียวกัน
ท่ามกลางขั้นตอนการถามกระบี่ระหว่างใต้หล้าเปลี่ยวร้างกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ก่อนหน้านี้ ผู้มีพรสวรรค์อายุน้อยของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตต้องแหลกสลาย มีอยู่สามคน
ตัวอ่อนเซียนกระบี่ทั้งสามคนที่แม้จะอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยังถือว่าเป็นบุคคลที่โดดเด่น มหามรรคากลับต้องขาดสะบั้นลงทั้งอย่างนี้ ไม่มีอะไรให้ลุ้น ไม่มีคำว่าหนึ่งในหมื่นอะไรทั้งนั้น
จากนั้นท่ามกลางศึกวุ่นวายครั้งนี้ก็ยังถูกผู้ฝึกกระบี่นักรบเดนตายของเผ่าปีศาจสังหารไปอีกสี่คน ส่วนผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ที่ไม่มีชื่อบันทึกไว้บนสมุดก็ยิ่งมีมากยิ่งกว่า
นี่ยังเป็นผลจากการที่ทางกำแพงเมืองปราณกระบี่ทยอยส่งเซียนกระบี่ผู้เฝ้าพิทักษ์สองท่านและผู้ฝึกกระบี่เซียนดินอีกสิบกว่าท่านให้ลงจากหัวเมืองไปให้การช่วยเหลือ คอยซุ่มจัดการฝ่ายตรงข้ามให้อย่างลับๆ แล้วด้วย
ปราณวิญญาณของกำแพงเมืองปราณกระบี่ดิ่งฮวบลงอย่างรวดเร็ว
ทรัพยากรที่เผาผลาญไปในแต่ละวันคือค่าใช้จ่ายมหาศาลที่ไม่ว่าสำนักใดในใต้หล้าไพศาลก็ไม่อาจคาดการณ์ได้ถึง หากนำมาคำนวณเป็นเงินเทพเซียนก็สามารถทำให้ผู้ฝึกตนที่ดูแลเรื่องการเงินทรัพย์สินซึ่งต่อให้ได้เห็นแค่จำนวนตัวเลขบนสมุดบัญชีเพียงปราดเดียว จิตแห่งมรรคาก็ยังสั่นคลอนไม่มั่นคงได้
ฟ้าดินของสองฝ่ายสลับสับเปลี่ยนกัน และเป็นใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ทำการแทรกซึมวิวัฒนาการไปอย่างรวดเร็ว
อิงตามความลับสวรรค์ที่ใต้เท้าอิ่นกวานเปิดเผยให้รู้ ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่อริยะของสามลัทธิลงมือ อันที่จริงล้วนไม่ใช่เรื่องที่ผ่อนคลาย หลังจากร่วมมือกันสร้างแม่น้ำสายยาวสีทองตัดแบ่งสนามรบขึ้นมา ก็ยิ่งเหมือนเป็นการเลือกที่เด็ดเดี่ยวอย่างหนึ่ง ไม่มีทางให้หวนย้อนกลับ หรือควรจะพูดว่าเดิมทีก็ไม่มีทางให้ถอยหลังอยู่แล้ว
สถานการณ์ใหญ่พุ่งซัดมาใส่อย่างดุดัน ไม่ว่าสายอิ่นกวานจะพยายามทุ่มเทชีวิตอุทิศตนมากแค่ไหน ไม่ว่าผู้ฝึกกระบี่บนหัวกำแพงเมืองจะลืมความเป็นความตาย ออกกระบี่อย่างเต็มแรงสังหารศัตรูมากแค่ไหน อาจจะถ่วงรั้งสถานการณ์ใหญ่ไว้ได้ชั่วครู่ชั่วยาม แต่สุดท้ายก็ดูเหมือนว่ายากจะเปลี่ยนแปลงทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ใหญ่ได้อีก
เติ้งเหลียงมีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ใช่ว่าจะไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ได้ แต่เติ้งเหลียงไม่เคยรู้สึกอัดอั้น ท้อแท้ เดือดดาล จนสุดท้ายเปลี่ยนเป็นความหมดอาลัยตายอยากเช่นนี้มาก่อน จึงได้แต่อาศัยการดื่มเหล้าดับทุกข์เท่านั้น
ยิ่งอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อน เป็นคนกลุ่มแรกที่ได้รับรายงาน เพื่อใช้สิ่งนี้มามองดูสถานการณ์ภาพรวม เมื่อเติ้งเหลียงยิ่งมองผลได้ผลเสียของทั้งสองฝ่ายในสงครามแต่ละครั้งได้ทะลุปรุโปร่งมากเท่าไร สุดท้ายเติ้งเหลียงยิ่งรับรู้ถึงสถานการณ์การดำเนินไปของสงครามได้ลึกซึ้งมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกไร้เรี่ยวแรงมากเท่านั้น
หลินจวินปี้เอาแต่ยุ่งทำงานในมือของตัวเองอย่างเดียว
โฉวเหมียวมองหลินจวินปี้ แล้วเซียนกระบี่หนุ่มก็พยักหน้ากับตัวเองอย่างไม่ให้เป็นที่จับสังเกต ลูกรักแห่งสวรรค์ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอย่างหลินจวินปี้ผู้นี้ มหามรรคาจะต้องสูงและไกลมากแน่นอน
หลินจวินปี้ไม่รู้ว่าสำหรับในใจของโฉวเหมียวแล้ว ตนจะได้รับคำประเมินที่ไม่ต่ำเช่นนี้
พอมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ เรื่องแรกที่หลินจวินปี้ได้เรียนรู้มาก็คือต้องถ่อมตนแล้วถ่อมตนอีก
ในความเป็นจริงแล้ว แม้หลินจวินปี้จะทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขามีทั้งอุบาย ทั้งไหวพริบ ทั้งความฉลาดเฉลียว อีกทั้งยังเป็นคนที่โดดเด่นมากที่สุดในกลุ่ม แต่ถึงอย่างไรความรู้สึกที่เขามอบให้กับผู้คนก็ไม่น่าเชื่อถือได้เท่ากับตัวของโฉวเหมียว ก็เหมือนหยกดิบก่อนกำเนิดก้อนหนึ่งที่ภายหลังถูกนำมาแกะสลักจนงดงาม แน่นอนว่านี่เป็นแค่การนำหลินจวินปี้มาเปรียบเทียบกับโฉวเหมียวเท่านั้น ผู้ฝึกกระบี่คนอื่นๆ ในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์หลบร้อนต่างก็ยอมรับว่าเก้าอี้ตัวที่สามนี้ หลินจวินปี้สามารถนั่งได้อย่างมั่นคง
เมื่อเทียบกับหลินจวินปี้ โฉวเหมียวก็ตรงกันข้ามกับเขาพอดี ซื่อสัตย์บริสุทธิ์ เก็บตัว
เซียนกระบี่อายุน้อยท่านนี้มาพร้อมกับเรื่องเล่าอันเป็นตำนานมากมายเป็นกระบุงโกย กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ของสายอิ่นกวาน แต่กลับไม่ใช่อิ่นกวานคนใหม่ ตำแหน่งต่ำกว่าผู้อื่นหนึ่งขั้น ไม่เคยเอ่ยถ้อยคำใดที่ทำให้คนตบโต๊ะร้องว่าดี แล้วก็ไม่เคยทำเรื่องใดๆ ที่ทำให้คนรู้สึกตะลึงพรึงเพริดเป็นเท่าทวี
ทว่ากลับสามารถสยบผู้คนได้ ทำให้คนรู้สึกเชื่อใจอยากพึ่งพา
คาดว่าคนของสายอิ่นกวานทุกคนก็คงเคยคิดมาก่อนว่า หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นจริงๆ ใครจะขึ้นมาเป็นอิ่นกวานคนถัดไป แน่นอนว่าต้องเป็นโฉวเหมียว มิใช่หลินจวินปี้
สำหรับเรื่องนี้หลินจวินปี้เองก็ไม่ได้มีความไม่พอใจอะไร ความสามารถสู้คนอื่นไม่ได้ก็ต้องยอมรับ หลินจวินปี้ไม่เคยกลัวการที่ต้องคบค้าสมาคมกับยอดฝีมือ เขาเรียนรู้ทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว ขอแค่ไม่ใช่สถานการณ์เป็นตาย หลังจากที่ประลองฝีมือกันแล้ว วิชาหมากล้อมสูงขึ้น นั่นก็ล้วนถือเป็นเงินทุนที่เข้ามาอยู่ในกระเป๋าของตัวเองทั้งหมด
หลินจวินปี้รู้ชัดเจนดีว่า การที่เซียนกระบี่โฉวเหมียวสามารถสยบผู้คนได้ นี่ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่เพราะโฉวเหมียวมีขอบเขตสูงเท่านั้น
บนร่างของโฉวเหมียวมีอะไรหลายอย่างที่คู่ควรให้เขาศึกษาเรียนรู้
ยกตัวอย่างเช่นทุกคนต่างก็ไม่เคยรู้สึกว่าโฉวเหมียวเป็นคนฉลาดที่ความสามารถเลิศล้ำ คิดคำนวณได้อย่างแม่นยำไร้ข้อผิดพลาด
ความประทับใจแรกที่ทุกคนมีต่อโฉวเหมียวต้องไม่ได้เป็นแบบนี้แน่นอน
หากพูดถึงโฉวเหมียว ก็คือคนที่มีเวทกระบี่สูง แต่กลับนิสัยอ่อนโยน ไร้ประกายเฉียบคม
ความประทับใจที่อิ่นกวานหนุ่มมอบให้กับผู้คน กลับเป็นว่าขอบเขตไม่สูง แต่ต่อสู้เก่ง กลอุบายลึกล้ำ แต่กลับเป็นคนดีคนหนึ่ง
บวกกับที่ผู้ฝึกกระบี่หลายคนของสายอิ่นกวานต่างก็มีดีแตกต่างกันไป หลินจวินปี้ได้มาฝึกประสบการณ์อยู่ที่นี่จึงได้รับผลประโยชน์อยู่ทุกวัน แล้วเหตุใดเขาต้องจากไปด้วยเล่า?
ต่อให้เฉินผิงอันไล่ให้เขาไป ตอนนี้ก็ไม่แน่เสมอไปว่าหลินจวินปี้จะยอม
หลินจวินปี้มองตำแหน่งประธานที่ว่างเปล่าไร้คนนั่งแล้วก็ส่ายหน้า ไม่ไปก็จริง แต่เขาไม่มีทางยอมเป็นใต้เท้าอิ่นกวานนี่แน่นอน
……
เฉินซานชิวชำเลืองตามองสถานการณ์การสู้รบในบริเวณใกล้เคียงแล้วก็หยุดครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะตะโกนเรียกให้ต่งฮว่าฝูขี่กระบี่ขยับเข้าไปใกล้เฉินผิงอันด้วยกัน ขณะเดียวกันก็บอกให้เจ้าอ้วนเยี่ยนกับเตี๋ยจ้างออกแรงให้มากหน่อย รอให้พวกเขาพักหายใจหายคอได้บ้างแล้วจะรีบย้อนกลับมาช่วยเหลือทันที
คนทั้งสองขี่กระบี่เปลี่ยนสนามรบ กลายเป็นว่าคุมเชิงอยู่ในมุมสามเหลี่ยมกับพวกหนิงเหยา เฉินผิงอัน
ต่งฮว่าฝูนั่งยองอยู่บนกระบี่ยาว แล้วเริ่มให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโล่ง “เมื่อเทียบกับการเปิดขบวนรบของพี่หญิงหนิงแล้ว ยังช้ากว่าหน่อย”
ต่งฮว่าฝูคิดแล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของเถ้าแก่รองก็คือการคิดบัญชี ดังนั้นจึงเอ่ยเสริมไปอีกประโยคว่า “แต่อาเหลียงเคยบอกว่า บุรุษจะเร็วเกินไปนักไม่ได้”
เฉินซานชิวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังลั่น
คิดไม่ถึงว่าเถ้าแก่รองเพิ่งจะถูกผู้ฝึกกระบี่สำนักการทหารเผ่าปีศาจที่สวมเสื้อเกราะจินอูคนหนึ่งต่อยด้วยหมัดที่เปี่ยมพละกำลังจนร่างของเขาเจาะทะลวงขบวนทัพใหญ่ที่เฉินซานชิวกำลังออกกระบี่ปาดให้บางลง สุดท้ายร่างมาหล่นอยู่ห่างจากเฉินซานชิวไปไม่ไกล กลิ้งตลบอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นมายืน แล้วปล่อยหมัดต่อยให้วัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งที่เป็นเหมือนหนอนชอนไชกระดูกแหลกสลาย กระบวนท่าหมัดพลันแปรเปลี่ยน ดึงลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่งของผู้ฝึกยุทธขึ้นมาเสริมร่างกายให้มั่นคง บาดแผลบนร่างปริแตก เลือดสดจึงผุดทะลักออกจากบาดแผล
ชุดคลุมอาคมจากหอภูษาที่ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานยืมมาถูกทำลายจนสิ้นแล้ว บนร่างเหลือชุดคลุมอาคมชิ้นสุดท้าย และชุดคลุมอาคมนี้ก็ขาดวิ่นไปนานแล้ว ร่างครึ่งบนเกือบจะเปิดเปลือย ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผล ทุกที่มีแต่กระดูกขาวโผล่ออกมา เฉินผิงอันที่สวมชุดคลุมอาคมสีเขียวของจวนหนิงซึ่งเป็นชุดสุดท้ายหันไปมองต่งถ่านดำแวบหนึ่ง
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ
หนิงเหยาที่อยู่ห่างไปไกลก็คลี่ยิ้มอ่อน
ต่งฮว่าฝูจึงยิ้มตอบกลับอย่างโง่งม
เฉินผิงอันเอนตัวหงายหลังหลบแสงกระบี่เฉียบคมที่ลอบโจมตีมาจากด้านหลังได้อย่างหวุดหวิด ก่อนจะล้มคว่ำลง เขาใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งยันพื้น พลิกตัวกลับ ก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าว ในที่สุดก็ใช้ยันต์ย่อพื้นที่ พริบตาเดียวก็มาหยุดอยู่ข้างกายผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจที่ออกกระบี่อย่างลึกลับอยู่หลายต่อหลายครั้งผู้นั้น เหวี่ยงแขนฟาดออกไปปัดศีรษะศัตรูทิ้ง แล้วก้มหัวค้อมตัวลงต่ำ อาศัยเรือนกายไร้หัวของผู้ฝึกกระบี่คนนั้นเป็นโล่บังพุ่งกระแทกชนไปด้านข้าง
ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจที่มีสีหน้าเฉยเมยคนหนึ่งอยู่ในรูปลักษณ์ของชายวัยกลางคน ไม่รู้ว่าไปหยิบกระบี่หักมาจากที่ใด ระดับขั้นของกระบี่เล่มนั้นต่ำมาก ก็แค่พอจะมีรูปร่างของกระบี่เท่านั้น เขาก้าวออกมาหนึ่งก้าวก็มายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ครั้นจึงเงื้อกระบี่ฟันฉับลงมา ไม่มีแสงกระบี่พร่างพราว แล้วก็ไม่มีปณิธานกระบี่อันเฉียบคม เงียบสนิทเหมือนกับคนที่ถือมัน แต่เฉินผิงอันถึงขั้นใช้ยันต์ฟางชุ่นไม่ทัน ต้องปล่อยปณิธานหมัดขึ้นคลุมเหนือศีรษะ ถึงจะใช้สองมือรับคมกระบี่ไว้ได้อย่างไม่ง่าย แต่กระนั้นก็ยังถูกหนึ่งกระบี่ฟันให้ร่างทั้งร่างจมหายเข้าไปในดิน
บุรุษไม่ได้คิดจะใช้พละกำลังอันมหาศาลฟันทั้งสองมือทั้งไหล่ของศัตรูให้ผ่าออกเป็นสองท่อน แต่ดึงกระบี่ธรรมดาเล่มนั้นกลับคืนมา แล้วจ้วงแทงเข้าที่ลำคอของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันกำมือซ้ายเป็นหมัดยันไว้ที่หัวใจ เห็นได้ชัดว่าบุรุษมีท่าทางประหลาดใจเล็กน้อย กระบี่นี้ของตนจะเปลี่ยนทิศกลางทางไปปั่นคว้านหัวใจของอีกฝ่ายจริงๆ และในช่วงเวลาสำคัญของการเปลี่ยนทิศกระบี่ บุรุษก็เดินออกมาหนึ่งก้าว เรือนกายล่องลอยราวกับกระบี่บินที่เป็นภาพมายา พุ่งมาหยุดอยู่ด้านหลังของเฉินผิงอันโดยตรง บิดหมุนปลายกระบี่ง่ายๆ แทงเข้าไปที่ด้านหลังตรงกระดูกสันหลังของเฉินผิงอัน แทบจะเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเดียวกันนั้น เฉินผิงอันก็ใช้ท่าปรับแก้มังกรใหญ่ ปลายกระบี่จึงหยุดชะงักไปชั่วครู่ อาศัยแรงส่งของกระบี่นี้ เดิมทีร่างของเฉินผิงอันควรพุ่งไปข้างหน้าไวกว่าเดิม แต่เฉินผิงอันกลับเพียงแค่ขยับเท้ามาด้านข้างไม่กี่ก้าว จริงดังคาด บุรุษถือกระบี่ ‘คนที่สอง’ มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าตำแหน่งเดิมของเฉินผิงอันก่อนหน้านี้ แล้วฟันกระบี่แสกหน้ามาตรงๆ
บุรุษยิ้มบางๆ เพิ่มแรงบนมือ กระชับกระบี่ยาวเบาๆ
บนสนามรบ ผู้ฝึกกระบี่เกือบร้อยคนปรากฏตัวในเสี้ยววินาที พากันโอบล้อมเฉินผิงอันเอาไว้ ยังคงถือกระบี่อยู่เหมือนเดิม ไม่มีกระบี่บินแม้แต่เล่มเดียว แต่ใช้ท่วงท่าการถือกระบี่แบบต่างๆ ทิ่มปลายกระบี่เข้าใส่เฉินผิงอัน
ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น หกตำแหน่งนอกรัศมีค่ายกลกระบี่วงกลมนี้ก็ล้วนมีแต่บุรุษถือกระบี่ ราวกับกำลังรอคอยให้เฉินผิงอันใช้ยันต์ฟางชุ่น
นอกจากนี้เบื้องหน้าหนิงเหยา ฟ่านต้าเช่อ เฉินซานชิวและต่งฮว่าฝูก็มีค่ายกลกระบี่วงกลมขนาดใหญ่ยักษ์ที่ก่อตัวจากคนถือกระบี่ปรากฎขึ้น
คนคนเดียวถือกระบี่ท้าทายเฉินผิงอัน หนิงเหยา ผู้มีพรสวรรค์อายุน้อยบนสมุดของกระโจมเจี่ยจื่อสองคนอย่างเฉินซานชิวและต่งฮว่าฝู บวกกับผู้ฝึกกระบี่โอสถทองอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่บนสมุด
เป้าหมายที่บุรุษผู้นี้จะถามกระบี่ด้วยอย่างแท้จริง มีทั้งเฉินผิงอัน แล้วก็มีทั้งฟ่านต้าเช่อ
ส่วนผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ถึงอย่างไรเขาก็ได้มอบสิทธิ์ในการเลือกให้แก่ผู้ฝึกกระบี่วัยเดียวกันทั้งหมดของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว อันที่จริงเขาเองก็ไม่ได้สนผลลัพธ์สักเท่าไร
ผู้ฝึกกระบี่ออกกระบี่ ขแอแค่ตนเองถูกต้องที่สุดก็พอแล้ว คุณความชอบน้อยใหญ่เป็นเพียงเรื่องรองเท่านั้น
คนทุกคนที่ถือกระบี่ มีทั้งจริงมีทั้งเท็จ จะแบ่งพลังในการต่อสู้แตกต่างกันไป ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องคำนวณได้อย่างแม่นยำ
ดูเหมือนบุรุษถือกระบี่จะรู้สึกระอาใจเล็กน้อย เรือนกายในตำแหน่งหนึ่งที่เดิมทีก็เลื่อนลอยไม่อยู่นิ่งพลันระเบิดโผละแตกออก
คนที่ถือกระบี่คนอื่นๆ ล้วนถูกกระบี่บินที่น้อยหน่อยก็สองสามเล่ม มากหน่อยก็ห้าหกเล่มเล่นงาน
ส่วนอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นกลับยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน
สุดท้ายบุรุษท่าทางเกียจคร้านที่สวมหน้ากาก อำพรางลมปราณเหมือนๆ กันมองเฉินผิงอันแวบหนึ่งแล้วยิ้มอย่างรู้ใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยภาษาทางการของใต้หล้าไพศาลที่สำเนียงถูกต้องชัดเจนว่า “คนบนเส้นทางเดียวกัน”
ผู้ฝึกกระบี่ประหลาดที่อยู่ดีๆ ก็ปรากฏตัว แล้วอยู่ดีๆ ก็หายวับไปอย่างลึกลับผู้นี้ ไม่รู้ว่าหายตัวไปไหนแล้ว
เฉินผิงอันเก็บกระบี่บินทั้งหมดกลับคืนมาเป็น ‘ดวงจันทร์ใต้บ่อ’ เล่มเดียว วิชาอภินิหารของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้ก็คือแสงจันทร์สาดส่องบ่อลึก ขอแค่ทะเลสาบในหัวใจเกิดริ้วกระเพื่อม ทุกครั้งที่ออกกระบี่และเก็บกระบี่ก็จะเป็นสภาพการณ์ที่ดวงจันทร์ดวงหนึ่งเป็นแตกแล้วกลับมาเต็มดวง ทั้งหมดล้วนอยู่ที่ความคิดเดียวของผู้ฝึกกระบี่เท่านั้น
กว่าจะบำรุงหล่อเลี้ยงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มออกมาได้ไม่ง่าย ผลกลับกลายเป็นว่าต้องให้ดวงจันทร์ใต้บ่อเผยตัวก่อนกำหนดเช่นนี้
เฉินผิงอันสบถด่าในใจไปคำหนึ่ง คนบนเส้นทางเดียวกันชาติสุนัข