กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 653.1 ยืนอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์
คนหนุ่มเรือนกายสูงใหญ่คนหนึ่งกับสตรีหน้าตางดงามโดดเด่นพากันเดินเข้าไปในอาณาเขตจังหวัดหลงโจวของราชวงศ์ต้าหลี พื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลซึ่งเกิดจากถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีตปริแตกแล้วร่วงลงมาหยั่งรากลงสู่พื้นดิน
ที่นี่มีเรื่องราวแห่งขุนเขาสายน้ำมากมาย และยิ่งเป็นสถานที่ในการฝึกตนอันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีป
เพียงแค่ว่าเรื่องราวของบุคคลและขุนเขาสายน้ำทั้งหมด ดูเหมือนว่าจะแต่งแต้มไปด้วยไอน้ำเมฆหมอก ทำให้คนมองเห็นความเป็นจริงไม่ชัดเจน
เมื่อคนทั้งสองเดินเลียบเส้นทางของแม่น้ำเถี่ยฝูไปยังอำเภอไหวหวง ระหว่างทางก็ผ่านศาลเจ้าแม่เทพวารีที่ควันธูปโชติช่วงแห่งหนึ่ง เนื่องด้วยติดที่ตัวตนและรากฐานการฝึกตน ทั้งสองคนจึงไม่กล้าเข้าไปจุดธูปด้านใน เมื่อพวกเขาได้เห็นประตูใหญ่ทางทิศตะวันออกของอำเภออย่างไม่ง่ายนัก คนหนุ่มก็รู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ในที่สุดก็ถึงเสียที แม่นางหม่า พวกเราไปเยี่ยมเยือนภูเขาของอาจารย์เฉินกันก่อนหรือว่าจะไปเป็นแขกที่บ้านของกู้ช่านในเขตการปกครองก่อนดี? ภูเขาลั่วพั่วอาจจะหายากสักหน่อย แต่ที่เขตการปกครองน่าจะมีคนรู้จักทางได้ง่ายกว่า”
ชายหนุ่มหญิงสาวคู่นี้เดินทางขึ้นเหนือมาเยือนจังหวัดหลงโจว การเดินทางของพวกเขาไม่ได้ผ่อนคลายนัก หลักๆ แล้วเป็นเพราะอยู่ดีๆ กู้ช่านก็ต้องการให้พวกเขาเดินทางขึ้นเหนือ เขาและบัณฑิตท่าทางประหลาดนามว่าหลิ่วชื่อเฉิงจะไปเยือนสกุลสวี่ที่นครลมเย็นก่อน นี่ทำให้เจิงเย่ที่มีนิสัยขี้ขลาดกระวนกระวายไม่เป็นสุข ในอดีตเคยถูกจางเย่ผู้ดูแลของเกาะชิงเสียกระชากขึ้นมาจากหลุมไฟขนาดใหญ่บนเกาะเหมาเยว่ พามาที่กระท่อมตรงหน้าประตูภูเขา ได้พบกับนักบัญชีท่านนั้น ชีวิตของเจิงเย่ก็ได้เจอกับการเปลี่ยนแปลงที่พลิกฟ้าพลิกดิน ภายหลังยังได้รู้จักกับกู้ช่าน เปลี่ยนจากหวาดกลัวมาเป็นใกล้ชิด จนถึงการพึ่งพาอย่างในทุกวันนี้ อันที่จริงเวลาเพียงไม่กี่ปี สำหรับผู้ฝึกตนที่ชอบนั่งฝึกตนอยู่นิ่งๆ แล้วก็ราวกับเป็นเวลาเพียงชั่วลัดนิ้วมือเท่านั้น
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่จากที่เจิงเย่แค่มองกู้ช่านก็ต้องฝันร้าย ทุกวันนี้พอไม่มีกู้ช่านอยู่ข้างกายกลับกลายเป็นว่ารู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองไปเสียทุกเรื่อง ท่องเที่ยวตามขุนเขาสายน้ำก็รู้สึกว่าแต่ละก้าวที่เหยียบย่างไปช่างไม่มั่นคง
ในความเป็นจริงแล้ว เจิงเย่ที่เกิดมาก็เหมาะกับการฝึกวิถีผี หลายปีมานี้การฝึกตนทำให้เขาฝ่าทะลุขอบเขตได้ไม่ช้าเลย ถึงขั้นพูดได้ว่าเร็วอย่างถึงที่สุด เพียงแต่เพราะข้างกายมีกู้ช่านอยู่ถึงได้มองเห็นไม่ชัดเจน
ตอนนี้เจิงเย่ก็คือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตชมมหาสมุทรอย่างสมชื่อแล้ว หากไปอยู่ในยุทธภพและบนภูเขาของแคว้นใต้อาณัติเล็กๆ ก็ล้วนสามารถถูกมองเป็น ‘นายท่านเทพเซียนห้าขอบเขตกลาง’ ได้แล้ว
เพราะฝึกวิชานอกรีต กลิ่นอายของปราณหยินค่อนข้างเข้มข้น ดังนั้นการเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้ของเจิงเย่ ยามที่เดินทางมาพร้อมกับกู้ช่านจึงจะสามารถขยับเข้าใกล้ศาลขุนเขาสายน้ำและภูเขาตระกูลเซียนได้บ้าง แต่พอแยกทางกับกู้ช่านก็ไม่มีความกล้านี้อยู่แล้ว บวกกับที่หม่าตู่อี๋ข้างกายก็ยิ่งเป็นผี นางสามารถมาเดินอยู่บนโลกมนุษย์ได้ก็เพราะอาศัยยันต์หนังจิ้งจอกแผ่นนั้นเท่านั้น ในสายตาของเซียนซือบนภูเขาที่ตบะลึกล้ำแล้ว เจิงเย่ก็ดี หม่าตู่อี๋ก็ช่าง ล้วนง่ายที่จะถูกมองเป็นสิ่งสกปรกที่ผิดหลักทำนองคลองธรรม
ตรงเอวของหม่าตู่อี๋ห้อยป้ายหยกแผ่นหนึ่ง ก็คือป้ายสงบสุขปลอดภัยที่กู้ช่านทิ้งไว้ให้เป็นยันต์คุ้มกันกายสำหรับพวกเขา นางคิดแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ไปที่ภูเขาลั่วพั่วก่อน พวกเราสนิทกับท่านเฉินขนาดนั้นก็น่าจะไม่ถึงขั้นต้องกินน้ำแกงประตูปิด ต่อให้ท่านเฉินไม่อยู่ที่นั่น ขอน้ำชาคนเขาดื่มสักถ้วยก็คงไม่ยากหรอกกระมัง?”
เจิงเย่ยิ้มกว้าง “ตกลง ข้าก็คิดแบบนี้เหมือนกัน”
จะต้องมีคนอยู่ส่วนหนึ่งที่แค่คิดถึงก็รู้สึกสบายใจแล้ว
ผ่านอำเภอไหวหวง ถามทางกับชาวบ้านในพื้นที่ ผลคือพูดกันคนละภาษา เหมือนเป็ดคุยกับไก่ กว่าจะหาเถ้าแก่ร้านที่พูดภาษาทางการของต้าหลีได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพียงแต่ว่าเถ้าแก่ท่านนั้นก็ไม่รู้ที่ตั้งที่แน่ชัดของภูเขาลั่วพั่วเหมือนกัน เพียงแค่บอกมาคร่าวๆ ว่าผ่านเมืองเล็กไปให้หาภูเขาเจินจูก่อน เป็นเนินเขาเล็กๆ แห่งหนึ่ง ถึงเวลานั้นค่อยหาโอกาสสอบถามทางกับเทพเซียนในภูเขาเอา
เข้ามายังเทือกเขาใหญ่ที่เรียงต่อกันเป็นแนวยาวซึ่งมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น คนทั้งสองต้องตามหาอยู่พักใหญ่ถึงจะหาภูเขาฮุยเหมิงที่เป็นภูเขาใต้อาณัติของภูเขาลั่วพั่วเจอ แล้วจึงเดินทางลงใต้ต่อ ผลคือมาถึงตีนเขาฝั่งเป็นด้านที่เป็นหน้าผาสูงชันของภูเขาลั่วพั่ว ห่างจากประตูภูเขาที่อยู่ทางทิศใต้มาไม่ไกล แต่เจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ต้องมาเห็นภาพที่น่าเหลือเชื่อภาพหนึ่ง อันดับแรกก็เห็นแม่นางน้อยชุดดำคนหนึ่งก่อน นางหันหลังให้พวกเขา กำลังแหงนหน้ามองไปยังจุดสูงของหน้าผาที่ห้อยตัวอยู่กลางทะเลเมฆเหมือนคนรัดเข็มขัดสีขาวหิมะ แม่นางน้อยแบกคานหาบเล็กๆ สีทองไว้บนบ่าข้างหนึ่ง ส่วนบ่าอีกข้างแบกไม้เท้าเดินป่าสีเขียว นางตะโกนเสียงดังว่า “เผยเฉียนๆ คราวนี้อย่ากระโดดเบี้ยวอีกล่ะ เติมหลุมให้เต็มน่ะลำบากมากรู้ไหม”
เจิงเย่มองไปรอบกายของแม่นางน้อย บนพื้นเต็มไปด้วยหลุมบ่อ
ไม้เท้าเดินป่าสีเขียวบนไหล่แม่นางน้อยช่างคุ้นตาจริงๆ!
แม่นางน้อยชุดดำพลันหันหน้ากลับมา มองคนต่างถิ่นสองคนที่หยุดเท้าไม่เดินหน้าอยู่ไกลๆ แล้วก็เริ่มเผ่นหนีด้วยความเร็วราวกับฟ้าผ่าไม่ทันยกมือป้องหู
เจิงเย่เงยหน้าขึ้นพรวด
จุดสีดำจุดหนึ่งแหวกทะเลเมฆมาพร้อมกับเสียงลมหวีดหวิว ดิ่งฮวบลงมาเบื้องล่าง พริบตานั้นเรือนกายผอมบางที่ไม่สูงมากนักก็กระแทกลงบนพื้นอย่างแรง เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว พื้นดินสั่นสะเทือน ฝุ่นตลบคลุ้งไปทั่ว
เจิงเย่รวบรวมสมาธิเพ่งสายตามองไปยังจุดที่ห่างไปไกลนั้น
เห็นเพียงว่าในหลุมใหญ่มีเด็กสาวเรือนกายผอมบาง ผิวค่อนข้างคล้ำอยู่คนหนึ่ง เข่าทั้งสองข้างของนางงอเล็กน้อย ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน พอหันหน้าไปเห็นแม่นางน้อยชุดดำที่นั่งกุมหัวอยู่ริมหลุมใหญ่ก็บ่นขึ้นว่า “หมี่ลี่น้อย นี่มันอะไรกัน หากไม่ใช่เพราะข้าตาแหลมเปลี่ยนทิศทางจุดที่หล่นลงพื้น เจ้าก็คงต้องตกลงมาในหลุมแล้วนะ ถ้าเจ้าบาดเจ็บจะทำอย่างไร ก็บอกให้เจ้าอยู่ที่เดิมห้ามขยับไม่ใช่หรือ…”
ระหว่างที่พูด เด็กสาวที่การกระทำน่าตะลึงพรึงเพริดก็เดินสบายๆ สองสามก้าว ทว่ากลับมาหยุดอยู่ข้างกายแม่นางน้อยแล้ว จากนั้นก็ยืนบังขวางอยู่ระหว่างโจวหมี่ลี่กับคนต่างถิ่นสองคนคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา
หม่าตู่อี๋สังเกตเห็นว่ารองเท้าสานที่ฝีมือการถักแค่พอไปวัดไปวาได้บนเท้าของเด็กสาวนองไปด้วยเลือด
หม่าตู่อี๋อดเหลือบมองหน้าผา แล้วก็ค่อยมองเด็กสาวซ้ำอีกทีไม่ได้
สรุปว่านี่คือการโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย หรือว่าแค่กำลังเล่นสนุกกันแน่?
ถึงอย่างไรเจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ก็ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว จึงไม่รู้ว่าการที่เด็กสาวคนนั้นกระโดดหน้าผาลงมา ‘กระแทกพื้น’ มีความลี้ลับมหัศจรรย์อยู่มากมาย
ถามหมัด!
เด็กสาวกำลังใช้เรือนกายมนุษย์ถามหมัดกับพื้นดิน
จำเป็นต้องเก็บปณิธานหมัดทั้งหมดที่เป็นเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มกันกายลงไป ใช้เรือนกายอันบริสุทธิ์ อาศัยท่าร่วงดิ่งลงมา ราวกับสวรรค์ ‘ปล่อยหมัดที่หนักที่สุด’ ใส่โลกมนุษย์
หากเอ่ยตามคำพูดของเด็กสาวก็คือ จะต้องโหม่งหัวน้อยๆ ของพื้นดินแรงๆ สักที!
นี่คือวิธีการฝึกหมัดที่เด็กสาวคิดขึ้นมาได้เอง แน่นอนว่าหน่วนซู่ย่อมไม่เห็นด้วย เพราะรู้สึกว่าอันตรายเกินไป ตอนนี้เผยเฉียนเพิ่งจะอยู่ที่คอขวดขอบเขตห้า เรือนกายยังไม่แข็งแกร่งมากพอ หมี่ลี่น้อยคิดว่าน่าจะทำได้ สองต่อหนึ่ง ดังนั้นจึงทำได้ เฉินหน่วนซู่คิดจะไปถามพ่อครัวเฒ่า ผลคือเผยเฉียนกลับกระทืบเท้าลงบนอิฐเขียวหกก้อนที่ปูไว้บนพื้นนอกเรือนไม้ไผ่ ใช้ท่าเดินนิ่งหกก้าวเปิดทาง แล้วพลันดีดร่างขึ้นสูง พริบตาเดียวก็หายวับไปไม่เหลือเงา
โจวหมี่ลี่ไปนอนคว่ำกระดกก้นอยู่ตรงหน้าผา เฉินหน่วนซู่ร้อนใจมาก แต่พ่อครัวเฒ่ากลับมาปรากฏตัวอยู่ที่หน้าผาโดยที่ไม่มีใครรู้ ชำเลืองตามองพื้นดินแล้วจุ๊ปาก
เฉินหน่วนซู่ถอนหายใจโล่งอก ดูท่าแล้วน่าจะไม่เป็นปัญหาอะไรมาก
ภายหลังเผยเฉียนก็ปีนขึ้นมาบนหน้าผาอย่างว่องไว จากนั้นก็เดินกะเผลกๆ สองตาทอประกายเจิดจ้า พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “สบายๆ!”
จูเหลี่ยนไม่มีอะไรจะให้พูด หมุนตัวกลับได้ก็เดินจากไปทันที
ดังนั้นบนพื้นดินจึงเกิดหลุมใหญ่หลายหลุม
โจวหมี่ลี่แอบทำท่าหัวโหม่งดำน้ำให้เผยเฉียนดูจึงโดนเฉินหน่วนซู่ที่นานๆ จะโมโหทีด่าเข้าให้
ดังนั้นจึงมีภาพที่เจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ได้เห็นในวันนี้
หากนี่คือวิธีการรับรองแขกของภูเขาลั่วพั่ว ก็ถือว่าพวกเขาได้เปิดโลกทัศน์ใหม่แล้ว
เผยเฉียนมองคนแปลกหน้าสองคนที่เดินทางมาไกลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า “เสียงลูกคิดอยู่ฝั่งซ้ายหรือฝั่งขวา?”
เจิงเย่มึนงงไม่เข้าใจ
หม่าตู่อี๋ตอบ “หันหน้าเข้าหาประตูภูเขา ฝั่งซ้ายมือคือห้องบัญชี”
เผยเฉียนถึงได้คลี่ยิ้มกุมหมัดเอ่ย “ลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาแห่งภูเขาลั่วพั่ว เผยเฉียนคารวะสหายเจิงและพี่หญิงหม่า!”
หม่าตู่อี๋ทอดถอนใจอยู่ในใจ ช่างเป็นแม่หนูน้อยที่ฉลาดเฉลียวนัก สายตาก็ยิ่งดีกว่า! ต้องรู้ว่ากู้ช่านเคยบอกกับพวกเขาเป็นการส่วนตัวว่า หลิ่วชื่อเฉิงร่ายเวทอำพรางตาไว้บนร่างของพวกเขาทั้งสอง สามารถช่วยอำพรางกลิ่นอายของวัตถุหยินเอาไว้ได้ เพียงแต่กู้ช่านเองก็บอกว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องบอกแก่เจิงเย่ ออกไปเดินทางอยู่ข้างนอก ก็ควรให้เจิงเย่เดินทางอย่างระมัดระวังสักหน่อย ตอนนั้นหม่าตู่อี๋ด่ายิ้มๆ ไปคำหนึ่งว่า เจ้ากังวลว่าข้าจะเที่ยวเล่นส่งเดชจนสร้างหายนะให้กับตัวเองกระมัง? กู้ช่านเพียงยิ้มไม่เอ่ยคำใด แค่ยื่นป้ายสงบสุขปลอดภัยที่มีมูลค่าควรเมืองแผ่นนั้นมาให้
หม่าตู่อี๋ถึงได้ไม่ถือสากู้ช่าน อันที่จริงจะว่าไปแล้ว ยังคงเป็นกู้ช่านที่คิดรอบคอบ เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพมากกว่า บางครั้งเวลาที่อยู่กับเจิงเย่สองคน ไม่มีกู้ช่านอยู่ข้างกาย นางก็จะนึกสะท้อนใจ ไม่ว่าจะเรียนรู้เรื่องอะไรกู้ช่านล้วนเรียนรู้ได้อย่างว่องไวเสมอ เรื่องของการฝึกตนก็ยิ่งไม่ต้องพูดให้มากความ ภาษาทางการของแต่ละสถานที่ พบเจอกับจอมยุทธควบม้าท่องเที่ยวในยุทธภพโดยบังเอิญ พูดคุยอย่างถูกคอกับขุนนางที่ออกมาท่องเที่ยวชานเมืองในฤดูใบไม้ผลิ คุยเรื่องสัพเพเหระกับนายพราน กับชาวบ้านร้านตลาด ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนกู้ช่านก็สามารถปรับตัวเข้ากับที่นั่นได้อย่างง่ายดาย ทิ้งระยะห่างจากหม่าตู่อี๋และเจิงเย่ไปไกล
เวลานี้โจวหมี่ลี่ยืนอยู่ข้างกายเผยเฉียน เอียงศีรษะ ขมวดคิ้ว จากนั้นก็แสร้งทำท่ากระจ่างแจ้ง พยักหน้าเบาๆ แสร้งทำเป็นว่าตนท่องยุทธภพมาจนเคยชินแล้ว ไม่ว่าอะไรก็ล้วนฟังเข้าใจทั้งหมด
ในเมื่อเป็นการรับรองแขก ก็ไม่สะดวกจะกลับบ้านด้วยการไต่หน้าผาอีกแล้ว เผยเฉียนจึงพาคนทั้งสองเดินอ้อมไปยังประตูภูเขา
แน่นอนว่าไม่ลืมที่จะแนะนำหมี่ลี่น้อยที่เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วด้วย
โจวหมี่ลี่เอ่ยเตือนเสียงเบา “คือผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่ว อดีตยังเป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของตรอกฉีหลง ตอนนี้ยกตำแหน่งให้กับ…”
เผยเฉียนกระแอมหนึ่งที
โจวหมี่ลี่รีบหุบปากฉับ เขย่งปลายเท้ายื่นฝ่ามือมาป้องปาก “อย่าจดลงบัญชีนะ อย่าจดลงบัญชี ข้ายังไม่หลุดปากพูดออกไปไม่ใช่หรือ”
เผยเฉียนลูบศีรษะน้อยๆ ของนาง ไม่ได้เอ่ยอะไร จดลงบัญชีอะไรกัน อันที่จริงทั้งหมี่ลี่น้อยและหน่วนซู่ต่างก็มีแต่สมุดคุณความชอบ ไม่เคยมีสมุดบัญชีเล่มน้อยๆ นั่นเลย เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้จะพูดออกมาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นหมี่ลี่น้อยจะได้ใจ
หม่าตู่อี๋ได้ยินแล้วสีหน้าก็เป็นปกติ แต่แท้จริงแล้วนางอึ้งตะลึงไปนาน เจิงเย่กลับดีกว่าหน่อย ขอแค่ไม่ขัดต่อหลักการเหตุผล ท่านเฉินมองคนมองเรื่องราวบนโลกใบนี้ก็ล้วนมองด้วยจิตใจที่เป็นกลางสงบนิ่งเสมอ
ไปถึงประตูภูเขา เจิ้งต้าเฟิงไม่อยู่แล้ว
ทุกวันนี้เด็กหนุ่มหยวนไหลมาพักอยู่ที่นั่นชั่วคราว ทำหน้าที่เฝ้าประตูใหญ่
เฉินยวนจีเพิ่งจะฝึกหมัดจากยอดเขามาถึงตีนเขาพอดี ทุกวันนี้นางเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่ เพียงแต่ว่าตอนฝ่าคอขวดขอบเขตสามค่อนข้างจะลุ่มๆ ดอนๆ ดีแต่ก็ไม่ดีเท่าไร พ่อครัวเฒ่าบอกว่าแค่นี้ก็ไม่เลวแล้ว แต่ตัวเฉินยวนจีเองกลับไม่ค่อยพอใจนัก ต่อให้จะสนิทกับหยวนเป่าที่เป็นคนรุ่นเดียวกันมากแค่ไหน แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ย่อมต้องมีการแข่งขันกันเองอยู่แล้ว สตรีก็มักเป็นเช่นนี้ ต่อให้จะสนิทกันแค่ไหน แต่ขณะเดียวก็ยังซุกซ่อนการงัดข้อกันเล็กๆ ท่ามกลางรอยยิ้มหวานบนใบหน้าที่น่ารักอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงความรู้สึกของคนทั่วไป อันที่จริงเมื่อเทียบกับการชอบเอาชนะระหว่างบุรุษด้วยกันแล้วยังละมุนละไมน่าประทับใจมากกว่า
แล้วนับประสาอะไรกับที่อาจารย์ของคู่พี่น้องหยวนเป่าหยวนไหลคือหลูป๋ายเซี่ยง ส่วนเฉินยวนจีนั้นกลับมองอาจารย์ผู้เฒ่าจูเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถ่ายทอดมรรคาให้ตนมาโดยตลอด ดูเหมือนว่าอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว อาจารย์ผู้เฒ่าจูกับหลูป๋ายเซี่ยงจะมีศักดิ์เท่ากัน พวกเขาสองคนที่เป็นผู้อาวุโสไม่ชิงดีชิงเด่นกัน นางกับหยวนเป่าที่เป็นลูกศิษย์ของคนทั้งสองก็ควรจะลองแข่งกันดูสักหน่อย
หยวนไหลเด็กหนุ่มชุดเขียวกำลังฉวยโอกาสช่วงที่พี่สาวไม่อยู่นั่งอ่านตำราอยู่ในมุมกำแพง กระทั่งเฉินยวนจีเดินนิ่งหกก้าวมาถึงตีนเขา เขาก็ไม่เหลือสมาธิจะอ่านหนังสือแล้ว เอาแต่มองเฉินยวนจีอย่างเดียว
ก่อนที่ท่านอาเจิ้งจะออกเดินทางไกล ได้ทิ้งตำราไม่น้อยไว้ในห้องหนังสือของเรือนให้กับหยวนไหล อีกทั้งยังบอกกับเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังดีว่า รอเมื่อไหร่ที่อายุมากขึ้น สามารถไปเยือนหอเก็บตำราส่วนตัวของพ่อครัวเฒ่าได้แล้ว ตำราของที่นั่น ความรู้ในตำราเหล่านั้นต่างหากที่ถึงจะยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง เด็กหนุ่มจึงรู้สึกใฝ่ฝันหาถึงวันเวลาเหล่านั้น
เห็นกลุ่มของเผยเฉียนเดินมา เด็กหนุ่มจึงได้แต่ดึงเอาจิตวิญญาณของตัวเองที่อยู่ในดวงตาคู่งามของแม่นางเฉินกลับมา รีบเดินไปที่ซุ้มป้ายประตูภูเขา พอได้ยินคำแนะนำจากเผยเฉียนก็กุมมือเขย่าคารวะแขกจากต่างถิ่นสองคนที่เป็นสหายเก่าของเจ้าขุนเขาหนุ่ม เด็กหนุ่มพลันค้นพบว่านี่คือความพิถีพิถันของบัณฑิต หากพี่สาวรู้เข้าต้องโดนด่าเป็นแน่ หยวนไหลจึงรีบกุมหมัดแล้วคลี่ยิ้ม
เฉินยวนจีเดินมาทักทายแล้วก็ฝึกหมัดเดินขึ้นเขาไปเพียงลำพังต่ออีกรั้ง
อาจารย์ผู้เฒ่าจูเคยกำชับเอาไว้ว่า เส้นทางใต้ฝ่าเท้าเดินได้ถูกต้องแล้ว ความมานะขันแข็งจึงจะชดเชยข้อด้อยได้ ฝึกวิชาหมัดจะฝึกอย่างตายตัวไม่ได้ หากปรารถนาอยากให้ปณิธานหมัดติดตัวก็จำเป็นต้องตามหาจุดต้นกำเนิดของน้ำเป็นท่ามกลางวิชาหมัดให้เจอ นี่ก็คือปณิธานแรกในใจของผู้ฝึกยุทธที่ต้องการฝึกวิชาหมัดเพื่อเดินขึ้นสู่จุดสูง สุดท้ายอาจารย์ผู้เฒ่าจูบอกให้เฉินยวนจีไปลองใคร่ครวญดูให้ดีว่าฝึกหมัดเพราะปรารถนาในสิ่งใดกันแน่ หากคิดได้แล้ว การฝึกวิชาหมัดก็จะไม่ยากลำบากอีกต่อไป
ไปถึงบนภูเขา เผยเฉียนพลันพบว่าพ่อครัวเฒ่าไม่อยู่บ้าน
ยังดีที่มีหน่วนซู่ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะรับรองแขกทั้งสองคนได้ไม่ดีพอ
ขอแค่เป็นแขกของภูเขาลั่วพั่วก็ไม่มีการแบ่งแยกสถานะสูงต่ำ
……
จูเหลี่ยนไปเยือนแท่นบูชากระบี่
ผู้ฝึกกระบี่ชุยเหวย เด็กหนุ่มจางเจินและเจี่ยงชวี่ ทุกวันนี้ต่างก็อยู่กันที่นี่
เว่ยป้อยืนอยู่ตรงตีนเขา เดินขึ้นเขาไปช้าๆ พร้อมกับจูเหลี่ยนที่ตัวเองเรียกให้มา
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “โชคดีที่ทุกวันนี้คนดูแลกิจธุระของสำนักกระบี่หลงเฉวียนไม่ใช่ช่างหร่วน แต่เป็นแม่นางหร่วนซิ่ว ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นข้าก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะปิดบังเรื่องทุกอย่างไว้ได้”
สีหน้าของจูเหลี่ยนไม่ได้ผ่อนคลายนัก “แน่ใจในตัวตนของสตรีผู้นั้นแล้วหรือ?”
เว่ยป้อพยักหน้ารับ “ก็คือสตรีบนเรือข้ามฟากที่เฉินผิงอันขอให้พวกเราช่วยตามหา ชุนสุ่ยแห่งเรือข้ามฟากของภูเขาต่าเจี้ยว”
ปีนั้นหลังจากที่เรือข้ามฟากที่เดินทางข้ามทวีปลำนั้นถูกโจมตีจนร่วงลงในอาณาเขตของราชวงศ์จูอิ๋ง นางโชคดีรอดชีวิตมาได้ จึงเปลี่ยนชื่อใช้นามแฝงว่าสือชิว ไปพักผิงอยู่บนภูเขาลูกเล็กของตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง อาศัยวิชาบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำเปิดโปงเรื่องที่เทียนจวินเซี่ยสือสมคบคิดกับสกุลซ่งต้าหลีแล้วโยนความผิดให้กับราชวงศ์จูอิ๋ง