กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 653.2 ยืนอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์
เกี่ยวกับเรื่องนี้ อันที่จริงฮ่องเต้ต้าหลีเคยปรึกษาเรื่องนี้เป็นการเฉพาะอยู่ในห้องทรงพระอักษร หากไม่เป็นเพราะราชครูชุยฉานรู้สึกว่าความลับน้อยนิดแค่นี้ถูกเปิดโปงออกไปไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยแม้แต่น้อย หรือควรจะบอกว่าชุยฉานหวังว่าจะอาศัยเรื่องนี้มาล่อปลาตัวใหญ่ให้งับเหยื่อ ไม่อย่างนั้นต่อให้สาวใช้ของเรือข้ามฟากผู้นั้นจะถูกคนแอบพาตัวไปอย่างเงียบเชียบ ด้วยการถักทอเส้นใยให้เป็นตาข่ายของรายงานต้าหลีในทุกวันนี้ ผู้ฝึกตนหญิงห้าขอบเขตล่างคนหนึ่ง ต่อให้มียอดฝีมือคอยให้การช่วยเหลือก็ยังยากที่จะหนีพ้นความตายอยู่ดี
จูเหลี่ยนถาม “เรื่องนี้ยุ่งยากมากเลยนะ”
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “มันแน่นอนอยู่แล้ว ไม่ยุ่งยากข้าจะเรียกเจ้ามาหรือ? เรื่องแบบนี้มองดูเหมือนจะเล็กหรือใหญ่ก็ได้ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการละเมิดข้อห้ามมากที่สุด”
จูเหลี่ยนเอ่ย “ก็ไม่ยุ่งยากเท่าไร แค่ให้ข้าแน่ใจเรื่องหนึ่งก่อนก็พอ”
เว่ยป้อพยักหน้ารับ “แค่เจ้ารู้ว่าต้องทำอย่างไรก็พอ ถึงอย่างไรชื่อเสียงของข้าก็ฉาวโฉ่ไปทั่วทุกหัวถนนอยู่แล้ว ไม่กลัวว่าจะมีเรื่องนี้เพิ่มเข้ามาหรอก”
จูเหลี่ยนส่ายหน้า “ไม่มีอะไรที่บังเอิญขนาดนี้ เอาเถอะ ข้ารู้ทาง เดี๋ยวข้าไปเอง เจ้ากลับภูเขาพีอวิ๋นไปเถอะ แสร้งทำเป็นว่าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”
เว่ยป้อขมวดคิ้ว
จูเหลี่ยนเอ่ย “หากคิดจะให้ความสัมพันธ์ควันธูปยาวไกล ก็อย่าได้ย่ำยีมันเลย พี่เว่ย พวกเราเป็นสหายก็ส่วนสหาย เรื่องราวก็ส่วนเรื่องราว ในเมื่อเป็นสหายกัน เรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรลากเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง”
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าจะช่วยจับตามองบริเวณรอบๆ แท่นบูชากระบี่ให้ก่อน หากมีลมพัดใบไม้ไหว ถึงเวลานั้นพวกเราค่อยมาปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ
สหายมีคุณธรรมมอบให้ ก็ต้องควรตอบแทนด้วยคุณธรรมที่มากกว่ากลับคืน
นี่ก็คือหลักจรรยาในยุทธภพ
ร่างของเว่ยป้อที่ได้ ‘คุมตัว’ คนกลุ่มหนึ่งจากริมอาณาเขตขุนเขาเหนือมาไว้ที่แท่นบูชากระบี่นานแล้วพลันหายวับไป
จูเหลี่ยนมองเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่มีท่าทางเหนื่อยล้าจากการเดินทาง
ชุยเหวยผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทองจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มึนงงไม่เข้าใจ ทำเพียงแค่คอยเฝ้าดูกลุ่มคนที่อยู่ดีๆ ก็มาปรากฏตัวบนภูเขากลุ่มนั้น
คุณชายคนหนึ่งที่มีแซ่สองพยางค์ว่าตู๋กู สาวใช้เหมิงหลง รวมไปถึงสตรีผู้หนึ่งที่มีชื่อว่าสือชิว
จูเหลี่ยนมาถึงแล้วก็พยักหน้าให้ชุยเหวย ฝ่ายหลังจึงขี่กระบี่จากไป
จูเหลี่ยนมองสตรีที่ชื่อจริงคือชุนสุ่ยแล้วถามว่า “แม่นางชุนสุ่ย ข้ามีแค่สองคำถาม ขอเจ้าช่วยตอบอย่างจริงใจ”
สาวใช้เหมิงหลงมีสีหน้าไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
แต่คุณชายที่มีใบหน้าซีดขาวกลับมีสีหน้าเป็นปกติ
ชุนสุ่ยพยักหน้ารับ
จูเหลี่ยนยิ้มถามด้วยสีหน้าเป็นมิตร “ข้อแรก เป็นตัวแม่นางชุนสุ่ยเองที่อยากจะมาหานายน้อยของข้าใช่หรือไม่? ข้อสอง มีความคิดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? หลังจากที่เรือข้ามฟากร่วงลงมา ก็เลยคิดจะมาหาคนคนเดียวที่เชื่อถือได้ในต่างบ้านต่างเมือง หรือเป็นเพราะทุกวันนี้ไม่มีทางไปอีกแล้วก็เลยจำเป็นต้องทำเช่นนี้?”
สายตาของชุนสุ่ยใสกระจ่าง เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดจะมาหาเฉินผิงอัน การที่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจก็เพราะเดือดร้อนให้คุณชายตู๋กูต้องถูกไล่ฆ่า ข้าหวังเพียงว่าคุณชายตู๋กูจะมีชีวิตรอดต่อไปได้ เฉินผิงอันสามารถส่งตัวข้าให้แก่ราชวงศ์ต้าหลี”
ชุนสุ่ยหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วคลี่ยิ้มอย่างจริงใจ “อาจฟังดูไร้เสียงสาไปสักหน่อย แต่นี่กลับเป็นคำพูดจากใจจริงของข้า”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าเชื่อแม่นางชุนสุ่ย”
จากนั้นผู้เฒ่าหลังค่อมที่ยิ้มตาหยีก็หันหน้ามา “เป็นเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์จูอิ๋งที่ร่อนเร่พเนจรไปสี่ทิศ ใช่ไหม?”
คุณชายตู๋กูพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริง มิกล้าโกหกผู้อาวุโส ชื่อจริงของข้าคือตู๋กูตวนซุ่น ตอนนี้ใช้นามแฝงว่าเส้าพอเซียน เป็นคนสิ้นแคว้น แต่เพราะยังไม่อยากตายจริงๆ ถึงได้คิดแผนเช่นนี้ ใช้บุญคุณมาข่มขู่แม่นางสือชิว ให้พาข้ามาที่ภูเขาลั่วพั่วเพื่อได้รับการคุ้มครอง”
จูเหลี่ยนถาม “รู้สึกว่าพอมาถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วจะต้องมีชีวิตรอดต่อไปได้ หรือเพราะอับจนหนทางจึงเลือกใช้วิธีการส่งเดช?”
คุณชายตู๋กูเอ่ย “อย่างหลัง”
ตลอดทางที่พวกเขาสามคนหลบหนีมานี้ก็ถูกดักสังหารกลางทางถึงสองครั้ง ครั้งหนึ่งเป็นการพบเจอกันบนทางแคบอย่างไม่คาดฝัน ส่วนอีกครั้งหนึ่งเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพของต้าหลีที่มาดักรอเพราะตั้งใจ
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “เจ้ามีบุญคุณใดต่อแม่นางชุนสุ่ย? ไหนลองเล่ามาสิ ข้าเป็นแค่คนที่ดูแลเรื่องยิบย่อยบนภูเขาลั่วพั่ว เรียนหนังสือมาน้อย ความรู้ตื้นเขิน จึงอยากจะขอความรู้จากคุณชายตู๋กูสักหน่อย”
ตู๋กูตวนซุ่นบื้อใบ้พูดไม่ออก
การที่ยอมเสี่ยงอันตรายช่วยพาตัว ‘สือชิว’ ออกมา แน่นอนว่าเจตนาของเขาไม่บริสุทธิ์ ไม่ใช่การผดุงคุณธรรมของผู้กล้าที่องอาจผึ่งผายอะไรอย่างแน่นอน
สีหน้าของสาวใช้เหมิงหลงขมขื่น
เหตุใดคุณชายของตนถึงต้องตกต่ำมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ด้วย?
จูเหลี่ยนเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “การเข่นฆ่าครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นที่ใด?”
ตู๋กูตวนซุ่นเอ่ย “บริเวณใกล้เคียงกับแคว้นหนันเจี้ยน ห่างจากจังหวัดหลงโจวต้าหลีไปไกลมาก การที่ถูกดักฆ่าก็เพราะในกลุ่มผู้ฝึกตนติดตามกองทัพของต้าหลีมีคนถือตราลัญจกรหยกสืบทอดแคว้นราชวงศ์จูอิ๋งแล้วสืบสาวเบาะแสมาจนพบเจอตัวข้า หลังจากผ่านการเข่นฆ่าครั้งนั้น ข้าแสร้งทำเป็นเดินทางลงใต้ไปก่อน ระหว่างทางข้าสะบั้นเส้นสายมังกรของฟ้าดินเล็กในร่างกายตัวเองทิ้ง แล้วแอบเดินทางขึ้นเหนือ ต้าหลีน่าจะไม่ได้จับตามองดูอยู่”
คำพูดของคนหนุ่มเรียกได้ว่ากระชับได้ใจความ
ส่วนความอันตรายอย่างใหญ่หลวงที่พบเจอและค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายไปนั้น ไม่มีค่าพอให้นำมาเอื้อนเอ่ย
จูเหลี่ยนถาม “เส้าพอเซียน เจ้ายินดีที่จะใช้ชีวิตอยู่รอดไปวันๆ ในพื้นที่คับแคบ หรือพร้อมกระโจนเข้าสู่ความตายอย่างกล้าหาญเพื่อกอบกู้แคว้น?”
ตู๋กูตวนซุ่นยิ้มเอ่ย “คำถามนี้ของผู้อาวุโสเกินความจำเป็นแล้ว”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ มองไปยังสตรีผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปที่ชาติกำเนิดน่าเวทนา ยิ้มเอ่ยว่า “แม่นางชุนสุ่ย รู้หรือไม่ว่าเจ้าทำแบบนี้จะนำปัญหาที่ใหญ่มากมาให้แก่นายน้อยของข้า?”
ชุนสุ่ยกำลังจะเปิดปากพูด
แต่จูเหลี่ยนกลับยิ้มเอ่ยขึ้นมาก่อน “เจ้าคิดอย่างไร ก่อนหน้านี้ก็บอกมาแล้ว ข้าความจำไม่เลว ฟังแล้วก็เข้าใจได้ ดังนั้นตอนนี้ข้าแค่จะพูดเรื่องที่เป็นความจริงเท่านั้น”
ชุนสุ่ยพยักหน้า กัดริมฝีปากแน่นจนเลือดซึมออกมา
มือข้างหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อของนางกำวัตถุชิ้นหนึ่งเอาไว้แน่นจนแขนข้างนั้นสั่นสะท้านเบาๆ
นอกจากต้องการตอบแทนบุญคุณช่วยชีวิตของตู๋กูตวนซุ่นแล้ว อันที่จริงนางเองก็มีความเห็นแก่ตัวอยู่ด้วย
นางหวังว่าจะสามารถนำของชิ้นหนึ่งมาส่งมอบให้ที่ภูเขาลั่วพั่ว หลังจากนั้นต่อให้ภูเขาลั่วพั่วจะนำตัวนางไปขอคุณความชอบจากสกุลซ่งต้าหลี นางก็ไม่คิดอะไรมากอีก
จูเหลี่ยนหัวเราะ กวาดตามองรอบด้าน
แท่นบูชากระบี่มีต้นลูกพลับป่าขึ้นมากมาย ยามเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว บนกิ่งสูงของแต่ละต้นมีลูกพลับสีแดงเพลิงห้อยย้อยเป็นพวง มองแล้วน่ารักน่าเอ็นดู
ที่บ้านเกิดอย่างพื้นที่มงคลรากบัวนั้น ต้นพลับจะมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่ง เป็นชื่อที่มีเอกลักษณ์อย่างมาก หลิงซวงโฮ่ว
สุดท้ายจูเหลี่ยนมองหญิงสาวที่มีสีหน้าเลื่อนลอย “หากนายน้อยของข้าอยู่ที่นี่ด้วยจะต้องดีใจมากแน่ๆ ที่ได้กลับมาพบกับแม่นางชุนสุ่ยอีกครั้งหลังจากลากันไปนาน”
จูเหลี่ยนเอ่ยประโยคนี้จบก็ไปจากแท่นบูชากระบี่
สาวใช้เหมิงหลงเอ่ยเสียงเบา “คุณชาย นี่คือ?”
ตู๋กูตวนซุ่นยิ้มอย่างโล่งใจ “พึ่งพาอยู่ใต้ชายคาคนอื่น ขอข้าวคนเขากินก็ไม่เลวเหมือนกัน”
หลังจากจูเหลี่ยนเดินลงมาจากแท่นบูชากระบี่ เว่ยป้อก็ปรากฏตัว
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ยอย่างฉุนๆ “มีซานจวินใหญ่ที่อยากหาเรื่องซวยใส่ตัวแบบเจ้าด้วยหรือ?”
เว่ยป้อยิ้ม “ถึงอย่างไรก็อยู่ว่างจนเบื่อแล้ว”
จูเหลี่ยนเอาสองมือไพล่หลัง เอ่ยเนิบช้าว่า “แม่นาง ‘สือชิว’ ผู้นั้น ต้องช่วยเอาไว้ให้ได้ ส่วนอีกสองคนที่เหลือ อันที่จริงยังต้องเข้าใจเรื่องหนึ่งให้ชัดเจนก่อนถึงจะได้”
เว่ยป้อเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นใครเป็นคนบอกเขาว่ามาอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วที่ชื่อเสียงไม่โด่งดัง แล้วจะต้องมีชีวิตรอดอย่างแน่นอน”
จูเหลี่ยนมีสีหน้าตกตะลึง “พี่เว่ยช่างปราดเปรื่องนัก!”
เว่ยป้อยิ้มบางๆ ส่งกลับให้ตามมารยาท
จูเหลี่ยนเกาหัว ยิ้มร่าเอ่ยว่า “ก็ดีเหมือนกัน ข้าจะได้มีเรื่องเป็นการเป็นงานทำบ้าง จะให้คอยเป็นพ่อครัวที่ผูกผ้ากันเปื้อนไว้รอบเอวตลอด แถมทุกวันยังถูกคนบ่นว่าทำกับข้าวเค็มบ้างล่ะ จืดบ้างล่ะ ก็คงไม่ได้ ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราถึงเวลาที่ต้องแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองบ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นปัญหาที่ไม่จำเป็นมีแต่จะเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ”
จูเหลี่ยนหลุดหัวเราะพรืด “หยิบมะพลับนิ่มขึ้นมาบีบ?” (เปรียบเปรยว่าเลือกรังแกคนที่อ่อนแอกว่า)
เว่ยป้อยิ้มอย่างรู้ใจ
ดูท่าจะยังไม่หายโมโหเรื่องเจ้าแม่วารีแม่น้ำอวี้เย่
เว่ยป้อมองไปทางภูเขาลั่วพั่ว เอ่ยว่า “บังเอิญยิ่งนัก มีแขกมาเยือนอีกแล้ว”
คนทั้งสองหายตัวไปท่ามกลางความว่างเปล่า มาปรากฏกายบนภูเขาลั่วพั่ว
เจิงเย่และหม่าตู่อี๋จึงได้เห็นคนในกลุ่มเทพเซียนที่หล่อเหลาสง่างามราวกับต้นไม้หยกรับลม
ส่วนอาจารย์ผู้เฒ่าหน้าตาใจดีที่ยืนอยู่ข้างกันนั้น ต้องบอกว่าคนเปรียบเทียบกับคนชวนให้คนโมโหตายจริงๆ เขาอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงบุรุษรูปงามที่ห้อยต่างหูสีทองซึ่งทำให้คนมองไม่อาจละสายตาได้ติด
เฉินหน่วนซู่รีบลุกขึ้นยืน แนะนำจูเหลี่ยนกับเว่ยป้อให้คนทั้งสองรู้จัก อาจารย์ผู้เฒ่าจูผู้ดูแลใหญ่ของภูเขาลั่วพั่ว นายท่านเว่ยซานจวินแห่งขุนเขาเหนือ
เจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ตกใจเกือบตาย
ตอนนี้ในบรรดาซานจวินใหญ่ของห้าขุนเขาในหนึ่งทวีป หนึ่งในนั้นก็เป็นเว่ยป้อที่ขอบเขตสูงที่สุด ชื่อเสียงเลื่องลือที่สุด!
เผยเฉียนเอ่ยเตือน “พ่อครัวเฒ่า ถึงเวลากินข้าวแล้วนะ มีฝีมือเท่าไรใส่ไปให้เต็มที่เลย”
หมี่ลี่น้อยลูบปาก “นั่นสิ นั่นสิ”
จูเหลี่ยนเอ่ยเบาๆ ว่าตกลง จากนั้นก็รีบไปง่วนทำกับข้าวอยู่ในห้องครัวของเรือนหลังทันที
ราวกับว่าห้องครัวเล็กๆ ก็คือฟ้าดินขนาดเล็กของจูเหลี่ยน
เว่ยป้อจนใจอยู่ในใจ
เมื่อเทียบกับเจียงซ่างเจินแล้ว จูเหลี่ยนสามารถอาศัยใบหน้าหาข้าวกินได้มากกว่าเสียอีก แต่ดันดึงดันจะเป็นพ่อครัวซะได้
……
ทางฝั่งของร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลงก็มีสหายเก่าที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งเช่นกัน
ต่งสุ่ยจิง หลินโส่วอี
และยังมีแม่นางน้อยที่ปีนั้นเป็นกังวลว่าฉายา ‘ก้อนหินน้อย’ จะแพร่ออกไป หลังจากติดตามครอบครัวย้ายไปอยู่เมืองหลวงต้าหลี ทุกวันนี้ก็แต่งงานมีครอบครัวแล้ว
สือเจียชุน
อดีตสหายสนิทของหลี่เป่าผิง
ร้านยาสุ้ยของตรอกฉีหลงและร้านฉ่าวโถวที่อยู่ติดกันเคยเป็นกิจการบรรพบุรุษของสือเจียชุน
และสือหลิงซานที่มีชาติกำเนิดจากตรอกเถาเย่เช่นเดียวกับสือเจียชุนก็มีความสัมพันธ์เป็นเครือญาติกัน เพียงแต่ว่าลำดับศักดิ์ของสือเจียชุนสูงกว่า หากคนทั้งสองพบเจอกันจริงๆ เขาก็ยังต้องเรียกนางว่าท่านน้า
เรื่องราวทางโลกนั้นยากจะคาดเดา ปีนั้นสหายร่วมชั้นเรียนจากลากันที่เมืองเล็ก ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง หลังจากเวลาผ่านไปสิบกว่าปี ก็มีสถานะที่แตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ทุกวันนี้สือเจียชุนมีความสุขกับการช่วยเหลือสามีอบรมดูแลบุตร สามีเป็นลูกหลานของตระกูลขุนนาง แซ่เปียนนามเหวินเม่า ทางตระกูลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจิตรกรเอกที่มีผลงานอยู่ในห้องทรงพระอักษรคนนั้น ตระกูลของเปียนเหวินเม่าอาศัยอยู่ในเมืองหลวงต้าหลีมาหลายร้อยปี บรรพบุรุษคือชนชั้นสูงของราชวงศ์สกุลหลู อาจเป็นเพราะร่มเงาของบรรพบุรุษทอดยาว อีกทั้งต้นไม้ย้ายที่ตาย คนย้ายถิ่นรอด ตระกูลที่มาลงหลักปักฐานอยู่ในต้าหลี แม้จะไม่มีชื่อเสียงโดดเด่นนักในวงการขุนนาง แต่สถานะส่วนใหญ่ล้วนใสสะอาด ทางตระกูลเชิญกุนซือมามากมายซึ่งล้วนถือเป็นบัณฑิตที่พอจะมีชื่อเสียงเล็กๆใ นวงการวรรณกรรมของต้าหลีในอดีต
และยังมีผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของทางตระกูลซึ่งเป็นเทพเซียนบนภูเขาที่ยิ่งไม่ธรรมดา ท่านหนึ่งคือผู้อาวุโสในศาลบรรพจารย์ของตำหนักฉางชุน อีกท่านหนึ่งโชคไม่ดี ในอดีตเขากับสหายหลายคนที่บรรลุมรรคาซึ่งอาศัยอยู่บนภูเขามานานทะยานลมผ่านเหนือน่านฟ้าของถ้ำสวรรค์หลีจู ไม่รู้ว่าทำไมถึงเกิดความขัดแย้งกับอริยะหร่วน จุดจบจึงไม่ค่อยดีนัก แต่จะดีจะชั่วก็รักษาชีวิตเอาไว้ได้ เมื่อเทียบกับสหายอีกคนที่ร่างดับมรรคาสลายแล้วนับว่าโชคดีกว่ามาก
ได้มาพบกันครั้งนี้เป็นเพราะมีครั้งหนึ่งต่งสุ่ยจิ่งไปทำการค้าที่เมืองหลวงต้าหลี แล้วไปหาสือเจียชุน สือเจียชุนจึงอยากนัดวันให้เพื่อนร่วมชั้นในอดีตได้กลับมารวมตัวกันที่เมืองไหวหวงอันเป็นบ้านเกิด
เพียงแต่ครั้งนี้หลี่เป่าผิงเดินทางลงใต้ จึงพลาดไป
ดังนั้นเวลานี้สือเจียชุนจึงกำลังบ่นเป่าผิงไม่หยุด
คนกลุ่มหนึ่งนั่งคุยกันเรื่องวันวานในเรือนหลังของร้าน เถ้าแก่ร้านอย่างสือโหรวยกม้านั่งมาให้ เอาน้ำชาและขนมของว่างมาวางไว้แล้วก็เดินผละไป
ต่งสุ่ยจิ่งฟังคำบ่นของสือเจียชุนแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “เป่าผิงไม่ไว้หน้าเจ้าเลยแม้แต่น้อย เป็นเรื่องที่ไม่สมควรจริงๆ”
หลินโส่วอีพยักหน้า “คราวหน้าให้หลี่ไหวไปตำหนินาง”
สือเจียชุนกลอกตามองบน “หลี่ไหว? ฝันไปเถอะ ใจกล้าเท่ารูเข็ม อยู่ต่อหน้าเป่าผิงของข้าเขากล้าหายใจแรงด้วยหรือ?”
จู่ๆ ก็พลันตระหนักได้ว่าข้างกายยังมีสามีนั่งอยู่ด้วย สือเจียชุนรีบขยับตัวนั่งให้ดี เก็บสีหน้าทั้งหมดลง
เปียนเหวินเม่าคือเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่สง่างาม ผู้อาวุโสในตระกูลตั้งชื่อให้เขาได้ดีมาก ตอนนี้ทำหน้าที่เป็นผู้เรียบเรียงตำราประวัติศาสตร์อยู่ในสำนักฮั่นหลิน คือคนหนุ่มมีความสามารถมือสะอาดในกลุ่มขุนนางประจำท้องถิ่นของต้าหลี ไม่ถือว่าโดดเด่นมากนัก แต่อายุน้อยๆ ก็สามารถหยัดยืนอยู่ในวงการฝ่ายบุ๋นของเมืองหลวงต้าหลีได้อย่างมั่นคง และยังได้ทำงานในสำนักฮั่นหลินที่ถูกขนานนามว่าเป็น ‘สถานที่ของผู้ช่วยเสนาบดี’ หากถูกส่งตัวไปทำงานนอกพื้นที่ ในอนาคตตำแหน่งขุนนางต้องไม่เล็กอย่างแน่นอน
แล้วก็เพราะมาเยือนอำเภอไหวหวงซึ่งเป็นสถานที่ที่สองแซ่อย่างเฉาหยวนช่วงชิงกันหวังได้ครอง หากไปเยือนสถานที่แห่งอื่น เปียนเหวินเม่าก็จะถือเป็นแขกผู้มีเกียรติอันดับหนึ่งของที่ว่าการประจำพื้นที่นั้นๆ
ความประทับใจที่เปียนเหวินเม่ามีต่อบุรุษหนุ่มสองคนนี้ คนหนึ่งธรรมดามาก อีกคนหนึ่งนับว่าพอถูไถ
ที่บอกว่าธรรมดามากก็คือต่งสุ่ยจิ่งที่มีชาติกำเนิดเป็นพ่อค้า
ส่วนที่บอกว่าพอถูไถคือหลินโส่วอีที่ไปขอศึกษาต่อในสำนักศึกษาซานหยาต้าสุย
ส่วนชาติกำเนิดและภูมิหลังของทั้งสอง สือเจียชุนเคยพูดถึงคร่าวๆ ล้วนเป็นคำพูดที่เอ่ยโดยไม่ได้ตั้งใจ สถานภาพทางครอบครัวของต่งสุ่ยจิ่งไม่ถือว่าดีนัก แต่สร้างกิจการได้แต่อายุยังน้อย ส่วนเรื่องของการสร้างครอบครัวนั้น ค่อนข้างจะไม่มีหวัง
บิดาของหลินโส่วอี ทำหน้าที่อยู่ใต้อาณัติของผู้ตรวจการงานเตาเผาสามท่านที่ทยอยกันมาดำรงตำแหน่ง ว่ากันว่าตอนนี้ก็รับตำแหน่งอยู่ในเมืองหลวงต้าหลีด้วย เพียงแต่ว่าไม่เคยไปมาหาสู่กับตระกูลสือ และเปียนเหวินเม่าเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าการคบค้ากับตระกูลหลินที่มาจากต่างถิ่นจะมีค่าอะไร กลับเป็นหลินโส่วอีที่สามารถไปขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาซานหยา ในอนาคตหากเข้ามาอยู่ในวงการขุนนางของต้าหลีก็น่าจะมีชีวิตที่ไม่เลวเลยทีเดียว
หลี่ไหวเดินเข้ามาในเรือนด้านหลังอย่างรีบร้อน “ดีนักนะ ก้อนหินน้อยมัดผมแกละ ไม่ได้เจอกันมานานหลายปี พอเจอหน้ากันทีกลับพูดถึงข้าแย่ๆ แบบนี้หรือ?”
สือเจียชุนหันหน้ามา อึ้งตะลึงไปนาน หลี่ไหวเด็กชายตัวน้อยท่าทางแข็งแรง เหตุใดจู่ๆ ถึงกลายมาเป็นคนหนุ่มสูงใหญ่เช่นนี้ไปได้?
หลินโส่วอีกับต่งสุ่ยจิ่ง ฝ่ายแรกไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มีบุคลิกท่าทางเช่นนั้นอยู่แล้ว ส่วนต่งสุ่ยจิ่งก็ยังดี มีเพียงหลี่ไหวที่เหตุใดถึงได้ไม่เหมือนกับตอนเด็กเลยแม้แต่น้อย
ยกตัวอย่างเช่นตอนที่ยังสวมกางเกงเปิดเป้าแล้วถูกหลี่เป่าผิงโยนขึ้นไปบนต้นไม้ หลี่ไหวก็จะร้องดิ้นพราดๆ อยู่บนพื้นเพื่อเรียกให้อาจารย์ฉีมา
สือเจียชุนลุกขึ้นยืน เอ่ยสัพยอกว่า “หลี่ไหว? หลายปีมานี้เจ้าคงกินข้าวไปไม่น้อยเลยสินะ”