กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 654.1 ถ่อมตนถอยให้ใต้หล้า
หลี่เป่าผิงจูงม้าเดินไป คนที่นางมาเยี่ยมเยือนคือผู้อาวุโสที่มาจากบ้านเกิดเดียวกัน เป็นสหายเล่นหมากล้อมของท่านปู่นาง คนหนึ่งเรียกตัวเองว่าผู้ไร้เทียมทานด้านวิชาหมากล้อมของถนนฝูลวี่ อีกคนหนึ่งเรียกตัวเองว่ายอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งตรอกเถาเย่ ทุกครั้งที่ทั้งสองฝ่ายประลองฝีมือกันจะต้องเอาจริงเอาจังอย่างยิ่ง ราวกับว่าเดิมพันด้วยชื่อเสียงของถนนและตรอกที่ตนอาศัยอยู่อย่างไรอย่างนั้น แต่หลี่เป่าผิงไม่ชอบเล่นหมากล้อม นางจึงบอกไม่ได้ว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของผู้อาวุโสทั้งสองท่านสูงหรือไม่ ทว่าข้ออ้างในการล้มกระดานหมากของแต่ละคนกลับเปลี่ยนลูกเล่นได้สารพัด ขนาดอาจารย์ฉีก็ยังสู้ไม่ได้
ปีนั้นบ้านบรรพบุรุษของผู้เฒ่าตั้งอยู่สุดตรอกของตรอกเถาเย่ ห่างจากถนนฝูลวี่ไปไม่ไกล แน่นอนว่าสำหรับแม่นางน้อยที่สวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมในเวลานั้นแล้ว เมืองเล็กไม่เคยมีสถานที่ใดที่ห่างไกล ไปหาจับจิ้งหรีด จับตั๊กแตนที่สุสานเทพเซียน ไปหาเก็บเศษซากกระเบื้องที่ภูเขากระเบื้องเคลือบ ลงลำธารหลงเหว่ยไปจับปลา จับกุ้ง จับปู ไปมองกระจกที่แขวนไว้สูงของบ้านหลังหนึ่ง ไปกระโดดขั้นบันไดที่ตรอกฉีหลงก็จะได้กลิ่นหอมของขนมอบกุ้ยฮวาโชยมาแต่ไกล ได้ยินเสียงนกนางแอ่นที่อยู่ดีๆ ก็ไปทำรังบนบ้านของคนผู้หนึ่งแล้วส่งเสียงจิ๊บจั๊บดังจอแจเป็นพิเศษ
ทุกวันพรุ่งนี้ของหลี่เป่าผิงตอนยังเป็นเด็กราวกับว่าจะมีเรื่องสนุกให้ทำไม่จบไม่สิ้น ทุกวันล้วนมีแผนการเดินทางอัดเต็มแน่นทุกช่วงเวลา ดังนั้นจึงต้องให้แม่นางน้อยวิ่งเร็วมากเป็นพิเศษอยู่ตลอดเวลา เท้าสองข้างไม่หยุดนิ่งเหมือนล้อรถที่หมุนไปเรื่อยๆ ราวกับว่าวิ่งเร็วเกินไป อยู่ดีๆ ก็ทำช่วงเวลายามเยาว์วัยหล่นไว้ข้างหลัง พอเติบโตขึ้น ช่วงเวลาวัยเด็กยังคงอยู่ที่เดิม บางครั้งที่หันมองกลับไป ยิ่งเดินก็ยิ่งไกลห่าง พร่าเลือนจนมองเห็นไม่ชัด
ผู้เฒ่าร่างผอมบางสวมกวานสูงรัดเข็มขัดคนหนึ่งเดินออกมาจากกระท่อม เอ่ยเรียกพร้อมเสียงหัวเราะร่าว่าแม่หนูผิง แล้วรีบเปิดประตูรั้วออกมา ใบหน้าของผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม
ราวกับว่าเวลาเพียงไม่กี่ชั่วพริบตา เป่าผิงน้อยก็โตมากขนาดนี้แล้ว สมกับคำว่าเมื่อสตรีเติบใหญ่ก็เปลี่ยนไปสิบแปดอย่างจริงๆ อีกทั้งนางยังสงบเสงี่ยมขึ้นเยอะมาก
นี่ยังใช่แม่นางน้อยร่าเริงสดใสที่ชอบกระโดดกำแพงจนขากะเผลก ไม่รู้ว่านางจับปูกลับบ้านหรือปูหนีบนางก็เลยได้กลับบ้านไปพร้อมนางกันแน่ อีกหรือไม่?
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ผู้เฒ่าก็ยังคงชื่นชอบเด็กรุ่นหลังคนนี้จากใจจริง เด็กบางคนมักจะมีวาสนากับพวกผู้อาวุโสดีเยี่ยม เป่าผิงน้อยของถนนฝูลวี่ และยังมีจ้าวเหยาที่เคยรับหน้าที่เป็นเด็กรับใช้ของอาจารย์ฉีต่างก็เป็นเด็กประเภทนี้
หลี่เป่าผิงจูงม้าเดินเร็วๆ มาที่หน้าประตู ค้อมกายคารวะ พอยืดเอวขึ้นตรงแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ท่านปู่เว่ย”
ผู้เฒ่าแซ่เว่ยนามเปิ่นหยวน คืออดีตเจ้าประมุขสกุลเว่ยหนึ่งในสี่แซ่สิบตระกูลของเมืองเล็กในอดีต ก่อนที่ถ้ำสวรรค์หลีจูจะปริแตกแล้วร่วงลงมา เขาเคยส่งจดหมายไปมาหาสู่กับภายนอก ตอนนั้นคนที่ส่งจดหมายให้ก็คือเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่สายตาใสกระจ่างคนนั้น แม้ว่าเว่ยเปิ่นหยวนจะเคยเจอเขาแค่ครั้งเดียว แต่กลับจดจำได้อย่างลึกล้ำ แล้วก็จริงดังคาด หลังจากเด็กหนุ่มจากตรอกเก่าโทรมผู้นั้นเติบโต ยังไม่ทันยี่สิบปี ทุกวันนี้เขาก็สามารถสร้างกิจการใหญ่โตได้แล้ว อีกทั้งยังกลายเป็นอาจารย์อาน้อยของแม่หนูเป่าผิง เรื่องของวาสนานั้น มหัศจรรย์จนมิอาจบรรยายได้จริงๆ
พอเว่ยเปิ่นหยวนเห็นหลี่เป่าผิงแล้ว รอยยิ้มก็ไม่ลดน้อยลงไปเลย เขาเอ่ยว่า “ไม่ต้องผูกม้า ปล่อยมันไว้ได้เลย”
หลี่เป่าผิงปล่อยเชือก ตบหลังม้าเบาๆ ม้าพันธ์ดีตัวนั้นเดินก็ไปกินน้ำที่ลำธาร
หลี่เป่าผิงถาม “พี่หญิงเถาหยาล่ะเจ้าคะ?”
เว่ยเปิ่นหยวนเอ่ย “ไม่บังเอิญเลย เมื่อหลายปีก่อนนางไปหาประสบการณ์ในแคว้นหู ได้โชควาสนาเล็กๆ อย่างหนึ่งมาครอง จำเป็นต้องขัดเกลาจิตแห่งมรรคา กลายเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตชมมหาสมุทรจริงๆ แล้ว วันหน้าจะให้นางไปท่องขุนเขาสายน้ำพร้อมกับเจ้า”
หลี่เป่าผิงไม่ได้เอ่ยคำพูดที่เกรงอกเกรงใจอะไร แน่นอนว่าไม่ใช่ไม่ยินดีจะออกท่องยุทธภพไปพร้อมกับพี่หญิงเถาหยา แต่ต่อให้สนิทกับพี่หญิงเถาหยาก็ไม่เห็นจำเป็นต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลาเสียหน่อย
เป็นคนดี ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นคนดีไปตลอด พยักหน้าตอบตกลงไปเสียทุกเรื่อง ไม่เคยปฏิเสธเรื่องใด อันที่จริงนั่นทำให้ยากที่จะเป็นคนดีซึ่งสามารถดูแลทั้งตัวเองและดูแลคนอื่นได้
อีกทั้งนับแต่เล็กจนโต หลี่เป่าผิงก็ไม่ชอบการถูกผูกมัด ไม่อย่างนั้นปีนั้นที่ไปเรียนหนังสือในโรงเรียน นางก็คงไม่ใช่คนที่ไปเรียนสายที่สุดและออกจากโรงเรียนมาเร็วที่สุด
แต่นี่ก็ไม่ขัดต่อความเคารพนับถือที่หลี่เป่าผิงมีต่ออาจารย์ฉี
คนทั้งสองเดินเข้าไปในลานบ้านด้วยกัน มีโต๊ะหินและม้านั่งหินที่ทนแดดทนฝนตั้งอยู่ แน่นอนว่าเป็นวัสดุของตระกูลเซียน ผู้เฒ่าเปิดวัตถุฟางชุ่นแล้วเริ่มต้มชา อุปกรณ์ชงชาคือเครื่องกระเบื้องหลายชิ้น สีสันสดใสแวววาว ต่อให้จะไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ แต่พอเห็นแล้วก็ยังอดชอบไม่ได้ ล้วนเป็นเพราะปีนั้นตระกูลเว่ยอาศัยความสัมพันธ์ที่มีต่อที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผาของเมืองเล็กดักเอาของใช้เชื้อพระวงศ์ ‘ระดับรอง’ บางอย่างมาได้ คำว่ามีตำหนิ แท้จริงแล้วก็เป็นคำพูดประโยคหนึ่งของขุนนางผู้ดูแลที่มีอำนาจคนหนึ่งเท่านั้น แค่เลือกหาข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ จะยังไม่ง่ายอีกหรือ จากนั้นใต้เท้าขุนนางผู้ตรวจการก็แค่พยักหน้าตอบตกลง ยอมหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งก็สามารถทำให้พวกเจ้าประมุขของแซ่ใหญ่ตระกูลใหญ่ติดค้างน้ำใจได้ครั้งหนึ่งแล้ว แล้วเหตุใดจะไม่ยินดีทำเล่า
เว่ยเปิ่นหยวนเองก็เหมือนกับท่านปู่ขอบเขตก่อกำเนิดของหลี่เป่าผิง ต่างก็เป็นผู้ฝึกตนที่มีอยู่น้อยนิดในเมืองเล็กเมื่อครั้งอดีต แต่ท่านปู่ของหลี่เป่าผิงถนัดด้านสายยันต์ พรสวรรค์ของเขาทางด้านนี้สูงมาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้เอ่ยปฏิเสธคำเชื้อเชิญของอดีตฮ่องเต้สกุลซ่ง ไม่ได้กลายเป็นผู้ถวายงานของราชสำนักต้าหลี ส่วนเว่ยเปิ่นหยวนนั้นถนัดด้านการหลอมโอสถ เขาออกมาจากบ้านเกิดนานแล้ว นอกจากที่สกุลเว่ยจะทิ้งบ้านบรรพบุรุษปล่อยว่างไว้ในเมืองเล็กแล้ว ลูกหลานของสกุลเว่ยเองก็ไปแตกกิ่งก้านสาขาในสถานที่ต่างๆ ขนบธรรมเนียมของตระกูลเว่ยไม่เลว นิสัยใจคอและคุณสมบัติของลูกหลานจึงไม่เลว เมล็ดพันธ์บัณฑิตหรือตัวอ่อนผู้ฝึกตนก็ล้วนมีหมด
ส่วนตัวเว่ยเปิ่นหยวนเองนั้นมาเลือกพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลนอกชานเมืองของนครลมเย็นแห่งนี้ ทั้งป่าท้อและลำธารล้วนมีความพิถีพิถัน เหมาะแก่การสร้างเตาหลอมโอสถ เว่ยเปิ่นหยวนหวังว่าจะสามารถฝ่าทะลุคอขวดโอสถทองได้ ดินแดนสุขาวดีแห่งนี้คือสถานที่ที่ปีนั้นเว่ยเปิ่นหยวนแลกเปลี่ยนด้วยที่ดินแห่งหนึ่งกับสกุลสวี่นครลมเย็น ปีนั้นอดีตฮ่องเต้ปฏิบัติต่อแซ่ใหญ่ของเมืองเล็กเป็นอย่างดี สามารถใช้ราคาที่ต่ำมากมาซื้อภูเขาตระกูลเซียนทางทิศตะวันตกได้ แต่เว่ยเปิ่นหยวนกลับรังเกียจที่จะฝึกตนอยู่ที่นั่น เพราะเสียงดังเกินไป ไม่สงบ ย่อมทำให้คนรู้สึกว่าถูกเร่งรัดตลอดเวลา จึงแลกเอาพื้นที่ดีเยี่ยมที่สืบทอดจากบรรพบุรุษมานานนับพันปีแห่งนี้มาจากมือของสกุลสวี่ แต่เว่ยเปิ่นหยวนปฏิเสธที่จะเป็นผู้ถวายงานของสกุลสวี่ สตรีออกเรือนแล้วของสกุลสวี่ตอแยเขาอยู่หลายครั้ง ขนาดสวี่หุนเจ้าประมุขก็ยังมาเยือนด้วยตัวเองรอบหนึ่ง แต่เว่ยเปิ่นหยวนก็ยังไม่ตอบตกลง
เว่ยเปิ่นหยวนเริ่มเป็นกังวลเล็กน้อย ม้าตัวนั้นและยังมีดาบแคบฝักสีขาวหิมะตรงเอวของหลี่เป่าผิงสะดุดตาเกินไปแล้ว
ผู้เฒ่าอดไม่ไหวถามว่า “คราวนี้ออกเดินทางคนเดียว มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นบ้างหรือไม่?”
ไม่รอให้เป่าผิงน้อยตอบ ผู้เฒ่าก็เอ่ยอย่างขุ่นเคืองเสียก่อน “ตาเฒ่าหลี่กล้าประมาทขนาดนี้เชียวหรือ? ฝีมือเล่นหมากล้อมห่วยแตก ชอบเอาน้ำหมึกครึ่งถังในท้องมาใช้ส่งเดช แค่นี้ก็แล้วไปเถิด ตอนนี้สมองก็ยังเลอะเลือนไปด้วยงั้นหรือ?”
หลี่เป่าผิงยิ้มเอ่ย “ท่านปู่เว่ย ตอนนี้ข้าอายุไม่น้อยแล้ว”
เว่ยเปิ่นหยวนกล่าว “ข้าไม่สนว่าตาเฒ่าหลี่จะคิดอะไร หากมีคนรังแกเจ้าก็บอกท่านปู่เว่ยมา ท่านปู่เว่ยขอบเขตไม่สูง แต่กลับมีความสัมพันธ์ควันธูปอยู่กองใหญ่ ไม่ใช้ก็เสียเปล่า ลูกหลานหลายคนยังรับไว้ไม่อยู่ จะเอาลงโลงไปพร้อมกันทั้งหมดก็คงไม่ได้…”
หลี่เป่าผิงส่ายหน้า “ท่านปู่เว่ย ไม่ต้องจริงๆ ตลอดทางมานี้ข้าไม่เคยผูกปมแค้นกับใคร”
เว่ยเปิ่นหยวนเอ่ยสัพยอก “เจ้าพวกคนบ้ากามตาบอดกันหมดแล้วหรือ? แต่ละคนมองไม่ออกหรืออย่างไรว่าแม่หนูผิงของเรางดงามขนาดนี้?”
หลี่เป่าผิงกล่าวอย่างจนใจ “ท่านปู่เว่ย รบกวนท่านช่วยมีมาดของผู้อาวุโสหน่อยเถอะ”
เว่ยเปิ่นหยวนยิ้มกล่าว “หลานชายคนนั้นของข้า เจ้าไม่ถูกใจจริงๆ หรือ?”
หลี่เป่าผิงส่ายหน้า
เว่ยเปิ่นหยวนพลันหัวเราะเสียงดังลั่น “หากแม่หนูผิงของข้าถูกใจเจ้าเด็กนั่นสิถึงจะแปลก”
อันที่จริงแม้ว่าผู้เฒ่าจะไม่เคยตีหน้าเคร่งวางมาดเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มงวดต่อหน้าลูกหลานตัวเอง แต่กลับไม่เคยหัวเราะไม่หยุดเช่นนี้
ผู้เฒ่าอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงในใจของหลี่เป่าผิง ผู้เฒ่าก็พยักหน้ารับ ใช้เสียงในใจตอบกลับ บอกให้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีปัญหาอะไร ไม่มีสายตาของสกุลสวี่นครลมเย็น เดิมทีสวนดอกท้อก็เป็นค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาแห่งหนึ่งอยู่แล้ว ก่อกำเนิดทั่วไปมาเยือนก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถมาอย่างเงียบเชียบ ต่อให้สวี่หุนจะไม่ใช่ก่อกำเนิดทั่วไป แต่เจ้าประมุขสกุลสวี่ผู้นั้นมีเรือนกายแข็งแกร่ง เชี่ยวชาญเวทการโจมตี อีกทั้งยังมีเสื้อเกราะโหวจื่ออยู่ติดตัว แค่เรื่องของการเข่นฆ่าก็มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหนึ่งทวีปแล้ว ดังนั้นอยู่ในกระท่อมแห่งนี้จึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะมีคนใช้วิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือ
หลี่เป่าผิงถึงได้หยิบยันต์สีเขียวออกมาสองแผ่น ส่งมอบให้ผู้เฒ่าพลางอธิบายว่า “นี่คือยันต์ที่พี่ชายข้าส่งมาให้จากอุตรกุรุทวีป ในจดหมายเขาไม่ได้บอกอะไรมาก เพียงแค่บอกชื่อของยันต์ทั้งสองแผ่น แผ่นหนึ่งคือยันต์สร้างโอสถ อีกแผ่นหนึ่งคือยันต์ก้อนดิน เดิมทีควรเป็นท่านปู่ของข้าที่นำมามอบให้ด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าครั้งนี้ข้าจะออกเดินทางไกลพอดี ท่านปู่ก็เลยให้ข้าพกติดตัวมาด้วย”
เว่ยเปิ่นหยวนรับยันต์มา ฟังชื่อยันต์แล้วก็วางลงบนโต๊ะ ส่ายหน้าเอ่ย “แม่หนูผิง แม้ว่าเจ้าเองก็เป็นผู้ฝึกตนแล้ว แต่เจ้าอาจจะยังไม่รู้ว่ายันต์สองแผ่นนี้มีมูลค่าควรเมือง ข้ามิอาจรับเอาไว้ได้ รับไว้แล้ว ชั่วชีวิตนี้คงไม่อาจตอบแทน เรื่องของการฝึกตนนั้น ขอบเขตสูงคือเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า แต่หากมันทำให้ข้าวางตัวไม่ถูก ชั่งน้ำหนักสองอย่างนี้แล้ว ข้าก็ยังยินดีจะสละขอบเขตแล้วรักษาเจตจำนงเดิมของตัวเองเอาไว้”
เว่ยเปิ่นหยวนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าอึดอัดไปเองนั่นแหละ พี่ใหญ่ของเจ้าหวังดี น้ำใจนี้ข้ารับไว้แล้ว ไม่เสียแรงที่เป็นซีเซิ่งที่ข้าสอนวิชาหมากล้อมให้ตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่ว่าข้าจงใจทำเป็นเกรงใจเขาจริงๆ ท่านปู่เว่ยเป็นคนอย่างไร แม่หนูผิงเจ้าจะยังไม่รู้อีกหรือ?”
ยันต์ลัทธิเต๋ากระดาษเขียวสองแผ่นที่อยู่บนโต๊ะนั้น ยันต์สร้างโอสถ แก่นแห่งยันต์เหมือนพื้นที่มงคลที่เป็นเรือนเล็กๆ หลังหนึ่ง แสงทองส่องประกายวิบวับ ทอแสงอรุโณทัยงดงามเต็มห้อง
ส่วนยันต์ก้อนดินแผ่นนั้นวาดรูปดอกบัวเอาไว้ ทำให้มองดูเหมือนแท่นสูงในสถานที่ประกอบพิธีกรรม รอบด้านมีไอสีม่วงลอยล้อมวน เป็นภาพบรรยากาศที่มองดูแล้วยิ่งใหญ่อลังการ
ดูเหมือนหลี่เป่าผิงจะเดาได้ถึงผลลัพธ์นี้มาก่อนแล้ว จึงยิ้มเอ่ยว่า “พี่ชายข้าบอกแล้วว่า หากไม่รับยันต์สองแผ่นนี้ไว้ วันหน้าก็ไม่ให้ข้ามาหาท่านปู่เว่ยอีก ข้าเชื่อฟังพี่ชายข้า”
เว่ยเปิ่นหยวนโบกมือ
ฝึกตนอยู่บนมหามรรคา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวพันไปถึงรากฐาน อีกทั้งไม่ใช่การเล่นของเด็กๆ ไม่มีเรื่องง่ายๆ แบบนี้
หลี่เป่าผิงเอ่ย “ข้าเชื่อฟังพี่ชายข้าจริงๆ นะ”
เว่ยเปิ่นหยวนขมวดคิ้วถาม “ซีเซิ่งไปพเนจรอยู่ต่างทวีปเพียงลำพัง ต้องไม่ได้มีชีวิตอย่างผ่อนคลายแน่ กว่าจะได้รับโชควาสนาใหญ่ขนาดนี้มาคงไม่ใช่เรื่องง่าย เหตุใดถึงจะนำมามอบให้ข้า?”
เว่ยเปิ่นหยวนตัดใจด่าหลี่ซีเซิ่งที่ออกเดินทางไกลไปเยือนอุตรกุรุทวีปและหลี่เป่าผิงที่อยู่ใกล้แค่ตรงหน้านี้ไม่ลง ล้วนเป็นเด็กรุ่นหลังที่ดีที่สุดแล้ว ไหนเลยจะตัดใจพูดจาแรงๆ ด้วยได้ ดังนั้นผู้เฒ่าจึงเริ่มด่าตาเฒ่าหลี่ขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าแก่เลอะเลือน แก่แล้วเลอะเลือนจริงๆ! ในสมองมีแต่แป้งเปียก มิน่าเล่าวิชาหมากล้อมถึงได้ห่วยขนาดนั้น พฤติกรรมยามเล่นหมากล้อมก็แย่ขนาดนั้น!”
หลี่เป่าผิงเอ่ย “ท่านปู่เว่ย พี่ชายข้าทำอะไรล้วนรู้หนักเบาเสมอ”
เว่ยเปิ่นหยวนครุ่นคิด “ข้าจะรับเอาไว้ก่อน วันหน้าเว้นเสียจากว่าซีเซิ่งมาอธิบายกับข้าอย่างชัดเจน ไม่อย่างนั้นก็จะถือว่าท่านปู่เว่ยช่วยเก็บรักษาไว้ให้เขาก่อนชั่วคราว”
หลี่เป่าผิงยิ้มกล่าว “เรื่องนี้ข้าคงไปควบคุมไม่ได้”
เว่ยเปิ่นหยวนเอ่ยเตือน “นครลมเย็นคือสถานที่ที่ปลาและมังกรปะปนกัน หากต่อจากนี้เจ้าจะยังเดินทางไปท่องเที่ยวที่แคว้นหูแห่งนั้น ท่านปู่เว่ยก็ไม่วางใจจริงๆ คนฉลาดมักมีความคิดชั่วร้าย แน่นอนว่าต้องป้องกันเอาไว้ก่อน ทว่าคนบนภูเขาที่ทั้งโง่และทั้งเลว นั่นต่างหากจึงจะทำให้คนหงุดหงิดได้อย่างแท้จริง เห็นผลประโยชน์แล้วก็ลืมคุณธรรม เห็นสาวงามแล้วก็คิดชั่ว ก่อตั้งกิจการสร้างครอบครัวล้วนอาศัยคำว่าเดิมพันคำเดียว มลพิษสกปรกลอยอวล วิถีทางโลกจึงวุ่นวาย”
หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับ “ตกลง จะให้ท่านปู่เว่ยคุ้มกันไปส่ง ไม่อย่างนั้นข้าเองก็กลัวว่าไปหาพี่หญิงเถาหยาที่แคว้นหูแล้วจะสร้างปัญหาที่ไม่จำเป็นให้ตัวเองเช่นกัน”
เว่ยเปิ่นหยวนยิ้มจืดเอ่ยว่า “พอเจ้าพูดแบบนี้กลับเหมือนท่านปู่เว่ยใช้กลอุบายยังไงก็ไม่รู้”
แม่หนูเถาหยาผู้นั้น แม้จะเป็นสาวใช้ของสกุลเว่ย แต่เดิมทีเว่ยเปิ่นหยวนก็มองนางเป็นเด็กรุ่นหลังของตระกูลตัวเองมาโดยตลอด ส่วนหลี่เป่าผิงที่แม้ไม่ใช่หลานสาวแท้ๆ แต่กลับเป็นยิ่งกว่าหลานสาวแท้ๆ
หลี่เป่าผิงเพียงยิ้มไม่เอ่ยคำใด
ท่านปู่ของตนเคยเอ่ยประโยคหนึ่งที่แปลกประหลาดมาก การที่น้องเว่ยไม่สามารถฝ่าทะลุคอขวดโอสถทองได้เสียที ไม่ใช่เพราะคุณสมบัติไม่ดีมากพอ แต่เป็นเพราะใจอ่อนเกินไป จิตใจดีเกินไป ผู้ฝึกตนคนหนึ่ง หากมีปณิธานอยู่ที่การแสวงหาความก้าวหน้าเกินไป แสวงหาการเป็นที่หนึ่งบนมหามรรคาเกินไป ไม่แน่เสมอไปว่าจะมั่นคง แต่หากไม่มีความคิดเช่นนี้เลยกลับจะยิ่งไม่เหมาะสมไม่มั่นคงเข้าไปใหญ่
เว่ยเปิ่นหยวนเอ่ยถาม “เล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนข้าสักตาดีไหม?”
เล่นหมากล้อม ตกปลา บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ ถูกขนานนามว่าเป็นสามความบันเทิงใหญ่ของบนภูเขา นอกเหนือจากการฝึกตน พวกมันสามารถฆ่าเวลาได้มากที่สุด
หลี่เป่าผิงปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม “ท่านปู่เว่ย ท่านเองก็รู้ว่าข้าไม่ชอบเล่นหมากล้อมมาตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นดูพวกท่านเล่นหมากล้อมกันก็ถือเป็นความอดทนที่ใหญ่ที่สุดของข้าแล้ว”
เว่ยเปิ่นหยวนขมวดคิ้ว ลุกขึ้นยืน เงยหน้ามองไปบนยอดเขาเขียวขจี เอ่ยหัวเราะเสียงหยัน “ทำลับๆ ล่อๆ ต้องปิดบังตัวเองขนาดนี้เชียวหรือ?!”
หากหลี่เป่าผิงไม่มาเยือน บางทีเว่ยเปิ่นหยวนอาจจะยินดีพูดกับแขกไม่ได้รับเชิญผู้นั้นด้วยถ้อยคำดีๆ อยู่บ้าง
บนยอดเขาแห่งนั้น มีผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่เมฆหมอกล้อมวนเรือนกายยืนอยู่
คนผู้นั้นหลุบตาลงมองกระท่อมในหุบเขา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เตาโอสถเริ่มจุดไฟ ดอกท้อเซียนก็ร่วงโรยพอดี วิชาในการหลอมโอสถไม่สูง แต่กลับเลือกสถานที่ได้เก่งนัก สกุลสวี่ดีต่อเจ้าไม่น้อย น่าเสียดายที่ตัวเจ้าเองรนหาที่ตาย แม้แต่ผู้ถวายงานที่ได้รับการแขวนชื่อก็ยังไม่ยินดีจะเป็น คนเรานี่นะ”