กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 657.1 ทางฝั่งของโรงเรียน
ต้นไหวโบราณที่พอถึงช่วงฤดูร้อนอากาศแผดเผาก็เป็นเหมือนร่มขนาดใหญ่ที่ให้ร่มเงาเย็นสบายไม่อยู่แล้ว บ่อโซ่เหล็กถูกล้อมให้เป็นพื้นที่ต้องห้ามส่วนบุคคล นี่ทำให้พวกคนเฒ่าคนแก่ที่คิดถึงน้ำบ่อรสหวานฉ่ำไม่มีน้ำให้ดื่ม เสียงจิ้งหรีดในสุสานเทพเซียนก็ลดน้อยลงไปมาก ภูเขาเครื่องกระเบื้องที่พอเหยียบลงไปทีต้องส่งเสียงดังกรอบแกรบก็ปีนขึ้นไปไม่ได้อีกแล้ว โชคดีที่ฤดูใบไม้ผลิยังมีต้นท้อทั้งหลายอยู่ในตรอกเถาเย่ ดอกท้อสีแดงเข้มน่าเอ็นดู สีแดงอ่อนก็น่ารักน่ามอง
ชีวิตคนมักมีพบและมีจากอยู่เสมอ โชคดีที่จากลากันแล้วก็จะได้กลับมาพบกันใหม่
วันนี้ที่โรงเรียนเก่าได้รวบรวมคนมากมายที่ออกจากบ้านเกิดไปแล้วก็ได้กลับมาเยือนบ้านเกิดอีกครั้ง
หลี่ไหว หลินโส่วอี ต่งสุ่ยจิ่ง สือชุนเจีย (ในบางตอนผู้แต่งสลับชื่อสือเจียชุนกับสือชุนเจีย ตรวจดูแล้วใช้สือชุนเจียมากกว่าจึงคิดว่าตัวละครน่าจะชื่อสือชุนเจีย) ก่อนจะกลับสำนักศึกษา พวกเขานัดหมายกันว่าวันนี้จะกลับมาที่โรงเรียนอีกครั้ง ไม่ได้มีเรื่องอะไรให้พูดคุยกันมากนัก แค่กลับมามอง กลับมานั่งที่นั่น
ต่งสุ่ยจิ่งไหว้วานให้คนไปตามหาเสมียนของฝ่ายครัวเรือนที่ว่าการอำเภอเพื่อเอากุญแจมาเปิดประตูให้ คนทั่วไปไม่รู้ความสามารถของต่งสุ่ยจิ่ง ไม่รู้ถึงคำเรียกขานว่าต่งครึ่งเมือง ทว่าเหล้าหมักข้าวเหนียวที่ต่งสุ่ยจิ่งเป็นผู้ขายได้ส่งไปขายไกลถึงเมืองหลวงต้าหลีนานแล้ว ว่ากันว่าแม้แต่เรือข้ามฟากตระกูลเซียนที่ประหนึ่งนกบินไปบินมากลางหมู่เมฆก็ยังมีเหล้านี้เก็บไว้ นี่ก็คือเงินทองไหลมาเทมาที่ไม่ว่าใครก็ล้วนมองเห็น
สหายร่วมชั้นเรียนสี่คนที่เคยมาเรียนหนังสืออยู่ที่นี่ด้วยกัน หลี่ไหวกับต่งสุ่ยจิ่งช่วยกันตักน้ำมา และยังใช้คานหาบแบกเอาของอย่างพวกผ้าและถังน้ำมาด้วย ล้วนเอามาจากบ้านบรรพบุรุษของหลี่ไหว สือชุนเจียคล้องตะกร้าไว้ในมือ ของทุกอย่างที่จำเป็นล้วนอยู่ในนี้หมดแล้ว ในอดีตหลินโส่วอีก็คือนายน้อยของบ้านคนมีเงิน กินอยู่ไม่ต้องกลัดกลุ้ม ไม่ค่อยมีโอกาสทำงานพวกนี้สักเท่าไร วันนี้เขาเองก็อยากหาบน้ำมาเหมือนกัน ผลคือต่งสุ่ยจิ่งยิ้มเอ่ยว่าข้าคุ้นเคยกับจุดตักน้ำที่อยู่ใกล้กับบ้านหลี่ไหวมากกว่าเจ้า
ดังนั้นหลินโส่วอีที่สองมือว่างเปล่าจึงคุยเล่นกับสือชุนเจียที่ขยับมาเดินอยู่ข้างกายไปตลอดทาง
ครอบครัวของทั้งสองล้วนย้ายไปอยู่เมืองหลวงต้าหลี บิดาของหลินโส่วอีถือว่าได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางในเมืองหลวง แต่ตระกูลสือเพียงแค่มีเงินเท่านั้น ในสายตาของคนพื้นที่ในเมืองหลวงจึงเป็นเศรษฐีบ้านนอกที่มาจากต่างถิ่น เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นคาวของดินโคลน เมื่อหลายปีก่อนตระกูลสือจึงทำการค้าได้ไม่ราบรื่นนัก ถึงขั้นที่ว่าถูกคนหลอกแล้วยังไม่อาจหาเหตุผลมาโต้เถียงได้ สือชุนเจียมีคำพูดบางอย่างที่เป็นเพราะก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในร้านตรอกฉีหลงมีคนอยู่มาก ต่อให้พูดหยอกล้อก็ยังไม่อาจพูดมากได้ ตอนนี้มีเพียงหลินโส่วอีอยู่ข้างกาย สือชุนเจียจึงเริ่มเปิดอกระบายความทุกข์และบ่นหลินโส่วอี บอกว่าคนในครอบครัวของนางต้องเจอกับอุปสรรคอยู่ในเมืองหลวง ถือหัวหมูแล้วยังหาวัดไม่เจอ จึงไปหาบิดาของหลินโส่วอี คิดไม่ถึงว่าแม้จะไม่ถึงขั้นกินน้ำแกงประตูปิด แต่ก็แค่ได้เข้าไปดื่มชาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันเท่านั้น บิดาของหลินโส่วอีวางท่าชัดเจนว่าไม่ยินดีให้การช่วยเหลือ
สือชุนเจียเป็นสตรีออกเรือนแล้ว ไม่ใช่แม่หนูน้อยมัดผมแกละที่ไร้ทุกข์ไร้กังวลอย่างในอดีตอีกแล้ว การที่นางยินดีเปิดอกพูดเรื่องพวกนี้ก็เพราะเต็มใจเห็นหลินโส่วอีเป็นเพื่อน รุ่นพ่อรุ่นแม่คบค้ากันอย่างไรก็เป็นเรื่องของพวกเขา แต่สือชุนเจียที่พอออกจากโรงเรียนและสำนักศึกษาก็กลายมาเป็นสตรีที่ช่วยเหลือสามีอบรมเลี้ยงดูบุตรกลับยิ่งรู้สึกทะนุถนอมและเห็นค่าในวันเวลาตอนที่ยังเป็นเด็กนักเรียนมากขึ้น
สามารถพูดบ่นต่อหน้ากันได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีเหตุผลให้เอาไปแค้นเคืองอยู่ในใจ
หลินโส่วอีเองก็ไม่ได้ช่วยบิดาและทางตระกูลปิดบังอะไร เขาเอ่ยว่า “พ่อข้านิสัยอย่างไร สภาพครอบครัวข้าเป็นอย่างไร เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ? ปีนั้นเพื่อนร่วมชั้นเรียน มีใครกล้าไปเล่นที่บ้านข้าบ้าง? ปีนั้นเป่าผิงใจกล้าหรือไม่ แล้วเจ้าเคยเห็นนางไปบ้านข้าสักกี่ครั้ง?”
ยามอยู่ในเมืองเล็กขนบธรรมเนียมประจำตระกูลหลินก็แปลกประหลาดมากมาโดยตลอดอยู่แล้ว ไม่ค่อยชอบแสดงน้ำใจกับคนนอก บิดาของหลินโส่วอีก็ยิ่งประหลาด ทำงานอยู่ในที่ว่าการงานเตาเผาเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา แต่พอกลับมาบ้านกลับกลายเป็นอีกคนที่พูดน้อยเงียบขรึม เผชิญหน้ากับหลินโส่วอีที่เป็นบุตรอนุภรรยาก็แทบจะเรียกได้ว่าเข้มงวด และเวลาเช่นนั้นเขาก็จะเป็นอีกคนหนึ่ง ไม่ว่าบุรุษผู้นั้นอยู่ร่วมกับใคร เขาก็ล้วนวางตัวอย่างชัดเจนเสมอ เพราะสาเหตุที่ว่าทำงานได้ดี ตอนอยู่ในที่ว่าการงานเตาเผาจึงมีชื่อเสียงที่ดีมาก ไม่ว่าขุนนางคนใดในที่ว่าการล้วนสนิทสนมมีความสัมพันธ์อันดีด้วย เพราะฉะนั้นนอกจากคำชมปากต่อปากของเพื่อนร่วมงานในที่ว่าการแล้ว ในฐานะประมุขตระกูลหรือฐานะบิดา เขาจึงดูเป็นคนแล้งน้ำใจอย่างเห็นได้ชัด
ปีนั้นออกเดินทางไกลไปยังสำนักศึกษาต้าสุย จดหมายจากทางบ้านที่ส่งมาให้หลินโส่วอี เนื้อความมักกระชับสั้นได้ใจความเสมอ ราวกับการคิดคำนวณบัญชีอย่างไรอย่างนั้น
ไม่ว่าทุกวันนี้ชื่อเสียงของหลินโส่วอีจะโด่งดังในราชสำนักของต้าสุยหรือเลื่องลือไปทั่วทิศแค่ไหน แม้แต่ในวงการขุนนางต้าหลีเขาก็นับว่ามีชื่อเสียงใหญ่โต ทว่าบุรุษผู้นั้นกลับทำเหมือนว่าไม่เคยมีบุตรชายคนนี้ ไม่เคยพูดกับหลินโส่วอีสักครึ่งคำในจดหมายว่าหากมีเวลาว่างก็กลับมาเยี่ยมบ้านบ้าง
สือชุนเจียนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็เอ่ยสัพยอกว่า “หลินโส่วอี เพื่อนของข้าหลายคนต่างก็เคยได้ยินชื่อของเจ้า ช่างมีความสามารถมากนักนะ เรื่องราวของเจ้าถึงได้แพร่ไปถึงเมืองหลวงต้าหลี บอกว่าเจ้าจะต้องกลายเป็นนักปราชญ์ของสำนักศึกษาได้อย่างแน่นอน หรือแม้กระทั่งวิญญูชนก็ยังกล้าคิด แล้วยังเป็นเทพเซียนบนภูเขาที่ฝึกตนประสบความสำเร็จ หน้าตาก็ดี…”
กล่าวมาถึงตรงนี้สือชุนเจียก็เบี่ยงตัวมามองประเมินหลินโส่วอีที่สวมชุดสีเขียว “โอ้โห หล่อเหลาจริงๆ นะนี่ เมื่อก่อนมองไม่ออกเลยสักนิด วันๆ เอาแต่ตีหน้าเคร่งราวกับอาจารย์ตัวน้อยอย่างไรอย่างนั้น ไม่น่ารักเอาเสียเลย”
หลินโส่วอีเอ่ย “คำพูดประเภทนี้ แน่จริงก็พูดต่อหน้าเปียนเหวินเม่าดูสิ”
สือชุนเจียยิ้มเอ่ย “ข้าไม่ได้บอกสักหน่อยว่าเจ้าหล่อกว่าสามีข้า”
หลินโส่วอีส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไร
สือชุนเจียรู้สึกสะท้อนใจเล็กน้อย “ตอนนั้นน่ะ ในโรงเรียนก็มีตำราของเจ้ากับหลี่ไหวที่ใหม่ที่สุด เปิดมาหนึ่งปีก็ยังไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิม หลี่ไหวเป็นเพราะไม่ชอบอ่านหนังสือ แค่อ่านหนังสือก็ง่วงนอน แต่เจ้ากลับเป็นคนที่เปิดหนังสืออย่างระมัดระวังมากที่สุด”
หลินโส่วอียิ้มกล่าว “เรื่องเล็กๆ แบบนี้เจ้ายังจำได้ด้วยหรือ?”
สือชุนเจียย้อนถาม “ไม่จำเรื่องพวกนี้แล้วให้จำเรื่องอะไรเล่า?”
หลินโส่วอีพยักหน้า “เป็นความเคยชินที่ดี”
หลินโส่วอีลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “วันหน้าหากเกิดเรื่องในเมืองหลวง ข้าจะไปขอให้เปียนเหวินเม่าช่วย”
สือชุนเจียอึ้งตะลึง จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังลั่น ยื่นนิ้วมาชี้หลินโส่วอี “นับแต่เด็กก็เป็นเจ้าที่พูดน้อยที่สุด ความคิดวกวนอ้อมค้อมมากที่สุด”
หลินโส่วอีหรือจะต้องการความช่วยเหลือจากเปียนเหวินเม่า?
เรื่องที่ช่วยคนแล้วยังเอาหินปูทาง เอาบันไดมาพาดให้แบบนี้ คาดว่าคงเป็นความอ่อนโยนและความหวังดีที่มีเฉพาะในตัวหลินโส่วอีแล้ว
ทางฝั่งของโรงเรียน หลี่ไหวทำความสะอาดพลางท่องตอนต้นของบทคำสั่งสอนของตระกูลไปด้วย “ฟ้าเริ่มสางรีบตื่นนอน ปัดกวาดบ้านเรือน!”
หวนคิดถึงอดีต เช้าตรู่ของทุกวัน อาจารย์ฉีจะเริ่มมาปัดกวาดโรงเรียนตั้งแต่เช้า เรื่องพวกนี้แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเป็นเขาที่ลงมือทำเอง ไม่จำเป็นต้องให้จ้าวเหยาที่เป็นเด็กรับใช้มาทำ
ต่งสุ่ยจิ่งยิ้มพลางเอ่ยรับคำ “ทั้งในและนอกต้องสะอาดเอี่ยม”
สือชุนเจียเช็ดโต๊ะ ได้ยินประโยคนี้แล้วก็ยกผ้าในมือขึ้น เอ่ยตามว่า “ใกล้ค่ำเริ่มพักผ่อน ปิดประตูลงกลอน”
หลินโส่วอีที่อยู่ห่างไปไม่ไกลยิ้มบางๆ “ต้องตรวจตราบ้านเรือนด้วยตัวเอง”
หลินโส่วอีเช็ดกรอบหน้าต่างอย่างพิถีพิถัน ศึกษาเล่าเรียนอยู่ด้านล่างภูเขา ฝึกตนอยู่บนภูเขา ฝึกเรือนกายฝึกจิตใจ มีอะไรบ้างที่ไม่ได้เป็นเช่นนี้?
เปียนเหวินเม่าสามีของสือชุนเจียก็กลับมาถึงอำเภอไหวหวงแล้วเช่นกัน เมืองเล็กถือว่ามีทั้งที่ว่าการอำเภอและที่ว่าการเขตอยู่ร่วมกัน เปียนเหวินเม่าจึงส่งเทียบของตัวเองไปขอเข้าพบฟู่อวี้ผู้ดูแลเขตเป่าซี
ฟู่อวี้คือลูกหลานขุนนางในเมืองหลวงที่สถานะไม่ธรรมดา ตระกูลเปียนกับตระกูลฟู่พอจะมีความสัมพันธ์ควันธูปกันอยู่บ้าง ต่างก็ถือเป็นขุนนางน้ำใสของต้าหลี เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับตระกูลฟู่แล้ว ตระกูลเปียนยังเป็นรองกว่ามาก แต่ถึงอย่างไรตระกูลฟู่ก็ไม่ใช่แซ่สกุลของเสาค้ำยันแคว้นที่ชีวิตการเป็นอยู่สุขสบายอย่างตระกูลเฉาและตระกูลหยวน ฟู่อวี้ผู้นี้เคยเป็นเลขาฝ่ายบุ๋นให้กับอู๋ยวนนายอำเภอคนแรกของหลงเฉวียน เป็นคนที่อำพรางตัวตนได้อย่างลึกล้ำ
หลังจากที่เขตการปกครองหลงเฉวียนเลื่อนขั้นเป็นจังหวัดหลงโจว สี่เขตใต้การปกครองอย่างชิงสือ เป่าซี ซานเจียงและเซียงฮว่อ ผู้ดูแลเขตหยวนถือว่าได้เลื่อนขั้นเป็นเจ้าเมืองขุนนางหลักของเขตชิงสือ เจ้าเมืองของอีกสามเขตต่างก็มีชาติกำเนิดมาจากขุนนางเมืองหลวง มีทั้งบ้านรวยบ้านจน ส่วนเขตเป่าซีนั้นถูกฟู่อวี้เก็บเข้ามาไว้ในกระเป๋า
เปียนเหวินเม่ายินดีจะส่งเทียบมายังที่จวนเจ้าเมืองเป่าซี แต่กลับไม่กล้าไปเยือนที่ที่ว่าการเขตชิงสือ นี่ก็เป็นเพราะบารมีอำนาจที่แซ่สกุลเสาค้ำยันแคว้นสั่งสมมา
ในความเป็นจริงแล้วแม้ว่าทุกวันนี้จะมีระดับขั้นเท่าเทียมกับลูกหลานสกุลหยวน ล้วนเป็นเจ้าเมืองของเขตแห่งหนึ่งเหมือนกัน แต่ทุกครั้งที่ไปปรึกษางานกับผู้ว่าของจังหวัด อย่าว่าแต่ฟู่อวี้เลย ต่อให้เป็นผู้ว่าเว่ยหลี่ เมื่อเผชิญหน้ากับเจ้าเมืองหยวนผู้นั้นก็ยังไม่ผ่อนคลายนัก
ไม่เพียงแต่ชาติกำเนิดของเจ้าเมืองหยวนเท่านั้น การวางตัว การบริหารปกครองของเจ้าเมืองหยวนเองก็ยิ่งเป็นกุญแจสำคัญ
อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยไปที่บ้านบรรพบุรุษสกุลหยวนมาก่อนรอบหนึ่ง จากนั้นก็รีบตามมาที่โรงเรียน เลือกสองตำแหน่งที่ไม่มีคนนั่ง
พวกเขาสองคนต่างก็เป็นนักเรียนจากต่างถิ่นที่เคยเรียนในสำนักศึกษาซานหยาเก่าของต้าหลี เพียงแต่ว่าไม่ได้สนิทกับอาจารย์ฉีเหมือนพวกหลี่ไหว ในฐานะชาวบ้านและนักโทษที่ถูกเนรเทศของสกุลหลูที่มาอยู่ที่นี่ พวกเขาเคยเจอแค่ชุยตงซาน ไม่ได้พบกับอาจารย์ฉีที่เป็นผู้ก่อตั้งสำนักศึกษาซานหยาและโรงเรียนในเมืองเล็กแห่งนี้
บังเอิญอย่างมาก ซ่งจี๋ซินและสาวใช้จื้อกุยก็เดินทางมาเที่ยวในสถานที่เก่าแห่งนี้เช่นกัน พวกเขาไม่ได้เข้าไปนั่งในห้องเรียน ตอนอยู่ในโรงเรียน นอกจากจ้าวเหยาแล้ว ซ่งจี๋ซินก็แทบไม่เคยคบค้าสมาคมกับพวกหลินโส่วอี ซ่งจี๋ซินพาจื้อกุยไปที่เรือนหลัง เขานั่งอยู่ตรงโต๊ะหิน เป็นสถานที่ที่อาจารย์ฉีเคยชี้แนะการเล่นหมากล้อมระหว่างเขากับจ้าวเหยา จื้อกุยยืนอยู่นอกประตูไม้ทางทิศเหนือเหมือนเช่นในอดีต
ซ่งจี๋ซินมีสีหน้าเปลี่ยวเหงา ยื่นมือไปลูบผิวโต๊ะเบาๆ
ไม่รู้ว่าจ้าวเหยาที่มักจะเล่นหมากล้อมแพ้ตนอยู่เสมอ ทุกวันนี้ออกเดินทางไกลห่างจากบ้านเกิด จะยังมีชีวิตที่สงบสุขปลอดภัยดีหรือไม่
ซ่งจี๋ซินหันหน้าไปมองจื้อกุยที่ไม่มีอะไรทำจึงเด็ดกิ่งหลิวมาถือเล่น
นางเขย่งปลายเท้าโบกกิ่งไม้เบาๆ
ซ่งจี๋ซินมองใบหน้าด้านข้างที่มองกี่ครั้งก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อของนาง เขาก็นึกเกลียดแค้นนางไม่ลง ไม่ยินดี แล้วก็ตัดใจไม่ลง
นางหันหน้ากลับมาคล้ายลืมสิ่งที่ตัวเองป่าวประกาศในวันนั้นไปแล้ว และกลับมาเป็นสาวใช้ที่มีชีวิตพึ่งพากันและกันกับซ่งจี๋ซินอีกครั้ง นางปล่อยมือออกจากกิ่งไม้ ยิ้มหวานเอ่ยว่า “คุณชาย อยากเล่นหมากล้อมหรือ?”
ซ่งจี๋ซินส่ายหน้าเบาๆ
นอกจากคนสองกลุ่มอย่างพวกหลี่ไหวและซ่งจี๋ซินแล้ว ยังมีบุคคลยิ่งใหญ่ของวงการขุนนางอีกสองคนที่ใครก็คาดไม่ถึงเดินทางมาเยือนที่แห่งนี้
เจ้าเมืองหยวนผู้ขยันทำงาน ผู้ตรวจการเฉาที่รักอิสระเสรี
ทั้งสองคนต่างก็ไม่ได้พาผู้ติดตามมาด้วย คนหนึ่งจงใจไม่พามา อีกคนหนึ่งไม่เคยมีองค์รักษ์ผู้ติดตามอยู่แล้ว
ในความเป็นจริงแล้วคนวัยเดียวกันที่ต่างก็มีชาติกำเนิดเป็นคนของแซ่สกุลเสาค้ำยันแคว้นสองคนนี้ ต่างก็เป็นนักเรียนของสำนักศึกษาซานหยาเก่าในเมืองหลวงต้าหลี
แต่ก็ไม่ต่างจากอวี๋ลู่รัชทายาทผู้สิ้นแคว้นสักเท่าไร พวกเขาเองก็ไม่เคยเห็นอาจารย์ฉีกับตาตัวเองมาก่อน ยิ่งไม่มีทางได้รับคำสั่งสอนจากอาจารย์ฉีกับหูตัวเอง
ผู้ตรวจการเฉาเอนตัวพิงกรอบหน้าต่าง ตรงเอวห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดอยู่ลูกหนึ่ง วัสดุธรรมดา เพียงแต่ว่ามาอยู่เมืองเล็กกี่ปี น้ำเต้าบรรจุเหล้าใบน้อยก็อยู่เคียงข้างเขามานานเท่านั้น ถูกลูบถูกเสียดสีจนยิ่งแวววาวชวนมอง เป็นของรักของผู้ตรวจการเฉา มีทองพันชั่งมาแลกก็ไม่ขาย
เห็นใต้เท้าเจ้าเมืองที่ถอดชุดขุนนางมาสวมชุดสีเขียว ผู้ตรวจการเฉาก็เอ่ยอย่างตกตะลึง “เจ้าเมืองหยวนงานยุ่งจะตายไป ทุกวันทำงานจนหัวหมุน เท้าแทบไม่ติดพื้น ก้นก็ไม่เคยติดเก้าอี้ ใต้เท้าหยวนเองไม่มึนหัว แต่คนข้างๆ ที่มองเห็นกลับเหมือนคนดื่มเหล้าเมากันทั้งนั้น ไปกลับอำเภอไหวหวงรอบหนึ่งต้องถ่วงงานสำคัญไปมากน้อยเท่าไรกัน”
เจ้าเมืองหยวนพูดด้วยสีหน้าเฉยชา “พูดคุยกับเจ้าค่อนข้างถ่วงเวลาของข้า”
สองแซ่หยวนเฉาแห่งต้าหลี ตอนนี้คือแซ่สกุลนายพลเอกที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดของตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีป เหตุผลก็เรียบง่ายมาก ในอาณาเขตของหนึ่งแคว้น ภาพเทพทวารบาลที่ติดหน้าประตูบ้านครึ่งหนึ่งล้วนเป็นภาพบรรพบุรุษของสองคนนี้ ศาลบุ๋นของภูเขาเครื่องกระเบื้อง ศาลบู๊ของสุสานเทพเซียนในอาณาเขตของอำเภอไหวหวง บรรพบุรุษของทั้งสองตระกูลต่างก็ถูกนำมาสร้างร่างทองแล้วตั้งเป็นองค์เทพให้ผู้คนกราบไหว้บูชา คอยเสวยสุขกับควันธูป
ผู้ตรวจการเฉาปลดกาเหล้าตรงเอวลงมาจิบเหล้าอึกเล็กแล้วหรี่ตาลง ราวกับว่าทุกครั้งที่ดื่มเหล้าล้วนเป็นช่วงเวลาอันสมบูรณ์แบบที่ได้เติมเต็มของชีวิต
เจ้าเมืองหยวนยืนตัวตรงราวกับพู่กัน เมื่อเทียบกับผู้ตรวจการเฉาที่มีท่วงท่าเกียจคร้านแล้วก็คือหนึ่งฟ้าหนึ่งดิน ลูกหลานสกุลหยวนที่มีชื่อเสียงดีเยี่ยมในวงการขุนนางต้าหลีผู้นี้เอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าทุกครั้งที่ผู้ตรวจการเฉาเมามายออกจากบ้าน เดินโซเซกลับบ้าน เห็นภาพเหมือนของบรรพบุรุษที่แปะไว้หน้าประตูแล้วจะสร่างเมาได้บ้างหรือไม่”