กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 659.2 เปิดดูปฏิทินเหลือง
บุรุษชุดขาวยิ้มเอ่ย “ไม่ต้องคิดมาก เขาเคยชินที่จะมาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์แล้วก็เท่านั้น ในอดีตพอสำรวมตนขึ้นมาหน่อยก็เปลี่ยนไปกลายเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง เชี่ยวชาญการรังแกตัวเอง ไม่ชอบรังแกคนอื่น ตายอยู่ท่ามกลางหายนะบนภูเขาล่างภูเขามาหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่เห็นว่าเขาจะลงมือปกป้องตัวเองเลยสักครั้ง เก้าทวีปของใต้หล้าไพศาล ทุกทวีปล้วนต้องอยู่อาศัยหลายร้อยปี นอกจากนี้ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นลูกศิษย์ในนามของเขา แต่นครจักรพรรดิขาวกลับเป็นข้าที่สร้างขึ้นด้วยตัวเอง ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย”
กู้ช่านพลันเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่ต้องไปเยือนภูเขาหวงหูแล้ว อย่าไปรบกวนการฝึกตนอย่างสงบของผู้อาวุโสจะดีกว่า แค่ติดตามเจ้านครไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็พอ”
บุรุษชุดขาวยิ้มกล่าว “สามารถพูดเช่นนี้ได้ นั่นก็ควรจะไปพบเขาสักครั้งจริงๆ”
กู้ช่านถาม “คนสามคนในห้องจะจัดการอย่างไร?”
สาวใช้สองคน คนเฝ้าประตูหนึ่งคน คนทั้งสามต่างนั่งนิ่งไม่ขยับ
บุรุษชุดขาวมองคนทั้งสามแล้วยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา ทั้งสามคนซึ่งแม้แต่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนนั้นต่างก็ถูกบีบให้จิตหยินออกมาอยู่นอกกาย แต่ละคนท่าทางมึนงง สีหน้าอึ้งค้าง สองเท้าลอยไม่ติดพื้น ค่อยๆ ลอยไปหยุดอยู่เบื้องหน้าบุรุษชุดขาว เขายื่นมือชี้ไปตรงหว่าคิ้วของคนทั้งสามง่ายๆ อยู่สองที จิตหยินทั้งสามก็ทยอยกันกลับเข้าร่าง กู้ช่านเพ่งสายตามองไป พบว่าเริ่มมีเส้นยาวแผ่ลามออกมาจากตรงหว่างคิ้วของคนทั้งสาม
จากนั้นคนทั้งสามก็พลัน ‘ฟื้นตื่น’ คนเฝ้าประตูที่เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวน้ำตาเอ่อคลอ คุกเข่าไม่ยอมลุกขึ้น “นายน้อย!”
สาวใช้คนหนึ่งโขกหัวคำนับอย่างแรง “บ่าวคารวะท่านเจ้าสำนัก!”
ส่วนสาวใช้อีกคนก็นั่งหมอบกราบ พูดด้วยน้ำเสียงร้าวรานปานจะขาดใจ “นายท่านโปรดให้อภัยด้วย”
บุรุษชุดขาวสะบัดปลายแขนเสื้อ คนทั้งสามก็หมดสติไปทันที เขายิ้มอธิบายว่า “ราวกับว่านอนหลับไปนาน ยามที่สะดุ้งตื่นจากฝัน คนยังคงเป็นคนเดิม ก็แค่ว่าประสบการณ์ในชีวิตทั้งลดน้อยลงและเพิ่มขึ้นไปในคราวเดียวกัน”
หน้าผากกู้ช่านมีเหงื่อผุดซึม
นี่ก็คือฝีมือวิถีมารของนครจักรพรรดิขาว!
จนกระทั่งบัดนี้เขาถึงเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดทุกครั้งที่หลิ่วชื่อเฉิงเอ่ยถึงคนผู้นี้ถึงได้มีความเคารพยำเกรงขนาดนั้น
อีกฝ่ายลงมือง่ายๆ ก็สามารถทำให้คนคนหนึ่งไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป อีกทั้งยังเชื่อมั่นอย่างไม่สงสัยว่าตัวเองยังคงเป็นตัวเอง
ถ้าอย่างนั้นบุญคุณความแค้นทั้งหมด การฝึกตนบนมหามรรคาทั้งหมดจะนับเป็นอะไรได้?
บุรุษชุดขาวยิ้มเอ่ย “เรื่องความเป็นความตายเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด? ถ้าอย่างนั้นอะไรคือเป็นตายกันแน่? แล้วก็เพราะข้าเข้าใจเรื่องนี้ ใครบางคนจึงไม่ค่อยอยากให้ข้าออกมาจากนครจักรพรรดิขาว”
สุดท้ายเขาเอ่ยว่า “ตาเฒ่าคนนั้นมาที่ถ้ำสวรรค์หลีจู แต่กลับไม่ใช่เพื่อสะบั้นเวรกรรมให้ขาดอย่างสิ้นเชิง แค่มาเดินเล่นเท่านั้นหรือ? ในที่สุดอาจารย์ก็พอจะมีมาดของอาจารย์บ้างแล้ว ในที่สุดก็ทำให้ข้าประหลาดใจได้สักครั้ง”
ทางฝั่งของกระท่อมบนภูเขาหวงหู
ระหว่างหยุดพักจากการฝึกตน นักพรตเฒ่าตาบอดเดินออกมาจากกระท่อม แล้วก็ต้องทอดถอนใจไม่หยุด หลังจากเฉินหลิงจวินพี่น้องคนดีออกเดินทางไกล ก็ไม่มีใครมาคุยโม้เป็นเพื่อนตนอีก ชีวิตช่างเงียบเหงาจริงๆ
คำว่าตั้งใจฝึกตน อันที่จริงก็แค่ข้ออ้างในการย้ายบ้านเท่านั้น ไม่ต้องคอยอุดอู้อยู่แต่ในร้านเฉ่าโถวของตรอกฉีหลง จะดีจะชั่วก็อยู่ใกล้กับภูเขาลั่วพั่วหน่อย วันหน้าค่อยกลับไปที่ตรอกฉีหลง การมาการกลับเช่นนี้ สถานะของผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของตนก็จะยิ่งมั่นคงมากขึ้น วันหน้าเวลาเถ้าแก่ร้านยาสุ้ยร้านข้างๆ ที่เป็นเพื่อนร่วมงานพบเจอตน แล้วยังจะกล้าทำสีหน้าไม่พอใจใส่ตนอีกไหม? ก็ยังต้องด้อยกว่าตนระดับหนึ่งไม่ใช่หรือ?
เจี่ยเฉิงพลันรู้สึกตกตะลึงระคนหวาดหวั่น
เบื้องหน้ามีริ้วคลื่นที่กระเพื่อมอย่างบางเบา คล้ายมีคนมาเยือนถึงบ้าน
เจี่ยเฉิงรีบแข็งใจตะโกนเสียงดังทันที “แขกทั้งสองท่านมาโดยไม่ได้รับเชิญ มาเยือนแล้วก็ไม่เอ่ยทักทาย แบบนี้ไม่ค่อยเหมาะเท่าไรเลยนะ”
หลิ่วชื่อเฉิงถลึงตาจนตาเกือบถลนออกจากเบ้า
บางครั้งการมองคน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหนังมังสา จิตวิญญาณ หรือภาพบรรยากาศโดยรอบอะไร ล้วนสามารถปิดบังหูตาคนได้ เป็นเหตุให้แม้แต่คนที่อยู่ใกล้ในระยะประชิดก็ยังจำไม่ได้
มีเพียงรายละเอียดบางอย่างเท่านั้นที่ขอแค่สืบสาวให้ลึกลงไปก็จะเห็นร่องรอยได้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นท่ายืน ระดับการงอนิ้วขณะทำมุทราของนักพรตตาบอดคนนี้ เป็นต้น
นอกจากนี้บวกกับการที่ศิษย์พี่ใหญ่ไม่บอกต้นสายปลายเหตุก็โยนตนกับกู้ช่านมาไว้ที่นี่ หลิ่วชื่อเฉิงจึงคิดถึง ‘หนึ่งในหมื่น’ ที่เป็นไปไม่ได้มากที่สุดนั่นทันที เขารีบหมอบกราบลงกับพื้น พูดเสียงสั่นว่า “ศิษย์คารวะท่านอาจารย์!”
เจี่ยเฉิงรู้สึกใจคอไม่ดี ลูกศิษย์อะไรนี่โผล่มาจากไหนกัน?
ศีรษะของหลิ่วชื่อเฉิงแนบติดพื้น กล่าวด้วยน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจอย่างถึงที่สุด “อาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่รังแกข้าอย่างน่าสังเวชนัก ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเรื่องเล็กๆ เรื่องเดียวก็ถึงกับขับไล่ข้าออกจากนครจักรพรรดิขาว แล้วยังมองเฉยดูข้าถูกเซียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ถือกระบี่ไล่ฆ่า เป็นเหตุให้ลูกศิษย์ที่น่าสงสารเช่นข้าถูกกักขังอยู่ในแจกันสมบัติทวีปเล็กๆ ไม่มีใครสนใจใยดีนานเป็นพันปี ศิษย์พี่ไม่เห็นแก่มิตรภาพของพี่น้องร่วมสำนักเลยแม้แต่น้อย อาจารย์ท่านต้องทวงความยุติธรรมให้ข้านะขอรับ…”
ไม่ใช่ว่าหลิ่วชื่อเฉิงพูดเหลวไหลจริงๆ แต่ไหนแต่ไรมาอาจารย์ก็รักและเอ็นดูลูกศิษย์คนสุดท้ายอย่างเขามาโดยตลอด และความเป็นศัตรูในส่วนลึกของหัวใจที่ศิษย์พี่ชายหญิงหลายคนมีต่อตนก็ล้วนมาจากสาเหตุนี้
นักพรตเฒ่าเกือบจะกระทืบเท้าด่ามารดา นครจักรพรรดิขาวอะไรกัน เทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์อะไรกัน ใต้หล้านี้มีคนบนเส้นทางเดียวกันที่หลอกคนอื่นแบบเจ้าด้วยหรือ? ถ้อยคำที่หลอกคนอื่นไม่น่าเชื่อถือเช่นนี้ หากข้าเจี่ยเฉิงเป็นอาจารย์ของเจ้าจริง คงตาบอดถึงได้รับเจ้าเป็นลูกศิษย์…เจี่ยเฉิงพลันอึ้งตะลึง ข้าผู้เป็นนักพรตก็ตาบอดจริงๆ นี่นะ
กู้ช่านรู้สึกนับถือหนังหน้าของหลิ่วชื่อเฉิงผู้นี้ไม่น้อย หากเจอกับยอดฝีมือเข้าจริงๆ ก็ยกเอาศิษย์พี่ที่เป็นเจ้านครจักรพรรดิขาวมาพูด แต่พอเจอกับศิษย์พี่ใหญ่เข้าจริงๆ เวลานี้กลับยกเอาอาจารย์มาพูดงั้นหรือ?
กู้ช่านยก ‘ภาพค้นภูเขา’ ที่อยู่ในมือขึ้น เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ผู้อาวุโส ได้เวลาที่ของต้องกลับคืนสู่เจ้าของแล้ว”
เจี่ยเฉิงลืมตาขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ พอเห็นม้วนภาพนั้นก็ทอดถอนใจเอ่ยว่า “รับลูกศิษย์ใหญ่แบบนี้มา เพราะไม่ได้เปิดดูปฏิทินเหลืองจริงๆ”
จากนั้นเจี่ยเฉิงก็อึ้งตะลึง ก่อนจะส่ายหัวเบาๆ นี่มันความคิดประหลาดอะไรกัน? นักพรตเฒ่ากะพริบตาแรงๆ ฟ้าดินใสสว่างแจ่มกระจ่าง หมื่นสรรพสิ่งล้วนอยู่ในสายตา ปีนั้นฝึกวิชาอสนีประหลาดของภูเขาบ้านตัวเอง เพราะเป็นวิชานอกรีต ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายจึงมหาศาล อันดับแรกก็เป็นอวัยวะภายในที่เสียหาย ตามมาด้วยตาบอด ไม่เห็นอะไรมานานหลายปีแล้ว
หลังจากความเลื่อนลอยผ่านไป นักพรตเฒ่าเจี่ยเฉิงก็ถอยร่น ดวงจิตรวมตัวกันเป็นดั่งเมล็ดงาที่จมเข้าสู่สภาวะของการหลับไหล ใครอีกคนเข้ามายึดครองสติปัญญาแทน
ผู้เฒ่าก้มหน้าลง ขยับชุดเต๋าที่อยู่บนร่างของตัวเอง จากนั้นก็หันหน้าไปมองซุ้มมหาบัณฑิตของอำเภอไหวหวง ครั้นจึงขยับสายตาไปมองภูเขาเจินจูและเตาเผามังกรทั้งหมด สีหน้าของผู้เฒ่าซับซ้อน เขายังคงไม่สนใจหลิ่วชื่อเฉิง แล้วก็ไม่มองกู้ช่าน เริ่มจมเข้าสู่ภวังค์ความคิด
ผู้เฒ่าแบฝ่ามือออก เพ่งมองเส้นลายมืออยู่ชั่วครู่ สุดท้ายพึมพำว่า “ชีวิตนี้ฝันเล็ก เมื่อสะดุ้งตื่นขึ้นมา การเก็บตัวสันโดษก็ถ่วงเวลาข้าไปมากนัก”
ผู้เฒ่าก้าวออกไปหนึ่งก้าว เจี่ยเฉิงนักพรตเฒ่าตาบอดยังคงยืนหลับอยู่ที่เดิม
ผู้เฒ่ากลับคืนสู่รูปโฉมที่แท้จริง คือผู้เฒ่าร่างผอมสูงใบหน้าเรียวคนหนึ่ง พอจะมองออกว่าช่วงเวลาที่เขาเป็นหนุ่มจะต้องเป็นบุรุษหน้าตาคมคายมีบุคลิกโดดเด่นคนหนึ่งอย่างแน่นอน
เส้นทางการฝึกตนของผู้เฒ่าประหนึ่งดาวตกดวงหนึ่งที่พร่างพราวสะดุดตาอยู่ในใต้หล้าไพศาล เมื่อเทียบกับแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ไหลรินทอดยาวแล้ว เขาลุกผงาดว่องไว แล้วก็ร่วงหล่นเร็วยิ่งกว่า
เป็นเหตุให้แม้แต่เรื่องใหญ่ขนาดที่ว่าเจ้านครจักรพรรดิขาวคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเขา คนในหนึ่งใต้หล้าที่รับรู้เรื่องนี้กลับมีน้อยจนนับนิ้วได้
ผู้เฒ่าเป็นทั้งเจี่ยเฉิง แล้วก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่เจี่ยเฉิงด้วย เพียงแค่ว่าเจี่ยเฉิงที่อยู่ด้านหลัง ในอนาคตจะเป็นเพียงแค่เจี่ยเฉิงเท่านั้น
ในหนึ่งชีวิต ทำเพียงเรื่องเดียวที่คนทั้งโลกล้วนรับรู้
ปล่อยหนึ่งกระบี่ เจียวหลงถูกสังหารสิ้น
สังหารจนบนโลกเหลือแค่มังกรที่แท้จริงตัวสุดท้าย
ปฏิทินเหลืองเล่มหนึ่งของใต้หล้าไพศาลถูกฉีกทิ้งไปหลายหน้าเพียงเพราะมีสาเหตุมาจากการปล่อยกระบี่ของคนคนหนึ่ง!
เมื่อผู้เฒ่าปรากฏตัว งูเหลือมยักษ์ในภูเขาหวงหูที่เคยช่วงชิงโชคชะตาน้ำกับหนีชิวน้อยของกู้ช่านแล้วต้องพ่ายแพ้ก็เหมือนถูกกฎแห่งสวรรค์สยบกำราบ ได้แต่ลดตัวลงดิ่งไปซ่อนตัวอยู่ก้นทะเลสาบอย่างกล้าๆ กลัวๆ ใจนึกอยากจะเอาหัวโหม่งเข้าไปในรากภูเขาให้รู้แล้วรู้รอด
ผู้เฒ่ามองกู้ช่านแวบหนึ่ง ยื่นมือมารับม้วนภาพนั้นมาเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ แล้วถือโอกาสยกมือตบไหล่กู้ช่าน ก่อนพยักหน้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฐานกระดูกหนัก เป็นต้นกล้าที่ดี ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องรับลูกศิษย์แทนอาจารย์แล้ว”
หลิ่วชื่อเฉิงรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า นั่งอึ้งอยู่ที่เดิม แล้วก็ไม่ร้องคร่ำครวญอีก
ไม่ควรเป็นเช่นนี้เลย อย่าให้เป็นเช่นนี้เด็ดขาดเลยนะ
หากกู้ช่านมีสถานะเช่นนี้ ไม่แน่ว่านาทีถัดไปเขาหลิ่วชื่อเฉิงอาจจะต้องไปเยือนเส้นทางน้ำพุเหลืองเร็วกว่าน้องหลงป๋อก็เป็นได้!
บุรุษชุดขาวปรากฏตัวจากความว่างเปล่า
ผู้เฒ่าชำเลืองตามอง “ทุกวันนี้อาจารย์กลายมาเป็นเศษสวะครึ่งตัวแล้ว เอาชนะลูกศิษย์เปิดขุนเขาอย่างเจ้าไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็สถานะของอาจารย์และศิษย์ในนามก็ยังคงอยู่ ทำไม ไม่ยินยอม? คิดจะลบล้างบรรพจารย์อย่างนั้นหรือ? ก็เหมือนกับเวทกระบี่นั่นแหละ ข้าไม่เคยสอนเจ้าเรื่องนี้”
บุรุษชุดขาวเงียบงันไม่ต่อคำ แต่กลับมีไอสังหารแผ่ให้สัมผัสได้อย่างเลือนราง
คิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าจะได้คืบเอาศอก ไม่ไยดีจิตสังหารของเจ้านครจักรพรรดิขาวท่านนี้แม้แต่น้อย ย้อนถามว่า “มัวยืนอึ้งทำไม เรียกอาจารย์อาน้อยสิ”
บุรุษชุดขาวไม่มีความเคารพใดๆ ในตัวอาจารย์ เพียงแค่ถามว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่ากู้ช่านดีแล้ว?”
กู้ช่านคุกเข่าลงกับพื้นทันใด เอ่ยเรียกเสียงทุ้มหนัก “กู้ช่านคารวะท่านบรรพจารย์”
ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างชอบใจ
ครั้นจึงกลายร่างเป็นแสงกระบี่เส้นหนึ่งที่พุ่งไปไกลพันลี้ในเสี้ยววินาที เขาจะไปอุตรกุรุทวีป ไปเที่ยวเล่นหาพี่น้องเฉินหลิงจวิน
เพียงแต่ครั้งหน้าที่พบเจอกัน ตนไม่รู้จักเขา และเฉินหลิงจวินก็ไม่มีทางรู้จักตน
บุรุษชุดขาวเงยหน้ามองแสงกระบี่ที่มุ่งหน้าไปทางเหนือ ยิ้มเอ่ยว่า “ต้องปฏิบัติต่อลูกศิษย์คนสุดท้ายให้ดีสักหน่อย”
หลิ่วชื่อเฉิงผ่อนลมหายใจโล่งอก ยังดีๆ กู้ช่านเป็นแค่ศิษย์น้องเล็กของตน
ไม่อย่างนั้นหากลำดับศักดิ์ของอีกฝ่ายสูงกว่า ด้วยนิสัยที่ไม่เห็นแก่มิตรภาพเก่าๆ แม้แต่น้อยของกู้ช่าน ไม่ว่าเรื่องไร้มโนธรรมใดๆ ก็คงทำได้หมด
……
หลินโส่วอีนั่งอยู่ในบ้านบรรพบุรุษ แต่ไม่ว่าจะรวบรวมสมาธิอย่างไรก็ยังไม่อาจสงบจิตใจได้ จึงได้แต่ไปเยือนศาลบรรพชนที่ป้ายวิญญาณบรรพบุรุษล้วนถูกย้ายไปเมืองหลวงต้าหลีหมดแล้ว จิตใจถึงได้สงบลงหลายส่วน
หลินโส่วอีหยิบธูปออกมาสามดอก กราบไหว้บรรพบุรุษอยู่ไกลๆ
ทำเรื่องนี้เสร็จถึงได้หมุนตัวเดินไปทางประตูใหญ่ของศาล ปิดประตูลงจึงพบว่ามีผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งยืนอยู่
หลินโส่วอีเป็นคนฉลาดถึงเพียงนั้น เขารีบกุมมือคารวะทันที “หลินโส่วอีแห่งสำนักศึกษาซานหยาคารวะอาจารย์ลุงใหญ่”
ชุยฉานยิ้มเอ่ย “ข้าไม่ได้อยู่ในสายของเหวินเซิ่งมานานแล้ว มิอาจรับการคารวะนี้ได้”
หลินโส่วอียืดเอวขึ้นตรง แล้วจึงประสานมือคารวะตามกฎเกณฑ์อีกครั้ง “ลูกหลานสกุลหลินแห่งต้าหลี คารวะใต้เท้าราชครู”
ชุยฉานพยักหน้า “บนเส้นทางการไปขอศึกษาต่อในอดีต การแสดงออกของเจ้าโดดเด่นที่สุด คนแรกสุดที่สัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของอาเหลียง คนแรกสุดที่ได้โชควาสนาไปครอง ล้วนเป็นเจ้าหลินโส่วอี ถือว่าไม่ง่ายเลย ครั้งนี้ทำให้คนผู้นั้นกระทำการอยู่ในกฎเกณฑ์ ก็ยิ่งเป็นเพราะวิชาความรู้ของเจ้าที่หนักแน่นลึกล้ำ สะสมมากเอาออกมาใช้ทีละน้อย เมื่อความโชคดีมาเยือนสติปัญญาจึงพลันบังเกิด”
ชุยฉานพาหลินโส่วอีเดินเล่นไปในเรือนที่ว่างเปล่าด้วยกัน อีกทั้งยังให้คนหนุ่มเดินเคียงบ่าไปพร้อมกับตน ไม่ต้องมีพิธีรีตองมากนัก
ชุยฉานเอ่ย “บิดาของเจ้ามีความยากลำบากที่ชั่วชีวิตนี้จะไม่มีทางบอกให้เจ้ารู้ ปีนั้นเป็นเขาที่บอกบิดาของเฉินผิงอันเกี่ยวกับเรื่องวงในของเครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิต แน่นอนว่าเป็นเพราะหวังดี แม้แต่ผลลัพธ์ที่จะตามมาเขาก็ล้วนบอกบิดาของเฉินผิงอันจนหมดสิ้น พวกเขาสองคนแค่พบเจอก็สนิทสนมราวรู้จักกันมานาน แม้สถานะจะแตกต่าง ทว่ากลับเป็นเพื่อนรักกัน ดังนั้นบิดาของเจ้าจึงได้ช่วยบุรุษผู้นั้นเก็บกวาดเรื่องเละเทะที่เกิดขึ้นภายหลัง ไม่อย่างนั้นก็ยากที่เฉินผิงอันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ การที่เฉินผิงอันมอบ ‘ภาพค้นภูเขา’ ให้เจ้าบนเส้นทางการไปขอศึกษาต่อในภายหลังจึงเป็นผลบุญกรรมบางอย่างที่มองไม่เห็นซึ่งถูกกำหนดไว้แล้ว เพียงแต่บิดาของเจ้าหวังดีกับเจ้า ไม่หวังให้เจ้าเกี่ยวพันกับเฉินผิงอันมากนัก หลีกเลี่ยงไม่ให้เจ้ายังไม่ทันได้เติบโตก็ถูกสถานการณ์ใหญ่หอบหุ้ม ตายไปก่อนวัยอันควร ดังนั้นเขาจึงแสดงออกอย่างเฉยชาต่อเรื่องที่เจ้าไปขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาต้าสุยมาโดยตลอด”
หลินโส่วอีอึ้งตะลึง
ชุยฉานเอ่ย “ยากที่จะเชื่อ? ถ้าอย่างนั้นเจ้าลองตรองดู บุรุษผู้หนึ่งที่รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยขุนนางผู้ตรวจการงานเตาเผาถึงสามสมัยติด จะเป็นคนธรรมดาได้หรือ? จะให้ความสำคัญกับเรื่องของบุตรภรรยาเอกบุตรอนุภรรยาหรือ? ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า ก่อนที่ผู้ตรวจการเฉาจะเดินทางมายังอำเภอไหวหวง หลังออกมาจากห้องทรงพระอักษรของอดีตฮ่องเต้ คนเพียงผู้เดียวที่เขาไปเยี่ยมเยือนเพื่อขอความรู้ก็คือบิดาที่อยู่ในเมืองหลวงอย่างไม่โดดเด่นของเจ้า? ตระกูลของสือชุนเจียเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเจ้า สุดท้ายข้ามผ่านด่านยากลำบากมาได้อย่างไร? ตัวตระกูลสือเองไม่รู้เรื่อง จึงรู้สึกตำหนิไม่พอใจในตัวเขา เจ้าคิดว่าบิดาของเจ้าจะถือสาหรือไม่?”
ชุยฉานเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง สองนิ้วของมือข้างหนึ่งหยิบของสิ่งหนึ่งออกมา “สือชุนเจียเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีต เจ้าจึงเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีต เพื่อนร่วมชั้นเรียนทุกคนจึงเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตตามไปด้วย เปียนเหวินเม่าตาสูงฝีมือต่ำ มีดีเพียงอย่างเดียวคือปฏิบัติต่อสือชุนเจียภรรยาที่มีชาติกำเนิดไม่ดีจากใจจริง เพราะเจ้าเข้าใจเปียนเหวินเม่า หากในอนาคตขุนนางสำนักฮั่นหลินของเมืองหลวงต้าหลีผู้นี้เจอกับเรื่องยากลำบาก เจ้าจึงยินดีจะช่วยเหลือ เจ้าเลือกจะลงมือ ต่อให้จะไม่ช่ำชองมากพอ มีช่องโหว่เกิดขึ้น แต่พ่อเจ้าจะนิ่งเฉยปล่อยดูดายไหม? เส้นใยทั้งหลายเชื่อมโยงกันถักทอเป็นตาข่าย เพียงแต่อย่าลืมล่ะว่า เจ้าเป็นเช่นนี้ คนบนโลกก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ตบะแบบไหนก็จะเรียกผลกรรมมาแบบนั้น เรื่องของขอบเขตนี้ เวลาปกติใช้ได้ผลดีมาก แต่ช่วงเวลาที่เป็นกุญแจสำคัญกลับใช้ไม่ได้ผลมากที่สุด หลินโส่วอี ข้าถามเจ้า เจ้าจะยังยินดีไปยุ่งกับเรื่องที่ไม่ควรยุ่งอีกไหม?”