กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 660.1 ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ตรงกลาง
หลิวเสี้ยนหยางกลับมาดูบ้านเกิดแค่แวบเดียวเท่านั้นจริงๆ พอดูเสร็จก็โดยสารเรือข้ามฟากเรือมังกรที่มีชื่อว่า ‘ฟานโม่’ ของภูเขาลั่วพั่ว ไม่อาจตรงไปที่นครมังกรเฒ่าได้ ต้องไปต่อเรือที่ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับแคว้นซูสุ่ยภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป แล้วเดินทางลงใต้ไปตามเส้นทางมังกรเดินสายนั้น
ผู้ฝึกตนผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ทั้งหมดของเกาะจูไชได้ออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนย้ายไปอยู่ภูเขาหลังอ๋าวกันนานแล้ว ถือว่าเป็นกองกำลังตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่ผูกสัมพันธ์เป็นพันธมิตรกับภูเขาลั่วพั่วเร็วที่สุด
องค์หญิงใหญ่ผู้ว่าราชการหลังม่านในอดีต หลิวจ้งรุ่นเจ้าของเกาะคนปัจจุบันทำหน้าที่ดูแลเรือข้ามฟากชั่วคราวด้วยตัวเอง เพราะเรือข้ามฟากลำหนึ่งหากไม่มีผู้ฝึกตนเซียนดินเฝ้าพิทักษ์สักคนก็ยากจะทำให้คนวางใจได้
หร่วนซิ่วมาส่งหลิวเสี้ยนหยางที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว
เรือมังกรใหญ่ยักษ์เดิมทีก็เป็นภูเขาเงินภูเขาทองลูกหนึ่ง ทำเอาหลิวเสี้ยนหยางที่ได้เห็นทอดถอนใจไม่หยุด ในอดีตพวกเขาทั้งสามคน อันที่จริงคนที่อยากมีเงินมากที่สุดไม่ใช่กู้ช่าน ต้องเป็นเฉินผิงอันถึงจะถูก แต่ไม่เหมือนกับกู้ช่านที่อยากหาเงินมาได้เร็วๆ จะได้ใช้จ่ายเงินเร็วๆ เฉินผิงอันนั้นยากจนจนกลัว มีเพียงหาเงินมาได้ทุกวัน ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ต่อให้สมบัติในบ้านจะมีมากกว่าเมื่อวานแค่เหรียญทองแดงเดียว แต่นั่นก็ทำให้ชีวิตที่ไม่มั่นคงเปลี่ยนมาเป็นมั่นคง ทำให้ชีวิตที่มั่นคงยิ่งมั่นคงมากกว่าเดิมได้แล้ว
กลับบ้านเกิดครั้งนี้ ส่วนใหญ่แล้วหลิวเสี้ยนหยางแค่ไปเยี่ยมเยียนคนบ้านใกล้เรือนเคียงที่อายุมากแล้วซึ่งยังอยู่ในเมืองเล็ก แต่ละปีผู้เฒ่าผู้แก่ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ พวกเด็กๆ ที่สวมกางเกงเปิดเป้าก็พากันเติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ บางคนก็แต่งงานออกเรือน พอเห็นหลิวเสี้ยนหยางก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะจำได้ คนวัยเดียวกันในอดีตเวลานี้ไปยุ่งวุ่นวายกับการค้าขายในเขตการปกครอง ดังนั้นโอกาสที่หลิวเสี้ยนหยางจะได้พูดคุยกับพวกเขาจึงมีไม่มาก อีกทั้งวันหน้าก็ถูกกำหนดมาแล้วว่ายิ่งเวลาผ่านไปนานโอกาสนี้ก็จะยิ่งลดน้อยลง
ทุกวันนี้เวลาพูดคุยกับคนเฒ่าคนแก่ หม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวาที่กลายเป็นเทพเซียนบนภูเขา เฉินผิงอันเจ้าของที่ดินรายใหญ่ที่ซื้อภูเขาในบ้านเกิดเอาไว้มากมาย ซ่งจี๋ซินที่อยู่ดีๆ ก็กลายไปเป็นลูกมังกรหลานมังกร และยังมีต่งสุ่ยจิ่งที่ทำการค้าใหญ่กับพวกนายท่านขุนนางทั้งหลายที่เขตการปกครอง ล้วนเป็นบุคคลที่ชาวบ้านในเมืองเล็กพูดถึงมากที่สุด
อีกทั้งคนแก่ที่อดทนจนผ่านพ้นความยากลำบากมาได้เหล่านี้ดูเหมือนจะชอบเอ่ยชื่นชมฮวงจุ้ยของตรอกซิ่งฮวาและตรอกหนีผิงมากเป็นพิเศษ บอกว่าไม่ด้อยไปกว่าถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่เลยแม้แต่น้อย
หลิวเสี้ยนหยางชอบฟังพวกคนแก่พูดเรื่องสัพเพเหระเป็นที่สุด โดยเฉพาะพวกคนแก่ที่ในอดีตไม่ได้รู้จักตรอกหนีผิงดีนัก เวลาพูดถึงเฉินผิงอันกลับทำเหมือนว่าเขาคือเด็กรุ่นหลังในบ้านที่ตัวเองมองดูเขาเติบโตมาอย่างไรอย่างนั้น นี่ทำให้หลิวเสี้ยนหยางอารมณ์ดีมาก ก็จริงนะ ในเรื่องของการรับรองต้อนรับผู้คน โดยเฉพาะเรื่องการคบค้าสมาคมกับผู้อาวุโส เฉินผิงอันค่อนข้างคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กแล้ว เวลาปกติจะพูดไม่มากนัก แต่เวลาพบเจอใครบนถนนกลับเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อนเสมอ ไม่เคยลามปามผู้อาวุโส ต่อให้อีกฝ่ายไม่สนใจ แม้แต่จะชำเลืองตามองก็ยังไม่ทำ คราวหน้าที่พบเจอกันเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงก็ยังจะเอ่ยทักทายตามมารยาทอยู่เหมือนเดิม
บางคนที่ร่ำรวยกลายเป็นเศรษฐีกะทันหันได้ก็เพราะโชคดี อิจฉาไปก็เท่านั้น แต่บางคนที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยการสั่งสมทีละเล็กทีละน้อยทุกคืนวัน ดูเหมือนว่าสามารถเรียนรู้ทำตามได้ แต่ก็คล้ายว่าจะทำตามไม่ได้อีกเหมือนกัน
หลิวเสี้ยนหยางรอให้เรือมังกรมาจอดเทียบท่า แล้วยังต้องบรรทุกของปลดของลง ตอนนี้การค้าของเรือมังกรล้วนเกี่ยวข้องกับสำนักพีหมาและสวนน้ำค้างวสันต์ของอุตรกุรุทวีป นี่เป็นเรื่องไกลสุดขอบฟ้าที่ชาวบ้านหลายคนของเมืองเล็กจินตนาการไม่ถึงแล้ว
หลิวเสี้ยนหยางพลันยิ้มถาม “เด็กที่ชื่อเซี่ยหลิงบนภูเขาคนนั้น หน้าตาหล่อเหลาไม่น้อย”
พูดจาแฝงความนัย ก็คือขนบธรรมเนียมของเมืองเล็กเสมอมา
หร่วนซิ่วอืมรับหนึ่งที เอ่ยว่า “ก็คือเด็กคนหนึ่ง”
หลิวเสี้ยนหยางรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นไม่น้อย
หร่วนซิ่วเอ่ย “เจ้าควบคุมกู้ช่านไม่ได้หรอก”
หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้า “อย่างมากข้าก็ได้แค่ซ้อมเขาไปรอบหนึ่ง กู้ช่านไม่เอาคืน แต่ก็แก้ไขสันดานเดิมของเจ้าขี้มูกยืดน้อยไม่ได้ ข้อนี้ข้ารู้มาตั้งนานแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่คิดจะไปบังคับควบคุมอะไรเขา แต่ในที่สุดเจ้าตะพาบน้อยนั่นก็ยังพอมีมโนธรรมหลงเหลืออยู่บ้าง รู้ว่าใครที่ดีกับเขาอย่างแท้จริง”
หร่วนซิ่วรู้จักกับหลิวเสี้ยนหยางมาก่อน เพราะอันที่จริงหลิวเสี้ยนหยางได้เข้าไปอยู่ในร้านหลอมกระบี่ริมลำคลองหลงซวีเร็วกว่าเฉินผิงอัน อีกทั้งยังเป็นลูกศิษย์ของที่นั่น ไม่ใช่แค่มาช่วยทำงานระยะสั้นอย่างที่เฉินผิงอันมาทำภายหลัง เผาเครื่องปั้นก็ดี หลอมกระบี่ตีเหล็กก็ช่าง ดูเหมือนว่าหลิวเสี้ยนหยางจะปรับตัวได้เร็วกว่าเฉินผิงอันเสมอ หลิวเสี้ยนหยางเหมือนคนที่คอยปูทาง พอมีเส้นทางให้เดิน เขาก็จะชอบลากเอาเฉินผิงอันที่เดินตามมาด้านหลังให้เดินไปด้วยกัน
บนเส้นทางชีวิตคน หลายคนล้วนยินดีให้สหายของตัวเองมีชีวิตที่ดี เพียงแต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะยินดีให้เพื่อนได้ดีกว่าตน โดยเฉพาะดีกว่ามากเกินไป
หลิวเสี้ยนหยางไม่ได้เป็นเช่นนี้ เฉินผิงอันเองก็ไม่ใช่ นี่คงจะเป็นสาเหตุที่ว่าเหตุใดคนสองคนที่นิสัยต่างกันอย่างสิ้นเชิงถึงกลายมาเป็นสหายที่แท้จริงของกันและกันได้ อีกทั้งในขณะที่ชีวิตของคนทั้งสองเปลี่ยนแปลงไปอย่างพลิกฟ้าพลิกดิน พวกเขาก็ยิ่งเป็นสหายที่สนิทกันมากกว่าเดิม
มือข้างหนึ่งของหร่วนซิ่วถือผ้าเช็ดหน้าประคองไว้กลางฝ่ามือ หยิบขนมดอกท้อชิ้นหนึ่งขึ้นมา ถามว่า “ไม่ไปทักทายพูดคุยกับนางที่ตรอกหนีผิงสักหน่อยหรือ?”
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “ความรักความชื่นชอบยามเยาว์วัย หันกลับมามองอีกครั้งก็คือความทรงจำที่งดงาม”
กระทั่งหลิวเสี้ยนหยางทอดถอนใจเสร็จ หร่วนซิ่วที่กินขนมหมดไปแล้วชิ้นหนึ่งก็คีบขนมซิ่งเหรินกรอบขึ้นมาอีกชิ้น เอ่ยว่า “เจ้าพูดคุยอะไรกับท่านพ่อข้า ดูเหมือนว่าท่านพ่อข้าจะอารมณ์ดีมาก”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะร่า “ช่างหร่วนดื่มเหล้า ข้าด่าเฉินผิงอัน”
หร่วนซิ่วร้องอ้อหนึ่งที
ก็ไม่ถือว่าหลิวเสี้ยนหยางโกหก เพียงแต่ว่ายังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่สะดวกจะบอกหร่วนซิ่ว ปีนั้นเฉินฉุนอันออกทะเลไปรอบหนึ่ง หลังจากกลับมาก็มาหาหลิวเสี้ยนหยาง บอกให้เขากลับบ้านเกิด ช่วยนำความไปบอกต่อแก่สกุลซ่งต้าหลีแห่งแจกันสมบัติทวีป หลิวเสี้ยนหยางรู้สึกว่าให้หร่วนฉงที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของต้าหลีควบกับว่าที่อาจารย์ของตนในอนาคตไปงัดข้อกับฮ่องเต้หนุ่มด้วยตัวเองจะเหมาะสมกว่า เรื่องนั้นไม่ถือว่าเล็ก เป็นเรื่องที่สกุลเฉินผู้รอบรู้จะสนับสนุนให้สำนักศึกษาซานหยาได้หวนกลับมาเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาอีกครั้ง เพียงแต่สำนักหลินลู่ที่ต้าหลีสร้างไว้บนภูเขาพีอวิ๋น สกุลเฉินผู้รอบรู้ไม่คุ้นเคย จึงไม่คิดจะเอ่ยกับศาลบุ๋นแม้แต่คำเดียว
ตอนนั้นหลิวเสี้ยนหยางสงสัยเล็กน้อยจึงถามไปตามตรง ไม่รู้ว่าเหตุใดสกุลเฉินผู้รอบรู้สายของหย่าเซิ่งถึงต้องทำเรื่องนี้ ไม่กังวลว่าภายในของสายหย่าเซิ่งเองจะวิพากษ์วิจารณ์กันหรอกหรือ?
ความเป็นกังวลนี้ของหลิวเสี้ยนหยางใช่ว่าจะไร้เหตุผล รองเจ้าลัทธิคนหนึ่งของศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตหรือลำดับอาวุโสล้วนไม่เป็นรองเฉินฉุนอัน พูดง่ายๆ ก็คือเฉินฉุนอันคือผู้รอบรู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้า เป็นเสาคานหลักของสายหย่าเซิ่ง แต่ในระบบสายบุ๋นของสายหย่าเซิ่งเอง คำพูดและการกระทำหลายอย่างของเฉินฉุนอันก็ยังถูกควบคุม ไม่ได้มีอิสระอย่างเต็มที่
ตอนนั้นดูเหมือนว่าเฉินฉุนอันจะอารมณ์ดีไม่น้อย บอกกับหลิวเสี้ยนหยางว่านี่คือการค้าของบัณฑิตที่ตนจะทำกับเฉินผิงอัน หากเฉินผิงอันอาศัยแค่สถานะลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่งแล้วกล้าพูดโอ้อวดวางโตเช่นนี้กับเขาเฉินฉุนอัน แบบนั้นคงไม่ประเสริฐเท่าไรแล้ว
สุดท้ายยืนอยู่บนก้อนหินริมหน้าผาที่ลำคลองสายใหญ่ซัดเชี่ยวกราก เฉินฉุนอันตบไหล่หลิวเสี้ยนหยาง อาจารย์ผู้เฒ่าเอ่ยกับคนหนุ่มด้วยถ้อยคำที่แปลกใหม่ บอกว่าบัณฑิตอย่างพวกเราไม่จำเป็นต้องอับอายต่อการพูดถึงผลประโยชน์ ปณิธานในใจต้องสูงส่งยาวไกล งานที่แท้จริงในมือต้องหนาหนัก บัณฑิตต้องเดินออกจากห้องหนังสือ เดินไปอยู่ข้างกายชาวบ้านเพื่อพูดหลักการเหตุผลที่แม้แต่คนที่ไม่เคยเรียนหนังสือก็ยังฟังเข้าใจพวกนี้
ตอนนั้นหลิวเสี้ยนหยางหลุดปากพูดไปคำหนึ่งว่า คนบนเส้นทางเดียวกันกับบัณฑิตอย่างพวกเรา ไม่ควรมีเพียงบัณฑิตเท่านั้น
ผู้เฒ่าปลาบปลื้มใจอย่างยิ่ง ลูบหนวดยิ้ม เอ่ยว่าขนบธรรมเนียมประจำบ้านประจำโรงเรียนของสกุลเฉินผู้รอบรู้ของพวกเรานับว่าไม่เลวเลยนะ
หร่วนซิ่วพลันเอ่ยว่า “บอกว่าไม่ค่อยอาลัยอาวรณ์เท่าไรแล้ว แต่กลับยังจะเดินทางไปในเส้นทางใต้ดินสายนั้นอีกหรือ? ใช่ว่าจะไม่มีเรือข้ามฟากที่ตรงไปนครมังกรเฒ่าเสียหน่อย”
หลิวเสี้ยนหยางยกสองมือถูแก้ม เอ่ยว่า “ปีนั้นเมืองเล็กใหญ่แค่นั้น แม่นางที่หน้าตางดงามของถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ มองไปแล้วก็ไม่กล้าคิดอะไรด้วยมากนัก แต่นางไม่เหมือนกัน เป็นเพื่อนบ้านของเฉินผิงอัน อาศัยอยู่ในตรอกหนีผิง ยังสู้บ้านบรรพบุรุษของข้าไม่ได้เลยด้วยซ้ำ อีกอย่างนางยังเป็นสาวใช้ของซ่งจี๋ซินด้วย ทุกวันต้องทำงานอย่างหาบน้ำทำกับข้าว ก็เลยรู้สึกว่าไม่ว่าอย่างไรตนก็น่าจะคู่ควรกับนาง หากจะให้บอกว่าชอบนางมากแค่ไหน ก็ได้ ก็ชอบจริง แถมยังชอบมากด้วย แต่ไม่ถึงขั้นจะกินจะนอนก็คิดถึง ทุกอย่างปล่อยให้เป็นไปตามบุพเพวาสนา จะได้อยู่ด้วยกันหรือไม่ ไม่สำคัญเลย”
หร่วนซิ่วถาม “กำแพงเมืองปราณกระบี่คือสถานที่แบบใด?”
หลิวเสี้ยนหยางคิดก่อนจะตอบ “เป็นสถานที่ที่ไม่ว่าอะไรก็มีน้อย มีเพียงผู้ฝึกกระบี่ที่มีมาก ฝึกตน เป็นตาย ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ดังนั้นอยู่ที่นั่นจึงมีผีขี้เหล้าเยอะเหมือนกัน ผู้ฝึกกระบี่และเซียนกระบี่ต่างก็ชอบดื่มเหล้า ถึงขั้นพูดได้ว่าในความทรงจำ กำแพงเมืองปราณกระบี่คือสถานที่ที่นอกจากบ้านเกิดของข้าแล้ว ยอดฝีมือกลับไม่เหมือนยอดฝีมือมากที่สุด”
หร่วนซิ่วพยักหน้ารับ
สีหน้าของหลิวเสี้ยนหยางเหยเกเล็กน้อย ลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็อดไม่ไหวเอ่ยว่า “หร่วนซิ่ว ข้ากับเจ้ารู้จักกันมานานแล้ว ถูกไหม? ความสัมพันธ์ของพวกเราก็ดีมาก ใช่ไหมล่ะ? เพียงแต่มีคำพูดบางอย่างที่ข้าไม่สะดวกจะพูดมากจริงๆ ทั้งเฉินผิงอันและเจ้าต่างก็เป็นเพื่อนของข้า ดังนั้นในเรื่องบางเรื่อง ข้าจึงทำได้เพียงพยายามจะไม่เอ่ยถ้อยคำที่เจ้าอาจจะอยากฟัง”
หร่วนซิ่วเงยหน้าขึ้นมองหลิวเสี้ยนหยาง ก่อนจะส่ายหน้า “ข้าไม่อยากฟังคำพูดที่เจ้าคิดว่าข้าอยากฟัง ยกตัวอย่างเช่นหร่วนซิ่วดีกว่าหนิงเหยา หรือเจ้ากับข้าเป็นสหายสนิทกันยิ่งกว่าหนิงเหยาอะไรพวกนั้น”
หลิวเสี้ยนหยางเหมือนยกภูเขาออกจากอก พลันคลี่ยิ้ม “แม่นางหร่วนก็ยังคงเป็นแม่นางหร่วน”
หร่วนซิ่วเอ่ย “เมื่อครู่ที่ข้าถามอย่างนั้นนอกจากจะใคร่รู้ว่าทุกวันนี้กำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นสถานที่อย่างไรแล้ว ก็ยังอยากรู้ว่าเขาที่อยู่ที่นั่นมีชีวิตที่ดีหรือไม่ หากเป็นเพราะว่ามีหนิงเหยาอยู่ด้วย เขาจึงมีชีวิตที่ดีมาก ข้าเป็นเพื่อนกับเขา แน่นอนว่าต้องดีใจมาก”
หลิวเสี้ยนหยางกำลังจะพูดคุยหัวข้อนี้ตามคำของหร่วนซิ่ว บอกว่าเจ้าเฉินผิงอันผู้นั้นอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นเหมือนปลาได้น้ำอย่างไรบ้าง แต่เขากลับหยุดชะงักกะทันหัน เตือนตัวเองในใจว่าห้ามปากมากเด็ดขาด
ผ่านไปอีกไม่กี่ปี คราวหน้าที่กลับคืนมายังบ้านเกิดอีกครั้ง หลิวเสี้ยนหยางก็จะกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์สำนักกระบี่หลงเฉวียนอย่างสมเหตุสมผล เกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากที่หลิวเสี้ยนหยางขึ้นเขาไป หร่วนฉงก็ได้อธิบายให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดและลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อฟังจนเข้าใจแล้ว เพียงแต่ว่าลำดับรายชื่อในทำเนียบวงศ์ตระกูลของหลิวเสี้ยนหยางจะอยู่เบื้องหลังลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาอย่างต่งกู่ หรือจะเอาไปไว้ด้านหลังเซี่ยหลิงเลย หร่วนฉงไม่ได้บอก หลิวเสี้ยนหยางเองก็ไม่ได้ถาม นี่จึงกลายมาเป็นหัวข้อพูดคุยที่ลูกศิษย์ซึ่งได้รับการบันทึกชื่อหลายคนของสำนักกระบี่หลงเฉวียนยกมาพูดคุยกันหลังมื้ออาหารในทุกวันนี้ ทั้งบนและล่างสำนัก ตอนนี้ทุกตนต่างก็คุ้นเคยกับนิสัยของเจ้าสำนักดีแล้ว ขอแค่ฝึกกระบี่อย่างตั้งใจ ถ้อยคำที่ไร้ความยำเกรงก็มีไม่มาก เกี่ยวกับขอบเขตและตบะของหลิวเสี้ยนหยางก็ยิ่งเป็นที่คาดเดาของทุกคน เพราะถึงอย่างไรลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่แท้จริงที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ก็มีอยู่ไม่มาก
หร่วนซิ่วถามอย่างใคร่รู้ “ทำไมถึงยังยินดีจะกลับมาฝึกกระบี่ที่สำนักกระบี่หลงเฉวียน? อันที่จริงท่านพ่อข้าสอนอะไรเจ้าไม่ได้หรอกนะ”
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ยอย่างจนใจ “เฉินผิงอันดูแลคนอื่นเก่งเกินไป ไม่ค่อยถนัดจะดูแลตัวเองนัก หากข้าอยู่ห่างเกินไปย่อมไม่วางใจ”
‘ข้าเป็นห่วงเฉินผิงอัน’
หร่วนซิ่วพึมพำถ้อยคำจากใจจริงของหลิวเสี้ยนหยางประโยคนี้แล้วพลันคลี่ยิ้ม เก็บผ้าเช็ดหน้าไว้ในชายแขนเสื้อ เช็ดปลายนิ้วที่มีเศษขนมติดกับชายแขนเสื้อเบาๆ “หลิวเสี้ยนหยาง ไม่ใช่ว่าใครก็ล้วนมีคุณสมบัติจะเอ่ยคำพูดเช่นนี้ เมื่อก่อนอาจยังพูดได้ แต่วันหน้ากลับยากมากๆ แล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะร่า “ข้าเป็นห่วงเฉินผิงอัน”
หร่วนซิ่วยิ้มจนตาหยี แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง