กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 660.3 ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ตรงกลาง
หม่าขู่เสวียนกุมหมัดเอ่ย “หวังว่าวันหน้าจะยังได้รับฟังคำสั่งสอนของท่านราชครูอีก”
หลังจากหม่าขู่เสวียนจากไป ชุยตงซานก็โบกพัดพับอย่างผ่อนคลายลำพองใจ บนหน้าพัดเขียนตัวอักษรสี่ตัวใหญ่ๆ ใช้คุณธรรมโน้มน้าวใจคน
ชุยตงซานยื่นนิ้วนิ้วหนึ่งออกมาวาดง่ายๆ น่าจะกำลังเขียนตัวอักษร ก่อนจะพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “เอาตัวอักษรที่เขียนมาตั้งสูงแค่สามชุ่นกว่า สามารถทัดเทียมกับความสูงพันเริ่น (ในสมัยโบราณ เริ่นหมายถึงความยาว 7-8 ฟุต สูงพันเริ่นก็หมายความว่าสูงมากๆ ทั้งสูงและลึก) เส้นขาวพุ่งทะยาน รุ้งยาวพาดขวางกลางอากาศ…”
ชุยตงซานหันหน้ามามองเด็กชายที่ยืนเงียบๆ อยู่ข้างโต๊ะ “เด็กบ้านไหนทำไมหล่อขนาดนี้นะ”
เด็กชายที่ทั้งหน้าถูกวาดยันต์ผีพลันเอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์ ข้าอยากเรียนหมากล้อม”
ชุยตงซานเหลือกตามองบน “สอนหมัดสอนการเดินทำให้อาจารย์หิวตาย สอนเจ้าเล่นหมากล้อม แล้วข้าจะได้ประโยชน์อะไร?”
เด็กชายเอ่ยว่า “สามารถเล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนอาจารย์”
ชุยตงซานส่ายหน้า ไม่ได้ให้คำตอบ เพียงแค่เอ่ยถ้อยคำประหลาดที่ฟังไม่เข้าใจ “ปิ่นปักผมที่หล่นหาย ภรรยาคนเดิม สุดท้ายย่อมหวนกลับมา”
แกะเรือขอดาบหาใช่คนดึงดัน คนเมืองฉีกลัวฟ้าถล่มมิอาจเยาะหยัน
ชุยตงซานเริ่มหลับตาทำสมาธิ
เด็กชายก็เริ่มเหม่อลอย
ครึ่งชั่วยามต่อมา ซ่งจี๋ซินย้อนกลับมาห้องหนังสือเพียงลำพัง จื้อกุยบอกว่าจะออกไปเดินเล่นนอกเมือง
พอเห็นเด็กหนุ่มชุดขาวที่เป็นดั่งนกพิราบยึดรังนกกางเขน ซ่งจี๋ซินก็หยุดเดิน จากนั้นเดินหน้าไปต่อ เลือกเก้าอี้มาตัวหนึ่งแล้วนั่งลง ยิ้มเอ่ยว่า “อาจารย์ชุยช่างทำตัวเป็นกันเองยิ่งนัก”
นครมังกรเฒ่าไม่ใช่สถานที่ที่ผู้ฝึกตนจะสามารถเข้ามาเยือนได้ดั่งสถานที่ไร้ผู้คน
ชุยตงซานลืมตา ถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
ซ่งจี๋ซินพยักหน้ารับ “พอจะคาดเดาได้”
ชุยตงซานใช้พัดพับเคาะไหล่ “น้องเกา บอกเขาสิว่าข้าเป็นใคร ข้ากลัวว่าเขาจะเดาผิด”
เด็กชายตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “อาจารย์ของข้าคือตงซานไงล่ะ”
ชุยตงซานหุบพัด กุมท้องหัวเราะก๊าก ทำเอาเก้าอี้โยกซ้ายเอียงขวาไปด้วย
แต่แล้วชุยตงซานก็พลันเก็บสีหน้า ลุกขึ้นยืน
ถูกบารมีคุกคามรวมถึงการชักนำที่มองไม่เห็นนำพาไป ซ่งจี๋ซินจึงรีบลุกขึ้นตามอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง
ชุยตงซานเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “เรื่องมาถึงขั้นนี้ ข้าคงไม่พูดจาชวนสับสนกับเจ้าแล้ว ข้าชื่อชุยตงซาน ชุยฉานผู้นั้นคือศิษย์หลานได้รับการบันทึกชื่อที่ไม่ได้ความที่สุดของข้าคนหนึ่ง”
ซ่งจี๋ซินค้อมเอวประสานมือคารวะ เอ่ยเสียงเบา “ไยใต้เท้าราชครูต้องโหดร้ายกับตัวเองเช่นนี้”
ชุยตงซานใช้มือโบกลมเย็นต่างพัด “จะคลายความกลัดกลุ้มได้อย่างไร ก็มีแต่ต้องเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง”
กระดาษสามแผ่นที่อยู่บนโต๊ะแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผงที่ปลิวหายไปตามลม
ชุยตงซานเดินอ้อมโต๊ะมาอยู่ใกล้กับต่างซึ่งอยู่ใกล้กับซ่งจี๋ซิน เอ่ยเสียงเบาว่า “ฉีจิ้งชุนฝากความหวังไว้กับเจ้าไม่น้อย เหตุใดตลอดหลายปีมานี้ถึงไม่เคยเก็บเอามาใส่ใจ?”
ซ่งจี๋ซินเงียบงันไม่เอ่ยคำ
ชุยตงซานทอดถอนใจ “ซ่งจี๋ซินเอ๋ยซ่งจี๋ซิน เจ้ารู้หรือไม่ว่า ชะตาชีวิตเช่นนี้ของเจ้าหากเอาไปเขียนไว้ในนิยายหลายๆ เล่ม เจ้าก็คือคนแรกที่ปรากฎตัวตอนเริ่มเรื่อง และตอนจบก็จะยังเป็นคนสุดท้ายที่ได้ปรากฏตัวด้วย เหตุใดเจ้าไม่มานะพยายามบ้างเลย? สมองเล็กๆ นี่คงทึบตันมากสินะ? เจ้าลองดูหม่าขู่เสวียนแห่งตรอกหนีผิงสิ ข้างกายมีแมวอยู่ตัวหนึ่ง แต่เจ้ากลับร้ายกาจยิ่งกว่า ก่อนจะออกจากบ้านก็มีหวังจูอยู่ข้างกายแล้ว หรือลองเทียบกับเซี่ยหลิงจากตรอกเถาเย่ดูอีกคน บรรพบุรุษของเขายังถึงขั้นเดินออกมาจากทำเนียบวงศ์ตระกูลหน้าแรกๆ ได้ด้วยซ้ำ คนอย่างพวกเจ้าน่ะ ล้วนเป็นเทพเทวาน้อยๆ ที่ชะตาแห่งสวรรค์เข้าข้าง!”
ซ่งจี๋ซินสีหน้าไม่น่ามอง นี่มันอะไรกับอะไรกัน?
เด็กหนุ่มชุดขาวเงยหน้า แสร้งทำท่าหลั่งน้ำตาเงียบๆ ราวกับว่าบรรยากาศรอบด้านยังไม่ส่งอารมณ์ให้ได้มากพอจึงดีดนิ้วหนึ่งที
น้องเกาผู้นั้นรู้ใจ จึงเริ่มร้องบทเพลงที่เป็นเรื่องราวอันเบิกบานเกี่ยวกับเต้าหู้เหม็น
ในสายตาของชุยตงซาน คนคนหนึ่งมีสองวิธีในการใช้ชีวิตให้ดี หนึ่งคือรอให้สวรรค์ประทานข้าวให้กิน มีเพียงความกลัดกลุ้มอันใกล้ ไร้ความกังวลยาวไกล หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง ใช้ชีวิตแต่ละวันไปอย่างสุขสบาย อีกอย่างหนึ่งคือรอให้บรรพจารย์บรรพบุรุษประทานข้าวให้กิน มีฝีมือติดตัว ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกลมพัดแดดส่องฝนตก มีเงิน ดังนั้นก็สามารถกินถังหูลู่ สามารถกินเต้าหู้เหม็น แล้วยังถือไว้มือละไม้ คำหนึ่งกัดถังหูลู่ อีกคำหนึ่งกินเต้าหู้เหม็นได้อีกด้วย
อ๋องเจ้าเมืองหนุ่มที่น่าสงสารได้แต่ยืนอยู่ที่เดิม ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
……
บนลานกว้างด้านนอกประตูใหญ่ศาลบรรพจารย์ภูเขาจี้เซ่อได้มีการจัดชุมนุมแห่งยุทธภพอย่างยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม เพื่อแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญจึงเอาโต๊ะหนึ่งตัวและม้านั่งยาวสี่ตัวมาตั้งวาง บนโต๊ะวางขนมผลไม้เอาไว้เต็มแน่น
แน่นอนว่าประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์จะเปิดกันง่ายๆ ไม่ได้ ยิ่งไม่สามารถย้ายของจากข้างในออกมาข้างนอก ดังนั้นโต๊ะและม้านั่งจึงเอามาจากภูเขาลั่วพั่วทั้งหมด
ทุกคนที่นั่งอยู่ ตอนนี้ต่างก็เป็นคนสำคัญของสาขาย่อยภูเขาตงหัวที่อยู่ภายใต้อำนาจการปกครองศูนย์บัญชาการเขตการปกครองหลงเฉวียนทั้งสิ้น
ผู้นำสาขาย่อยเผยเฉียนนั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน หันหลังให้กับประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์ สองแขนกอดอก บนโต๊ะด้านหน้าของนางวางป้ายไม้ไว้หนึ่งแผ่น คือป้ายคำสั่งของเจ้าประมุขศูนย์บัญชาการเขตการปกครองหลงเฉวียน พี่หญิงเป่าผิงมอบให้เผยเฉียนดูแลรักษามานานหลายปีแล้ว
โจวหมี่ลี่ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาแห่งภูเขาลั่วพั่วที่เพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นรองผู้นำสาขาย่อยได้ไม่นาน และผู้ถวายงานแห่งสาขาย่อยเฉินหน่วนซู่ต่างก็เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ ผู้ถวายงานเฉินหลิงจวินไม่มาเข้าร่วม จึงถูกผู้นำสาขาอย่างเผยเฉียนจดลงบัญชีไว้แล้วครั้งหนึ่ง
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่ถือกุญแจเรือนทุกหลังของภูเขาลั่วพั่ว กับแม่นางน้อยชุดดำที่กอดคานหาบอันเล็กสีทองและไม้เท้าเดินป่าสีเขียวไว้ในอ้อมอกนั่งอยู่บนม้านั่งยาวด้วยกัน
หลี่ไหวหัวหน้าสาขาเล็กแห่งหอพักสำนักศึกษาภายใต้การปกครองของสาขาย่อย มีสมาชิกเป็นหลิวกวานและหม่าเหลียนลูกศิษย์สำนักศึกษาซานหยา คนทั้งสามนั่งเบียดกันบนม้านั่งตัวยาว หลิวกวานและหม่าเหลียนไม่เพียงแต่เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนในสำนักศึกษาซานหยาต้าสุยของหลี่ไหว ยังเป็นเพื่อนรักที่อยู่หอพักเดียวกันด้วย หลิวกวานเป็นลูกหลานคนจน หม่าเหลียนมีชาติกำเนิดจากตระกูลชั้นสูง อีกทั้งตระกูลหม่ากับตระกูลเกาเกอหยางยังเป็นดองกัน หลิวกวานและหม่าเหลียนต่างก็เป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตต้าสุยที่อาจารย์ในสำนักศึกษาฝากความหวังไว้สูง
และยังมีคนจิ๋วควันธูปแห่งศาลเทพอภิบาลเมืองที่เดิมทีอยู่ในภูเขาหมั่นโถว ภายหลังมาอยู่ที่จังหวัดหลงโจวซึ่งเพิ่งได้รับเกียรติเลื่อนขั้นให้เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาตรอกฉีหลง เนื่องจากตัวเล็กสุด ผู้นำสาขาย่อยจึงอนุญาตให้นั่งบนโต๊ะเป็นกรณีพิเศษ โชคดีได้นั่งตรงข้ามกับผู้นำสาขาย่อยพอดี
ผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของตรอกฉีหลงนอนหมอบอยู่ใต้ม้านั่งยาว
หลี่เป่าผิงที่เป็นเจ้าประมุขศูนย์บัญชาการณ์เป็นผู้นำแห่งยุทธภพ และผู้นำกิตติมศักดิ์ของสาขาย่อย ชุยตงซานห่านขาวใหญ่ คนทั้งสองต่างก็ขาดการชุมนุมครั้งนี้
เผยเฉียนกระแอมหนึ่งที กวาดตามองทุกคนแล้วเอ่ยว่า “วันนี้เรียกรวมพวกเจ้ามาเพราะมีเรื่องสำคัญสามเรื่องจะปรึกษา ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ …โจวหมี่ลี่ วางเมล็ดแตงกลับไปก่อน หลิวกวาน นั่งให้ดี”
แม่นางน้อยวางเมล็ดแตงที่กำแน่นอยู่ในมือลงเบาๆ หลิวกวนขยับตัวนั่งให้ดีอย่างขลาดๆ
ใต้เท้าผู้นำช่างเป็นคนเที่ยงธรรมไม่เห็นแก่หน้าใคร ไร้ความรู้สึกจริงๆ
เผยเฉียนเอ่ยสามเรื่อง เรื่องแรกคือกฎสองสามข้อที่ประกาศแก่สาขาย่อย ล้วนเป็นจุดประสงค์อันเป็นรากฐานในการออกท่องยุทธภพ เป็นกฎที่เผยเฉียนคัดลอกเอามาจากนิยายต่อสู้ในยุทธภพ หลักๆ แล้วก็ยังวนเวียนอยู่ที่คำสอนของอาจารย์พ่อ ยกตัวอย่างเช่นมีฝีมือติดตัวก็คือรากฐานในการหยัดยืนของคนในยุทธภพ มีน้ำใจยินดีช่วยเหลือผู้อื่น ก็คือคุณธรรมของชาวยุทธ นอกจากจะฝึกหมัด ดาบและกระบี่แล้ว ควรจะแยกแยะถูกผิด แก้ไขปัญหาอย่างถูกต้องแม่นยำ ปิดงานอย่างไร้ช่องโหว่ได้อย่างไร คือสิ่งที่จอมยุทธใหญ่ที่แท้จริงต้องคิดแล้วใคร่ครวญอีก เมื่อเห็นความไม่เป็นธรรมก็ร้องคำราม แน่นอนว่าต้องมี แต่นั่นยังไม่ค่อยพอเท่าไร
นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับสาเหตุของการปรับเปลี่ยนเลื่อนขั้นหน้าที่ภารกิจทั้งหลายในสาขาย่อย มีการชื่นชมโจวหมี่ลี่และคนจิ๋วควันธูปที่มาขานชื่อตรงตามเวลา รวมไปถึงวิจารณ์ความเกียจคร้านหน่ายงานของผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของตรอกฉีหลงอย่างเข้มงวด
เรื่องสุดท้ายคือนางกับหลี่ไหวจะต้องเดินทางไปอุตรกุรุทวีปแล้ว นี่เป็นการลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์อย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกของสาขาย่อย ดังนั้นจึงต้องการให้ทุกคนร่วมกันระดมความคิดระดมกำลัง พูดคุยถึงประสบการณ์ในการออกท่องยุทธภพของแต่ละคนมาให้มาก เฉินหน่วนซู่รับผิดชอบบันทึกข้อความอยู่ด้านข้าง หลังจากรวบรวมมาเป็นเล่มแล้วจะคัดลอกไว้หลายๆ ฉบับ ในอนาคตจะได้เอาไว้เป็นคู่มือให้กับทุกคน
คุยเรื่องเป็นการเป็นงานเสร็จ เผยเฉียนก็โบกมือเป็นวงกว้าง “แทะเมล็ดแตงได้!”
บรรยากาศบนยอดเขาจี้เซ่อกลมเกลียวปรองดองยิ่ง
……
เรือข้ามทวีปของสำนักพีหมาที่ถูกวิญญาณวีรบุรุษกระชากลากไปบนทะเลเมฆซึ่งเดินทางอยู่บนฟ้ามีสายลมแรงและนกบินเคียงข้างเข้ามาจอดเทียบท่าที่ท่าเรือชายหาดโครงกระดูกได้อย่างราบรื่น สำนักพีหมามีผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่วอยู่สองคน ตู้เหวินซือขอบเขตก่อกำเนิดที่ไปเฝ้าพิทักษ์อยู่ในเมืองชิงหลูหุบเขาผีร้ายร่วมกับเจ้าสำนักจู๋เฉวียน รวมไปถึงผังหยวนซีผู้ฝึกกระบี่ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ภูเขามู่อี เฉินหลิงจวินถือไม้เท้าเดินป่า สะพายหีบไม้ไผ่เดินลงจากเรือข้ามฟาก ผู้ฝึกตนหลายคนที่เดินทางลงใต้ไปเยือนแจกันสมบัติทวีป ในที่สุดก็ได้กลับคืนสู่บ้านเกิดพากันบินลงจากเรือ สวบๆๆ พรวดๆๆ ประหนึ่งโยนเกี้ยวลงต้มในน้ำ ทำให้เกิดความขัดแย้งกับผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยที่ท่าเรือ ทำเอาเฉินหลิงจวินได้เปิดโลกทัศน์ ผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญ องอาจผึ่งผายสมคำเล่าลือจริงๆ หากไปอยู่ที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวบ้านตน จะต้องถูกผู้ฝึกตนของสำนักกระบี่หลงเฉวียนและของต้าหลีซัดจนหมอบไปสักกี่คน?
เฉินหลิงจวินไปที่นครปี้ฮว่าที่ยิ่งนานวันก็ยิ่งเงียบสงบก่อน ซื้อภาพเทพหญิงฉบับเติมเต็มมาหนึ่งชุด ถือเป็นของขวัญที่เอาไปเยี่ยมเยือนสำนักพีหมา ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ทางศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วได้เบิกเงินเทพเซียนก้อนหนึ่งมาไว้ให้เฉินหลิงจวินนานแล้ว แต่เฉินหลิงจวินไม่ได้ใช้เงินเกล็ดหิมะในคลังทองคำเล็กๆ นั่น ตลกหรือไร นายท่านใหญ่เฉินเช่นข้าขาดเงินแค่นี้หรือ? หากอยู่ในอาณาเขตของแม่น้ำอวี้เจียงในอดีต เวลาเดินท่องอยู่ในยุทธภพกระเป๋าเงินต้องมีเสียงเงินเทพเซียนกระทบกันดังลั่นไม่ต่างจากเสียงฟ้าผ่า เพียงแต่ว่าพอมาอยู่เขตการปกครองหลงเฉวียน นายท่านใหญ่เฉินถึงได้ทำตัวดีกับคนอื่นขึ้นมาหน่อย ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยใจร้อนเป็นไฟของเขา…ป่านนี้แม่งก็คงถูกคนต่อยตายด้วยหมัดเดียวไปนานแล้ว
บางครั้งเฉินหลิงจวินที่ชอบคิดอะไรเหลวไหลไปคนเดียวก็มักจะรู้สึกว่าผู้ฝึกลมปราณทุกคนในใต้หล้าควรจะไปอยู่อาศัยในเมืองเล็กสักช่วงเวลาหนึ่ง มาขอความรู้เรื่องประสบการณ์ในยุทธภพกับตนอย่างนอบน้อม
ในสำนักพีหมาที่บรรยากาศเคร่งขรึม จู๋เฉวียนเจ้าสำนักไม่ได้เผยกาย บรรพจารย์ทั้งสองท่านต่างก็ไม่อยู่บนภูเขา ท่านหนึ่งออกเดินทางไกลไปนานหลายปีแล้ว ส่วนเยี่ยนซู่บรรพจารย์ผู้คุมกฎอีกท่านหนึ่งนั้น หลายปีมานี้ยุ่งอยู่กับการช่วยผู้เฒ่าจากสำนักเบื้องบนแห่งทวีปแผ่นดินกลางท่านหนึ่งที่มาเยือนสำนักพีหมาสร้างความมั่นคงให้กับค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขา ผังหยวนซีอยู่ในช่วงปิดด่าน ตู้เหวินซือยังงัดข้ออยู่กับพวกโครงกระดูกของเมืองชิงหลู เฉินหลิงจวินไม่ได้เจอคนรู้จักคุ้นเคย ด้านหนึ่งก็นินทาที่หน้าตาของนายท่านบ้านตนไม่ใหญ่มากพอ ถึงขั้นไม่อาจทำให้เจ้าสำนักออกมาจัดงานเลี้ยงต้อนรับตนด้วยตัวเองได้ ด้านหนึ่งก็พยายามจะรักษามาดว่าตนเคยเห็นโลกกว้างมาก่อนอย่างยากลำบาก ยังต้องคอยสังเกตการณ์รอบด้านอย่างระมัดระวังด้วย ในอดีตตอนอยู่ที่ร้านตีเหล็กของเมืองเล็ก เคยประมือกับหร่วนฉงมาก่อน เขาเกือบจะพลาดท่าอีกฝ่าย อริยะแห่งศาลลมหิมะท่านหนึ่งดันแต่งกายไม่ต่างจากชาวไร่ชาวนา นี่ไม่ใช่ว่าจงใจหลอกลวงคนอื่นหรอกหรือ? ดังนั้นออกจากบ้านมาครั้งนี้ เฉินหลิงจวินจึงรู้สึกว่าตนควรจะต้องระมัดระวังตัวสักหน่อยจึงจะมั่นคง
เฉินหลิงจวินนำของขวัญมามอบให้ คนที่มารับรองเฉินหลิงจวินและรับของขวัญคือคนผู้หนึ่งที่ชื่อเหวยอวี่ซง ท่าทางของเขาเป็นมิตรปรองดอง เรียกตัวเองว่าเป็นนักบัญชีที่ได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และคำพูดคำจาของเขาก็ไม่มีใครเชื่อฟังมากที่สุด เฉินหลิงจวินจึงรู้สึกเหมือนได้เจอพี่น้องที่มีชะตากรรมทุกข์ยากร่วมกัน เพียงแต่ต้องคอยเตือนตัวเองไม่หยุดว่าตนออกจากบ้านมาครั้งนี้อย่าได้ไปเรียกใครเป็นพี่เป็นน้องง่ายๆ ตลอดทางมานี้เฉินหลิงจวินอ่านตำรามาไม่น้อย เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ควรต้องระวังในพื้นที่อันตรายแห่งสายน้ำภูเขาทั้งหลาย สำนักพีหมา สวมน้ำค้างวสันต์ซึ่งเป็นภูเขาที่นายท่านบ้านตนเคยย่ำผ่านมาก่อนและยังผูกสัมพันธ์ควันธูปเอาไว้ด้วยพวกนี้ เฉินหลิงจวินไม่ได้อ่านอย่างละเอียดมากนัก เวลานี้รู้สึกว่าถูกชะตากับเหวยอวี่ซงอย่างมาก คือตัวเลือกที่ดีในการตัดหัวไก่เผากระดาษเหลืองสาบานเป็นพี่เป็นน้องกัน เฉินหลิงจวินที่ไหว้พระเมื่อเดือดร้อน (เปรียบเปรยว่าเกิดเรื่องจวนตัว) จึงรีบหาโอกาสแอบหยิบสมุดเล่มหนึ่งของนายท่านตัวเองออกมาอ่าน พอเปิดไปเจอหน้าของสำนักพีหมาก็เจอชื่อของเหวยอวี่ซงผู้นี้เข้าจริงๆ ในหนังสือนายท่านจงใจเขียนถึงเขาสองสามประโยค บอกว่าเป็นผู้อาวุโสที่ทำการค้าเก่งอย่างมาก ถือเป็นเทพแห่งเงินทองของสำนักพีหมา เตือนเฉินหลิงจวินว่าเมื่อเจอเขาแล้วต้องให้ความเคารพหลายๆ ส่วน พูดจาเหลวไหลให้น้อยลง
——