กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 660.4 ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ตรงกลาง
ในเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคือบุคคลใหญ่ที่ดูแลเงินทองของสำนัก ในใจเฉินหลิงจวินก็เกิดความมั่นใจขึ้นมาทันที ภูเขาตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง มีคนสามประเภทที่ไม่อาจไปมีเรื่องด้วยได้ คนที่ดูแลกฎของสำนัก หมัดต้องแข็งอย่างแน่นอน คนที่ดูแลเงินทองก็ยิ่งไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน ต้องเป็นคนจิตใจสกปรกอำมหิต ส่วนคนประเภทสุดท้ายก็คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ที่อายุน้อยมากๆ
บอกลากับเหวยอวี่ซง ปฏิเสธคำรั้งตัวของอีกฝ่ายอย่างละมุนละม่อม ยิ่งไม่กล้ารบกวนให้อีกฝ่ายไปส่งถึงประตูภูเขา ตอนที่เฉินหลิงจวินเดินลงจากภูเขาไปเพียงลำพัง ระหว่างทางก็เจอกับสตรีวัยออกเรือนแล้วที่หน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง สายตาที่นางมองเขาคล้ายจะผิดปกติจนเฉินหลิงจวินรู้สึกอึดอัด ข้าผู้อาวุโสไม่ใช่เว่ยป้อนั่นสักหน่อย มองอะไรกัน สตรีผู้นั้นกลับไม่มีแววตา ถึงขั้นแอบสะกดรอยตามเฉินหลิงจวินมาตลอดทาง พอไปถึงประตูภูเขา เฉินหลิงจวินก็รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย จึงคิดจะเปลี่ยนใจเดินย้อนกลับขึ้นเขาไปอีกครั้ง พักอยู่ที่สำนักพีหมาสักสองสามวัน จะดีจะชั่วก็สลัดสตรีผู้นั้นให้หลุดก่อนแล้วค่อยออกเดินทางก็ยังไม่สาย
พอไปถึงประตูภูเขา สตรีที่พกดาบไว้ตรงเอวผู้นั้นแนะนำตัวว่าชื่อจู๋เฉวียน เฉินหลิงจวินก็เข่าอ่อนยวบ ร่างโงนเงน กว่าจะยืนให้มั่นคงได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
จู๋เฉวียนยิ้มกล่าว “เว่ยป้อส่งกระบี่บินมาแจ้งข่าวที่ภูเขามู่อีนานแล้ว วันหน้าเรื่องของการลงน้ำ หากมีปัญหาอะไรก็สามารถแจ้งชื่อของจู๋เฉวียนแห่งสำนักพีหมาได้เลย ไม่แน่เสมอไปว่าจะช่วยชีวิตได้ แต่ต้องช่วยแก้แค้นแทนเจ้าได้แน่นอน แต่ไม่มีปัญหาย่อมดีที่สุด ทว่าก็คงจะยากมากๆ ท่องยุทธภพอยู่ในอุตรกุรุทวีปของพวกเรา หากไม่มีปัญหากองใหญ่สุมตัวจะนับเป็นการหาประสบการณ์ได้อย่างไร”
เฉินหลิงจวินเอ่ยขอบคุณอย่างระมัดระวัง จู๋เฉวียนโบกมือ เฉินหลิงจวินจึงเอ่ยลา แต่จู่ๆ จู๋เฉวียนก็ถามว่า “เฉินผิงอันจะกลับมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่เมื่อไหร่?”
เฉินหลิงจวินส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ทุกครั้งที่นายท่านของข้าออกเดินทาง จะกลับบ้านมาเมื่อไหร่ ล้วนไม่มีกำหนดเวลาที่แน่ชัด”
จู๋เฉวียนมองหีบไม้ไผ่และไม้เท้าเดินป่าของเฉินหลิงจวินแล้วก็พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ภูเขาลั่วพั่วของพวกเจ้าล้วนแต่งตัวแบบนี้ออกท่องยุทธภพหรือ?”
เฉินหลิงจวินพยักหน้ารับอย่างแรง
จู๋เฉวียนพลันทอดถอนใจ “รู้สึกอิจฉาใน…ความอิสระของเจ้าหมอนั่นแล้วแหะ”
เฉินหลิงจวินฟังถ้อยคำประหลาดที่ซุกซ่อนอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกของบุคคลบนยอดเขาเหล่านี้ไม่เข้าใจ แต่ก็พอจะฟังออกว่าเจ้าสำนักหญิงที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีปผู้นี้มีความประทับใจที่ไม่เลวต่อนายท่านของตัวเอง ไม่อย่างนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางออกจากหุบเขาผีร้ายมาที่ภูเขามู่อีเลยแม้แต่น้อย ตระกูลเซียนทั่วไปบนภูเขาพิถีพิถันในเรื่องความเท่าเทียมมากที่สุด ยามต้อนรับแขกรับรองคนจะมีกฎระเบียบยิบย่อยซับซ้อน อันที่จริงมีเหวยอวี่ซงคนเดียวที่มาพบเขาเฉินหลิงจวินก็ทำให้เฉินหลิงจวินพอใจมากแล้ว
ห้าขอบเขตบนผู้เป็นเจ้าสำนักคนหนึ่ง อีกทั้งยังกล้างัดข้อพุ่งชนกับเกาเฉิงแห่งหุบเขาผีร้ายซึ่งๆ หน้ามานานหลายปี สตรีที่เป็นผู้กล้าตัวจริงเช่นนี้กลับถึงขั้นปรากฏตัวด้วยตัวเอง นี่ทำให้เฉินหลิงจวินที่ออกมาจากภูเขามู่อีแล้วรู้สึกว่าเวลาเดินเท้าลอยเล็กน้อย
ตามเส้นทางที่กำหนดไว้ เฉินหลิงจวินจะนั่งเรือข้ามฟากลำหนึ่งของสวนน้ำค้างวสันต์เพื่อไปยังปากทางที่ลำน้ำไหลลงสู่มหาสมุทรทางทิศตะวันออก ผู้ดูแลเรือข้ามฟากก็คือซ่งหลันเฉียวผู้ฝึกตนโอสถทอง และตอนนี้ก็มีเก้าอี้ตัวหนึ่งอยู่ในศาลบรรพจารย์ของสวนน้ำค้างวสันต์แล้ว หลังจากที่เฉินหลิงจวินไปเยี่ยมเยียนอีกฝ่าย ซ่งหลันเฉียวก็มีท่าทีเกรงอกเกรงใจจนเกินเหตุไปสักหน่อย เขาไม่เพียงแต่จัดให้เฉินหลิงจวินได้เข้าพักในห้องอักษรตัวเทียน ยังมาคุยเล่นกับเฉินหลิงจวินด้วยตัวเองเป็นครึ่งๆ วัน ในถ้อยคำของเขานอกจากจะมีความกระตือรือร้นต่อเฉินผิงอันและภูเขาลั่วพั่วจากใจจริงแล้ว ยังนอบน้อมถ่อมตนเสียจนเฉินหลิงจวินรู้สึกปรับตัวไม่ทัน
ทุกวันนี้สี่ฝ่ายอย่างภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาพีอวิ๋น สำนักพีหมาและสวนน้ำค้างวสันต์ล้วนเป็นพันธมิตรกัน หนึ่งในนั้นก็มีเหวยอวี่ซงแห่งสำนักพีหมาและถังซีแห่งสวนน้ำค้างวสันต์ที่ต่างก็เป็นผู้ดูแลกิจธุระน้อยใหญ่ ซ่งหลันเฉียวยังเป็นพันธมิตรกับถังซี เดิมทีการที่เขาสามารถกลายเป็นสมาชิกของศาลบรรพจารย์สวนน้ำค้างวสันต์ได้ก็ล้วนต้องยกคุณความชอบให้เซียนกระบี่เฉินที่อายุน้อยๆ คนนั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่ฝ่ายหลังยังถูกชะตากับอาจารย์ผู้มีพระคุณของซ่งหลันเฉียวอย่างมาก ซ่งหลันเฉียวแทบไม่เคยเห็นอาจารย์ของตนอาลัยอาวรณ์คนคนหนึ่งมากขนาดนี้มาก่อน ถ้าอย่างนั้นนี่ก็ไม่ใช่ความเกี่ยวข้องที่ว่าจะเป็นเซียนกระบี่หรือไม่ใช่เซียนกระบี่อะไรแล้ว
ยิ่งเฉินหลิงจวินห่างไกลจากบ้านเกิดก็ยิ่งคิดถึงมันมากเท่านั้น
ไม่ว่าใครก็ล้วนคิดถึงไปหมด ขนาดนักพรตเฒ่าตาบอดที่ไปสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่บนภูเขาหวงหู เขาก็ยังคิดถึงอยู่บ่อยๆ
ก่อนที่เว่ยป้อจะออกไปจากเรือข้ามฟากได้เอ่ยประโยคหนึ่งบอกว่า ผู้ฝึกตนออกมาอยู่นอกบ้าน ใช้ไม้ฆ่าคน ใช้พลังอำนาจสยบคน ไม่ถือว่ายากเท่าไรนัก แต่จะยากก็ตรงที่การเอาชนะใจผู้อื่น
เป็นครั้งแรกที่เฉินหลิงจวินเปิดอ่านเนื้อหาในตำราที่ก่อนหน้านี้มักข้ามผ่านไปอย่างละเอียด จากนั้นเขาก็ไปที่หอชมทัศนียภาพ ฟุบตัวบนราวระเบียงเหม่อลอย พระจันทร์ลอยสูงอยู่กลางนภา ครึ่งหนึ่งของดวงจันทร์กลมโตถูกกลบทับและสาดแสงสะท้อนอยู่กลางทะเลเมฆ ทั้งไกลและใกล้ ราวกับว่าขอแค่เรือข้ามฟากเปลี่ยนเส้นทางเล็กน้อยก็สามารถพุ่งเข้าชนมันได้แล้ว ง่ายดายเหมือนคนที่เดินผ่านระเบียงลอดเข้าไปในซุ้มประตู
นายท่านอยู่หรือไม่อยู่ภูเขาลั่วพั่ว คือบรรยากาศสองอย่างที่ไม่เหมือนกัน ข้อนี้เฉินหลิงจวินสัมผัสได้มานานแล้ว
เพียงแต่ว่าหากไม่ออกจากภูเขาลั่วพั่ว ไม่เดินทางมาในครั้งนี้ก็ยากจะเข้าใจได้ว่าเหตุใดถึงไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันตรงไหน
อยู่กับนายท่านนานวันเข้า นายท่านมีขอบเขตอะไรมีตัวตนแบบใด ดูเหมือนจะถูกมองข้ามไปได้อย่างง่ายดาย รอกระทั่งเฉินหลิงจวินมาเดินอยู่บนเส้นทางขุนเขาสายน้ำที่นายท่านเคยเดินผ่านมาก่อน ถึงได้ค้นพบว่าที่แท้เด็กหนุ่มตรอกหนีผิงที่ปีนั้นตนไม่ยินดีจะติดตาม คล้ายว่าจะเปลี่ยนมาเป็นร้ายกาจอย่างมากแล้วจริงๆ
เฉินหลิงจวินเก็บความคิด เก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้วก็ไปหาซ่งหลันเฉียวเพื่อบอกกล่าว จากนั้นเขาก็ออกจากเรือข้ามฟากไปกลางทาง มุ่งหน้าตรงไปยังศาลเทพอัคคีของเมืองสุยเจี้ย
ภายใต้การวางแผนอย่างลับๆ ของเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นตำหนักมังกร ศาลเทพอัคคีที่เคยกลายเป็นซากปรักได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ที่ว่าการในพื้นที่ทุ่มเงินมหาศาลสร้างเทวรูปลงสีขึ้นมาองค์หนึ่ง ควันธูปโชติช่วง เฉินหลิงจวินเลือกช่วงเวลากลางดึกไปเคาะประตูเยี่ยมเยียนอย่างนอบน้อม ได้พบกับชายฉกรรจ์ที่มองดูคล้ายขอบเขตจะไม่สูงสักเท่าไร เฉินหลิงจวินเอาเหล้าหมักตระกูลเซียนออกมาจำนวนมาก ชายฉกรรจ์ที่เผยร่างที่แท้จริงดีใจมาก เพียงแต่ว่าเขากลับไม่ถามถึงเรื่องของเฉินผิงอันในปัจจุบันแม้แต่ครึ่งคำ
เฉินหลิงจวินจึงรู้สึกว่าพี่ชายคนนี้ตรงกับรสนิยมของตนยิ่งนัก เป็นคนที่มีกลิ่นอายของยุทธภพมากที่สุดเหมือนกับตน!
ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงดื่มสุราอย่างสำราญโดยไม่มีใครห้ามปรามใคร
นายท่านไม่เพียงแต่เขียนลงในหนังสือ ในสมุดเท่านั้น ยังเคยกำชับกับเฉินหลิงจวินเป็นพิเศษด้วยว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำท้องถิ่นท่านนี้คือสหายของเขาเฉินผิงอัน สหายที่เขาติดเหล้าหนึ่งมื้อ
ทางฝั่งของวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋นได้รับรายงานจากคนเฝ้าศาลของศาลเทพอัคคี อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบจึงเร่งรุดเดินทางมาตั้งแต่กลางดึกทันที ไม่ได้เอาคนสนิทหรือองค์รักษ์คนใดมาด้วย ระยะทางแปดร้อยลี้ สำหรับเจ้าแห่งทะเลสาบที่ตลอดทั้งเมืองสุยเจี้ยล้วนอยู่ในการปกครองแล้วก็เป็นแค่การเดินไม่กี่ก้าวเหมือนเดินในสวนบ้านตัวเองเท่านั้น
เห็นเด็กน้อยชุดเขียวที่ใบหน้าแดงก่ำเพราะดื่มเหล้ากำลังโบกไม้โบกมือพูดโม้น้ำลายแตกฟอง อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบก็อึ้งตะลึงไปพักใหญ่ เหตุใดเซียนกระบี่เฉินผู้นั้นถึงมีเพื่อนแบบนี้ได้?
สุราครั้งนี้นับว่าดื่มได้อย่างสำราญใจ
ทว่าพออินโหวมาเยือน ชายฉกรรจ์ของศาลเทพอัคคีแค่ปฏิบัติต่อเขาอย่างมีมารยาทเท่านั้น ไม่ถือว่ากระตือรือร้น แต่กับเฉินหลิงจวินกลับดื่มสุราร่วมกันอย่างเต็มคราบ
ยามเช้าตรู่เฉินหลิงจวินก็ออกจากศาลเทพอัคคีไปเยือนตำหนักจินอู ไปเยี่ยมเยียนผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทองอย่างหลิ่วจื้อชิง
มาที่นี่เขาเองก็ได้รับการรับรองอย่างเอิกเกริก ถูกพาตัวมาส่งถึงยอดเขาที่หลิ่วจื้อชิงปิดด่านฝึกตนอย่างนอบน้อม
เฉินหลิงจวินได้พบกับหลิ่วจื้อชิง
เด็กหนุ่มหน้าตางดงามที่มีบุคลิกของเทพเซียน ปักปิ่นสีทองไว้บนมวยผม สวมชุดตัวยาวสีขาวหิมะ ทำให้คนรู้สึกราวกับว่าขุนเขาใหญ่มหานทีที่มีชื่อเสียงทั้งหลายในใต้หล้าต่างก็กำลังรอคอยจะได้รับเกียรติให้ผู้ฝึกตนที่เป็นเช่นนี้ไปเยือน
หลิ่วจื้อชิงยิ้มถามว่าจะดื่มชาหรือไม่ เฉินหลิงจวินตอบไม่ต้องๆ หลิ่วจื้อชิงเองก็ไม่ฝืนใจ อันที่จริงทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มีอะไรให้พูดคุยกัน และหลิ่วจื้อชิงก็ยิ่งไม่ใช่ผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ถนัดเรื่องการร่วมงานเลี้ยงรับรองแขก ทั้งเจ้าบ้านและแขกต่างก็เอ่ยถ้อยคำตามมารยาทกันไป เมื่อเฉินหลิงจวินไม่มีอะไรให้พูดแล้ว หลิ่วจื้อชิงก็ไม่รั้งตัวไว้ เฉินหลิงจวินจึงลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยลา หลิ่วจื้อชิงจะไปส่งถึงตีนภูเขา แต่เฉินหลิงจวินรู้ดีว่าคนผู้นี้กำลังปิดด่านจึงรีบปฏิเสธ แล้ววิ่งตะบึงลงจากภูเขาไป ส่วนเจ้าสำนักตำหนักจินอูที่รออยู่ตรงตีนเขาอย่างนอบน้อมนั้น เฉินหลิงจวินก็ยิ่งปฏิเสธงานเลี้ยงที่อีกฝ่ายจะจัดให้ เขาเอ่ยขออภัย ขอบคุณและนัดหมายว่าจะมาพบใหม่คราวหน้า ทำทุกอย่างนี้เสร็จในรวดเดียวแล้วออกมาจากตำหนักจินอู ยิ่งนานเฉินหลิงจวินก็ยิ่งคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
จากนั้นก็ไปสวนน้ำค้างวสันต์ แต่ไม่ได้โดยสารเรือข้ามฟากตระกูลเซียนอีกแล้ว
เพราะถึงอย่างไรเกิดมาก็ใกล้ชิดกับสายน้ำ เฉินหลิงจวินจึงเลือกเรือธรรมดาลำหนึ่ง เรือน้อยลอยอยู่ในภาพวาด สองฟากคือเสียงวานรร้อง ไม่ทันรู้ตัวก็ล่องผ่านหมื่นขุนเขา
ไปถึงอาณาเขตของสวนน้ำค้างวสันต์ เฉินหลิงจวินไม่ได้รีบร้อนไปพูดคุยกับซ่งหลันเฉียวคนคุ้นเคยของตน แต่ไปเดินเล่นที่สองฝากฝั่งของทางเข้าที่ลำน้ำใหญ่ไหลลงสู่ทะเลตามสมุดภาพก่อนรอบหนึ่ง จากนั้นถึงไปสวนน้ำค้างวสันต์ ไปเดินเที่ยวหน้าผาอวี้อิ๋งมาหนึ่งรอบ แล้วถึงไปพักอาศัยที่ร้านผีฝูที่นายท่านเป็นผู้ก่อตั้ง มีตัวแทนเถ้าแก่คอยจัดการดูแลให้ กิจการจึงรุ่งเรืองมาก เฉินหลิงจวินจึงไปเป็นลูกจ้างที่ร้านสองวัน
กลางดึกของคืนนี้ คนทั้งทวีปพลันทำการเซ่นกระบี่
ในชั่วพริบตานั้นทั่วทั้งสวนน้ำค้างวสันต์ก็สว่างไสวเรืองรองไปด้วยแสงไฟ เฉินหลิงจวินรีบเปิดประตูร้านแหงนหน้ามองดู ผู้คนบนถนนสายใหญ่เบียดเสียดกันแออัด ต่างก็พูดกันว่ามีเซียนกระบี่สิ้นชีพที่กำแพงเมืองปราณกระบี่อีกแล้ว
เฉินหลิงจวินที่อยู่ห่างไกลจากบ้านเกิดมาเป็นพันเป็นหมื่นลี้คิดถึงนายท่านที่อยู่ห่างจากบ้านเกิดไปไกลยิ่งกว่าตนแล้วก็นั่งลงบนธรณีประตู สองมือเท้าคาง สีหน้าหม่นหมอง
……
บนสนามรบทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แม่น้ำสายยาวสีทองปรากฏขึ้นเป็นครั้งที่สาม
คนหนุ่มคนหนึ่งสะพายกล่องกระบี่บรรจุกระบี่ยาวที่ยืมมาจากหอกระบี่ไว้จนเต็ม
เฉินผิงอันยืนอยู่บนหัวกำแพงเมือง ทอดสายตามองสนามรบอยู่ชั่วครู่แล้วเดินออกไปหนึ่งก้าว ร่างพลันร่วงดิ่งสู่พื้นดิน ระหว่างที่ร่วงลง สองมือของเขาได้ม้วนชายแขนเสื้อขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว ขณะที่จะแตะกับพื้น สองเข่าก็งอลงเล็กน้อย กระทืบเท้ากลางอากาศ ร่างทั้งร่างพลันโจนทะยานไปข้างหน้า บนพื้นดินที่อยู่ด้านหลังเกิดเป็นหลุมเว้าลึกขนาดใหญ่ จุดลึกของใต้ดินมีเสียงทึบอื้ออึงดังขึ้นเป็นระลอก
ไม่ขี่กระบี่ แต่กลับทะยานลม
ประหนึ่งลูกธนูที่พุ่งออกจากแล่งห่างจากกำแพงเมืองไปไกลร้อยกว่าจั้งในเสี้ยววินาที มือสองข้างกดศีรษะของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจสองคนแล้วผลักเบาๆ เหวี่ยงศพที่ศีรษะแหลกเละสองศพให้ห่างออกไป
เมื่อเฉินผิงอันพลิ้วกายลงพื้น ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนที่อยู่รอบด้านก็พากันขยับออกห่างที่แห่งนี้ตามจิตใต้สำนึก หลีกทางให้อิ่นกวานหนุ่มที่ออกจากเมืองมาเข่นฆ่าเป็นครั้งที่สามด้วยตัวเอง
ทุกวันนี้คนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่เหลือจิตใจที่เคียดแค้นไม่พอใจอีกแล้ว เพราะที่แท้อิ่นกวานหนุ่มก็คือผู้ฝึกกระบี่ และยิ่งเก่งเรื่องการฆ่าคน
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจสำนักการทหารคนหนึ่งสวมเสื้อเกราะหนาหนัก ในมือถือง้าวใหญ่จ้วงแทงตรงมา อิ่นกวานหนุ่มพุ่งดิ่งไปในแนวเส้นตรง ใช้หัวของศพกระแทกชนง้าวยาวให้แหลกได้อย่างง่ายๆ หนึ่งหมัดต่อยกระเทือนให้ร่างของอีกฝ่ายแหลกสลาย ขณะที่เท้าข้างหนึ่งเพิ่มน้ำหนักเหยียบลงบนพื้น ท่าหมัดยังไม่ตั้ง แต่ปณิธานหมัดกลับแผ่ออกไปก่อนแล้ว
ในรัศมีสิบกว่าจั้งรอบสนามรบที่มีเฉินผิงอันเป็นจุดศูนย์กลาง ปณิธานหมัดเหมือนน้ำท่วมเขื่อนที่ทะลักออกมาอย่างกำเริบเสิบสาน ไม่เพียงเท่านี้ พายุหมัดที่หมุนเป็นวงเหมือนพายุงวงช้างลูกที่สูงที่ใหญ่ยิ่งกว่าก็ยิ่งผุดขึ้นจากจุดที่ห่างไปไกล แล้วกระเพื่อมสะเทือนไม่หยุด ท่าหมัดหนึ่งชั้นปณิธานหมัดหนึ่งชั้นร้อยเรียงต่อกันเป็นวงเป็นชั้นเหมือนรัศมีแสงจันทร์ทรงกลด
ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ตรงกลาง ประหนึ่งดวงตะวันกลางนภา