กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 661.2 นกที่อยู่ในกรง
โหวขุยเหมินไม่ได้ถอยร่นทั้งอย่างนี้ ปณิธานหมัดไม่ลดกลับเพิ่ม ดีมาก
เฉินผิงอันเก็บมีดคู่สองเล่มที่ได้มาจากมือของนักฆ่าภูเขาเกอลู่แห่งอุตรกุรุทวีปแล้วยืนนิ่งไม่ขยับ
ไม่รู้ว่าโหวขุยเหมินร่ายใช้เวทลับอะไร เลือดสดที่อยู่ตรงบริเวณลำคอกลับหยุดไหล สองแขนห้อยตกลง แล้วก็ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนเหมือนกัน
นี่ต่างหากจึงจะเป็นสภาพจิตใจที่ผู้ฝึกยุทธควรมีขณะถามหมัด
หลังจากนั้นมา ขอแค่เป็นจุดที่เงาร่างของคนทั้งสองพุ่งผ่าน คนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงก็ล้วนติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสองคนที่ต่างก็ติดอยู่ตรงคอขวดของการเรียนวรยุทธเหมือนกระบี่บินสองเล่มของเซียนกระบี่ที่กรีดเฉือนฟาดฟันสนามรบ เศษแขนเศษขาและเศษเนื้อจึงกระจายเกลื่อนไปทั่วพื้น
ยิ่งนานการออกหมัดของโหวขุยเหมินก็ยิ่ง ‘เร็วและเบา’ ทว่าปณิธานหมัดกลับยิ่งหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ละหมัดล้วนมีเค้าโครงภาพบรรยากาศของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้า นี่ก็คือโอกาสครั้งใหญ่ในการฝ่าทะลุขอบเขต
ไม่รู้ว่าเหตุใด อิ่นกวานหนุ่มที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่ถึงไม่เรียกกระบี่บินออกมาเสียที ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่กระบี่ยาวที่อยู่ในกล่องกระบี่ด้านหลังก็ไม่เอาออกมาใช้สักเล่ม
จุดที่ห่างจากสนามรบตำแหน่งนี้ไปไกล ‘บุรุษวัยกลางคน’ ที่เป็นคนบนเส้นทางเดียวกับอิ่นกวานหนุ่มมองดูเหมือนถูกโอบล้อมไปด้วยกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่พากันกรูเข้าหากำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างน่าเกรงขาม แต่เขากลับคอยสังเกตการณ์การเข่นฆ่าระหว่างเฉินผิงอันกับโหวขุยเหมินอยู่ตลอดเวลา พอจะมองเบาะแสบางอย่างออกแล้ว แต่ยังลังเลอยู่ว่าจะก่อกวนแผนการของเฉินผิงอันให้วุ่นวายดีหรือไม่
เพียงแต่ว่าเมื่อเขากวาดสายตาผ่านตำแหน่งต่างๆ ที่ระยะห่างไม่ใกล้กัน ชั่งน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่งก็ล้มเลิกความคิดที่จะลงมือ ไม่แย่งคุณความชอบกับกระโจมเจี่ยเซินที่มีผู้มีพรสวรรค์รวมตัวกันจะดีกว่า
เลือดสดเปรอะโชกไปทั่วร่างของโหวขุยเหมิน ผู้ฝึกยุทธยอดเขาของขอบเขตแปดผู้ยิ่งใหญ่ สวมเสื้อเกราะที่เป็นสมบัติหนัก ทั้งๆ ที่ถามหมัดกับผู้ฝึกยุทธซึ่งเป็นเด็กรุ่นหลังที่ห่างกันถึงหนึ่งขอบเขต กลับต้องตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
โหวขุยเหมินที่เลือดอาบหน้าพลันหยุดยืนนิ่ง ก้มหน้าหัวเราะเบาๆ อย่างสาแก่ใจ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นจ้องเขม็งไปยังคนหนุ่มที่อยู่ดีๆ ก็เก็บหมัดกะทันหันเหมือนกัน
ดูเหมือนโหวขุยเหมินจะกำลังพูดว่า รอให้ข้าเป็นขอบเขตเก้า มีโชคชะตาบู๊อยู่ติดกายเมื่อไหร่ ค่อยมาจัดการคอขวดขอบเขตโอสถทองที่ไร้เหตุผลอย่างเจ้า ถึงเวลานั้นก็เป็นคราวที่ข้าโหวขุยเหมินจะไร้เหตุผลบ้างแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะมีแผนการสับสนวุ่นวายอะไร แต่จะยังได้สมปรารถนาอยู่อีกหรือ? ยังจะมีชีวิตรอดออกไปจากสนามรบแห่งนี้หรือไร? แน่จริงเจ้าเฉินผิงอันก็ลองฝ่าทะลุขอบเขตอีกขั้นดูสิ?!
การถามหมัดครั้งนี้ ทั้งๆ ที่ขอบเขตสูงกว่าหนึ่งระดับ แต่กลับตกเป็นรอง ปมของปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าเรือนกายของโหวขุยเหมินไม่แข็งแกร่งมากพอ ไม่ได้อยู่ที่หมัดเบา กุญแจสำคัญคือเจ้าเฉินผิงอันผู้นั้นเหมือนจะล่วงรู้เส้นทางการออกหมัดของเขาล่วงหน้า
เวลานี้โหวขุยเหมินเห็นเฉินผิงอันตั้งท่าเหมือนเจอศัตรูตัวฉกาจ ไม่เหมือนว่าเสแสร้งแกล้งทำ ก็ให้รู้สึกสะใจนัก การฝึกหมัดชั่วชีวิตนี้ การฝ่าทะลุขอบเขตในแต่ละครั้งก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่เคยทำให้เขาสาแก่ใจสุดขีดเช่นนี้มาก่อน ตอนนี้เฉินผิงอันผู้นั้นช่วยข้าฝ่าทะลุขอบเขต อีกเดี๋ยวข้าจะช่วยทำให้ศพของเขาเหลือครบถ้วนก็แล้วกัน ซึ่งก่อนจะเป็นเช่นนั้นได้ เรือนกายของคนหนุ่มต้องต้านทานหมัดที่ตนปล่อยออกไปหลังจากเลื่อนเป็นขอบเขตเก้าโดยไม่ถูกแยกออกเป็นส่วนๆ เสียก่อน!
โชคชะตาบู๊แต่ละขุมของใต้หล้าเปลี่ยวร้างพากันแหวกอากาศมาถึงสนามรบ ไหลกรูเข้าหาโหวขุยเหมินอย่างบ้าคลั่ง
เฉินผิงอันยิ้มอย่างชอบใจ ในที่สุดก็มาเสียที
หมัดของโหวขุยเหมินเบาเกินไป มิอาจต่อยให้คอขวดของตนแตกออกได้ อย่างมากสุดก็แค่ช่วยขัดเกลาเส้นเอ็นกระดูกและกล้ามเนื้อที่เป็นจุดสำคัญของตนไม่กี่จุด ดั่งการปักบุปผาลงบนผ้าแพรเท่านั้น
เพราะกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการศึกต่อจากนี้ หมัดหลายหมัดที่มีเรี่ยวแรงของขอบเขตเก้าจึงตรงเข้าใส่ช่องโพรงลมปราณสำคัญมากกว่า หากต่อยลงบนร่าง เฉินผิงอันไม่กลัวว่าจะได้รับบาดเจ็บ กลัวก็แค่ว่าปณิธานหมัดขุมนั้นจะทำให้แม่น้ำซัดมหาสมุทรโถมอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายคนเท่านั้น เฉินผิงอันจึงไม่สามารถแบกรับไว้ได้ทั้งหมด จะต้องลดทอนกำลังเกินครึ่งออกไป โหวขุยเหมินจึงออกหมัดได้อย่างสะใจ แต่เฉินผิงอันที่ต่อยกับอีกฝ่ายกลับไม่สาแก่ใจเลยสักนิด
ไม่เป็นไร ต่อยให้โชคชะตาบู๊ถอยร่นกลับไป เฉินผิงอันมีประสบการณ์ อีกทั้งตอนที่อยู่ในนครมังกรเฒ่ายังไม่ได้เคยทำแค่ครั้งเดียวด้วย
แล้วนับประสาอะไรกับที่เฉินผิงอันยังเคยแบกรับทัณฑ์สวรรค์ถึงสองครั้ง ไม่ว่าจะเป็นที่เมืองสุยเจี้ยของอุตรกุรุทวีปหรือตอนที่ประมือกับหลีเจินที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็ล้วนเคยทำมาก่อน
เฉินผิงอันดีดปลายเท้าทะยานร่างขึ้น พุ่งตรงไปยังกลางอากาศสูง แต่ไม่ได้ปล่อยหมัด เพียงแค่ไต่ทะยานให้สูงขึ้นเท่านั้น ราวกับว่าต้องการไปเยือนจุดที่สูงที่สุดของม่านฟ้าให้ได้ถึงจะยอมเลิกรา แม้ว่าจะไม่ได้ออกหมัด แต่กลับใช้ปณิธานหมัดของกระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ต้านรับโชคชะตาบู๊ที่เป็นดั่งสายรุ้งสีขาวหลายเส้นซึ่งมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างพวกนั้นเอาไว้
‘บุรุษวัยกลางคน’ หยุดชะงักฝีเท้า แหงนหน้ามองแล้วพึมพำกับตัวเอง “โชคชะตาบู๊ก็แย่งกันได้ด้วยหรือ? การค้าเขาทำกันอย่างนี้หรือไร?”
เพราะไม่รู้ว่าอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นใช้วิธีการแปลกประหลาดอะไรถึงสามารถกระชากเอารุ้งขาวชะตาบู๊ทั้งหมดมาแล้วพากันทะยานขึ้นสู่ที่สูงได้ เป็นเหตุให้คนหนุ่มเหมือนสายรุ้งสีขาวที่พุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า
โชคชะตาบู๊บนโลก เดิมทีก็เป็นมายาเลื่อนลอยจับต้องไม่ได้ ไม่อย่างนั้นแม้แต่ศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางใต้หล้าไพศาลก็คงไม่ถึงขั้นมิอาจขัดขวางหรือสกัดดึงเอาของสิ่งนี้มาได้ ทำให้ได้แต่ปล่อยให้พวกมันผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่ระหว่างผู้ฝึกยุทธที่มีความสามารถของเก้าทวีปด้วยตัวเอง
ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ภูเขาทัวเยว่เองก็มิอาจควบคุมเรื่องนี้ได้เช่นกัน
คนที่อยู่ในสภาวะชวนกระอักกระอ่วนที่สุดแน่นอนว่าต้องเป็นโหวขุยเหมินที่โชคชะตาบู๊มาหา แต่กลับไม่เข้ามาใกล้ตัว
สองเข่าของโหวขุยเหมินงอลงเล็กน้อย เขาเองก็ทะยานขึ้นสู่กลางอากาศ ไล่ตามเงาร่างของเฉินผิงอันที่เล็กจนเหมือนเมล็ดงาไปติดๆ ยิ่งหวังว่าจะพยายามเข้าใกล้โชคชะตาบู๊เหล่านั้นให้ได้มากที่สุด
‘บุรุษวัยกลางคน’ ที่เรียกตัวเองว่ามือกระบี่อย่างภาคภูมิใจยังคงไม่ออกกระบี่ลอบโจมตีเฉินผิงอัน ไม่ใช่ว่ายึดหลักคุณธรรมมีกฎเกณฑ์อะไร การเข่นฆ่าบนสนามรบ เขาเองก็ใช้วิธีการไม่ต่างจากเฉินผิงอัน เป็นเหตุให้ทุกครั้งที่ลงมือและการแลกเปลี่ยนอาการบาดเจ็บกับศัตรูในแต่ละครั้งล้วนเป็นเหมือนการทำการค้าที่ตระหนี่ถี่เหนียวสุดขีด
มือกระบี่หนุ่มที่อยู่บนผังร้อยเซียนกระบี่ได้ข่มทับเหนือผู้มีพรสวรรค์ทุกคนอย่างหลีเจิน จู๋เชี่ยผู้นี้ พอจะสัมผัสได้ถึงสัจธรรมที่แท้จริงแห่งมรรคาเสี้ยวหนึ่งแล้ว
การออกกระบี่ในเวลานี้ ต่อให้จะทำสำเร็จ สำหรับมหามรรคาของตนแล้วมีแต่จะได้ไม่คุ้มเสีย เพราะชีวิตนี้ชาตินี้จะต้องถูกโชคชะตาบู๊ของฟ้าดินคอยสยบกำราบอย่างที่มองไม่เห็นอยู่ตลอดเวลา
หากเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ใช้สิ่งนี้มาขัดเกลาวิถีวรยุทธกลับกลายเป็นว่าเป็นเรื่องดี น่าเสียดายที่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ฝึกกระบี่
ไม่ถูกสิ!
ทั้งปณิธานหมัดและแรงจูงใจของเฉินผิงอันล้วนเป็นของปลอม
เขาพลันใช้มือขวาบังคับเอากระบี่ยาวเล่มหนึ่งออกมาจากมือของผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจคนหนึ่งที่อยู่ห่างไปไม่ไกล กระเทือนมันเบาๆ กระบี่ยาวก็ปริแตกกลายเป็นเศษชิ้นส่วนหลายสิบชิ้น ขณะเดียวกันก็หมุนข้อมือซ้าย ฝืนบังคับใช้ปราณกระบี่ของร่างตนระเบิดเส้นลายมือสองสามเส้นบนนั้น พอเลือดซึมออกมาก็ปาดลงไปบนเศษชิ้นส่วนของกระบี่ยาว มือกระบี่หนุ่มที่ใช้หนึ่งในวิธีการก้นกรุที่มีอยู่มากมายโบกชายแขนเสื้อสาดยิงเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นขึ้นไปกลางอากาศสูง ให้พวกมันพุ่งตรงเข้าหาโหวขุยเหมิน
แทบจะเวลาเดียวกันนั้น โหวขุยเหมินพลันรู้สึกตาลาย เรือนกายของคนผู้นั้นที่อยู่ห่างไปร้อยจั้งกว่า อันดับแรกก็ใช้ยันต์ย่อพื้นที่ก่อน จากนั้นค่อยใช้กระบี่สองเล่มอย่างซงเจิน ไฮเหลยที่ถูกหลอมเป็นกระบี่บินเป็นตัวล่อ
มือสองข้างถือมีด เล่มหนึ่งแทงเข้าที่ข้างแก้มของโหวขุยเหมินแล้วกรีดใบหน้าเขาไปในแนวนอน อีกเล่มหนึ่งแทงเข้าที่หัวใจของโหวขุยเหมิน พอโจมตีสำเร็จก็ใช้ยันต์ย่อพื้นที่อีกครั้ง เรือนกายหายวับไปในชั่วพริบตา
นาทีถัดมารอบกายโหวขุยเหมินก็มีเศษชิ้นส่วนของกระบี่ยาวทั้งหลายมาหยุดรายล้อม ประหนึ่งค่ายกลกระบี่ขนาดเล็กที่ปกป้องผู้ฝึกยุทธเผ่าปีศาจที่ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นขอบเขตแปดหรือขอบเขตเก้าผู้นี้ไว้ชั่วคราว
หากไม่เป็นเพราะพวกมันไล่ตามมาทัน เฉินผิงอันก็สามารถปลิดหัวครึ่งหนึ่งของโหวขุยเหมินได้แล้ว
โหวขุยเหมินกัดฟัน โดนมีดแทงไปอีกสองที เรือนกายที่ ‘บินทะยาน’ จึงหยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นจึงบินขึ้นไปบนจุดสูงต่อ โชคชะตาบู๊เหล่านั้นถูกอิ่นกวานหนุ่มกระชากไปยังจุดที่สูงกว่าอีกครั้ง
หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าโหวขุยเหมินจะไม่มีอันตรายถึงแก่ชีวิต เศษกระบี่ยาวเหล่านั้นจึงพากันพุ่งวูบกลับไปหา ‘บุรุษวัยกลางคน’
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสองคนทยอยกันพุ่งชนเข้าไปในทะเลเมฆที่กว้างใหญ่ไพศาลสองชั้น
ชั้นหนึ่งสูงกว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่แค่เล็กน้อย ส่วนทะเลเมฆชั้นที่อยู่สูงยิ่งกว่านั้นกลับห่างจากหัวกำแพงเมืองไปไกล
พอทะลุสูงออกไปพ้นทะเลเมฆแล้วก็พลันหยุดยืนนิ่ง เฉินผิงอันขมวดคิ้วเป็นปมอีกครั้ง เพียงแต่ว่าครั้งนี้ไม่ใช่การเล่นละครที่เดี๋ยวจริงเดี๋ยวเท็จให้โหวขุยเหมินดูอีกแล้ว
แต่เป็นเพราะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของแผนการร้ายที่ผิดปกติเสี้ยวหนึ่งจริงๆ
โชคชะตาบู๊ที่อยู่ห่างไปไกลยิ่งกว่าพวกนั้น เป็นของจริงแท้แน่นอน
แม้โหวขุยเหมินจะไม่รู้ว่าเหตุใดอิ่นกวานหนุ่มถึงหยุดชะงัก แต่หลังจากแหวกทะเลเมฆมาได้แล้วเขาก็ยังคงอาศัยขอบเขตทะยานลมของตัวเองขยับเข้าไปใกล้โชคชะตาบู๊ที่เหมือนเจียวหลงแหวกว่ายธารเมฆพวกนั้นดังเดิม
เฉินผิงอันหยุดคิดเล็กน้อย แล้วก็ตัดใจสละแผนการทั้งหมดที่วางไว้ก่อนหน้านี้ทิ้งไปโดยตรง ทิ้งตัวดิ่งลงสู่ทะเลเมฆ ย้อนกลับไปยังพื้นดิน
โหวขุยเหมินจึงยิ้มรับโชคชะตาบู๊ที่เดิมทีก็ควรเป็นของตนมาอย่างผึ่งผาย เหนือทะเลเมฆที่แสงตะวันสาดส่อง โหวขุยเหมินคล้ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่ง
เพียงแต่ว่าชั่วพริบตานั้น ดวงตาทั้งคู่ของโหวขุยเหมินพลันเปลี่ยนเป็นสีดำมืด ดิ้นรนอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายกลับเริ่มไล่ตามเฉินผิงอันไป ขณะเดียวกันก็ชักดึงโชคชะตาบู๊ทั้งหลายให้ร่วงลงไปยังพื้นดินด้วยกัน
โชคชะตาบู๊กระแทกเข้าหาร่างของโหวขุยเหมิน ส่วนโหวขุยเหมินที่กำลังจะเลื่อนเป็นขอบเขตเก้าก็พุ่งเข้าหาเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเปลี่ยนทิศทางการโคจรถึงสามครั้ง แต่ก็ยังหลบไม่พ้น
บนพื้นดินถูกกระแทกให้เกิดเป็นหลุมใหญ่ยักษ์น่าตะลึงราวกับถูกกระบี่บินของเซียนกระบี่ระเบิด
โหวขุยเหมินผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าเรือนกายแหลกสลายไปพร้อมกับโชคชะตาบู๊ทั่วร่าง
ตัวอ่อนเซียนกระบี่ห้าคนของกระโจมเจี่ยเซินแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่ปิดบังตัวตนอีกต่อไป พากันปรากฎตัวที่ริมขอบของหลุมใหญ่อย่างพร้อมเพรียง แต่ละคนต่างยึดครองพื้นที่แถบหนึ่ง
จู๋เชี่ย หลีเจิน อวี่ซื่อ หลิวป๋าย จวินทาน
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นถอนหายใจ แล้วอำพรางเรือนกายจากไป
ไม่นึกว่าจะถึงขั้นมีปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตสิงร่างโหวขุยเหมินที่กำลังฝ่าทะลุขอบเขต แล้วตัดใจสละว่าที่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าคนหนึ่งเพื่อแลกเปลี่ยนมาด้วยอาการบาดเจ็บสาหัสของอิ่นกวานหนุ่มอย่างเฉินผิงอัน?
จู๋เชี่ยเอ่ย “ระวังจะเป็นกับดัก”
เสียงกลั้วหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นมาในทะเลสาบหัวใจของทุกคนในเวลาเดียวกัน “จะเป็นไปได้อย่างไร”