กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 662.3 ล้อมฆ่าหนึ่งคนกับหนึ่งคนล้อมฆ่า
กระโจมเจี่ยเซิน ผู้ฝึกกระบี่อวี่ซื่อ ในเนื้อหาของรายงานลับของทางฝั่งตำหนักหลบร้อน เมื่อเทียบกับของจู๋เชี่ยและของหลิวป๋ายแล้ว รายละเอียดกลับมีเยอะยิ่งกว่า
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตชื่อว่า ‘น้ำตก’
หลังจากที่อวี่ซื่อเรียกกระบี่บินออกมา ก็เหมือนเขาได้สวมใส่ผ้าบุนวมตัวหนาในช่วงเวลาที่อากาศหนาวเหน็บพอดี
ดังนั้นต่อให้จะถูกกระบี่บินที่ตัดสลับบินฉวัดเฉวียนอย่างกำเริบเสิบสานพวกนั้นกักตัวเอาไว้ แต่กลับยังพอจะประคับประคองตนต่อไปได้
ถ้าหากหลิวป๋ายเปลี่ยนตำแหน่งกับอวี่ซื่อ ป่านนี้หลิวป๋ายก็น่าจะตายไปแล้ว
วิชาอภินิหารของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มของเฉินผิงอันสามารถสยบกำราบกระบี่บินที่แปลกประหลาดของหลิวป๋ายได้พอดี
น่าเสียดายก็แต่ไม่มี ‘ถ้าหากที่ดี’ แบบนี้ ศึกในวันนี้ส่วนใหญ่แล้วมีแต่เรื่องไม่คาดฝันและหนึ่งในหมื่นที่ไม่ดีทั้งนั้น
สมบัติล้ำค่าสามชิ้นของผู้ฝึกยุทธโหวขุยเหวินถูกคนเล่นตุกติกมาก่อน การลงมืออย่างเด็ดเดี่ยวของผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่ม ความอำมหิตที่หลิวป๋ายผู้เป็นสตรีมีต่อสหายร่วมรบ…
ส่วนในฟ้าดินขนาดเล็กบ้านของตน วิชาอภินิหารพับขุนเขาสายน้ำเหมือนพับกระดาษ ได้แรงจูงใจมาจากเมื่อครั้งที่เฉินผิงอันได้เห็นภาพบรรยากาศประหลาดยามอาจารย์เหมาตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมในเมืองหลวงต้าสุย
น่าเสียดายก็แต่เฉินผิงอันยังไม่สามารถควบคุมอย่างถนัดมือได้อย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นการฝืนฝ่าค่ายกลของหลีเจินและจู๋เชี่ยคงอยู่ไกลเกินกว่าที่จะทำได้สำเร็จในเวลาหนึ่งก้านธูป เพราะกระบี่บิน ‘นกในกรง’ ไม่ใช่ค่ายกลภูเขาสายน้ำที่เป็นของไร้ชีวิต เมื่อเทียบกับสำนักศึกษา วัดวาอารามเต๋าหรือซากปรักสนามรบที่อริยะเฝ้าพิทักษ์แล้ว ก็ยังมีความแตกต่าง อาณาเขตขุนเขาสายน้ำที่ฝ่ายหลังเฝ้าพิทักษ์แทบจะมั่นคงแน่นอน แต่นกในกรงที่เฉินผิงอันสร้างขึ้นมานี้กลับเป็นสถานที่ที่ไม่ว่าเดินผ่านที่ใดก็ล้วนเป็นฟ้าดิน ขณะเดียวกันก็ยังมีสาเหตุมาจากการที่เฉินผิงอันเป็นอิ่นกวาน จึงไม่สามารถตั้งใจฝึกตนหลอมกระบี่ได้อย่างเต็มที่อีกด้วย ไม่อย่างนั้นการแบ่งระดับชั้นของฟ้าดินกรงในกรงประเภทนี้ จะยิ่งราบรื่นเป็นไปตามใจปรารถนา รัดกุมแน่นหนาจนน้ำสักหยดก็ไหลออกไปไม่ได้
แต่ไหนแต่ไรมาเรื่องราวบนโลกก็มักจะเป็นเช่นนี้เสมอ ไม่มีใครที่ได้เปรียบไปเสียทั้งหมด
หากไม่ได้เป็นอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินผิงอันก็ไม่มีทางหลอมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ ‘สอดคล้องกับมหามรรคา’ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่สองเล่มนี้ออกมาได้
ตอนนี้อวี่ซื่อยังสามารถรักษาชีวิตรอดเอาไว้ได้ก็จริง แต่ต้องไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุขแน่นอน
นอกจากอิ่นกวานหนุ่มจะใช้กระบี่บินสังหารศัตรูแล้ว เมื่ออยู่ในสถานที่ไร้กฎเกณฑ์ที่สยบกำราบกระบี่บินของอีกฝ่าย แต่กระบี่บินของตัวเองกลับโคจรได้อย่างราบรื่นว่องไวแห่งนี้ เขายังออกหมัดด้วยสถานะของผู้ฝึกยุทธ สองมือถือมีด คอยปรากฏตัวอย่างลึกลับอีกด้วย
เลือดเนื้อบนใบหน้าของอวี่ซื่อถูกเฉินผิงอันใช้มีดเฉือนออกไปก้อนใหญ่ บนร่างก็ยิ่งเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ
โชคดีที่ทั้งไม่มีปราณกระบี่ขดตัวอยู่ในช่องโพรงลมปราณสำคัญ แล้วก็ไม่มีพายุลมกรดที่สะเทือนช่องโพรงลมปราณ ถึงอย่างไรอวี่ซื่อก็มีเรือนกายของผู้ฝึกกระบี่ จึงยังไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงจนถึงชีวิต
เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับมาดสง่างามดุจต้นไม้หยกรับลมตอนที่อวี่ซื่อปรากฎตัวครั้งแรกก็แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวแล้ว
ทันใดนั้นก็มีกระบี่หนึ่งแหวกม่านฟ้าออกมา
กระบี่ยาวถูกส่งออกไปนอกฟ้าดิน จู๋เชี่ยอาศัยปณิธานกระบี่เป็นเส้นๆ ที่หลงเหลืออยู่ตามมาจนพบที่แห่งนี้
ร่างของเฉินผิงอันหายวับไป โคจรฟ้าดิน เดิมทีเขาก็กำลังรอกระบี่นี้อยู่ ถึงได้จงใจทิ้งปณิธานกระบี่น้อยนิดนั่นเอาไว้
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหลิวป๋ายยากที่จะตามหาร่องรอยได้พบ ทว่าปณิธานกระบี่ของจู๋เชี่ยที่ปรากฏอยู่ในสายตาเฉินผิงอันกลับไม่ต่างจากแสงหิ่งห้อยในม่านราตรีที่อยู่ใกล้ในระยะประชิดเลยแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันไม่อาจเล่นงานอวี่ซื่อที่มีปราณกระบี่บินน้ำตกคอยปกป้องคุ้มกันกายได้ เขาจึงพลิกกลับฟ้าดิน ให้อวี่ซื่อที่กำลังง่วนอยู่กับการต้านทาน ‘จันทร์ใต้บ่อ’ กระบี่บินที่เพิ่มมาร้อยเล่มพุ่งไปอยู่ในตำแหน่งที่แสงกระบี่เส้นนั้นฟันลงมาพอดี
จู๋เชี่ยใช้เสียงในใจเอ่ยเตือน “อวี่ซื่อ!”
จู๋เชี่ยไม่ได้เอ่ยอะไรไปมากกว่านั้น ด้วยไม่อยากเปิดเผยความลับทางฝั่งพวกเขา
ต้องดูที่ความรู้ใจกันระหว่างพวกเขาแล้ว
อวี่ซื่อไม่ทำให้จู๋เชี่ยผิดหวัง เขายื่นมือไปคว้าแสงกระบี่เส้นนั้นเอาไว้
แล้วแสงกระบี่ก็พลันคดงอเหมือนเชือกเส้นหนึ่ง จู๋เชี่ยใช้จิตบังคับปณิธานกระบี่แล้วกระชากมันขึ้นมา หมายจะลากอวี่ซื่อที่กำแสงกระบี่เส้นนี้ไว้แน่นให้ออกไปจากฟ้าดินขนาดเล็กที่คล้ายกรงขังขนาดใหญ่แห่งนี้
เพื่อป้องกันไม่ให้เฉินผิงอันฉวยโอกาสนี้ลงมือ หลีกเลี่ยงไม่ให้กลายเป็นว่าช่วยคนไม่สำเร็จแล้วยังถูกเฉินผิงอันลอบฆ่าอวี่ซื่อที่ทิ้งร่องรอยการหลบหนีให้ตามเจอได้อีก หลิวป๋ายไม่จำเป็นต้องให้จู๋เชี่ยเอ่ยเตือน ก็เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ราวกับว่าไม่ได้ดำรงอยู่บนโลกเล่มนั้นออกมา
ขณะที่จู๋เชี่ยออกกระบี่ก็ได้มายืนอยู่ตรงหัวไหล่ของกายธรรมเทพหญิง
เฉินผิงอันถอนหายใจนิดๆ ปล่อยให้จู๋เชี่ยช่วยอวี่ซื่อกลับไป ส่วนเขาจะฆ่าเด็กหนุ่ม เดิมทีเรื่องพวกนี้ต้องไม่ถ่วงเวลากันและกัน
เจ้าช่วยคนของพวกเจ้าไป ข้าก็ฆ่าคนของพวกเจ้า ทำการค้าต้องยึดหลักยุติธรรม
ในเมื่อจู๋เชี่ยคาดการณ์ได้ล่วงหน้าแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่ถอยมาเลือกลำดับรอง
ชูอี สืออู่ที่เดินทางข้ามผ่านพันภูเขาหมื่นแม่น้ำมาพร้อมกับเฉินผิงอัน ในที่สุดก็เผยกายบนโลกพร้อมกัน
จากนั้นด้านหลังเทพหญิงก็พลันมีกายธรรมชุดเขียวที่ใหญ่โตมโหฬารยิ่งกว่าภูเขาปรากฎขึ้นมา นิ้วทั้งสิบของสองมือประสานกันเป็นหมัดแล้วทุบใส่หัวของนางโดยตรง
จู๋เชี่ยที่ถือกระบี่ไว้ในมือปาดกระบี่ขึ้นไปบนฟ้า
แสงกระบี่จันทร์เสี้ยวปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง พุ่งเข้าฟาดฟันสองมือที่กำเป็นหมัดของกายธรรมเฉินผิงอันให้ขาด
ในเมื่อสังหารจุดอ่อนของพวกผู้ฝึกกระบี่ที่มาล้อมฆ่าไม่สำเร็จ
ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะมอบเรื่องไม่คาดฝันให้อีกฝ่าย สังหารคนที่แข็งแกร่งที่สุด
เฉินผิงอันบังคับสับเปลี่ยนความหนาบางของฟ้าดิน ให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในขุนเขาสายน้ำที่พับได้ ใช้ความเร็วที่มากกว่าการชักนำจากซงเจินไฮเหลยบวกกับยันต์ย่อพื้นที่มาโผล่อยู่ด้านหลังของจู๋เชี่ยในเสี้ยววินาที
จู๋เชี่ยถูกคนต่อยเข้าที่หัวใจด้านหลัง ร่างทั้งร่างจึงพลัดตกลงจากไหล่ของกายธรรมเทพหญิง ไปหล่นกระแทกกลางหลุมใหญ่ที่ห่างไปไกล
ส่วนเฉินผิงอันก็ถูกจู๋เชี่ยพลิกมือกลับจ้วงแทงกระบี่เข้าใส่ ตรงหน้าท้องจึงรับกระบี่ของอีกฝ่ายไปอย่างจัง จู๋เชี่ยสามารถหลบได้แต่กลับไม่หลบ เห็นได้ชัดว่าต้องการแลกเปลี่ยนอาการบาดเจ็บกับเฉินผิงอัน
ชูอีกับสืออู่กำลังพุ่งชนเข้ากับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหลิวป๋ายไม่ต่ำกว่าร้อยครั้งแล้ว
วิธีการของเฉินผิงอันไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ระหว่างฟ้าดินพลันปรากฏแม่น้ำยาวจากยันต์ขึ้นมาสองสาย ส่องแสงสีทองอร่ามเป็นประกาย พากันซัดกรากเข้าหาอวี่ซื่ออย่างดุดัน
ต่อให้จะถูกหนึ่งหมัดต่อยจนกระเด็นออกไป จู๋เชี่ยก็ยังดึงแสงกระบี่เส้นนั้นเอาไว้ ทำให้กลางอากาศถูกวาดเป็นวงโค้งขนาดใหญ่ พยายามจะกระชากอวี่ซื่อมาหาตน
ส่วนหลิวป๋ายนั้นจับไหล่จวินทาน บังคับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตให้ขัดขวางชูอีสืออู่ต่อไป ส่วนนางพาจวินทานขี่กระบี่ขยับห่างออกไป จะไม่ยอมให้โอกาสเฉินผิงอันได้เข้ามาต่อสู้ประชิดตัวเด็ดขาด
แล้วก็จริงดังคาด อิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นตามอวี่ซื่อไปติดๆ
ทว่าอวี่ซื่อกลับคำรามอย่างเดือดดาล “หลิวป๋าย!”
หัวสมองของสตรีผู้ฝึกกระบี่ว่างเปล่าขาวโพลน อาศัยสัญชาตญาณโยนเด็กหนุ่มจวินทานที่อยู่ในมือออกไป นางเตรียมจะระเบิดโอสถทองแล้วค่อยบังคับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตให้แทงเข้าที่หัวใจตัวเอง หวังว่าจะฆ่าตัวเองก่อนแล้วค่อยสังหารอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้น
แต่อีกฝ่ายกลับใช้ห้านิ้วกุมลำคอของนางเอาไว้แน่น กระชากไปด้านหลัง พานางออกห่างมาจากตำแหน่งเดิม จากนั้นเฉินผิงอันก็บิดข้อมือแรงๆ หักคอของหลิวป๋าย
ยิ่งใช้หนึ่งหมัดต่อยเข้าที่กระดูกสันหลังของหลิวป๋ายเต็มแรง พายุหมัดกระเทือนแทรกซึมเข้าไปในร่างกาย ซัดทำลายลมปราณของหลิวป๋ายให้แหลกสลาย แม้แต่ความคิดจิตใจก็ติดร่างแหไปด้วย กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เดิมทีนางบังคับให้บินมาตามทิศทางเดิมจึงเกิดหยุดชะงักไปเสี้ยวเวลาหนึ่ง
เฉินผิงอันกำลังจะต่อยซ้ำอีกที พยายามจะต่อยทะลุทั้งแผ่นหลังของหลิวป๋ายไปให้ได้ ไม่เพียงแต่จะกระเทือนทั้งกระดูกสันหลังและโอสถทองของอีกฝ่ายให้แหลกสลายคาที่ ยังจะสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะของนางให้ขาดอย่างสิ้นเชิงด้วย
คิดไม่ถึงว่าหน้าผากของเฉินผิงอันจะเหมือนถูกค้อนทุบอย่างแรง ร่างถูกบีบให้ต้องหายตัวไป
แม้ว่าเรือนกายที่เป็นเลือดเนื้อของหลิวป๋ายจะถูกทำลาย แต่ถึงอย่างไรก็พอจะปกป้องรากฐานมหามรรคาครึ่งหนึ่งเอาไว้ได้ เพียงแต่ว่าหากคิดจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน โดยเฉพาะขอบเขตเซียนเหริน ชีวิตนี้ความหวังคงพร่าเลือนเต็มที ยากที่จะเดินขึ้นฟ้าได้อีกแล้ว
เฉินผิงอันชำเลืองตามองบริเวณใกล้เคียงกับหน้าผากของสตรีผู้นั้นแวบหนึ่ง
เป็นเด็กหนุ่มคนนั้นที่แอบทิ้งยันต์แผ่นหนึ่งไว้บนร่างของสตรี
เพื่อร่ายยันต์ช่วยชีวิตแผ่นนั้น เด็กหนุ่มที่เดิมทีก็บาดเจ็บอยู่แล้วยิ่งเจ็บหนักกว่าเดิม กระอักเลือดไม่หยุด คราบเลือดเปรอะเปื้อนเต็มใบหน้า เส้นสายตาพร่าเลือน แต่กระนั้นเด็กหนุ่มก็พยายามฝืนยกมือขึ้นกวัก เรียกให้โอสถทองและวิญญาณของสตรีที่ถูกยันต์ห่อหุ้มไว้มาหา ก่อนจะถูกเด็กหนุ่มเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ ทำทุกอย่างนี้เสร็จ จวินทานก็แทบจะหมดสติไป ฝืนประคองสติเสี้ยวสุดท้ายที่เหลืออยู่ เด็กหนุ่มยื่นมือออกไปอีกครั้ง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องเก็บเอาเรือนกายของพี่หญิงหลิวป๋ายมาให้ได้
คิดไม่ถึงว่าบนม่านฟ้าจะปรากฏเสาลำแสงหลายเส้นที่ไม่รู้ว่าควรจะเรียกว่าเป็นแสงกระบี่หรือแสงดาวกันแน่ พวกมันพุ่งเข้ามาโอบอุ้มร่างของจู๋เชี่ย อวี่ซื่อ จวินทานและเรือนกายที่ไร้ชีวิตของหลิวป๋ายไว้ภายใน
เฉินผิงอันเพิ่งจะหลบลำแสงที่พุ่งเข้าหาร่างของหลิวป๋ายมาได้ แต่ขนาดอยู่ในฟ้าดินเล็กของตัวเองเขากลับมิอาจหลบเลี่ยงลำแสงนั้นได้ จึงถูกแสงเส้นที่สองกระแทกเข้าใส่
ส่วนเนื้อหนังมังสาของหลิวป๋ายก็ถูกลำแสงชะล้างจนแหลกลาญไปแล้ว
เฉินผิงอันถูกกระแทกให้ร่วงลงพื้น ร่างของเขาเซอยู่กลางอากาศ พลิกหมุนตัวทีหนึ่งหลบเสาลำแสงที่ตามติดเป็นเงานั้นมาได้ จากนั้นพับภูเขาสายน้ำ พริบตาเดียวก็ห่างไปไกลหลายร้อยจั้ง
ร่างของหลีเจินลอยอยู่บนม่านฟ้า ประหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลที่ข้ามผ่านแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาวเข้ามา มือทั้งสองประคองถือดาวกระบวยเหนือทั้งเจ็ดที่เดิมทีควรลอยอยู่กลางม่านราตรีเอาไว้
ดวงดาวเคลื่อนโคจรช้าๆ สี่ฤดูกาลในฟ้าดินขนาดเล็กจึงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนตามไปด้วย สายฟ้าฤดูใบไม้ผลิร้องคำราม อากาศฤดูร้อนร้อนแผดเผา สายลมฤดูใบไม้ร่วงเยียบเย็น หิมะใหญ่ปลิวปราย การโคจรบนมหามรรคาประหนึ่งแท่นโม่ที่หมุนบดขยี้หมื่นสรรพสิ่ง
ในช่วงเวลาระหว่างนี้ ปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนที่จู๋เชี่ยจัดวางไว้ก่อนหน้านี้ยิ่งเปลี่ยนมาเป็นเฉียบคมมากกว่าเดิม หยดน้ำปณิธานกระบี่ที่อยู่ระหว่างฟ้าดินมารวมตัวกันกลายเป็นแม่น้ำปราณกระบี่สายยาวที่ขยับขยายไปอย่างต่อเนื่อง กระเพื่อมสะเทือนไม่หยุด สายน้ำไหลบ่าล้นทะลักท่วมฟ้า
หากเฉินผิงอันไม่เก็บวิชาอภินิหารของกระบี่บินนกในกรงมา ก็ต้องตกอยู่ในสนามรบอันยากลำบากที่ต้องแข่งเรื่องการเผาผลาญพลังจิตกับหลีเจิน
ร่างของเฉินผิงอันโผล่อยู่ในฟ้าดินเล็กแล้วก็หายวับไปอยู่หลายต่อหลายครั้ง
เฉินผิงอันพลันไถลร่างออกไปด้านข้างสิบกว่าจั้งแล้วหยุดยืนนิ่ง
นกในกรงที่จำแลงฟ้าดินขนาดเล็กออกมารวมตัวกันกลายเป็นกระบี่เล่มหนึ่งที่พุ่งกลับเข้าไปในช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอัน
ฟ้าดินขนาดเล็กหายวับไป
เฉินผิงอันยืนอยู่บนเนินเหนือหลุมใหญ่ หลีเจินลอยตัวอยู่กลางอากาศเหนือหลุม แต่อันที่จริงก็ห่างมาแค่สิบกว่าจั้งเท่านั้น ชั้นวางกระบี่ที่จู๋เชี่ยสะพายไว้ด้านหลังอยู่ตรงกลางก้นหลุมพอดี อวี่ซื่อจับประคองจวินทานยืนอยู่ริมขอบด้านบนสุดของหลุมลึก
ค่ายกลกระบี่ที่จู๋เชี่ยฝังไว้ใต้ดินกำลังจะโคจร
ทว่าฟ้าดินกลับเปลี่ยนไปอีกครั้ง
คราวนี้เมื่อเทียบกับอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลก่อนหน้านี้ ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้กลับคับแคบกว่ามาก
รัศมีแค่สิบกว่าลี้เท่านั้น
เป็นสถานที่พิลึกพิลั่นที่ทุกหนทุกแห่งมีแต่หลุมศพ เพียงแต่ว่ารอบด้านหลุมศพกลับมีต้นหลิวต้นหยางขึ้นเรียงราย
นี่ก็คือสภาพจิตใจที่แท้จริงของอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นงั้นหรือ?
จู๋เชี่ยที่สภาพจิตใจเหมือนน้ำนิ่งมาโดยตลอดเผยอารมณ์กราดเกรี้ยวอย่างที่หาได้ยาก
อวี่ซื่อที่ใช้ ‘น้ำตก’ กระบี่บินของตัวเองปกป้องตัวเขาและจวินทานเอาไว้เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในใจเคียดแค้นชิงชัง
เฉินผิงอันผู้นี้ฆ่าได้ยากเย็นขนาดนี้เชียวหรือ?!
หลีเจินยกมือขึ้นง่ายๆ ก็สัมผัสโดนม่านฟ้า จุ๊ปากยิ้มเอ่ย “ใต้เท้าอิ่นกวานที่ถนอมชีวิตเป็นที่สุด คราวนี้ไม่คิดจะหนีแล้วจริงๆ หรือ?”
ต่อจากนี้คนที่เฉินผิงอันสามารถฆ่าได้ อย่างมากสุดก็แค่เอาชีวิตครึ่งหนึ่งของจวินทานไป บวกกับอวี่ซื่ออีกคน
ส่วนตนหลีเจินกับจู๋เชี่ยผู้นั้น ท่ามกลางการล้อมสังหารที่วุ่นวายเต็มไปด้วยแผนการชั่วร้ายสกปรกครั้งนี้ ล้วนไม่ขาดแคลนกระบี่บินและพลังสังหาร ขาดก็แค่การออกกระบี่อย่างเต็มกำลังเท่านั้น
เฉินผิงอันที่ถูกกักตัวอยู่ด้านในเรือนกายโงนเงน เห็นได้ชัดว่าการเรียกนกในกรงออกมาสองครั้ง แล้วใช้กำลังของตัวเองคนเดียวรับมือกับศัตรูห้าคน ไม่ว่าจะเป็นเรือนกายของผู้ฝึกยุทธที่โดนซ้ำเติมเหมือนเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะครั้งแล้วครั้งเล่า หรือปราณวิญญาณของผู้ฝึกตนที่ช่วยประคับประคองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตทั้งสองเล่ม แล้วยังมีพลังชีวิตของตัวเขาเอง เวลานี้ล้วนเป็นดั่งม้าตีนปลายแล้ว
หลีเจินส่ายหน้า สีหน้าเวทนา “วิดน้ำให้แห้งเพื่อจับปลา คือวิถีแห่งความตาย”
แม้สีหน้าจะผ่อนคลาย ทว่าในใจก็อัดอั้นอย่างถึงที่สุด
หากรู้วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินทั้งสองเล่มของเฉินผิงอันมาตั้งแต่แรก ห้าคนของฝ่ายตนก็คงไม่มีทางตกอยู่ในสภาพน่าสมเพชเช่นนี้ หากมีแผนรับมือมาก่อน อย่าว่าแต่เขาหลีเจินเลย ตัวอ่อนเซียนกระบี่อีกสี่คนที่เหลือ ขอแค่เปิดปากเรียกร้อง ใครเล่าจะขาดแคลนสมบัติอาคมติดกาย? สมบัติอาคมที่ใช้โจมตีและวิชาลับทั้งหลายที่พวกเขาเตรียมมาไว้ก่อนหน้านี้ไม่มีโอกาสให้เอาออกมาใช้เลยแม้แต่น้อย ผลคือจนถึงตอนนี้ก็ยังล้อมฆ่าอีกฝ่ายไม่สำเร็จ แถมยังทำให้มหามรรคาของหลิวป๋ายและจวินทานได้รับผลกระทบ ความสำเร็จในวันหน้าถูกจำกัด
เพียงแต่ว่าบนเส้นทางการฝึกตน ต่อให้มีทองพันชั่งก็ยากจะซื้อ ‘รู้อย่างนี้แต่แรก’ มาได้
เฉินผิงอันใช้หมัดทุบฝ่ามือหนักๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มาส่งทุกท่านออกเดินทาง ระมัดระวังกันด้วยเล่า”
สี่ด้านแปดทิศะหว่างฟ้าดิน นับตั้งแต่จุดที่เป็นอาณาเขตกีดขวางทั้งหมดของฟ้าดินเล็กที่ฟ้ากลมดินเหลี่ยมนี้ พลันปรากฏกระบี่บิน ‘จันทร์ใต้บ่อ’ จำนวนนับไม่ถ้วนที่พากันขยับดาหน้าเข้าหาผู้ฝึกกระบี่ทั้งสี่ท่านช้าๆ
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ไร้เหตุผลอีกเล่มหนึ่งแล้ว!
ในใจหลีเจินพรั่นผวา
ไอ้บ้านี่คิดจะแลกชีวิตกันจริงๆ หรือไร?
จู๋เชี่ยขมวดคิ้วแน่น แม้จะต้องตายอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้ก็ไม่ยินดีจะถูกคนอื่นใช้กระบี่บินสังหาร ก็เลยเลือกจะเดิมพันด้วยชีวิตและมหามรรคา จะอย่างไรก็ต้องฆ่าพวกเขาเพิ่มให้ได้อย่างนั้นหรือ?
ครู่หนึ่งต่อมา
เฉินผิงอันทิ้งตัวไปด้านหลัง
กระบี่บินสองเล่มอย่างนกในกรงและจันทร์ใต้บ่อพุ่งกลับช่องโพรงลมปราณในเสี้ยววินาที
ดังนั้นหลีเจินที่เพิ่งจะมารู้ความจริงภายหลังจึงอดสบถด่ามารดาอีกฝ่ายไม่ได้
ที่แท้ตำแหน่งที่เฉินผิงอันทิ้งตัวถอยหลังไปคือมุมกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว
นี่หมายความว่าพวกเขาทุกคนถูกเจ้าอิ่นกวานหนุ่มชาติสุนัขผู้นี้หลอกเข้าให้แล้ว
ใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มมาเดิมพันด้วยชีวิตกับพวกเขาคือเรื่องหลอก พับภูเขาสายน้ำสับเปลี่ยนสนามรบต่างหากถึงจะเป็นเรื่องจริง
ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นตามมาติดๆ ต่อจากนั้น สำหรับใต้หล้าเปลี่ยวร้างและกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว ล้วนถือเป็นเรื่องไม่คาดฝันที่ใหญ่เทียมฟ้าทั้งสิ้น
อันดับแรกปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ท่านหนึ่งที่แฝงตัวอยู่ในสนามรบเผยกาย สะบัดขายแขนเสื้อใหญ่หอบเอาจู๋เชี่ยที่ออกกระบี่เรียบร้อยและพวกหลีเจินที่คิดจะถอยร่นมาเก็บไว้ในจักรวาลชายแขนเสื้อของตน ขณะเดียวกันก็ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง
เว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะปล่อยกระบี่เข้าใส่เวทคาถาที่ปีศาจใหญ่ตนนั้นใช้เล่นงานเฉินผิงอัน
ลู่จือเตรียมจะออกไปจากหัวกำแพงเมือง
ชายฉกรรจ์เคราดกสะพายกระบี่ไว้ข้างหลังพกดาบไว้ตรงเอวใช้สองหมัดต่อยให้เซียนกระบี่ที่อยู่เหนือแม่น้ำยาวปราณกระบี่ถอยร่นออกไป ขยับมายืนอยู่บนสนามรบที่ใกล้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยื่นมือไปกดด้ามดาบเอาไว้ แหงนหน้ามองเซียนกระบี่ใหญ่หญิงลู่จือ
ขอแค่ลู่จือไม่ออกกระบี่ เขาก็ไม่ชักดาบ
นี่ยังไม่ถือว่าเป็นเรื่องไม่คาดฝัน ‘ใหญ่เทียมฟ้า’
เฉินชิงตูแหงนหน้ามองไปแล้วก็คลี่ยิ้ม
ผู้เฒ่าชุดเทาของกระโจมเจี่ยจื่อเดินออกมาจากกระโจมทัพ คล้ายกับว่าต้องการเห็นภาพนี้กับตาตัวเอง
ม่านฟ้าที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างและกำแพงเมืองปราณกระบี่ใช้ร่วมกัน
แสงสายรุ้งที่ใหญ่โตราวขุนเขาเส้นหนึ่งแหวกผ่านพันธนาการอันยิ่งใหญ่ของตลอดทั้งใต้หล้า ร่วงดิ่งลงมาบนสนามรบเป็นแนวเส้นตรง ไม่ได้ขยับเข้าใกล้กำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่กลับตรงไปยังใจกลางทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจที่อยู่ทางทิศเหนือของแม่น้ำยาวสีทอง
บนสนามรบขนาดใหญ่ที่กินรัศมีหลายร้อยจั้ง แผ่นดินพลันปริแตก กระเทือนให้กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจบาดเจ็บล้มตายกันเป็นแถบใหญ่
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่มาจากนอกฟ้างอเข่าเล็กน้อย ยืนอยู่บนสนามรบ ยกมือสองข้างขึ้นแนบหน้าผากแล้วปาดเสยผมไปด้านหลังช้าๆ
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นยืดเอวตรง กวาดตามองรอบด้านที่มีแต่เผ่าปีศาจแล้วพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “พวกเจ้าถูกข้าล้อมไว้หมดแล้ว”