กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 667.1 บนบ่าและในใจ
แสงจันทร์ไม่แบ่งยากดีมีจน แสงจันทร์ที่ส่องลงมาบนประตูเป็นแขกที่ไม่เคาะประตู ถนนอวี้ฮู่ก็ไปเยือน ตรอกเหยียนชือก็ไม่เว้น
แสงอาทิตย์ขับไล่ความชั่วร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมอบความอบอุ่นเหมือนผ้าฝ้ายบุนวมให้ในวันที่อากาศหนาวเย็น ที่ตรอกเหยียนชือก็ได้สวม ถนนอวี้ฮู่ก็ได้ใส่
เฉินผิงอันนั่งอยู่ในศาลาบนหน้าผาสังหารมังกรเพียงลำพังตลอดทั้งคืน ยามค่ำคืนเขาไม่มีความกล้ามากพอจะไปเคาะประตูเรือนของหนิงเหยา มารดามันเถอะ ใครบอกว่าดื่มเหล้าแล้วจะเปลี่ยนจากคนขี้ขลาดเป็นคนกล้า ไม่เห็นจะมีประโยชน์กับผายลมอะไรเลย
ดวงตะวันลอยสูงโด่ง เฉินผิงอันก็ขี่กระบี่ออกจากนครมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์หลบร้อนอีกครั้ง พวกผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นอย่างโฉวเหมียว ต่งปู้เต๋อ นอกจากผังหยวนจี้แล้ว ทุกคนล้วนไม่มีใครอยู่ ผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นอย่างพวกเติ้งเหลียง นอกจากหลินจวินปี้แล้ว ทุกคนต่างก็พากันไปเยี่ยมเยียนผู้อาวุโสเซียนกระบี่จากบ้านเกิดของตัวเอง หรือไม่ก็ไปพูดคุยกับสหายสนิท ดังนั้นถึงท้ายที่สุดจึงเหลือแค่หลินจวินปี้กับผังหยวนจี้ที่นั่งเล่นหมากล้อมด้วยกัน เฉินผิงอันยึดหลักไม่พูดคุยตอนดูคนเล่นหมากล้อม ฝีมือในการเล่นของหลินจวินปี้เหนือกว่าผังหยวนจี้ระดับหนึ่ง แพ้ชนะไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น เฉินผิงอันดูอยู่ครู่หนึ่งก็ไปพลิกเปิดเอกสารในคลังเก็บข้อมูล ผลคือหลินจวินปี้วิ่งมาบอกว่าเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ฮู่มาเยือนบอกว่าต้องการพบใต้เท้าอิ่นกวาน แต่เซียนกระบี่ใหญ่ท่านนี้ยังนับว่าทำตามกฎเกณฑ์ ไม่มีท่าทีว่าจะเข้าประตูมา
เฉินผิงอันบอกให้หลินจวินปี้ไปเล่นหมากล้อมต่อ ส่วนตัวเองไปที่หน้าประตูใหญ่ ได้พบกับหมี่ฮู่ พี่ชายของหมี่อวี้ลูกสมุนในสายอิ่นกวานของตน ขอบเขตเซียนเหรินคนใหม่ล่าสุดและอายุน้อยที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่
เฉินผิงอันกุมหมัดยิ้มกล่าว “แขกที่หาได้ยาก”
หมี่ฮู่ไม่คิดจะพูดจาทักทายตามมารยาทอะไร เขาเอ่ยตามตรงว่า “เดินไปคุยกันไป”
คนทั้งสองเดินเคียงบ่ากันไป หมี่ฮู่เอ่ยเข้าประเด็นทันทีว่า “เฉินผิงอัน วันนี้ข้ามาหาเจ้าเพราะมีเรื่องอยากจะขอร้อง เป็นทั้งเรื่องส่วนรวม แล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เชิญพูดได้เลย”
หมี่ฮู่เอ่ย “รอจนสงครามสิ้นสุดลง ข้าหวังว่าจะอาศัยผลการต่อสู้อันน้อยนิดของข้าช่วยให้น้องชายของข้าที่ตอนนี้อยู่ที่ภูเขาห้อยหัวได้ไปอยู่ในสถานที่ใดก็ตามที่เขาอยากไป ยกตัวอย่างเช่นใต้หล้าไพศาลของพวกเจ้า”
เฉินผิงอันตอบ “ผลงานทางการสู้รบน่าจะพอ แต่ถึงอย่างไรหมี่อวี้ก็เป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบ การจากไปและการดำรงอยู่ของเซียนกระบี่ทุกท่านล้วนต้องทำตามกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร นั่นคือต้องได้รับคำอนุญาตจากเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเสียก่อน ถือเป็นการทำให้พอเป็นพิธี สายอิ่นกวานของพวกเราถึงจะสามารถอนุมัติได้ เรื่องนี้ถึงจะถือว่าเป็นเรื่องที่แน่นอนมิอาจปฏิเสธ ถึงเวลานั้นคนนอกไม่ว่าใครก็มิอาจซุบซิบนินทาได้”
หมี่ฮู่กล่าว “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสตอบตกลงแล้ว”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “ในเมื่อเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสยังตอบตกลง อันที่จริงเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ก็ไม่จำเป็นต้องมาหารือกับข้า หมี่อวี้ย่อมมีทางให้ถอยอย่างไร้กังวล อยู่ที่ใต้หล้าไพศาล เซียนกระบี่ที่ล้ำค่ายิ่งกว่าใคร ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่ตัวเขาเองยินดีก็พอ จะไปอยู่ในศาลบรรพจารย์ของตระกูลเซียนบนภูเขา หรือไปอยู่ในตำหนักจินหลวนของราชวงศ์ล่างภูเขา ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ล้วนเป็นแขกชั้นสูงทั้งนั้น”
หมี่ฮู่เอ่ย “หากไปอยู่ต่างถิ่นแล้วน้องชายของข้าไม่มีใครคอยช่วยดูแล ข้าก็ยังไม่วางใจอยู่ดี ฝึกตนบนภูเขาของใต้หล้าไพศาล เมื่อเทียบกับการหลอมกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่พวกเราแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ แม้ข้าจะไม่เคยไปสัมผัสกับตัวเองมาก่อน แต่ก็รู้ชัดเจนดี มีแต่การปัดแข้งปัดขา เต็มไปด้วยกลิ่นอายมลพิษ พวกนักต้มตุ๋นที่หลอกลวงคนมีให้เกลื่อน หมี่อวี้พอจะมีความสามารถในการคบค้าสมาคมกับสตรีอยู่บ้าง แต่หากเกิดการช่วงชิงบนมหามรรคากับพวกผู้ฝึกตนขึ้นมา จิตใจของน้องชายข้าบริสุทธิ์ซื่อตรง ย่อมต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่”
เฉินผิงอันรู้ดีว่าความหมายของเซียนกระบี่ใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินท่านนี้ก็คือ ต้องการให้คนต่างถิ่นที่มาจากใต้หล้าไพศาลอย่างตนช่วยใส่ใจให้มากหน่อย
เพียงแต่ว่าเรื่องบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นสัญญาที่ให้ไว้กับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส หรือสภาพการณ์ของตนในอนาคต เฉินผิงอันไม่อาจนำมาแพร่งพรายก่อนกำหนดได้ ดังนั้นจึงได้แต่ใคร่ครวญหาถ้อยคำที่เหมาะสมเอาไว้ก่อน
ส่วนข้อที่ว่าในถ้อยคำของหมี่ฮู่มีการกระทบกระเทียบใต้เท้าอิ่นกวานเช่นตนหรือไม่ เฉินผิงอันเป็นผู้ใหญ่ย่อมใจกว้าง จึงคิดเสียว่าเป็นลมที่ลอยผ่านข้างหูไป
หมี่ฮู่เอ่ย “ขอแค่เจ้ายอมตอบตกลง ข้าจะต้องตอบแทนอย่างหนักแน่นอน หากพูดถึงเรื่องการค้า ข้าเชื่อใจเถ้าแก่รอง”
ถูกคนเข้าใจผิดเสียแล้ว
แต่เฉินผิงอันกลับไม่ได้อธิบายอะไร “ตอบแทนอย่างหนักอะไรนั่นก็ช่างเถิด สองปีที่หมี่อวี้อยู่ในสายอิ่นกวานมานี้ก็ถือว่าสะสมคุณความชอบทางการสู้รบเอาไว้ไม่น้อย เจ้าไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนอะไรเพิ่มเติม เพียงแต่ว่าเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ นอกจากข้อตกลงเป็นการส่วนตัวระหว่างเจ้ากับข้าแล้ว อันที่จริงหมี่อวี้คิดอย่างไร นั่นต่างหากจึงจะเป็นกุญแจสำคัญ”
หมี่ฮู่ขมวดคิ้ว “ด้วยความสัมพันธ์ควันธูปที่ใต้เท้าอิ่นกวานมีอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ต่อให้น้องชายของข้าไม่ยอมจากไป เจ้าก็หาเซียนกระบี่สักสองสามคนมาตีเขาให้สลบแล้วลากตัวเขาไปใต้หล้าไพศาลก็สิ้นเรื่องแล้ว”
เฉินผิงอันถาม “ไปถึงใต้หล้าไพศาล หมี่อวี้จะคลายปมในใจอย่างไร? บนเส้นทางของการฝึกตน นี่จะกลายเป็นปัญหายุ่งยากมาก ฝึกตนอยู่ที่นั่น แบกรับสถานะผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เรื่องไม่คาดฝันย่อมมีไม่มาก แต่ขอแค่มีสักเรื่อง นั่นจะต้องเป็นเรื่องที่ใหญ่อย่างมาก”
หมี่ฮู่ยืนกรานหนักแน่น “มีชีวิตอยู่สำคัญที่สุด มีชีวิตอยู่รอดได้วันหนึ่งก็คือวันหนึ่ง แล้วนับประสาอะไรที่อย่าได้ดูแคลนจิตแห่งมหามรรคาของน้องชายข้า เขาไม่ได้เปราะบางอย่างที่เจ้าคิด”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ก็จริงนะ”
แล้วเฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ให้หมี่อวี้ไปอยู่อุตรกุรุทวีป ไปที่สำนักกระบี่ไท่ฮุยหรือไม่ก็ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงของเซียนกระบี่ลี่ไฉ่ ทั้งสองที่นี้ต่างก็ต้องการผู้ถวายงานที่เป็นเซียนกระบี่ แล้วก็ไม่ต้องให้หมี่อวี้ลงสนามรบเข่นฆ่าอะไรด้วย ในอนาคตเขาจะไปอยู่ที่ใดต่อก็ให้หมี่อวี้เป็นคนเลือกเอง”
หมี่ฮู่กล่าวอย่างกังขา “ทำไมถึงไม่ให้ไปอยู่ภูเขาของเจ้า?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้ามีบัญชีเก่ากองใหญ่ติดตัว ต่อให้หมี่อวี้ออกจากภูเขาห้อยหัวไปอยู่ภูเขาลั่วพั่วก็ยังไม่มีชีวิตที่สงบสุขได้อยู่ดี ไม่มีความจำเป็น”
หมี่ฮู่กลับเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ให้หมี่อวี้ไปเป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วเจ้า เป็นผู้ถวายงานแบบที่ได้จุดธูปกราบไหว้ภาพแขวนน่ะ”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เซียนกระบี่ใหญ่หมี่เจ้าเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะพูดจาตรงไปตรงมากับเจ้าก็แล้วกัน หากเป็นแค่การค้า คนโง่เท่านั้นถึงจะปฏิเสธผู้ถวายงานที่เป็นเซียนกระบี่ แต่เป็นเพราะข้าเห็นน้องชายของเจ้าเป็นสหายถึงได้ไม่ต้องการให้เขาไปเหยียบน้ำขุ่นที่แจกันสมบัติทวีป อยู่ที่อุตรกุรุทวีปที่มีความสัมพันธ์ควันธูปกับกำแพงเมืองปราณกระบี่มากที่สุด สถานะของหมี่อวี้ก็คือยันต์คุ้มกันกายที่ดีที่สุดของเขา ที่เหลืออีกแปดทวีปล้วนไม่มีที่ใดเป็นสถานที่ที่ดี”
หมี่ฮู่กล่าว “อิดออดยืดยาดอย่างกับสตรี ให้หมี่อวี้ไปอยู่ภูเขาลั่วพั่วของแจกันสมบัติทวีป อย่าพูดมาก เจ้ากับข้าตกลงกันตามนี้!”
พูดคุยกับเจ้าเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ด้วยเหตุผลดีๆ ไม่ชอบใช่ไหม แล้วยังจะด่าคนอื่นอีกด้วย?
เฉินผิงอันกำลังจะเอ่ยถ้อยคำที่ ‘เป็นกลาง’ นึกไม่ถึงว่าเซียนกระบี่ใหญ่อย่างหมี่ฮู่จะทำสีหน้าอมทุกข์ เป็นฝ่ายเปิดปากพูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วต่ำก่อนแล้ว “น้องชายคนนั้นของข้ามักจะรู้สึกว่าเขาทำให้พี่ชายอย่างข้าขายหน้า ถ้าอย่างนั้นเขาเคยคิดหรือไม่ว่า หากไม่ใช่เพราะพี่ชายของเขาคนนี้โชคดีมีคุณสมบัติด้านการหลอมกระบี่ไม่เลว เรื่องที่ถนัดเพียงอย่างเดียวในชีวิตนี้ก็คือการฝึกกระบี่ ถ้าอย่างนั้นการที่เขาสามารถกลายเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งได้ พี่ชายอย่างข้าจะขายหน้าได้อย่างไร? จะถูกคนทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่มองเป็นตัวตลกได้อย่างไร? ดังนั้นสรุปแล้วใครติดค้างใครกันแน่ ยังคิดไม่เข้าใจอีกหรือ? ข้าหมี่ฮู่ชั่วชีวิตนี้เจ็บแค้นก็แค่ขอบเขตวิถีกระบี่ไม่สูงมากพอ จะเลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหรินก็ยังต้องเจอกับอุปสรรคขัดขวาง มิอาจทำให้คนเลิกหัวเราะเยาะเย้ยหมี่อวี้ได้เสียที”
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก เอ่ยโน้มน้าวเบาๆ ว่า “คำพูดที่อยู่ในใจเหล่านี้ พูดต่อหน้าหมี่อวี้จะดีกว่า”
หมี่ฮู่ส่ายหน้า “ช่างเถิด คำพูดในใจก็เก็บไว้ในใจ หากพบหน้ากันจริงๆ กลับกลายเป็นว่าจะพูดไม่ออก”
กล่าวมาถึงขั้นนี้ เฉินผิงอันก็ไม่มีอะไรให้โน้มน้าวอีกแล้ว
แต่แล้วหมี่ฮู่ก็พลันผรุสวาทดังลั่น “ไอ้พวกผีขี้เหล้า ไอ้แก่ขึ้นคานทั้งหลายที่ไม่รู้กระทั่งว่ารสชาติของสตรีเป็นอย่างไร ก็กล้ามาหัวเราะเยาะน้องชายข้าอย่างนั้นหรือ หัวเราะกับท่านปู่เจ้าสิ แต่ละคนหน้าตาราวกับถูกล้อทับ จะเทียบกับน้องชายข้าได้อย่างไร? ไอ้พวกชายโสดกลุ่มนี้ก็แค่แมลงน่าสงสารที่พอเห็นสตรีก้นใหญ่หน้าอกใหญ่เข้าหน่อยก็ขยับตาไปที่อื่นไม่ได้…”
เฉินผิงอันหันหน้ามามองหมี่ฮู่
เจ้าหมี่ฮู่ก็กล้าว่าคนอื่นด้วยหรือ?
ถึงอย่างไรหมี่ฮู่ก็เป็นเซียนกระบี่ใหญ่ เข้าใจความหมายในสายตาของอิ่นกวานหนุ่มได้โดยพลัน จึงรีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ “คนบางคนไม่ใช่ชายโสดกลับยิ่งกว่าชายโสด ก่อนข้าจะมาที่นี่ได้ยินว่ามีคนไปดื่มเหล้าที่ร้านเหล้าแม่นางเซี่ยกับอาเหลียง แต่กลับไม่ต้องจ่ายเงิน ยังได้ยินมาอีกว่าทุกวันนี้เวลาแม่นางเซี่ยเปิดร้าน หน้าตาแช่มชื่นมีชีวิตชีวา ยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างไรอย่างนั้น”
เฉินผิงอันตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ แสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ ทว่าในใจแอบควักสมุดบัญชีเล่มเล็กๆ ขึ้นมาจดบัญชีของเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ผู้นี้ลงบนหัวหมี่อวี้ผู้เป็นน้องชายเรียบร้อย มารดามันเถอะ เขาจะต้องส่งจดหมายกลับไปที่ภูเขาลั่วพั่ว ให้หมี่อวี้รับหน้าที่แสดงในบุปผาคันฉ่องจันทราในสายน้ำสักปี หากไม่ได้กำไรเป็นเงินฝนธัญพืชก้อนใหญ่มากพอก็กักตัวเขาอยู่บนภูเขาไปเรื่อยๆ นั่นแหละ
คนทั้งสองเดินมาถึงบริเวณเรือนพักส่วนตัวแห่งหนึ่งของเซียนกระบี่ ที่นั่นมีชื่อว่าเรือนเซียนปลูกอวี๋ คือเรือนที่ฐานใต้ดินไม่ธรรมดา เพราะฐานนั้นมาจากป้ายศิลาบทกวีเซียนโผผินบินสู่ดวงจันทร์ที่เซียนกระบี่เจ้าของคนเก่าหล่อหลอม เพียงแต่ว่าเรือนส่วนตัวแห่งนี้ถูกทิ้งร้างมานานหลายปี ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเรือนที่พักของเซียนกระบี่ที่ไม่ได้อยู่ในนครของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ล้วนเป็นเช่นนี้ เซียนกระบี่ตายไป หากแม้แต่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดก็รบตายไปด้วย ควันธูปขาดสะบั้นลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว ก็จะกลายเป็นสถานที่ไร้เจ้าของ จะถูกสายอิ่นกวานเก็บกลับมา แล้วนำมาให้เช่าหรือมอบให้กับเซียนกระบี่คนใหม่
ยกตัวอย่างเช่นคลังเจี่ยจ้างเรือนพักส่วนตัวของสำนักกระบี่ไท่ฮุยที่แลกเปลี่ยนมาด้วยผลงานทางการสู้รบ เรือนว่านเฮ้อเรือนพักส่วนตัวที่เซียนกระบี่ทิ้งไว้ซึ่งเซียนกระบี่หญิงลี่ไฉ่เคยเช่าพักตอนมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ ภายหลังนางได้ไปถูกใจหอถิงอวิ๋นที่ทั้งหลังแกะสลักมาจากหยกมรกตตระกูลเซียนชิ้นหนึ่ง ยินดีซื้อมาด้วยราคาสูงเทียมฟ้า ทว่าแรกเริ่มคฤหาสน์หลบร้อนไม่ได้ตอบตกลง เพราะถึงอย่างไรก็ขัดต่อกฎระเบียบ ทำเอาลี่ไฉ่โมโหอย่างหนัก ส่งกระบี่บินมาให้อิ่นกวานหนุ่ม ในจดหมายด่าเฉินผิงอันเสียจนไม่เหลือชิ้นดี
ภายหลังสถานการณ์การศึกตึงเครียด ขาดแคลนเงินเทพเซียนอย่างหนัก เฉินผิงอันจึงบอกให้ต่งปู้เต๋อไปแจ้งที่เรือนว่านเฮ้อว่าขอแค่เพิ่มราคาไปอีกเท่าตัว ก็จะสามารถซื้อเรือนถิงอวิ๋นทั้งหลังได้
ต่อมาเรือข้ามฟากของเกาะกุ้ยฮวามาถึงภูเขาห้อยหัว หนึ่งในข้าวของที่บรรทุกมาก็มีเงินเกล็ดหิมะหลายหีบที่สกุลเจียงสำนักกุยหยกส่งมาให้
หมี่ฮู่หยุดเดิน เพราะห่างไปไกลมีคนขี่กระบี่พลิ้วกายลงมา ดูท่าแล้วน่าจะมาหาอิ่นกวานหนุ่มที่อยู่ข้างกายเขา
คือเซียนกระบี่แห่งแผ่นดินกลางที่มีใบหน้าอมทุกข์ ขู่เซี่ย
หมี่ฮู่ใช้เสียงในใจเอ่ย “เฉินผิงอัน เรื่องที่ไหว้วานวันนี้ รบกวนเจ้าแล้ว”
เฉินผิงอันตอบ “จะพยายามเท่าที่ข้าทำได้”
หมี่ฮู่ได้ยินคำตอบรับก็ชำเลืองตามองเซียนกระบี่ขู่เซี่ยแวบหนึ่ง ก่อนจะโยนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกหนึ่งไปให้เฉินผิงอันพร้อมเอ่ยว่า “ผ่านการหลอมด้วยวิชาโบราณ ระดับขั้นนับว่าไม่เลว” แล้วขี่กระบี่ทะยานขึ้นฟ้าจากไปยังหัวกำแพงเมืองโดยตรง
เฉินผิงอันรับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่แวววาวราวกับหยกลูกนั้นมาไว้ชั่วคราว วันหน้าเขาจะนำมันไปมอบให้กับหมี่อวี้ก็แล้วกัน
ขู่เซี่ยมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน สีหน้าของเขาเผยความลำบากใจ ทำให้ใบหน้ายิ่งดูขมขื่นมากกว่าเดิม
เฉินผิงอันผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สองลูกไว้ตรงเอว เรื่องดีต้องมาเป็นสอง แล้วจึงยิ้มถามเซียนกระบี่จากราชวงศ์เส้าหยวนผู้นี้ “ต้องการพาหลินจวินปี้จากไปแล้วหรือ?”
ขู่เซี่ยพยักหน้ารับ “รู้ดีว่าไม่เหมาะที่จะพูดตอนนี้ ดังนั้นไม่ถึงครึ่งเดือน บนเรือข้ามทวีปลำหนึ่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางจะมีการแสดงท่าทีกับคฤหาสน์หลบร้อน นั่นเป็นน้ำใจส่วนหนึ่งจากราชวงศ์เส้าหยวนของพวกเรา”
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยเป็นคนซื่อที่ไม่หักไม่ลดเลยจริงๆ
บอกตามตรง หากหลินจวินปี้ไม่เลือกอยู่ต่อในสายอิ่นกวานด้วยตัวเอง ป่านนี้เขาก็สามารถไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ตั้งนานแล้ว
หลินจวินปี้จะจากไป ไม่ว่าผู้ฝึกกระบี่คนใดในคฤหาสน์หลบร้อนก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลทั้งสิ้น
ผลกลับกลายเป็นว่าถูกเซียนกระบี่ขู่เซี่ยพูดเช่นนี้ ราวกับว่าการจากไปของหลินจวินปี้จะทำให้เขากลายเป็นคนเนรคุณจนราชครูแห่งราชวงศ์เส้าหยวน ผู้ถ่ายทอดมรรคาให้แก่หลินจวินปี้จำต้องจ่ายเงินฟาดเคราะห์เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ให้หลินจวินปี้ได้กลับบ้านเกิดอย่างไรอย่างนั้น
แต่เงินเทพเซียนและวัตถุดิบวิเศษทั้งหลายที่มาจากราชวงศ์เส้าหยวน เฉินผิงอันรับมาอย่างสบายใจยิ่ง ยิ่งมีมากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่รังแกคนซื่อ บอกตามตรงว่าจะไปที่คฤหาสน์หลบร้อน เรียกให้หลินจวินปี้ออกมาพบเซียนกระบี่ขู่เซี่ย
——