กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 670.1 วันนี้ วันพรุ่งนี้ วันมะรืน
เฉินผิงอันไปเจออาเหลียงที่ร้านเหล้าตรงหัวมุม
อาเหลียงกำลังเอามือกอดคอบุรุษผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง บอกว่าเจ้าจะเสียใจไปไย น่าหลันไฉ่ฮ่วนได้หัวใจของเจ้าไปแล้วอย่างไร นางยังจะได้เรือนกายของเจ้าอีกหรือ? เป็นไปไม่ได้ น่าหลันไฉ่ฮ่วนไม่มีความสามารถนี้ บุรุษคนนั้นไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด ยิ่งอยากจะดื่มเหล้ามากกว่าเดิม เขายื่นมือที่ส่ายไปส่ายมาหยิบกาเหล้าบนโต๊ะไป กาเหล้าว่างเปล่า อาเหลียงรีบสั่งเหล้ามาอีกกา ได้ยินเสียงเป่าปากจากรอบด้าน เห็นเพียงว่าเซี่ยฮูหยินเดินบิดเอวอ้อมจากโต๊ะคิดเงินออกมา คิ้วตาแฝงไว้ด้วยความสดชื่น ยิ้มมองไปนอกร้านเหล้า อาเหลียงหันไปมองก็เห็นว่าเฉินผิงอันมา อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยังคงเป็นบัณฑิตอย่างพวกเราที่ล้ำค่า ไม่ว่าเดินไปที่ไหนก็ได้รับการต้อนรับ
เฉินผิงอันนั่งลงแล้วก็ยิ้มเอ่ย “อาเหลียง จะมาเชิญท่านไปกินข้าวที่จวนหนิง ข้าทำอาหารเอง”
เซี่ยฮูหยินเอาเหล้ากาหนึ่งมาวางลงบนโต๊ะ แต่ไม่ได้นั่งลง อาเหลียงพยักหน้าตอบรับคำเชิญของเฉินผิงอัน แล้วจึงแหงนหน้าไปด้านหลังมองสตรีโตเต็มวัย สายตาของอาเหลียงปรือปรอยด้วยความเมามาย มองซ้ายมองขวาอยู่พักหนึ่ง “น้องเซี่ย เกิดอะไรขึ้น ทำไมข้ามองเห็นหน้าของเจ้าไม่ชัดแล้วล่ะ”
สตรีหลุดหัวเราะพรืด “คิดจะพูดว่าทุกครั้งที่เมามายจะต้องเห็นภูเขากลับหัวสองลูกอีกใช่ไหมล่ะ? ไม่รู้จักสรรหาคำพูดใหม่ๆ มาบ้าง อาเหลียง เจ้าแก่แล้ว อ่านตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ของเถ้าแก่รองให้มากเถอะ นั่นต่างหากถึงจะเป็นคำพูดที่บัณฑิตควรพูด”
น้องเซี่ยได้ใหม่ลืมเก่า อาเหลียงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
คนทั้งสองจากไป เฉินผิงอันเดินออกมาได้ระยะทางหนึ่งก็เอ่ยว่า “เมื่อก่อนเคยอ่านเอกสารคดีเก่าๆ ของคฤหาสน์หลบร้อน ในนั้นบอกแค่ว่าเซี่ยยวนได้รับบาดเจ็บสาหัส จากนั้นมาเซี่ยฮูหยินท่านนี้ก็มาขายเหล้าหาเลี้ยงชีพ”
อาเหลียงสลายกลิ่นเหล้าบนร่างทิ้งไป ยกมือตบข้างแก้มของตัวเอง “เรียกนางว่าเซี่ยฮูหยินไม่ถูกนะ นางไม่เคยแต่งงานเสียหน่อย เซี่ยยวนมีชาติกำเนิดมาจากตรอกหยางหลิ่ว คุณสมบัติในการฝึกกระบี่ดีเยี่ยม อายุน้อยๆ ก็โดดเด่นเกินใคร เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่อายุน้อยกว่าเยว่ชิง หมี่ฮู่ เป็นคนรุ่นเดียวกับน่าหลันไฉ่ฮ่วน บวกกับสตรีที่เฉิงเฉวียนกับจ้าวเก้ออี๋ไม่ลืมเลือนผู้นั้น พวกนางคือแม่นางอายุน้อยที่โดดเด่นที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ปีนั้น”
อาเหลียงพูดอย่างปลงอนิจจัง “สายฝนโปรยปราย ฟ้าดินขมุกขมัว บัณฑิตรูปงามพลันเห็นสตรีผู้หนึ่งเดินถือร่มตรงมา สวมชุดสีเขียว ร่มที่กางเหมือนบุปผาเบ่งบาน คนประหนึ่งต้นหลิวต้นหยางเคียงคู่อยู่ท่ามกลางสายฝนฤดูใบไม้ผลิ งดงามนัก”
เฉินผิงอันเอ่ย “ตัด ‘บัณฑิตรูปงาม’ ทิ้งไป เหลือสตรีคนเดียว ภาพนั้นน่าจะงดงามมากจริงๆ แล้ว”
อาเหลียงยิ้มเอ่ย “ตอนอยู่บนสนามรบเซี่ยยวนแลกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตกับศิษย์น้องหญิงคนหนึ่งของเซียนกระบี่โซ่วเฉิน กระบี่ของพวกนางก็พังทลาย จากนั้นนางที่บาดเจ็บสาหัสถอยหนีไม่ทันจึงถูกโซ่วเฉินที่ตามมาทันแทงซ้ำอีกหนึ่งที หากไม่เจอกับหายนะครั้งนี้ เซี่ยยวนต้องเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นเซี่ยยวนจึงมีความแค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าดินกับสายของโจวมี่ผู้เป็น ‘มหาสมุทรความรู้’ คนนั้น เจ้าเล่นงานหลิวป๋ายแห่งกระโจมเจี่ยเซินจนร่อแร่ใกล้ตาย เซี่ยยวนย่อมรู้สึกซาบซึ้งใจในตัวเจ้า”
อาเหลียงเอ่ยอย่างคนมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “เรื่องแบบนี้ เจอหน้ากันอย่างมากแค่เอ่ยขอบคุณก็พอแล้ว ไยต้องแหกกฎไม่เก็บเงินด้วยล่ะ”
เฉินผิงอันถึงเพิ่งกระจ่างแจ้ง อาเหลียงไม่ได้เรียกตนไปดื่มเหล้าที่ร้านเหล้าอย่างไร้เหตุผล
ที่แท้ก็เพื่อคลายปมในใจให้กับเซี่ยยวน และตัวอาเหลียงเองก็ได้ดื่มเหล้าโดยไม่ต้องจ่ายเงินหนึ่งมื้อ
มาถึงจวนหนิง เฉินผิงอันก็เข้าครัวไปทำอาหารจริงๆ ป๋ายหมัวมัวคอยช่วยเป็นลูกมืออยู่ข้างๆ ทั้งสองคนพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันไปเรื่อยเปื่อย
อาเหลียงที่อยู่ในห้องด้านข้างของเรือนพักเฉินผิงอันกำลังเปิดอ่านตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ที่เลื่องชื่อลือนาม บนโต๊ะยังมีตราประทับเปล่าๆ ที่วัสดุธรรมดาและหน้าพัดว่างเปล่าอยู่อีกไม่น้อย แต่ดูจากลักษณะแล้วคงไม่ถูกนำมาแกะสลักหรือเขียนแล้ว
หนิงเหยานั่งอยู่ด้านข้าง ถามว่า “เทวบุตรมารของฟ้านอกฟ้าเป็นมาอย่างไรกันแน่? หรือว่าป๋ายอวี้จิงแห่งนั้นก็ยังมิอาจสยบกำราบพวกมันได้อย่างสิ้นเชิง?”
ประวัติความเป็นมาของเทวบุตรมารนอกโลก ในใต้หล้าไพศาลไม่เคยมีคำบอกกล่าวที่แน่ชัด ส่วนผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยิ่งไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
อาเหลียงแค่เล่าให้ฟังคร่าวๆ “ก็หายนะที่ผู้ฝึกตนอย่างเราๆ ชักนำมาน่ะสิ ตัวเองเช็ดก้นไม่สะอาดก็มีแต่จะหลอกลวงตัวเองแล้วยังรังแกคนอื่น พอปล่อยไปตามยถากรรม เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาปีแล้วปีเล่าอุทกภัยก็ล้นทะลัก ใต้หล้ามืดสลัวจึงได้แต่ใช้วิธีการที่โง่ที่สุด นั่นคือสร้างเขื่อนขึ้นมา เขื่อนกักเก็บน้ำ ยิ่งนานก็ยิ่งขยับสูงขึ้น นานวันเข้าก็กลายเป็นสถานการณ์อันตรายที่ ‘น้ำท่วมเหนือหัว ลอยสูงอยู่บนฟ้า’ จะโทษนักพรตจมูกโคของป๋ายอวี้จิงว่าแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุไม่แก้ไขที่ต้นเหตุก็ไม่ได้ เพราะหากสืบเรื่องย้อนกันไปแล้ว ผู้ฝึกลมปราณทุกคนล้วนมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบ ว่ากันว่าศิษย์พี่ใหญ่ของเต๋าเหล่าเอ้อร์คอยค้นหาวิธีแก้ไขปัญหานี้ที่ต้นเหตุอยู่ตลอดเวลา เต๋าเหล่าเอ้อร์และลู่เฉินเองก็มีวิธีรับมือเป็นของตัวเอง เพียงแต่ว่าวิธีการของคนหนึ่งจงใจเกินไป อำมหิตโหดเหี้ยม ทำได้ง่ายมาก แต่วิธีการของลู่เฉินกลับปล่อยตามใจชอบเกินไป คาดว่ามรรคาจารย์เต๋าคงไม่ชอบสักวิธี จึงฝากความหวังไว้ที่ลูกศิษย์ใหญ่มากกว่า”
เจ้าลัทธิทั้งสามท่านของป๋ายอวี้จิง อยู่ในใต้หล้าไพศาลก็คือศาสดาสามท่านที่อยู่ใต้นามของมรรคาจารย์เต๋า เพียงแต่ว่ายศศาสนาดาของลัทธิเต๋านี้เป็นลัทธิเต๋าที่แต่งตั้งกันเอง เมธีร้อยสำนักย่อมไม่ยอมรับ
อาเหลียงยิ้มเอ่ย “อย่าโทษว่าข้าพูดจาคลุมเครือ ไม่ได้ตั้งใจจะอมพะนำกับเจ้า แต่เป็นเพราะคนพูดไม่ตั้งใจ คนฟังมีใจ และหากผู้ฝึกตนมีใจ ส่วนใหญ่ก็มักจะกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทวบุตรมารนี้ คิดจะรับมือขึ้นมา ยิ่งเป็นผู้มีพรสวรรค์ก็ยิ่งไร้เรี่ยวแรง แน่นอนว่าไม่มีเรื่องอะไรที่ตายตัวเสมอไป มักต้องมีข้อยกเว้นอยู่เสมอ แม่หนูหนิงเจ้าก็คือข้อยกเว้น แต่หากพูดกับเจ้า กลับกลายเป็นว่าจะไม่เหมาะ ไม่สู้ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติดีกว่า”
หนิงเหยาพยักหน้ารับ
การที่นางถามถึงเทวบุตรมารเพราะนางกังวลเรื่องการสร้างโอสถทองและก่อกำเนิดของเฉินผิงอันในอนาคต
ส่วนตัวนางเอง ดูเหมือนจะไม่มีความกังวลใดๆ เลื่อนเป็นโอสถทองและก่อกำเนิด แม้กระทั่งขอบเขตหยกดิบที่อยู่ใกล้ในระยะประชิด ขอแค่หนิงเหยาคิดจะฝ่าขอบเขตก็ล้วนไม่ยาก
อาเหลียงเปิดเผยความลับสวรรค์อีกเรื่องหนึ่ง “นักพรตของใต้หล้ามืดสลัวต่างก็ยุ่งวุ่นวาย ไม่มีใครได้ผ่อนคลาย เป็นสนามรบที่ไม่เหมือนกับของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทว่าระดับความโหดร้ายกลับพอๆ กัน พุทธภูมิเองก็ไม่แตกต่าง เบื้องล่างเก้าน้ำผุ ผีร้ายวิญญาณอาฆาตมารวมตัวกันมากมายดุจมหาสมุทร เจ้าว่าต้องโทษใคร?”
หนิงเหยาเอ่ย “มนุษย์?”
อาเหลียงกล่าวต่อว่า “ความทุกข์ตรมขมขื่นในชีวิตคนนั้นเริ่มจากตอนรู้จักตัวหนังสือ ถ้าอย่างนั้นเมื่อคนเราฝึกตน แน่นอนว่าเรื่องที่กลัดกลุ้มเป็นทุกข์ก็ยิ่งต้องมีมากกว่า ภัยร้ายที่ซ่อนแฝงก็มากกว่า”
หนิงเหยากล่าวอย่างกังขา “อาเหลียง คำพูดพวกนี้ท่านควรไปคุยกับเฉินผิงอัน เขาต้องคุยกับท่านเข้าใจแน่”
อาเหลียงยิ้มเอ่ย “อย่าเพิ่มภาระให้เขาเลยดีกว่า แม่หนูหนิงเจ้าฟังแล้วเดี๋ยวก็ลืม เพราะฉะนั้นถึงควรต้องคุยกับเจ้าอย่างไรล่ะ”
สองมือของอาเหลียงหมุนตราประทับวัสดุคล้ายหินหยกที่เปลือยเปล่าไม่มีตัวอักษรแกะสลักเอาไว้ พลางเอ่ยเนิบช้า “เรื่องของการฝึกตน ถึงอย่างไรก็ต้องถูกมหามรรคาแห่งฟ้าดินสยบกำราบ บวกกับที่บนเส้นทางของการฝึกตนนั้นเคยชินกับการได้มาไม่เสียไป รับมาไม่มอบให้ เก็บไว้ไม่ยอมปล่อย แน่นอนว่าภัยร้ายที่ตามมาภายหลังย่อมมีมากมายนับไม่ถ้วน เหล่านักปราชญ์ผู้ล่วงลับขึ้นเขาไปฝึกตน ดื่มยาพิษดับกระหาย จะไม่ดื่มก็ไม่ได้ คนรุ่นหลังอย่างพวกเรากลับตะกละตะกลามจะดื่ม สิ่งที่คิดสิ่งที่หวังทำให้เห็นว่าคนยุคโบราณกับยุคปัจจุบันเป็นคนละแบบกันแล้วจริงๆ ดังนั้นถึงได้มีประโยคนั้นที่บอกว่า คนยุคโบราณ เปลี่ยนแปลงภายนอกไม่เปลี่ยนแปลงภายใน ส่วนคนยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงภายในไม่เปลี่ยนแปลงภายนอก นี่คือถ้อยคำจากใจจริงที่ด่าออกมาอย่างอดไม่ไหวเพราะพวกคนเฒ่าคนแก่โมโหกันแล้วจริงๆ แต่ส่วนลึกในใจของพวกคนแก่กลับหวังให้คนหนุ่มสาวในวันหน้าสามารถพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นผิด”
อาเหลียงเอาตราประทับวางกลับไว้ที่เดิม แล้วยิ้มร่า “ไม่ว่าจะอย่างไร ตัวอักษรควรต้องรู้จัก ตำราก็ต้องอ่านให้ออก มรรคาต้องฝึกฝน เส้นทางต้องเดิน ข้าวก็ยิ่งต้องกิน!”
หนิงเหยาเอ่ย “ท่านห้ามยุให้เฉินผิงอันดื่มเหล้าเด็ดขาด”
อาเหลียงลุกขึ้นยืน “แค่จิบเล็กๆ รับรองว่าไม่ดื่มมาก แต่ต้องดื่ม คนขายเหล้าไม่ดื่มเหล้านั่นแสดงว่าเถ้าแก่ใจดำ ข้าต้องช่วยเถ้าแก่รองพิสูจน์ความบริสุทธิ์เสียหน่อย”
จวนหนิงในวันนี้ คนสี่คนนั่งร่วมโต๊ะกินข้าว อาหารบนโต๊ะล้วนเป็นอาหารธรรมดาทั่วไป
เฉินผิงอันดื่มเหล้าแค่ถ้วยเดียวเท่านั้น
อาเหลียงไม่เกรงใจ นั่งตรงตำแหน่งประธาน ยิ้มถามว่า “จั่วโย่วเป็นศิษย์พี่ของเจ้า เขาไม่เคยมาจวนหนิงเลยหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เคยพูดว่าจะมา แต่ศิษย์พี่บอกว่าขนาดอาจารย์ยังไม่เคยมาเป็นแขกที่จวนหนิง เขาเป็นลูกศิษย์มาวางมาดที่นี่ก่อนอาจารย์ สมควรแล้วหรือไร พอถามตอบกันครั้งนี้ ยามฝึกกระบี่บนหัวกำแพงวันนั้น ศิษย์พี่ก็ออกกระบี่รุนแรงมากเป็นพิเศษ น่าจะกำลังกล่าวโทษว่าข้าไม่เข้าใจอะไรบ้างเลย”
อาเหลียงจิบเหล้าหนึ่งอึก ส่ายหน้าเอ่ยว่า “เจ้าก็โง่ ไม่บอกกับจั่วโย่วไปล่ะว่าถึงเวลานั้นเจ้าจะยกตำแหน่งประธานให้ซิ่วไฉเฒ่านั่ง? นั่นก็เท่ากับว่าซิ่วไฉเฒ่ามานั่งไปก่อนแล้ว เขาที่เป็นลูกศิษย์กล้าไปนั่งทับตำแหน่งหรือ? ต่อให้อาจารย์ไม่อยู่ข้างกายก็ต้องอยู่ในใจสิ”
เฉินผิงอันรู้สึกว่ามีเหตุผล อดนึกเสียดายขึ้นมาไม่ได้ ด้วยนิสัยของศิษย์พี่ใหญ่ เชื่อว่าขอแค่ตนยกอาจารย์มาอ้าง ไม่ว่าอาจารย์จะอยู่หรือไม่ก็ต้องใช้ได้ผลแน่นอน
ไม่เสียแรงที่อาเหลียงเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ ตนยังขาดประสบการณ์อีกไม่น้อย
ป๋ายหมัวมัวบ่นขึ้นมาว่า “ท่านเขยเป็นคนซื่อตรง ไม่มีความคิดวกวนอ้อมค้อมอย่างเจ้าอาเหลียงหรอก”
อาเหลียงรีบยกถ้วยเหล้าขึ้น “แม่นางป๋าย ข้าจะดื่มลงโทษตัวเองหนึ่งถ้วย เจ้าก็ดื่มถ้วยหนึ่งเป็นเพื่อนพี่อาเหลียงหน่อยแล้วกัน”
ป๋ายเลี่ยนซวงถลึงตาใส่อาเหลียง ไม่ได้สนใจอีกฝ่าย เพียงแค่ช่วยคีบอาหารให้หนิงเหยาและเฉินผิงอัน
นางเป็นหญิงชราคนหนึ่ง ถูกคนเรียกว่าแม่นาง แล้วยังอยู่ต่อหน้าท่านเขยของตัวเองอีก เข้าท่าแล้วหรือ?
อาเหลียงมองหญิงชราที่เส้นผมขาวโพลนแล้วก็อดเสียใจไม่ได้
จำได้ว่าตอนที่ตนเพิ่งได้รู้จักกับป๋ายเลี่ยนซวง ดูเหมือนว่านางยังเป็นเด็กสาวสะโอดสะองคนหนึ่ง ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เป็นสตรี ถึงอย่างไรก็เทียบสตรีที่เป็นผู้ฝึกลมปราณไม่ได้ ต้องเสียเปรียบอย่างมาก
ผู้ฝึกกระบี่หญิงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ลำพังเพียงแค่หน้าตาก็ยากที่จะวิเคราะห์อายุที่แท้จริงได้แล้ว
น่าหลันเย่สิงที่เป็นผู้ดูแลจวนหนิง ครั้งแรกที่ได้พบกับเด็กสาวป๋ายเลี่ยนซวง อันที่จริงรูปโฉมของเขาก็ไม่ได้แก่เฒ่า มองดูเหมือนบุรุษอายุสี่สิบต้นๆ เท่านั้น เพียงแต่ภายหลังเป็นป๋ายเลี่ยนซวงที่เปลี่ยนจากเด็กสาวเป็นหญิงสาว แล้วจึงเปลี่ยนจากหญิงสาวมาเป็นหญิงผมขาวเต็มศีรษะก่อน น่าหลันเย่สิงก็ขอบเขตถดถอยจากเซียนเหรินมาสู่ขอบเขตหยกดิบ รูปโฉมจึงเสื่อมถอยกลายเป็นคนแก่ อันที่จริงตอนที่น่าหลันเย่สิงมีรูปลักษณ์เป็นบุรุษวัยกลางคน หากใช้คำพูดของอาเหลียงก็คือ พี่น่าหลันเจ้าเองก็หน้าตาดีไม่น้อย ไปอยู่ใต้หล้าไพศาลต้องกลายเป็นสินค้าขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอันดับหนึ่งแน่นอน!
ส่วนป๋ายเลี่ยนซวงตอนอายุน้อยก็เป็นคนงามคนหนึ่ง แม้ว่าจะมีชาติกำเนิดเป็นสาวใช้ของตระกูลเหยา แต่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมาย มีผู้ฝึกยุทธอยู่น้อย ในอดีตก็ยิ่งไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าจะออกเรือนไม่ได้
อาเหลียงยิ้มเอ่ย “แม่นางป๋าย เจ้าคงไม่รู้กระมัง น่าหลันเย่สิง และยังมีท่านปู่ของเจ้าเด็กเจียงอวิ๋น เจ้าคนที่ชื่อเจียงฉู่ฉายาก้อนหินผู้นั้น เขาเองก็มีอายุพอๆ กับเจ้า แล้วยังมีผีขี้เหล้าอีกหลายคนที่ตอนนี้ยังเป็นชายโสด ในอดีตพอพบเจอเจ้า อย่าเห็นว่าพวกเขาแต่ละคนกลัวแทบตาย ไม่ค่อยกล้าพูดคุยด้วย แต่พอหันหลังกลับไปเจอกันเป็นการส่วนตัว แต่ละคนกลับด่าอีกฝ่ายว่าหน้าไม่อาย เจียงฉู่ยิ่งชอบด่าน่าหลันเย่สิงว่าตาแก่หน้าด้าน อายุปูนนี้แล้ว เป็นผู้อาวุโสก็ควรทำตัวเป็นผู้อาวุโสดีๆ ความสามารถในการด่าคนของน่าหลันเย่สิงไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ ถูกคนด่าทีก็น่าอนาถไม่น้อย ยังดีที่ต่อยตีเก่ง ข้าเคยเห็นกับตาว่ากลางดึกที่คนเข้านอนกันหมดแล้ว เขาฉวยโอกาสตอนที่เจียงฉู่นอนหลับแฝงตัวเข้าไปในจวนตระกูลเจียง แล้วอัดอีกฝ่ายเสียน่วม ไม้แรกตีอีกฝ่ายให้สลบไปก่อน จากนั้นก็ฟาดรัวๆ ไปบนหน้า ทำทุกอย่างนี้เสร็จในรวดเดียว ไม้ไม่แตกคนไม่กลับ ทุกครั้งที่เจียงฉู่ตื่นขึ้นมาก็ไม่รู้เลยว่าตัวเองหน้าเขียวจมูกบวมได้อย่างไร ภายหลังยังมาขอซื้อยันต์ขับไล่สิ่งชั่วร้ายไปจากข้าหลายแผ่นด้วย”
หญิงชรายิ้มรับ เพียงแต่หางตาชำเลืองมองไปยังตำแหน่งว่างเปล่าที่ติดกับประตูใหญ่
หนิงเหยาเป็นกังวล จึงหันมองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันส่ายหน้าเบาๆ บอกเป็นนัยแก่นางว่าไม่ต้องเป็นกังวล
คำพูดบางอย่าง ป๋ายหมัวมัวเป็นผู้ใหญ่ในตระกูล เฉินผิงอันเป็นเพียงเด็กรุ่นหลัง ย่อมไม่สะดวกจะเปิดปากพูด
อาเหลียงเป็นคนพูดจึงจะเหมาะสม