กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 672.3 อากาศหนาวใส่เสื้อผ้าหนา
เฒ่าหูหนวกไม่ได้หูหนวกจริงๆ ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งจะหูไม่ดีจริงๆ ได้อย่างไร? ก็แค่ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ดูแคลนเหยียดหยามเฒ่าหูหนวกมาโดยตลอด อีกทั้งเฒ่าหูหนวกยังเป็นมะพลับนิ่มที่โดนตีก็ไม่เอาคืน โดนด่าก็ไม่ด่ากลับ ซ้ำยังปรากฏตัวน้อยครั้ง จึงไม่เคยเกิดเรื่องใหญ่โตอะไรจริงๆ มาก่อน
บวกกับตระกูลต่งที่ควบคุมหอกระบี่ ตระกูลฉีดูแลหอภูษา ตระกูลเฉินดูแลหอโอสถ สี่สถานที่นี้ก็คือสถานที่ต้องห้ามตามความหมายที่แท้จริงของกำแพงเมืองปราณกระบี่
เอกสารคดีในคฤหาสน์หลบร้อนที่เกี่ยวข้องกับคุกแห่งนี้มีลายลักษณ์อักษรบันทึกไว้ไม่มาก เพียงแค่บันทึกตัวตน ประวัติความเป็นมาของปีศาจที่ถูกขังไว้รวมถึงที่ตายไปแล้วในแต่ละยุคสมัยด้วยคำอธิบายง่ายๆ เท่านั้น
เฒ่าหูหนวกคลี่ยิ้ม การที่อิ่นกวานหนุ่มจะไม่เชื่อใจตนก็เป็นเรื่องปกติ แต่จะไม่เชื่อใจเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสด้วยหรือ? ทว่าเพียงไม่นานเขาก็กระจ่างแจ้ง หากไม่มีนิสัยเช่นนี้ก็เป็นอิ่นกวานไม่ได้ ไม่อาจมาเยือนที่นี่ได้ ตอนนั้นที่อยู่บนหัวกำแพงเมือง จำเป็นต้องให้เซียนกระบี่ช่วยพิทักษ์คนของสายอิ่นกวาน คนที่เขาไม่เชื่อใจ ไม่ใช่ตน แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นลู่จือ ตอนนี้คนที่ไม่เชื่อใจถึงจะเป็นตน ถึงท้ายที่สุดแล้วแม้แต่เฉินชิงตูเขาก็จะยังไม่เชื่อใจด้วยหรือเปล่า? ไม่ว่าคำตอบคืออะไร เฒ่าหูหนวกก็รู้สึกว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันกับเฒ่าหูหนวกขยับเท้าก้าวเดินไปข้างหน้าแทบจะเวลาเดียวกัน เฉินผิงอันพบว่าแผ่นศิลาที่มองดูเหมือนว่าห่างไปแค่ร้อยกว่าจั้ง หากเดินต่อไปเช่นนี้กลับอาจต้องใช้เวลาถึงหนึ่งถ้วยชาเต็มๆ
เฒ่าหูหนวกไม่ยินดีจะถูกเข้าใจผิดว่าอาศัยอำนาจของเจ้าบ้านรังแกแขก หลังจากเรียกอย่างเคารพว่าใต้เท้าอิ่นกวานคำหนึ่งแล้วก็เปิดเผยความลับสวรรค์ทันที “ยิ่งจิตวิญญาณ ความคิด และย่างก้าวที่ก้าวเดินเล็กเท่าไร กลับกลายเป็นว่าพวกเราจะเดินได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น”
เฉินผิงอันทำตามที่อีกฝ่ายบอก เพียงแค่ชั่วไม่กี่พริบตาก็ไปถึงตรงหน้าป้ายศิลาจริงๆ
เฒ่าหูหนวกตกตะลึงเล็กน้อย อดเอาเฉินผิงอันไปเปรียบเทียบกับอดีตอิ่นกวานสองคนก่อนไม่ได้ แม่นางน้อยมัดผมแกละที่เจ้าอารมณ์คนนั้นไม่เชื่อคำบอกของเขา ยืนกรานจะพุ่งไปถึงป้ายศิลาให้ได้ในรวดเดียว เป็นเหตุให้อยู่ห่างไกลจากป้ายศิลานับร้อยนับพันลี้ในชั่วพริบตา นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ เซียวสวิ้นกลับโบยบินแบบนั้นไปเรื่อยๆ สนุกจนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ผลคือใช้เวลาไปถึงสิบวัน หากคิดตามกำลังเท้าของคนปกติทั่วไป เซียวสวิ้นก็น่าจะเดินทางข้ามทวีปได้แล้ว นางยังดื่มเหล้าหมักตระกูลเซียนไปไม่น้อย ทุกวันเอาแต่ชักเท้าออกวิ่งอยู่อย่างนั้น ยิ่งนานก็ยิ่งห่างไกลจากป้ายศิลา เฒ่าหูหนวกเคยเจอผู้ฝึกกระบี่ที่เบื่อหน่ายมาก่อน แต่ไม่เคยเจอใครที่เบื่ออย่างนาง ส่วนใต้เท้าอิ่นกวานคนก่อนก่อนหน้านี้ ไม่น่าเบื่อ ก็แค่ไม่น่าสนใจ ทว่าคุณความชอบใต้โต๊ะของเขากลับไม่น้อยเลยจริงๆ นครมายาแห่งนั้นก็เป็นเขาที่จ่ายเงินหาคนสร้างขึ้นมา น่าเสียดายที่คุณสมบัติในการฝึกตนแย่เกินไป อายุขัยไม่ยืนยาว ไม่อย่างนั้นอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คงไม่ใช่เซียวสวิ้น ยิ่งไม่ใช่คนหนุ่มข้างกายเขา
เฒ่าหูหนวกแหงนหน้ามองป้ายศิลาไปพร้อมกับอิ่นกวานหนุ่ม
เฒ่าหูหนวกเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เจ้อกูเทียน สามคำนี้มาจากลายมือของเซียนกระบี่คู่รักในยุคบรรพกาลสองคน ลำดับอาวุโสสูงมาก เทียบกับหลงจวินและกวนจ้าวแล้วแค่อายุน้อยกว่าเล็กน้อยเท่านั้น เพียงแต่ว่าไม่ค่อยมีชื่อเสียงอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่”
เฒ่าหูหนวกยิ้มเอ่ย “เชื่อว่าด้วยความสามารถในการมองเห็นของใต้เท้าอิ่นกวานก็น่าจะมองเบาะแสออกแล้ว สองคำว่าเจ้อและเทียน เป็นฝีมือแกะสลักของเซียนกระบี่ชาย ลายมือที่แกะสลักยอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุด มีเพียงอักษรกูที่เป็นลายมือของสตรี ปราณกระบี่เฉียบคม แต่กระนั้นก็ยังยากจะปิดความอ่อนช้อยเสี้ยวหนึ่งเอาไว้ได้ ตอนนั้นสตรีบาดเจ็บสาหัส ค่อนข้างจะอ่อนเพลีย บุรุษจึงช่วยเสริมให้ สุดท้ายตัวอักษรนี้มองดูเหมือนเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต เข้มงวดในกฎเกณฑ์ ช่วยเสริมตัวอักษรตรงกลางให้โดดเด่น แต่อันที่จริงกลับแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดเสียใจแทนคู่รัก เมื่อเทียบกับตัวอักษรเจ้อแล้ว อักษรเทียนที่เดิมทีควรมีพลังอำนาจมากที่สุดกลับกลายเป็นว่าแน่นหนาจริงจังมากพอ แต่จิตแห่งกระบี่กลับไม่เพียงพอ น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ”
เฉินผิงอันเอ่ยตามสัตย์จริง “ข้ามองเรื่องพวกนี้ไม่ออก”
น่าประหลาดนัก เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่งได้อย่างไร?
เฒ่าหูหนวกถาม “แม่น้ำแห่งกาลเวลาน่าจะไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับใต้เท้าอิ่นกวานถึงจะถูก?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ไม่แปลกใหม่”
เฒ่าหูหนวกเอื้อมมือไปคว้า เจ้อกูเทียนสามตัวอักษรบนป้ายศิลาก็คล้ายถูกแบ่งแยกออกจากกัน แต่ละขีดแต่ละเส้นพากันหลุดออกจากป้ายศิลา แสงกระบี่มารวมกันเป็นหนึ่ง ประหนึ่งธารน้ำที่มารวมกันเป็นลำคลอง แล้วเฒ่าหูหนวกก็พาเฉินผิงอันเดินเหยียบเข้าไปข้างใน เมื่อคนทั้งสองเดินไปถึงจุดสิ้นสุดปลายสายน้ำก็เจอกับฟ้าดินแห่งใหม่
ทัศนียภาพในสายตาของเฉินผิงอันเปลี่ยนไปอีกครั้ง โครงกระดูกเต็มพื้น พื้นดินเต็มไปด้วยหลุมบ่อ มีโครงกระดูกบางโครงซีดขาวอีกทั้งยังใหญ่มาก ทอดตัวยาวราวกับเทือกเขา แล้วก็มีเรือนกายขององค์เทพที่โครงกระดูกเป็นสีทอง
น่าจะเป็นซากปรักสนามรบที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในยุคดึกดำบรรพ์ต่อสู้กับเผ่าปีศาจอย่างดุเดือด
ในหลุมใหญ่แห่งหนึ่งมีการขุดเจาะเป็นบันไดทอดยาวลงไป
เผ่าปีศาจที่ขอบเขตสูงถูกขังไว้ในจุดสูง
ขณะที่เดินลงบันไดไป เฉินผิงอันพลันถามว่า “หากไม่มีเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ ผู้อาวุโสสามารถสังหารผู้ฝึกกระบี่ได้กี่มากน้อย?”
เฒ่าหูหนวกไม่ปิดบัง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทุกคนที่อยู่ในสายตาล้วนตายสิ้น”
จากนั้นก็เอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “ไม่ใช่เพราะรำคาญความปากมากของเจ้าพวกลูกกระต่ายเหล่านั้น ไม่มีความจำเป็น”
เขาหันหน้ามาถาม “ผู้อาวุโส?”
เฉินผิงอันเอ่ย “อายุมากกว่า ขอบเขตสูงกว่าข้า ไม่ได้มีความแค้นต่อกัน ล้วนถือเป็นผู้อาวุโส”
เฒ่าหูหนวกพยักหน้ารับ “เป็นความเคยชินที่ดี”
จากนั้นเฒ่าหูหนวกก็เอ่ยว่า “ตามความหมายของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส คือต้องการให้ใต้เท้าอิ่นกวานลงมือแทนข้า”
เฉินผิงอันผงกศีรษะ ระหว่างที่มาที่นี่ เขาก็คิดจนเข้าใจกระจ่างแล้ว
บันไดที่ทอดยาวลงไปด้านล่างอย่างต่อเนื่องคดเคี้ยวไม่มีรูปแบบที่แน่นอน การมองเห็นของเฉินผิงอันพร่าเลือน เห็นแค่บันได ไม่เห็นทัศนียภาพของฟ้าดินรอบด้าน แต่พอเจอกับกรงขังที่ขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันเหล่านั้น การมองเห็นก็ชัดเจนขึ้นมาหลายส่วน เห็นเพียงว่ากรงขังเหล่านั้นมีแสงกระบี่หลายเส้นที่รวมตัวกันจนจับต้องได้จริงกั้นเป็นราวรั้ว เดินผ่านกรงขังที่ว่างเปล่าหลายแห่ง ก่อนที่เฒ่าหูหนวกจะหยุดเดินแล้วชี้ไปยังกรงขังที่ว่างโล่งแห่งหนึ่ง “คนที่อยู่ในนี้ถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเด็ดหัวไปแล้ว ทางฝั่งของหอโอสถน่าจะได้กำไรกันก้อนใหญ่”
เฉินผิงอันเอ่ย “เรือข้ามทวีปสองลำของเกราะทองทวีปร่วมกันจ่ายเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ซื้อศีรษะของขอบเขตบินทะยานตนนั้นไป เพื่อให้พกพาสมบัติกลับคืนไปยังบ้านเกิดได้อย่างปลอดภัยยังจ่ายเงินก้อนใหญ่จ้างเซียนกระบี่ท่านหนึ่งให้ช่วยคุ้มกันด้วย”
เฒ่าหูหนวกบ่นอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “หอโอสถนั่นก็น่าโมโหจริงๆ ทำอย่างกับว่าข้าขัดขวางไม่ให้พวกเขาฆ่าเผ่าปีศาจห้าขอบเขตบนพวกนี้อย่างนั้นแหละ ข้าควบคุมเผ่าปีศาจนับพันนับหมื่นตนก็คือควบคุม ควบคุมแค่ตนสองตนก็คือควบคุมเหมือนกัน ไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลยสักนิด มาโทษข้าทำไม? หลักการเหตุผลง่ายๆ แค่นี้เข้าใจยากนักหรือ? สิ้นเปลืองความคิด สิ้นเปลืองความคิดจริงๆ”
เฉินผิงอันเอ่ย “หากไม่โทษท่าน แต่เอาใจเขามาใส่ใจเรา เข้าอกเข้าใจท่านทุกเรื่อง ยินดีเคารพผู้อาวุโส หากผู้ฝึกกระบี่แต่ละคนไม่ดูแคลนที่ท่านมีชาติกำเนิดเป็นเผ่าปีศาจ ท่านจะยังมีชีวิตได้อีกหรือ? ยังกล้าจะมีชีวิตอยู่ต่อหรือ? ผู้อาวุโสมีอะไรให้ต้องสิ้นเปลืองความคิดกัน ควรจะแอบดีใจถึงจะถูก”
เฒ่าหูหนวกยิ้ม “มีเหตุผล มีเหตุผลจริงๆ น่าเสียดายที่เหตุผลตรงไปตรงมาเช่นนี้ เมื่อก่อนได้ยินมาน้อยเกินไป อาเหลียงพูดไม่ตรงจุด แค่หลอกข้าบอกว่าอยู่ในใต้หล้าไพศาลปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานสำราญใจเหมือนเทพเซียน คิดจะก่อสำนักตั้งพรรคก็ยังไม่ยากเลย”
ตลอดทางที่เดินกันไป ในที่สุดก็เจอกับผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจคนแรก
คือปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินตนหนึ่งที่หากเผยร่างจริง เรือนกายที่ขดงอก็ใหญ่โตเท่าภูเขา หน้าตาดุร้ายน่ากลัว
เฉินผิงอันเดินเข้าไปใกล้รั้วของกรงขัง เพ่งสายตามองไปก็ยังคงเห็นไม่ชัดอยู่ดี
คุกแห่งนี้ขังเผ่าปีศาจห้าขอบเขตบนเอาไว้ห้าคน ห้าขอบเขตกลางหกสิบเอ็ดคน ห้าขอบเขตล่างมีน้อยที่สุด แค่สามคน
เมื่อตายไปแล้วก็จะถูกโยนไปที่หอโอสถ เพราะตลอดทั้งร่างล้วนเป็นสมบัติล้ำค่า เอามาใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมด แล้วก็มีบางส่วนที่ออกไปจากที่นี่โดยที่ยังมีชีวิตอยู่ บ้างก็ไปเข่นฆ่ากันเอง ไม่ก็เข่นฆ่ากับผู้ฝึกกระบี่ที่หอมายา นอกจากนี้ก็เป็นเฒ่าหูหนวกที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงเลือกตัวพวกเขามาคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ คนที่ได้รับการถ่ายทอดเวทกระบี่จากเฒ่าหูหนวก ไม่ว่าจะเอาไปวางไว้ในใต้หล้าแห่งใดก็ตาม ขอแค่ไม่ใช่กรงขังของกำแพงเมืองปราณกระบี่ นั่นก็ล้วนถือเป็นโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าที่แม้แต่ยามหลับก็ยังปรารถนาถึง มีผู้ถ่ายทอดมรรคาเป็นขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง อีกทั้งยังถ่ายทอดวิชาให้อย่างไม่มีกั๊กไว้ แบบนี้ต่อให้ต้องตายก็ยังอยากเรียนไม่ใช่หรือ?
ปัญหานั้นอยู่ที่ว่า เมื่ออยู่ที่นี่ เวทกระบี่ของเฒ่าหูหนวกสูงเกินไป การฝ่าทะลุขอบเขตในการเรียนกระบี่ง่ายดายเกินไป หากเลื่อนเป็นขอบเขตก่อกำเนิดก็ล้วนต้องตาย
เผ่าปีศาจหลายคนจึงจงใจหยุดชะงักอยู่ที่คอขวดของขอบเขตโอสถทอง ทรมานตัวเองจนตายทั้งเป็น เพราะหากขอบเขตไม่เพิ่มสูงขึ้น อายุขัยก็จะสั้น จะต้องตาย หากจิตแห่งมรรคาไม่แหลกสลายก็ต้องถูกปราณกระบี่ที่ขยายใหญ่อย่างต่อเนื่องระเบิดโอสถทองให้แหลกสลาย ส่วนเนื้อหนังมังสานั้น เฒ่าหูหนวกจะร่ายวิธีการบางอย่างเก็บรักษาเอาไว้ ไม่อย่างนั้นทางหอโอสถจะตำหนิเอาได้
เกี่ยวกับรากฐานของเฒ่าหูหนวก คฤหาสน์หลบร้อนก็มีบันทึกเอาไว้ ค่อนข้างจะประหลาดอยู่บ้าง คือปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งที่แสร้งทำตัวเป็นผู้ฝึกกระบี่ หลอมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เซียนกระบี่ทิ้งไว้หลายเล่ม ใช้วิธีการเดียวกันกับเฉินผิงอันที่นำชูอีสืออู่มาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต ขอบเขตของเฒ่าหูหนวกสูงมากพอ อีกทั้งยังมีกระบี่บินสามเล่มที่หลอมไว้เป็นของตัวเอง ดังนั้นจึงเหมือนผู้ฝึกกระบี่ยิ่งกว่าเซียนกระบี่ เฒ่าหูหนวกเคยเป็นปีศาจใหญ่ที่ได้ยึดครองพื้นที่แห่งหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง พอมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ทำหน้าที่เป็นผู้คุมคุกที่เหนื่อยยากนี้อย่างสงบเสงี่ยม ไม่เคยมีความคิดที่ว่า ‘เป็นขอบเขตสิบสามเมื่อไหร่ค่อยฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอีกเล่มหนึ่ง’
ส่วนปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินที่อยู่ตรงหน้าเฉินผิงอันตอนนี้ก็มีเรื่องเล่าที่เปี่ยมไปด้วยสีสันเหมือนกัน แรกเริ่มสุดตอนที่ถูกจับมาขังเพิ่งจะมีตบะเป็นคอขวดก่อกำเนิด คิดไม่ถึงว่าเมื่อมาอยู่ในสถานที่ที่ถูกสยบกำราบแห่งนี้ เดิมทีควรได้แค่หายใจอยู่ไปวันๆ ทว่าเวลาหนึ่งพันปีเขากลับฝ่าทะลุขั้นไปถึงขอบเขตเซียนเหริน
เฒ่าหูหนวกถาม “ใต้เท้าอิ่นกวาน พวกเราจะลงมือเลยไหม?”
ผู้เฒ่ารู้สึกสงสัยใคร่รู้เล็กน้อย เหตุใดอิ่นกวานหนุ่มถึงไม่นำเจี้ยนเซียนที่เป็นอาวุธเซียนชิ้นนั้นมาด้วย คิดจะใช้สองหมัดเปล่าต่อยให้ปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งตาย ใครจะหมดแรงตายก่อนก็คงบอกได้ยากจริงๆ แน่นอนว่าเฒ่าหูหนวกรู้ว่าเฉินผิงอันมีกระบวนท่าหมัดอย่างหนึ่งที่พลังของแต่ละหมัดทับซ้อนกัน ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เพียงแต่ว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง เรือนกายยังไม่แข็งแกร่งทนทานมากพอ คิดจะสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินตรงหน้าผู้นี้ เฉินผิงอันก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่มีทางทนได้ถึงหมัดสุดท้าย เผชิญหน้ากับขอบเขตเซียนเหริน ขอบเขตต่างกันมากเกินไป ต่อให้เป็นเฉาสือที่ได้มาที่นี่ก็ยังหมดปัญญาอยู่ดี
หากขอให้คนอื่นช่วยลงแรงแทนก่อน แล้วค่อยเอาวิธีการนั้นออกมาใช้ ทุกอย่างก็ไร้ความหมายแล้ว
แล้วนับประสาอะไรกับที่เฒ่าหูหนวกยังรู้สึกด้วยว่า เว้นเสียจากเฉินผิงอันเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าเท่านั้นถึงจะพอมีความหวัง พอจะสามารถต้านรับความเจ็บปวดจากการที่เลือดเนื้อเหลือแต่โครงกระดูก จิตวิญญาณแตกแยกแหลกสลายไว้ได้อย่างถูไถ
ต่อให้ขอบเขตวิถีวรยุทธของอิ่นกวานหนุ่มจะพอๆ กับเฉาสือ กับอวี้เจี้ยนฟูที่สามารถมองขอบเขตสูงไปอีกขั้นหนึ่งได้ ทว่าต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล เฉินผิงอันก็ยังอยู่ห่างจากอีกฝ่ายอีกหนึ่งขอบเขตอยู่ดี
เฉินผิงอันขยับเท้า “ไม่ต้องรีบร้อน”
จากนั้นก็เดินไปเรื่อยๆ เฉินผิงอันจะต้องเพ่งมองอยู่พักใหญ่ก่อนจะขยับก้าวเดินต่อไป
เฒ่าหูหนวกอดไม่ไหวเอ่ยถาม “ใต้เท้าอิ่นกวาน?”
เฉินผิงอันตอบ “เดินวนก่อนสักรอบหนึ่ง อย่างมากก็แค่ต้องเดินกลับทางเดิมซ้ำอีกรอบ ไม่ถ่วงเวลาเรื่องสำคัญสักเท่าไรหรอก”
เฒ่าหูหนวกยิ้มถาม “ยังไงก็ยังต้องทำแบบนั้นอยู่ดี แตกต่างกันตรงไหนหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกลับคืน “ถือเสียว่าเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ก็แล้วกัน”
เฒ่าหูหนวกกล่าว “คนหนุ่มยืนนิ่งเกินไป อดทนเก่งเกินไปก็ไม่ดี แม้ว่าง่ายที่จะทำเรื่องต่างๆ ได้ถูกต้อง เป็นคนที่เด็ดขาด แต่ก็ง่ายที่จะดึงเอาพลังต้นกำเนิด ทำร้ายโชควาสนาเช่นกัน”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ผู้อาวุโสปราดเปรื่อง ถ้อยคำที่เอ่ยก็ยิ่งสุขุมมีประสบการณ์ แต่หากระวังไปซะทุกเรื่อง ใจจะเล็กลง” (คำว่าระวังภาษาจีนใช้คำว่า 小心 ใจเล็กใช้คำว่า 小了心 คำอ่านเหมือน เขียนเหมือนกัน แต่ความหมายแตกต่าง)
เฒ่าหูหนวกลำบากยากแค้นอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่มาสามพันปี นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกคนเรียกว่า ‘ผู้อาวุโส’ หลายครั้งขนาดนี้ในรวดเดียว แล้วก็มีน้อยครั้งนักที่จะพูดคุยกับผู้ฝึกกระบี่หลายคำเช่นนี้
เฉินผิงอันถาม “ก่อนหน้านี้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสทำสัญญาอะไรกับผู้อาวุโส?”
เฒ่าหูหนวกเอ่ย “รอให้ข้าออกจากหัวกำแพงเมืองลงสนามรบเข่นฆ่าอย่างเต็มกำลังเมื่อไหร่ ข้อแรก ต้องสังหารเผ่าปีศาจทั้งหมดที่ถูกขังอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าตอนนี้เปลี่ยนแล้ว เปลี่ยนให้ใต้เท้าอิ่นกวานมาเป็นคนลงมือเอง ข้อสอง ข้าสามารถพาลูกศิษย์โอสถทองสามคนไปจากที่นี่ได้ ถือว่าเป็นข้อยกเว้น”
หากไม่พูดถึงช่วงเวลาที่ฝึกตนอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ลำพังเพียงแค่เวลาที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ เฒ่าหูหนวกก็ทนมานานถึงสามพันปีเต็ม
เผชิญกับความยากลำบากมาสามพันปี ยังเป็นได้แค่ขอบเขตบินทะยาน ไม่อาจช่วงชิงคำว่า ‘เซียนกระบี่’ มาห้อยต่อท้ายชื่อได้
ตลอดทางที่เดินกันไปนี้ไม่ง่ายนักกว่าจะได้เจอคนหน้าใหม่ เป็นผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจคนหนึ่งที่นอนขดตัวอยู่ รูปโฉมเป็นมนุษย์ พอสัมผัสได้ถึงการมาเยือนของเฒ่าหูหนวกและเฉินผิงอันก็ยังคงแสร้งทำเป็นไม่รับรู้อยู่เหมือนเดิม
เผ่าปีศาจห้าขอบเขตบนหลายคนที่เจอต่อจากนั้น แม้ว่าต่างคนจะต่างถูกสยบกำราบ ทว่าสายตาเย็นชาที่กวาดมองไม่หยุดนิ่งก็ยังเหมือนสิ่งของที่จับต้องได้จริง แล้วก็มีปีศาจใหญ่ที่เหมือนเสียสติ พุ่งเข้าชนรั้วแสงกระบี่อย่างบ้าคลั่ง เลือดไหลนองก็ยังไม่ยอมหยุด สุดท้ายใช้สองมือกำแสงกระบี่สองเส้นนั้นไว้อย่างแน่นหนา แผดเสียงด่าทอเฒ่าหูหนวก ยิ่งด่าคนหนุ่มแปลกหน้าที่ขอบเขตไม่สูงคนนั้น เฉินผิงอันจึงหยุดเดินแล้วถามคำถามด้วยภาษาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่เอ่ยได้อย่างคล่องปากสองสามคำถาม ทว่าปีศาจใหญ่กลับเอาแต่ด่าท่าเดียว