กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 674.1 งานเย็บปักถักร้อย
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนขั้นบันได ม้วนชายกางเกงขึ้น ถอดรองเท้าแล้วเอาเก็บใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อหยกขาว
วัตถุจื่อชื่อที่เหลืออีกสองชิ้น ชิ้นที่เยี่ยนหมิงให้ตนยืมใช้ชั่วคราวได้ส่งไปให้หอโอสถขอให้ยอดฝีมือช่วยซ่อมแซมให้ วัตถุจื่อชื่อป้ายคำสั่งลัทธิเต๋าที่เหลืออยู่ได้มาจากการใช้ฝ้าเพดานแลกเอามาจากซุนชิงเจ้าจวนไฉ่เชวี่ย ตอนนั้นยังได้เงินฝนธัญพืชมาเพิ่มอีกสามสิบเหรียญ หากคนทำการค้าในใต้หล้าล้วนว่องไวใจกว้างได้อย่างจวนไฉ่เชวี่ย อย่าว่าแต่ต้องแบกฝ้าเพดานทั้งแผ่นวิ่งไปทั่วเลย ต่อให้ต้องแบกเรือนหลังหนึ่งเฉินผิงอันก็ไม่มีคำบ่น แน่นอนว่าหากเรือนนั้นสามารถเป็นเหมือนสวนกระถางที่ถูกหล่อหลอมอย่างเรือนชุนฟาน สวนดอกเหมย ย่อมมีประโยชน์มากกว่า
วัตถุจื่อชื่อที่มีความเกี่ยวข้องกับนักพรตซุนของใต้หล้ามืดสลัวชิ้นนั้นได้ไหว้วานให้อาเหลียงนำไปมอบให้กับอริยะลัทธิเต๋าแล้ว
วัตถุจื่อชื่อที่อยู่บนร่างของเฉินผิงอันตอนนี้ หลังจากเดินทางไปเยือนหอจิ้งเจี้ยนมารอบหนึ่งและเก็บเอาภาพแขวนของเซียนกระบี่ทุกท่านมาแล้ว เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็มาขอเอาไป รอกระทั่งตอนที่ได้กลับคืนมา ในวัตถุจื่อชื่อก็มีพันธนาการลับอย่างหนึ่งเพิ่มเข้ามา ขนาดเฉินผิงอันที่เป็นเจ้าของก็ยังเปิดมันไม่ได้ ไม่รู้ว่าสรุปแล้วเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสคิดจะทำอะไรกันแน่
เฉินผิงอันเดินเลียบ ‘เส้นทางเทพ’ สมชื่อใต้ฝ่าเท้ามุ่งหน้าไปยังด้านล่างของคุกพลางม้วนชายแขนเสื้อเบาๆ
ร่างกายมนุษย์ฟ้าดินเล็ก ฟ้าดินคือร่างกายคนใหญ่
คำกล่าวนี้ไม่สามารถอธิบายโดยใช้คำสรุปง่ายๆ ตามคำของลัทธิเต๋าได้
คุกที่แม้แต่ชื่อก็ยังไม่มีแห่งนี้ขังผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจรวมทั้งสิ้นเจ็ดสิบตนซึ่งรวมถึงปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนหกตนไว้แล้วด้วย หากไม่พูดถึงห้าขอบเขตล่างสามคนซึ่งรวมถึงเด็กหนุ่มในคุกน้ำเป็นหนึ่งในนั้น ผู้ฝึกตนเซียนดินก็มีค่อนข้างมาก ล้วนเป็นพวกดุร้ายเหี้ยมหาญ หากนำไปวางไว้ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างหรือใต้หล้าไพศาล คาดว่าก็คงเป็นผู้พิชิตของพื้นที่หนึ่งได้เลย พวกมันล้วนเคยสังหารผู้ฝึกกระบี่บนสนามรบมาก่อน อีกทั้งส่วนใหญ่ยังเคยทำลายกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตไม่ใช่แค่เล่มเดียวด้วย
เฉินผิงอันเดินไปตลอดทาง อาจเป็นเพราะไม่มีเฒ่าหูหนวกคอยคุมหลัง ปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนหลายตนที่เดิมทียังซ่อนตัวเงียบก็พากันปรากฏกายท่ามกลางเมฆหมอกในกรงขัง ขยับเข้ามาใกล้รั้วแสงกระบี่ บ้างก็เผยร่างจริง บ้างก็อยู่ในรูปลักษณ์ของมนุษย์ มองประเมินคนหนุ่มที่สวมชุดเขียวเปลือยเท้าชายแขนเสื้อม้วนขึ้น อีกทั้งยังพูดภาษากลางของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ผู้นี้
มีปีศาจใหญ่ที่จำแลงร่างเป็นคนตนหนึ่งขยับมายืนใกล้รั้วของกรงขัง ลักษณะเป็นชายวัยกลางคน ร่ายเวทอำพรางตาเอาไว้ สวมชุดตัวยาวสีเขียว หน้าตาสะอาดสะอ้าน ลักษณะคล้ายบัณฑิต ตรงเอวห้อยขลุ่ยหยกไว้เลาหนึ่ง สีสันแวววาวคล้ายมีแสงจันทร์พันปีสาดส่องไม่ยอมจากไป เขาใช้นิ้วข้างหนึ่งเคาะแสงกระบี่เส้นหนึ่งเบาๆ เมื่อผิวเนื้อสัมผัสกับแสงกระบี่ก็พลันฉีกขาดเลือดไหลริน เกิดเป็นเสียงดังเปรี๊ยะๆ ตามมาด้วยกลิ่นหอมสดชื่นไร้กลิ่นคาวอย่างน่าประหลาด เขายิ้มถามว่า “เจ้าหนุ่ม กำแพงเมืองปราณกระบี่จะพิทักษ์ไว้ไม่อยู่แล้วใช่ไหม?”
เฉินผิงอันหยุดเดิน มองประสานสายตากับปีศาจใหญ่โดยมีกรงขังกั้นขวาง พยักหน้าเอ่ยว่า “สำหรับพวกเราแล้วไม่ใช่ข่าวดีอะไร”
ตามบันทึกของคฤหาสน์หลบร้อน ปีศาจใหญ่ตนนี้ใช้นามแฝงว่าอวิ๋นชิง ร่างจริงคือนกไฉ่หลวน (นกฟินิกซ์ที่มีหลายสีสัน) เมื่อเอาขนของเขามาหลอมจะเป็นวัตถุดิบที่ดีเยี่ยมในการหลอมชุดขนนกของลัทธิเต๋า เป็นเหตุให้ตอนที่ปีศาจใหญ่เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนก็ได้ครอบครองชุดคลุมอาคมที่ระดับขั้นเท่าเทียมกับอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งโดยธรรมชาติ เพียงแต่ว่าขนของปีศาจใหญ่อวิ๋นชิงงอกได้ช้ามาก ถูกขังอยู่ที่นี่มาเจ็ดร้อยปี หอโอสถรวบรวมขนของอีกฝ่ายมาได้แค่เจ็ดชิ้น และเอาไปทยอยขายให้กับสำนักลัทธิเต๋าแล้วสามแห่ง
ปีศาจใหญ่อวิ๋นชิงยิ้มถาม “เยว่ชิงตายแล้วหรือยัง? โซ่วเฉินได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนแล้วหรือยัง?”
เฉินผิงอันตอบตามตรง “เยว่ชิงยังไม่ตาย โซ่วเฉินได้เป็นเซียนกระบี่ที่อายุน้อยที่สุดในใต้หล้าเปลี่ยวร้างของพวกเจ้าแล้ว”
อวิ๋นชิงพยักหน้า เอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ เรือนกายผลุบหายเข้าไปในหมอกอำพรางตาข้นหนาอีกครั้ง คล้ายจะมีเสียงถอนหายใจดังมาแว่วๆ
เมื่อเดินผ่านกรงขังแห่งถัดไป ปีศาจใหญ่ที่เผยร่างจริงพุ่งเข้าชนรั้วแสงกระบี่อย่างบ้าคลั่ง ทว่ารั้วแสงกระบี่กลับแข็งแกร่งมิอาจทำลาย เมฆหมอกในคุกซัดตลบ ปีศาจใหญ่ที่เหนื่อยเปล่าได้แต่สร้างลมคาวฝนเลือดที่ผิวเนื้อปริแตกครั้งหนึ่งเท่านั้น
หนีชิวตัวใหญ่อยู่ในโคลน กินเผ่าพันธุ์เจียวหลงเป็นอาหาร หวังให้ตัวเองได้กลายร่างเป็นมังกร
เฉินผิงอันถาม “เส้นทางการกลายร่างเป็นมังกรของเผ่าน้ำอย่างพวกเจ้ามีคาถาที่เป็นทางลัดหรือไม่? เหมือนอย่างการพิสูจน์มรรคาของจิ้งจอกฟ้าที่ขอแค่เทียนซือของจวนเทียนซือประทับตราลงบนผิวหนัง พวกมันก็สามารถหลบพ้นทัณฑ์สวรรค์ได้แล้ว”
ภูตผีวัตถุหยินจำนวนมากยามที่ข้ามแม่น้ำขึ้นภูเขาจำเป็นต้องเดินทางเคียงคู่กับบุคคลที่ได้รับการปกป้องจากผลบุญเก่า จึงจะมีโอกาสหลบพ้นการซักไซ้เอาความผิดจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกครองพื้นที่ต่างๆ บนโลกใบนี้ไม่รู้ว่ามีภูตผีวิญญาณหยินกี่มากน้อยที่ถูกขุนเขาสายน้ำสกัดขวางทางไปและทางกลับ ไม่เพียงเท่านี้ ยังเล่าลือกันว่าในเรื่องของการเดินลงน้ำของเผ่าพันธ์เจียวหลง เมื่อทุกอย่างที่ทำมาสูญเปล่าก็จะใช้ทุกวิธีการที่มีเพื่อตามหาสถานที่ที่มีการปกป้องในแบบต่างๆ ให้ได้รับตราประทับลัญจกรหยก ถึงขั้นไปหลบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางตัวอักษรสองบรรทัดบนตำราของอริยะปราชญ์บางเล่ม เพียงแต่ว่ามีเรื่องบางอย่างที่เฉินผิงอันเคยเห็นเองกับตา เคยประจบพบเจอกับตัวเองมาก่อน ทว่าคำกล่าวที่มากกว่านั้นซึ่งคล้ายกับเรื่องเล่าพิสดารทั้งหลาย กลับไม่เคยมีโอกาสได้พิสูจน์
ปีศาจใหญ่พลันสงบสติอารมณ์ ค่อยๆ จำแลงร่างกลายเป็นมนุษย์ คือผู้เฒ่าที่ใบหน้าแห้งตอบคนหนึ่ง “เจ้าลูกกระต่ายน้อย เอาเลือดสดหนึ่งจินมาแลกเปลี่ยน!”
เฉินผิงอันเอ่ย “ครึ่งจิน”
เดิมทีปีศาจใหญ่แค่หวังจะหาเรื่องทำแก้เบื่อ คิดไม่ถึงว่าคนหนุ่มผู้นี้จะน้ำเข้าสมอง ถึงขั้นต่อรองราคากับตนจริงๆ หรือนี่?
สองมือของผู้เฒ่ากำราวแสงกระบี่เอาไว้แน่น ดวงตาสองคู่เป็นประกายแวววาว แผดเสียงหัวเราะดังลั่น “ดูจากท่าทางของลูกกระต่ายน้อยอย่างเจ้าแล้ว อายุไม่มาก ก็แค่ว่าเลือดลมไม่ธรรมดา แก่นเลือดในหัวใจเจ้าข้าต้องการแค่สามสลึงเท่านั้น อวัยวะภายในรวมกับเลือดสดที่เชื่อมโยงกับจิตวิญญาณแปดสลึง เลือดสดธรรมดาอย่างน้อยต้องหนึ่งจิน! รีบๆ เอามาให้ข้าซะ แล้วท่านปู่อย่างข้าจะมอบคาถาตระกูลเซียนที่มีมูลค่าควรเมืองบทหนึ่งให้กับเจ้า อย่าว่าแต่ลูกหลานของเจียวหลงเลย แค่เป็นภูตเผ่าน้ำก็ล้วนสามารถจำแลงร่างกลายเป็นมังกรได้อย่างไม่มีปัญหา”
เฉินผิงอันนิ่งเงียบอยู่ตลอดเวลา เขายืนอยู่ที่เดิม รออยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งปีศาจใหญ่ตนนั้นเผยสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อยถึงได้เอ่ยว่า “วิชาเปิดประตูที่เป็นการสืบทอดลับจากแม่น้ำเย่ลั่วเป็นเพียงวิชาเล็กจ้อยแค่นี้เองหรือ? ข้าเคยเห็นฝีมือของเจ้านายเจ้ามาก่อน นางไม่ได้มีความสามารถน้อยนิดแค่นี้หรอกนะ”
ที่แท้ปีศาจใหญ่ตรงหน้าที่มีแค่ราวรั้วกั้นขวางได้แอบร่ายวิชาอภินิหาร ถือเป็นวิชาผีพรายกระชากชั้นสูงวิชาหนึ่ง ภูตผีจะใช้สายตามาเคาะลงบนประตูห้องหัวใจ หากจิตของคนที่เป็นเป้าหมายขยับเล็กน้อย อวัยวะภายในทั้งหมดก็จะโยกคลอน จิตวิญญาณถูกสยบ กลายเป็นหุ่นเชิดของอีกฝ่าย แม่น้ำเย่ลั่วนั้นคือน่านน้ำนาดใหญ่สมศักดิ์ศรีของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ภูตเผ่าน้ำจึงมีกำลังอำนาจอย่างมาก
พวกผีน้ำ เซียนน้ำบางประเภทในแม่น้ำหนองบึงใหญ่ชอบร่ายใช้ ‘วิชาแลกชีวิตแทนตัว’ ที่อำมหิต ลากคนลงน้ำ สลับสับเปลี่ยนหยินหยาง ส่วนใหญ่จะใช้วิชานี้มาล่อลวงใจคน ดังนั้นคนหลายคนบนโลกที่ขยับเข้าใกล้น้ำ หากปราณหยางไม่มากพอ ผลบุญเก่าไม่มากพอ บวกกับโชคร้าย อยู่ดีไม่ว่าดีก็จะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย
ผู้เฒ่าดึงมือสองข้างที่บาดเจ็บมา บาดแผลของเขาประสานตัวหายดีอย่างรวดเร็ว หมอกเลือดที่ถูกแสงกระบี่เผาไหม้ไม่หลุดรอดออกมาจากกรงขังเลยแม้แต่น้อย ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “หากไม่เป็นเพราะมีตราผนึกกั้นขวาง แค่สูดกลิ่นเลือดเสี้ยวหนึ่ง เวลานี้เด็กอย่างเจ้าก็คงนอนจะเป็นจะตายอยู่บนพื้นแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ย “หากไม่เป็นเพราะข้าไม่ใช่เซียนกระบี่ เวลานี้ก็คงได้กินปลาหนีชิวตุ๋นเต้าหู้ไปแล้ว โสมน้ำช่วยบำรุงได้มาก แล้วยังช่วยให้สร่างเมาด้วย”
ผู้เฒ่ามีสีหน้ามืดทะมึน
ยามอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างปีศาจใหญ่ใช้นามแฝงว่าชิงชิว (ฤดูใบไม้ร่วงที่สะอาดสดชื่น) พ้องเสียงกับคำว่าชิงชิวที่แปลว่าปลาหนีชิวสีดำ ชื่อดีๆ อย่างชิงชิวนี้จึงนับว่าตั้งได้เสียเปล่าจริงๆ
เฉินผิงอันถาม “สรุปแล้วยังจะทำการค้ากันอีกหรือไม่?”
ผู้เฒ่าสะบัดร่าง กลิ่นคาวตลบอบอวลอยู่ในห้องขัง ปีศาจใหญ่เผยร่างจริง ดวงตาทั้งคู่ใหญ่โตเท่าโคมไฟ ศีรษะขนาดใหญ่ยักษ์แนบติดกับรั้วแสงกระบี่ หลุบตาลงต่ำมองมาจากที่สูง จ้องคนหนุ่มที่ปากไร้หูรูดผู้นั้นเขม็ง
เฉินผิงอันหมุนตัวเดินจากไป
ปีศาจใหญ่เอ่ยว่า “ทำสิ ท่านปู่กระหายน้ำ เอาเลือดสดครึ่งจินมาดับกระหายก่อน! หากรสชาติดี ท่านปู่ก็จะเอาเลือดสดที่เหลืออีกครึ่งจินมาจากเจ้า จากนั้นค่อยบอกทางลัดในการหลบภัยยามจำแลงร่างเป็นมังกรกับเจ้า”
เห็นเพียงว่าคนหนุ่มพยักหน้ารับแล้วเดินหน้าต่อไปอีกครั้ง
ปีศาจใหญ่ใช้หัวพุ่งชนราวรั้ว เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “ซื่อจื่ออาน (คำเรียกที่แสดงการดูแคลน) เจ้ากล้าปั่นหัวบรรพบุรุษของตัวเองอย่างนั้นหรือ!”
เฉินผิงอันหันหน้ามาถาม “วันหน้าข้าจะให้เฒ่าหูหนวกมาเอาแก่นเลือดในหัวใจของเจ้าสามสลึง เจ้าก็คิดหาถ้อยคำดีๆ รอไว้ด้วยล่ะ อย่าได้หลอกข้า ก่อนหน้านี้บอกว่าเลือดสดธรรมดาครึ่งจิน เจ้ายังไม่ยอมตอบตกลง ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ มีใครเขาทำการค้าแบบเจ้ากันบ้าง?”
พอเฉินผิงอันจากไปไกลแล้ว
เฒ่าหูหนวกก็มายืนหัวเราะร่าอยู่นอกกรงขังของปีศาจใหญ่ชิงชิว ข้างกายยังมีเด็กหนุ่มที่ยังมึนๆ งงๆ คนนั้นอยู่ด้วย เขามีนามว่าโยวอวี้ (มืดมน/หดหู่) ชื่อประหลาด ว่ากันว่าในอดีตผู้ถ่ายทอดมรรคาของเด็กหนุ่มไปอ่านเจอตัวอักษรบนป้ายศิลาในตรอกเล็กก็เลยเอามาตั้งชื่อให้เขา ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งนั้นมีชื่อว่าตู้ซานอิน และเด็กหนุ่มสองคนนี้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ท่าทีที่มีต่ออิ่นกวานหนุ่มก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ฝ่ายแรกนั้นได้แต่เคารพใต้เท้าอิ่นกวานอยู่ห่างๆ ส่วนฝ่ายหลังกลับอยากเป็นบุคคลยิ่งใหญ่อย่างอิ่นกวาน แม้แต่ฝันก็ยังอยากเป็นแบบเขา
ยามที่พูดคุยกับคนหนุ่มที่ก้าวเดินด้วยเท้าเปล่า ปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินอย่างชิงชิวนั้นทำตัว ‘ตามสบาย’ อย่างยิ่ง แต่พอเจอเฒ่าหูหนวกกลับรีบผลุบตัวหายเข้าไปในเมฆหมอกมายาทันที
เฒ่าหูหนวกชำเลืองตามองเมฆหมอกในกรงขังแล้วพยักหน้าเอ่ยว่า “ที่แท้หนีชิวยังมีคำเรียกขานอีกอย่างว่าโสมในน้ำ สามารถทำให้สร่างเมาได้อีกด้วย ได้เรียนรู้อีกแล้ว”
โยวอวี้เอ่ยเบาๆ “ใต้เท้าอิ่นกวานมีความรู้ยิ่งใหญ่อย่างมาก”
เฒ่าหูหนวกยิ้มกล่าว “แล้วยังเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นมากด้วย วันหน้าเจ้าอย่าได้ไปหาเรื่องบัณฑิตประเภทนี้เด็ดขาด”
ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์หย่างจื่อ อดีตเจ้าของแม่น้ำเย่ลั่วก็คือเจ้านายของปีศาจใหญ่ชิงชิวตนนี้ สตรีผู้นั้นเคยสังหารเซียนกระบี่ที่เดินทางลงใต้แซ่เยว่คนหนึ่งอย่างอำมหิตบนสนามรบ ทำให้อิ่นกวานต้องตกอยู่ในสภาพการณ์ที่ถูกผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่พูดจาเหน็บแนมลับหลัง
ดังนั้นถึงแม้ก่อนหน้านี้อิ่นกวานหนุ่มจะเกรงใจปีศาจใหญ่อวิ๋นชิงอย่างยิ่ง ทว่ารอกระทั่งได้เจอกับหนีชิวที่เป็นหนึ่งในสี่สัตว์ดุร้ายของแม่น้ำเย่ลั่วกลับเริ่มทำการคิดบัญชี อันดับแรกก็เก็บดอกเบี้ยมาก่อน ได้กำไรมาเท่าไรก็เท่านั้น
โยวอวี้กล่าวอย่างกระวนกระวายใจ “ท่านปู่หูหนวก ข้าเจอกับใต้เท้าอิ่นกวานผู้นี้แล้วยังไม่กล้าพูดอะไรสักคำเลย ไหนเลยจะกล้าไปหาเรื่องบุคคลที่ราวกับอยู่บนฟ้าเช่นนี้ ไม่กล้าเด็ดขาดเลยล่ะ แล้วนับประสาอะไรกับที่ใต้เท้าอิ่นกวานยังต้องเหน็ดเหนื่อยทุ่มเทให้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ข้าเคารพเลื่อมใสเขาอย่างยิ่ง ตอนนี้ยังรู้สึกเสียใจภายหลังด้วยซ้ำที่ขี้ขลาดเกินไป ไม่กล้าพอจะไปพูดคุยกับเขา”
ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หากพูดถึงแค่รุ่นคนที่อายุน้อยที่สุด อิ่นกวานหนุ่มในสายตาทุกคนอาจแตกต่างกันไป
ยกตัวอย่างเช่นตัวอ่อนผู้ฝึกยุทธอย่างเจียงอวิ๋น หยวนจ้าวฮว่าที่ฝึกวิชาหมัด เด็กๆ บ้านยากจนที่เคยไปนั่งฟังเรื่องเล่าขุนเขาสายน้ำจากเถ้าแก่รองที่มุมเลี้ยวของตรอก ผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยอย่างซุนจ่าวที่ไม่เคยเจออิ่นกวานหนุ่มมาก่อน แต่กลับได้ยินเรื่องของเขามาจนหูชา บวกกับเด็กหนุ่มเด็กสาวที่อายุไม่มาก แต่กลับสามารถออกจากหัวกำแพงเมืองไปเข่นฆ่าเผ่าปีศาจอย่างพวกโยวอวี้ ตู้ซานอิน
เฒ่าหูหนวกเอ่ย “เมื่อโชคลาภและโชคร้ายพุ่งเข้าหา ก็ไม่มีอะไรที่กล้าหรือไม่กล้า”
โยวอวี้พยักหน้ารับอย่างแรง “จำเอาไว้แล้ว”
เฒ่าหูหนวกยิ้มกล่าว “ไม่รู้ว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสคิดอย่างไร น่าจะเปลี่ยนกับตู้ซานอินที่ทะเยอทะยานผู้นั้น เจ้าไปเป็นพวกเดียวกับเจ้าผีขี้เหล้า นิสัยน่าจะเข้ากันได้ดี ไม่แน่ว่าวันหน้าโชควาสนาอาจจะใหญ่ยิ่งกว่านี้ด้วย”
เด็กหนุ่มมีสีหน้าหม่นหมอง ฐานกระดูกและนิสัยของตนต่างก็ย่ำแย่ น่าจะทำให้ผู้อาวุโสเฒ่าหูหนวกผิดหวังแล้ว
เฉินผิงอันยังคงเดินๆ หยุดๆ ไม่รีบร้อน ราวกับท่องเที่ยวอยู่ระหว่างขุนเขาสายน้ำอย่างไรอย่างนั้น
ปีศาจจิ้งจอกเจ็ดหางตนนั้นพยายามใช้ทุกวิถีทางที่มี ตอนที่อิ่นกวานหนุ่มเดินผ่าน เวลาสั้นๆ นางก็เปลี่ยนรูปลักษณ์ไปแล้วหลายชนิด ร่ายเวทอำพรางตาบนรูปลักษณ์เดิม บ้างก็กลายเป็นสตรีโตเต็มวัยเรือนกายอวบอิ่มเปี่ยมเสน่ห์เย้ายวน บ้างก็เป็นเด็กสาวอายุน้อยที่ปัดชาดทาแก้มบางๆ บ้างก็เป็นแม่ชีน้อยหน้าตางดงาม หรือไม่ก็เป็นนักพรตหญิงโตเต็มวัยที่มีสีหน้าเย็นชา สุดท้ายแม้แต่เพศก็เริ่มปนกันมั่ว กลายเป็นเด็กหนุ่มหน้าตางามพิสุทธิ์ พอเห็นว่าคนหนุ่มยังคงไม่หยุดเดินก็ถอดชุดมันเสียเลย เปิดเปลือยเรือนร่าง งดงามดุจคนหยก นั่งคุกเข่าสะอื้นไห้อยู่ริมรั้วแสงกระบี่ หวังจะได้รับความโปรดปราน
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจ จิตใจนิ่งสงบราวกับผิวน้ำ เห็นอีกฝ่ายเป็นเพียงโครงกระดูกแห้งเหี่ยว
ปีศาจจิ้งจอกยังไม่ถอดใจ รอกระทั่งคนหนุ่มที่ใจแข็งราวกับหินคนนั้นหันข้างให้กรงขัง นางก็ทอดตัวมาด้านหน้า สองมือยันพื้น พูดเสียงสะอื้นอ่อนหวาน แนวเส้นบนแผ่นหลังประดุจเทือกเขาโค้งเว้าขึ้นลง
ทว่าเฉินผิงอันกลับยังคงเดินจากไปไกล
——