กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 677.2 ในที่สุดก็เป็นขอบเขตเดินทางไกล
ในสิ่งปลูกสร้างที่ลอยอยู่กลางอากาศ เฉินผิงอันสาวเท้าเดินเป็นวงกลม เพียงแต่ว่าร่างกายกลับงองุ้มอย่างไม่อาจห้าม แขนข้างหนึ่งก็ห้อยลู่ลง
เหนี่ยนซินนั่งอยู่บนขั้นบันไดที่ห่างไปไกล เอ่ยว่า “หากยังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตเดินทางไกลอีก โรคร้ายที่จะทิ้งไว้ภายหลังย่อมต้องมากกว่าเดิม ต่อให้สุดท้ายจะทำสำเร็จ แต่ประสิทธิผลก็จะต้องถูกลดทอนลงไปหลายส่วนใหญ่”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ “ทราบแล้ว”
เหนี่ยนซินเองก็จนใจมากเหมือนกัน
เด็กชายผมขาวมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเหนี่ยนซิน เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์เป็นบัณฑิตของปีศาจใหญ่อวิ๋นชิง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แม่นางเหนี่ยนซิน บอกตามตรง ข้าหลงรักเจ้ามานานแล้ว คำว่า ‘เส้นผมสีนิลยาวปล่อยสยาย สะอาดบริสุทธิ์ไม่เหมือนการแต่งกายของสตรีชนชั้นสูง’ ช่างกล่าวได้ดีจริงๆ”
เหนี่ยนซินไม่ได้สนใจ
เทวบุตรมารนอกโลกแปลงโฉมไปอีกครั้ง เปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เหนี่ยนซินจ๋า เจ้าคงไม่ได้รังเกียจว่าข้าทั้งหูหนวกทั้งตาบอดทั้งอายุมากหรอกกระมัง?”
เหนี่ยนซินยังคงไม่สนใจ
เทวบุตรมารนอกโลกเปลี่ยนรูปร่างไปอีกครั้ง “ผู้อาวุโสเหนี่ยนซิน คนเราจะมองกันแต่รูปโฉมภายนอกไม่ได้ ในใจและในสายตาของข้า เจ้าคือแม่นางที่งดงาม สตรีงดงามต่อให้มีนับพันนับหมื่น แม่นางเหนี่ยนซินก็ยังมีแค่คนเดียว”
เฉินผิงอันฝึกท่าเดินนิ่งไม่หยุด เอ่ยว่า “แค่พอประมาณก็พอแล้ว”
ที่แท้เทวบุตรมารนอกโลกตนนั้นก็แปลงสภาพเป็นเฉินผิงอันที่สวมชุดเขียว
เหนี่ยนซินเพียงแค่คิดถึงเรื่องต่อจากการเย็บผ้า
เทวบุตรมารนอกโลกกลับคืนมาอยู่ในเนื้อหนังมังสาที่ตัวเองชื่นชอบมากที่สุด นั่งอยู่บนขั้นบันได “บุรุษกับสตรีอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง แต่กลับไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ต่อกันเลย นี่ไม่เข้าท่าสักนิด! พวกเจ้าสองคนนี่ยังไงนะ ทำลายบรรยากาศจริงๆ”
เฉินผิงอันเดินนิ่งเสร็จแล้วก็เริ่มฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู หลังจากยืนนิ่งอยู่ครึ่งชั่วยามก็เริ่มเข้าฌานทำสมาธิ สงบจิตใจบำรุงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตด้วยความอบอุ่น
เหนี่ยนซินจากไป
เทวบุตรมารนอกโลกที่ห้อยงูเขียวแทนต่างหูกลับไม่ยอมจากไป จ้องมองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ข้างกายเฉินผิงอันเขม็ง
‘หลงชิว’ กระบี่สั้นเล่มนั้นของเขาอยู่ข้างในนั้น เล่มที่เฉินผิงอันเอาคืนมาให้เขาก่อนหน้านี้ ถูกเขาเอามาผูกไว้ตรงเอว มีชื่อว่า ‘เจียงตู๋’
ต่างก็มีประวัติความเป็นมา เอามาใช้เลี้ยงเจ้าตัวน้อยสองตัวที่ห้อยอยู่ตรงหูเขาได้พอดี
ในความเป็นจริงแล้ววัตถุที่สามารถดำรงอยู่ได้อย่างยาวนานในฟ้าดินแห่งนี้ ระดับขั้นต้องไม่แย่อย่างแน่นอน
แต่สำหรับเทวบุตรมารนอกโลกตนหนึ่งแล้ว อันที่จริงไม่ได้มีความหมายอะไรมากนัก แค่เห็นแล้วถูกชะตาเท่านั้น
เขาพลันเอ่ยว่า “คราบร่างเซียนเหรินชิ้นนั้นล่ะ? ไม่สู้ให้ข้ามอบชุดคลุมอาคมบนร่างไปให้เจ้าพร้อมกันเลยดีไหม นางจะได้สวมมันไว้ตอนออกกระบี่?”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างเฉยเมย “ต้องให้ความเคารพคนตาย”
พอลุกขึ้นยืนก็ทิ้งตัวไปด้านหลัง ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งค้ำยันพื้น หลับตาลง อีกมือหนึ่งทำมุทรากระบี่
เด็กชายผมขาวพูดจาน่าเชื่อถือบอกว่าจะไม่ก้าวเข้ามาในสิ่งปลูกสร้างแห่งนี้ แค่จะเตร็ดเตร่ไปรอบด้านเท่านั้น ทว่ากลับคอยเปลี่ยนร่างเป็นเผ่าปีศาจแต่ละตนที่ตายไปภายใต้หมัดและกระบี่ของเฉินผิงอัน แล้วก็ถามขึ้นมาว่า “ต้องให้ความเคารพคนตายหรือ? แล้วคนที่มีชีวิตอยู่ล่ะควรเป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันลืมตาขึ้น ประกบสองนิ้วค้ำยันพื้น เป็นเหตุให้สองเท้าลอยพ้นพื้นขึ้นมาหลายส่วน
เด็กชายผมขาวที่กลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิมจ้องตากับเขา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ปากไม่ตรงกับใจ เจ้าคอยเข้มงวดกวดขันตัวเองอยู่ตลอดเวลา เป็นผู้แข็งแกร่ง อยู่ร่วมกับฟ้าดิน”
เฉินผิงอันหลับตาลงอีกครั้ง เอ่ยว่า “ทุกเรื่องราวล้วนดำรงอยู่ด้วยเงื่อนไขและเหตุผลที่แน่นอน”
เทวบุตรมารนอกโลกพลันกลายร่างเป็นสตรีแล้วคลี่ยิ้มหวาน
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย เขาลืมตามองไป คือใบหน้าที่สามารถสวมรอยตัวจริงได้
สิ่งที่คิดในใจ สิ่งที่เห็นในสายตา
นี่ก็คือความน่ากลัวของเทวบุตรมารนอกโลก
เฉินผิงอันหลับตาลง เอ่ยว่า “แบกรับผลลัพธ์ที่จะตามมาเอาเอง”
เด็กชายผมขาวโวยวายทันใด “ท่านปู่อิ่นกวาน หากจิตมารของท่านก็คือสตรีผู้นี้ จะทำอย่างไรกันดีเล่า?”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มบางๆ เอ่ยเนิบช้าว่า “ข้ากลับหวังให้เป็นเช่นนั้น”
เด็กชายผมขาวยกมือสองข้างขึ้น สองนิ้วดีดงูเขียวข้างหูเบาๆ ความเคลื่อนไหวแผ่วเบา แต่กลับมีเสียงดังเหมือนระฆังที่ตีดังก้องสะท้อนอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน ถามว่า “ไม่สู้มาลองแสดงกันดูสักรอบ?”
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงหนัก “ไสหัวไปให้ไกลๆ ข้าผู้อาวุโส!”
เด็กชายผมขาวบ่นว่า “ลดลำดับศักดิ์ลงมาให้เสียเปล่าไปไย การค้าครั้งนี้ท่านปู่อิ่นกวานขาดทุนแล้ว”
จากนั้นนาทีถัดมา เทวบุตรมารก็เงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาว หดคออย่างขลาดกลัว
ที่แท้ก็ถูกเฉินชิงตูเอามือคว้าหัวแล้วหิ้วไว้ในมือ
ผู้เฒ่าแค่ใช้ปณิธานกระบี่สยบกำราบ ใบหน้าของเทวบุตรมารก็เปลี่ยนมาเป็นบิดเบี้ยวแล้ว ร่างทั้งร่างก็ยิ่งเหมือนเทียนหอมที่เริ่มหลอมละลาย ใบหน้าเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง พลันร้องคร่ำครวญไม่หยุด เอ่ยปากอ้อนวอนสุดชีวิต
เฉินผิงอันพลิกตัวพลิ้วกายยืนนิ่ง
เฉินชิงตูโยนเทวบุตรมารนอกโลกตนนั้นออกไปไกลๆ มองไปทางเฉินผิงอัน ขมวดคิ้วเอ่ย “ชื่อจริงของปีศาจใหญ่ที่สำคัญหลายตนกลับสลักออกมาไม่ได้สักชื่อเลยหรือ?”
เหนี่ยนซินปรากฎกายบนขั้นบันได “จะโทษข้าไม่ได้นะ แกะสลักได้ก็จริง แต่คงต้องแกะลงบนร่างของคนตายแล้วล่ะ”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “คอขวดผู้ฝึกยุทธมิอาจฝ่าไปง่ายๆ ได้จริงๆ ต่อให้จะถามหมัดกับเทวบุตรมารนอกโลกก็ยังไม่มีประโยชน์ ตอนนี้สิ่งที่ข้าขาดก็คือปณิธานแห่งจิตวิญญาณที่ลี้ลับมหัศจรรย์นั้น ไม่อย่างนั้นหากมีแค่การหล่อหลอมเรือนกายอย่างเดียว ลำพังเพียงแค่แบกรับการเย็บผ้าจากผู้อาวุโสเหนี่ยนซินก็มากพอให้ข้าเลื่อนสู่ขอบเขตเดินทางไกลได้แล้ว”
เฉินชิงตูกล่าว “จะให้ข้าไปหาผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบที่พลังจิตเปี่ยมล้นจากที่ไหนมาให้ใต้เท้าอิ่นกวานได้ล่ะ”
เฉินผิงอันเอ่ย “อย่าถามข้า”
เฉินชิงตูยิ้มอย่างขำๆ ปนฉุน
เหนี่ยนซินได้เปิดโลกทัศน์ครั้งใหญ่
เฒ่าหูหนวกที่เร่งรุดมาตามเสียงความเคลื่อนไหวก็รู้สึกเลื่อมใสอย่างยิ่ง
เทวบุตรมารนอกโลกที่ขดตัวอยู่บนขั้นบันไดยิ่งรู้สึกว่าคำเรียกท่านปู่อิ่นกวานแต่ละคำของตนล้วนไม่เสียเปล่าเลย
ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือใต้เท้าอิ่นกวานถูกปณิธานกระบี่สยบกำราบ อันดับแรกเอวก็งองุ้ม จากนั้นก็เข่าทรุดคุกเข่าลงกับพื้น สุดท้ายหมอบคว่ำอยู่บนพื้นมิอาจกระดุกกระดิก อีกนิดก็เกือบจะกลายเป็นดินโคลนเละๆ กองหนึ่ง
โชคดีที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสนับว่ายังพอจะมีน้ำใจอยู่บ้าง จึงจับเฉินผิงอันโยนเข้าไปในเตาหลอมลาวาแห่งนั้นโดยตรง
หลังจากร่างของเฉินผิงอันหายไปแล้ว
เฉินชิงตูก็โบกมือ พวกเหนี่ยนซินจึงพากันจากไป
ผู้เฒ่ายืนอยู่ในศาลา กวาดตามองไปรอบด้าน เส้นสายตาไล่ผ่านเสาทั้งสี่ต้นช้าๆ
……
เฉินผิงอันได้ออกมาจากคุก มาสูดอากาศบริสุทธิ์ด้านนอกอย่างที่หาได้ยาก
เด็กชายผมขาวปรากฏตัวอย่างรวดเร็ว ยั่วยุอิ่นกวานหนุ่มว่าให้ไปดูสถานที่ฝึกตนของสิงกวาน บอกว่าที่นั่นมีสมบัติเยอะมาก ล้วนเป็นของที่ไร้เจ้าของ เก็บมาได้ตามใจชอบ
แค่มองดูอย่างเดียวก็ได้ แต่ถ้าไม่เก็บเอามาก็เท่ากับว่าปล่อยทิ้งให้เสียเปล่า
ภายใต้การนำทางของเทวบุตรมารนอกโลก เฉินผิงอันจึงได้มาเยือนลำธารเส้นนั้น สีหน้าของเขาเลื่อนลอยไปเล็กน้อย ราวกับอยู่ที่บ้านเกิดแล้วกำลังจะไปเก็บหินดีงู เพียงแต่ว่าขาดตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ไป
เด็กชายผมขาวสมกับเป็นคนคาบข่าวที่ไม่ทำอะไรเป็นการเป็นงานจริงๆ เขาเล่าถึงสถานการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับนายบ่าวสองคนนั้นให้เฉินผิงอันฟังอย่างละเอียด บอกว่าเจ้าเด็กทึ่มที่ชื่อโยวอวี้ผู้นั้น ไม่ว่าจะเรียนอะไรก็ล้วนเชื่องช้า เทียบกับลูกศิษย์สามคนที่เฒ่าหูหนวกรับมาแล้วก็ไม่อาจเทียบได้ติดเลย บอกว่าพรสวรรค์ในการฝึกกระบี่ของของตู้ซานอินกลับไม่เลว แล้วยังโชคดียิ่งกว่า น่าเสียดายที่เป็นพวกหื่นกาม คนประเภทนี้ได้มาเป็นเจ้านายของเฒ่าหูหนวกกับสิงกวาน เขาล่ะรู้สึกเสียใจอย่างสุดแสนแทนท่านปู่อิ่นกวานจริงๆ
เฉินผิงอันพลันหยุดเดิน ตรงริมลำธารที่ห่างไปไม่ไกลมีสตรีที่กำลังใช้ไม้ทุบผ้ากับเด็กสาวที่กำลังซักผ้า
เฉินผิงอันเพ่งสายตามองไปแล้วก็รู้สึกถึงเพียงความเหลือเชื่อ เดินทางท่องไปทั่วยุทธภพ เคยเห็นคนจิ๋วควันธูปที่มีกรอบป้าย มีกระถางธูปเป็นบ้านมาก่อน ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่แมลงก้อนเงินของชุยตงซานก็ยังเคยเห็น แต่กลับไม่เคยเห็นสตรีสองคนที่อยู่ตรงหน้ามาก่อน
เด็กชายผมขาวเอ่ยชื่นชม “ท่านปู่อิ่นกวานสายตาดีจริงๆ แค่มองครั้งเดียวก็มองถึงตัวตนที่แท้จริงของพวกนางออก พวกนางต่างก็เป็นร่างจำแลงของบรรพบุรุษเงินแก่นทองและเงินฝนธัญพืช แต่ตู้ซานอินผู้นั้นกลับไม่ได้เรื่องเลย เห็นแค่ใบหน้าเล็ก หน้าอกใหญ่ เอวบางๆ ของพวกนางเท่านั้น ส่วนโยวอวี้ก็ยิ่งน่าสงสาร ไม่แม้แต่จะกล้ามองสักครั้ง มีเพียงท่านปู่อิ่นกวานที่สมกับเป็นวีรบุรุษอย่างแท้จริง”
สตรีที่ใช้ไม้ทุบผ้าเงยหน้าขึ้น เอานิ้วลูบผมตรงจอนหู ยิ้มบางๆ ให้เฉินผิงอัน
ส่วนเด็กสาวที่ซักผ้าพอเห็นอิ่นกวานหนุ่มก็ใช้นิ้วข้างหนึ่งจิ้มแก้ม
เฉินผิงอันประสานมือคารวะกลับคืน
เด็กชายผมขาวกระทืบเท้า “ท่านปู่อิ่นกวาน พวกมันคู่ควรกับมารยาทพิธีการจากท่านผู้อาวุโสแบบนี้เสียที่ไหน ทำให้พวกนางอายุสั้นแล้ว”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เดินไปทางกระท่อมพลางคิดถึงเรื่องเงินทองไปด้วย
เงินเหรียญทองแดงแก่นทอง ต้าหลีมีอยู่สามชนิด เงินอิ๋งชุน เงินก้งหย่าง เงินยาเซิ่ง เคยเป็นเงินค่าผ่านทางในการเข้าไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจู ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอันแม้แต่น้อย เพราะถึงอย่างไรภูเขากลุ่มแรกของเขาก็อาศัยเงินเหรียญทองแดงแก่นทองหลายถุงซื้อมา เงินเหรียญทองแดงแก่นทองสามชนิดที่ราชวงศ์ต้าหลีขายให้กับกองกำลังตระกูลเซียนฝ่ายต่างๆ เล่าลือกันว่าเป็นเงินแม่แบบสามชนิดที่สำนักโม่ช่วยสกุลซ่งสร้างขึ้นมา จัดทำได้อย่างประณีตเป็นที่สุด คือของงดงามเป็นเอกอันดับหนึ่ง จากนั้นถึงได้เริ่มทำการหลอมครั้งใหญ่
ต่อให้เป็นเงินแม่แบบของเงินเหรียญทองแดงธรรมดาทั่วไปที่ราชวงศ์ในโลกมนุษย์สร้างขึ้นมา ก็ล้วนเป็นของรักของเซียนซือมากมายบนภูเขา คือของสะสมล้ำค่าที่คนชอบสะสมยอมทุ่มทองก้อนใหญ่ซื้อมาโดยไม่เสียดาย
เงินใหม่ที่ทางราชสำนักแจกจ่ายซึ่งรวมถึงเหรียญทองแดงแก่นทอง เงินเทพเซียนสามชนิดบนภูเขาซึ่งมีเงินเกล็ดหิมะ เงินร้อนน้อยและเงินฝนธัญพืชเป็นหนึ่งในนั้น ล้วนอยู่เหนือเงินแม่แบบ ต่างก็มีเงินบรรพบุรุษกันทั้งสิ้น
เงินบรรพของเงินเกล็ดหิมะแน่นอนว่าเป็นสิ่งของที่สกุลหลิวธวัลทวีปเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี แต่เงินบรรพบุรุษของเงินร้อนน้อยและเงินฝนธัญพืชนั้นอยู่ที่ไหน กลับไม่มีคำบอกกล่าวที่แน่ชัด คิดไม่ถึงว่าเงินบรรพบุรุษของเงินฝนธัญพืชจะถูกสิงกวานเก็บไว้ในกระเป๋า แล้วยังมีโชควาสนาเช่นนี้อยู่อีก ถึงขั้นจำแลงร่างกลายเป็นคนได้สำเร็จ
สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญามากมายบนโลก ขอแค่จำแลงร่างกลายเป็นคนได้ ไม่ว่ารากฐานจะคืออะไร เมื่อสติปัญญาเปิดกว้าง ก็ล้วนถือเป็นโชควาสนาใหญ่บนมหามรรคา ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนที่ได้เดินขึ้นเขาแล้ว ปฏิบัติต่อกันอย่างมีมารยาท ย่อมไม่ผิดอย่างแน่นอน
เด็กหนุ่มตู้ซานอินวันนี้ว่างงานจึงมายืนอยู่ใต้ซุ้มองุ่น มองแขกทั้งสองคนอยู่ไกลๆ
เด็กหนุ่มผมขาวยังคงพูดทวงความไม่เป็นธรรมแทน ‘ท่านปู่อิ่นกวาน’ ของตัวเอง เขาเดินเคียงบ่าอยู่กับเฉินผิงอัน แต่กลับเป็นการเดินถอยหลัง ยื่นนิ้วชี้ไปยังสตรีสองคนที่ทุกวันได้แต่ทุบผ้าซักผ้า “บังอาจๆ ทำตอนนี้เลยๆ”
เดิมทีสตรีที่ใช้ไม้ทุบผ้ากับเด็กสาวที่ขยี้ผ้าไม่ต่างจากสาวงามในชนบทสักเท่าไร หลังจากที่เทวบุตรมารนอกโลกเอ่ยสองคำว่า ‘ทำตอนนี้เลย’ กลับกลายเป็นว่ามีเหตุการณ์ผิดปกติบังเกิดขึ้น ผิวหนังของพวกนางแบ่งกันมีแสงสีเหลืองทองและสีเขียวเข้มปรากฎ พอจะมองเห็นตัวอักษรลอยขึ้นมาได้อย่างเลือนราง โดยเฉพาะบนหน้าผากของเด็กสาวมัดผมแกละที่เหมือนมีหน้าต่างบานเล็กๆ ถูกเปิดออก คาดว่าสาเหตุคงเป็นเพราะที่ตอนนางถือกำเนิด ตัวอักษรเหมือนโดนฟัน รอยมีดจึงยังคงดำรงอยู่
แต่พวกนางกลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ยังคงซักผ้าทุบผ้าต่อไป
เด็กชายผมขาวเอ่ยเบาๆ “เงินต้นแบบและเงินบรรพบุรุษบนโลก ส่วนใหญ่มักจะอยู่เป็นคู่ หากทั้งสองล้วนกลายเป็นภูตได้สำเร็จ จากนั้นก็กลายเป็นคู่รักกัน จุ๊ๆๆ นั่นก็คือโชควาสนาที่พันปียากจะพานพบแล้ว เงินให้กำเนิดเงิน ท่านปู่อิ่นกวาน ขอแค่ท่านรับปากว่าจะพาข้าไปอยู่ใต้หล้าไพศาลด้วย ข้าก็จะช่วยท่านขอพวกนางมาจากสิงกวาน วันหน้าเมื่อไปถึงใต้หล้าไพศาล กีบเท้าม้าควบทะยานไม่หยุด เบิกตามองกว้าง ช่วยท่านผู้อาวุโสไปตามหาคู่บำเพ็ญตนให้กับพวกนาง! เป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันเอ่ย “ไม่อย่างไร”
เซียนกระบี่สิงกวานอยู่ในกระท่อม ต่อให้อิ่นกวานมาเยือนก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะเปิดประตูต้อนรับแขก
เดิมทีเฉินผิงอันก็มาเพื่อผ่อนคลายอารมณ์อยู่แล้ว จึงไม่ได้สนใจกับท่าทีของสิงกวาน ขอแค่ไม่โดนแสงกระบี่ของอีกฝ่ายก็พอ
ตู้ซานอินคารวะพลางเอ่ยว่า “คารวะใต้เท้าอิ่นกวาน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เชิญตามสบาย”
ตู้ซานอินนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงตบหัวตัวเอง ไปหยิบผงทองสองถุงมาแล้วยื่นถุงหนึ่งส่งมาให้ก่อน “ขอใต้เท้าอิ่นกวานโปรดรับไว้ด้วย”
เฉินผิงอันรับเอาไว้จริงๆ
ตู้ซานอินยื่นผงทองไปให้อีกถุง “ขอใต้เท้าอิ่นกวานโปรดเล่าเรื่องราวแห่งขุนเขาสายน้ำให้ฟังอีกสักรอบเถิด”
เด็กชายผมขาวคลี่ยิ้มมีเลศนัย
เฉินผิงอันยื่นมือไปกดศีรษะของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ต่อให้ในอนาคตเจ้าจะกลายเป็นเจ้านายของสิงกวานอย่างสมชื่อก็อย่าได้ทำเรื่องแบบนี้อีก”
ตู้ซานอินเงยหน้าขึ้น ถามด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “ขอถามได้ไหมว่าทำไม?”
เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรอีก เพียงแค่เดินสวนไหล่เด็กหนุ่มไป ขยับเท้าไปชื่นชมแก้วกระเบื้องเทพบุปผาห้าสีที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ
เด็กชายผมขาวกระโดดขึ้นตบไหล่ของเด็กหนุ่ม เอ่ยว่า “เป็นคนมีความสามารถคู่ควรแก่การอบรมปลูกฝัง พยายามเข้าอีก! ท่านปู่อิ่นกวานของข้าอิจฉาที่เจ้ามีวาสนาลึกล้ำ คำกล่าวที่ว่าหลงระเริงลำพองตน สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว เดิมทีก็เป็นคำกล่าวในเชิงชมเชยอยู่แล้ว”
ตู้ซานอินยิ้มกว้าง “พูดเรื่องตลกแล้ว”
เด็กชายผมขาวกล่าวอย่างกังขา “ทำไมเจ้าไม่กลัวข้าสักนิดเลยเล่า?”
จิตของตู้ซานอินขยับเล็กน้อย แสงกระบี่เส้นหนึ่งก็พลันมาหยุดที่ไหล่ของเด็กหนุ่ม ประหนึ่งนกน้อยพุ่งเข้ามาเกาะกิ่งไม้
ตู้ซานอินเอ่ย “ใต้เท้าสิงกวานมอบสิ่งนี้ให้ข้าแล้ว”
เด็กชายผมขาวเอ่ยทันใด “แค่อาศัยสิ่งนี้ วันหน้าข้าจะเรียกเจ้าว่าท่านพ่อ!”
ตู้ซานอินเตรียมจะคลี่ยิ้ม ทว่าใบหน้ากลับชะงักค้างในฉับพลัน