กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 681.1 คลายสัญญา
ซวงเจี้ยงยืนอยู่บนขั้นบันได มองคนหนุ่มที่เดินโงนเงนลงมาซึ่งกำลังยกมือทุบที่หัวใจตัวเองอย่างแรง
ทุกครั้งที่เฉินผิงอันต่อยหมัดลงไป ตรงหัวใจจะต้องมีแสงสีทองไหลออกมาเหมือนช่างตีเหล็กที่เหวี่ยงค้อนหลอมกระบี่กึ่งสำเร็จรูป ทุกครั้งจะมีประกายไฟสาดกระเซ็นไปสี่ทิศ ซัดให้กระแสไหลรินของแม่น้ำแห่งกาลเวลาปั่นป่วนวุ่นวาย เป็นเหตุให้เส้นแสงรอบกายเฉินผิงอันบิดเบี้ยว เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน
เนื่องจากเฉินผิงอันอยู่ในตำแหน่งสูงแล้วเดินลงบันไดมา ดังนั้นต่อให้จะหลุบตาลงต่ำ ซวงเจี้ยงที่ยืนอยู่บนบันไดขั้นต่ำกว่าก็ยังคงมองเห็นดวงตาสีทองที่ผิดแผกจากคนธรรมดาของเขาได้อย่างชัดเจน
ต่อให้ระดับขั้นของตัวอักษรที่เหนี่ยนซินลอกออกมาจากยันต์ทองตำราหยกจะสูงมาก แต่ละตัวซุกซ่อนปณิธานที่แท้จริงของมรรคกถาเอาไว้ แต่เมื่อเฉินผิงอันต่อยหมัดลงไปก็ยังมีตัวอักษรหลายตัวถูกแสงสีทองหลอมละลายแล้วสลายหายไปกลางอากาศทันที
ซวงเจี้ยงถามว่า “ไม่ควรหลอมสำเร็จได้เร็วขนาดนี้สิ เจ้าเก็บซ่อนความลับอะไรไว้หรือไม่?”
เฉินผิงอันไม่ตอบ ทั้งไม่ยินดีจะพูด และความจริงแล้วก็ไม่อาจเปิดปากพูดได้ด้วย ทำได้เพียงต่อยลงบนหัวใจครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามสะกดเสียงรัวกลองตรงหัวใจเอาไว้อย่างสุดกำลัง
ซวงเจี้ยงเบี่ยงตัวเปิดทางให้ แล้วเดินไปพร้อมกับเฉินผิงอัน เขาคอยมองใบหน้าด้านข้างของเฉินผิงอันอยู่ตลอดเวลา แล้วลองโคจรวิชาอภินิหารตรวจสอบสภาพการณ์ภายในฟ้าดินเล็กเรือนกายมนุษย์ของเฉินผิงอันอย่างละเอียด
เฉินผิงอันหยุดเดิน เอาสองมืออุดปาก เลือดสดสีทองตีตื้นขึ้นมาในลำคอ เขาแหงนหน้าขึ้นน้อยๆ กลืนเลือดสดพวกนั้นกลับคืนไป แล้วเดินหน้าต่อไปอีกครั้ง ใช้หมัดทุบหัวใจครั้งแล้วครั้งเล่าดังเดิม
ซวงเจี้ยงรู้สึกคันคะเยอในหัวใจ แปลก แปลกยิ่งนัก ต่อให้เฉินผิงอันจะใช้เมล็ดพันธ์มังกรเพลิงที่เป็นดวงตามังกรสองดวงนั้นเป็นตัวนำในการหลอมวัตถุ อีกทั้งยังมีโชคชะตาบู๊คอยช่วยเหลือ เป็นเหตุให้โครงกระดูกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ถึงขั้นผลักไสเรือนกายและจิตวิญญาณของเฉินผิงอันเกินไป แต่ก็ไม่น่าจะราบรื่นขนาดนี้สิ ตามการคาดการณ์ของซวงเจี้ยง ต่อให้เหนี่ยนซินดึงเส้นด้ายแนวตรงและแนวนอนสามหมื่นหกพันเส้นออกมาจนครบทั้งหมด ก็ไม่แน่เสมอไปว่าเฉินผิงอันจะเดินออกมาจากประตูเล็กบานนั้นได้แล้ว
นี่ก็เหมือนเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่พรสวรรค์ดีเลิศคนหนึ่งเปิดตำราอริยะปราชญ์เล่มหนึ่งอ่าน ในเวลาเพียงชั่วครู่ชั่วยาม บางทีอาจเข้าใจถ้อยคำที่แฝงความลี้ลับของอริยะได้ก็จริง แต่ไม่มีทางคว้าจับแก่นของสัจธรรมที่สำคัญไว้ได้จริงอย่างแน่นอน
มีเพียงความเป็นไปได้สองอย่างเท่านั้น หนึ่งคือเฉินชิงตูแอบลงมือ มหามรรคาเผยกาย ยอมให้ตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกชักนำ แต่ก็ต้องช่วยเฉินผิงอันหลอมวัตถุด้วยตัวเองให้จงได้
และยังมีอีกอย่างหนึ่ง เฉินผิงอันคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางท่านที่มาจุติบนโลกซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับโครงกระดูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์โครงนี้ เป็นการถ่ายทอดครึ่งหนึ่งและหล่อหลอมครึ่งหนึ่ง
เพียงแต่ว่าซวงเจี้ยงรู้สึกว่าความเป็นไปได้สองอย่างนี้เกิดขึ้นได้น้อยมาก เฉินชิงตูไม่ใช่คนที่จะทำบุญทำทานกับใครตามใจชอบ หากเฉินผิงอันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคโบราณกลับมาจุติ ในอดีตเคยถูกคนสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะ ย่อมต้องทิ้งร่องรอยไว้ไม่มากก็น้อย ซวงเจี้ยงเคยเข้าไปเยือนในหัวใจเขาหลายครั้งก็น่าจะสัมผัสได้บ้างถึงจะถูก
ดวงตาของเฉินผิงอันค่อยๆ กลับคืนมาเป็นปกติ แสงสีทองค่อยๆ สลายหายไป ความเคลื่อนไหวตรงหัวใจก็ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ
ออกหมัดเบาลง ฝีเท้ามั่นคงขึ้น สภาพจิตใจเริ่มสงบ
คุกทั้งแห่งก็สงบลงตามไปด้วย
เฉินผิงอันหมุนตัวเดินกลับขึ้นที่สูง เด็กชายผมขาวจึงได้แต่เดินตามไปด้วย
ครั้งนี้เฉินผิงอันเดินผ่านกรงขังแต่ละแห่ง ปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนห้าท่าน ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจก่อกำเนิดห้าคนล้วนพากันปรากฎตัว เพียงแต่ว่าไม่มีใครเอ่ยอะไร
สายตาที่มองคนหนุ่มเหมือนคนมองปีศาจ
เฉินผิงอันมาหยุดตรงทางเข้าของคุก นั่งอยู่บนบันไดขั้นบนสุด ฟ้าดินแห่งนี้อยู่ในลักษณะที่ท้องฟ้าสว่างพื้นดินมืดมิด ด้านบนเวลากลางวันด้านล่างเป็นยามราตรี แต่นอกคุกกลับเป็นช่วงเวลาตอนกลางวันตลอดเวลา
ซวงเจี้ยงอดไม่ไหวเอ่ยขึ้นว่า “บรรพบุรุษอิ่นกวาน พูดไม่ได้จริงๆ หรือ? พูดออกมาแล้วก็ถือเป็นการค้าขายอย่างหนึ่ง ถือว่าข้าติดเงินเกล็ดหิมะเจ้าสามเหรียญ”
ก่อนหน้านี้ตอนที่คนทั้งสอง ‘ร่วมมือกัน’ ได้ตั้งกฎการค้าขายระหว่างทั้งสองฝ่ายเอาไว้ หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่ากับผู้ฝึกตนเซียนดินคนหนึ่ง เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ สามารถซื้อขายชีวิตของขอบเขตหยกดิบได้คนหนึ่ง กระทั่งสะสมได้หนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืช เฉินผิงอันก็สามารถไปขอร้องเฉินชิงตูให้รักษาชีวิตของเทวบุตรมารนอกโลกตนนี้เอาไว้ได้ ซวงเจี้ยงเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว ต่างหูงูเขียว มรรคกถา เวทคาถา สมบัติอาคม อาวุธ ล้วนเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ อะไรที่ควรมีก็มีหมด ในคุกแห่งนี้มันยังสะสมทรัพย์สินเอาไว้บางส่วน เพียงแต่ว่าก่อนหน้านั้นแค่เลือกส่วนที่ตัวเองถูกชะตาเท่านั้น แต่อีกไม่นานมันจะต้องทุ่มสุดชีวิตเพื่อไปเก็บกวาดเอามา เพราะจนตรอกแล้วจริงๆ แม้แต่สตรีคนทุบผ้า เด็กสาวคนซักผ้า ซุ้มองุ่น แก้วเทพบุปผาสิบสองใบ บวกกับหนังสือเทพเซียนและเม็ดกระบี่ของตู้ซานอิน เขาแม่งจะเอามาไว้ในมือของตนให้หมดเลย เอามาแลกเปลี่ยนเป็นเงินกับบรรพบุรุษอิ่นกวาน!
อิ่นกวานหนุ่มมีอยู่ข้อหนึ่งที่ดีมาก ทำให้ซวงเจี้ยงมั่นใจได้มาก นั่นก็คือหากเฉินผิงอันทำสัญญากับคนอื่นด้วยความจริงใจ เขาจะไม่มีทางกลับคำเด็ดขาด เชื่อถือได้ยิ่งกว่าคำสาบานผายลมสุนัขอะไรเสียอีก
ซวงเจี้ยงพลันหัวเราะขึ้นมา “พูดแล้วต้องทำ ทำแล้วต้องมีผล นี่ก็คือคนถ่อยที่ดึงดันถือทิฐิ”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ ไม่ถือสาเทวบุตรมารที่ด่าคนทางอ้อม เพียงเอ่ยว่า “เจ้าก็รู้ว่าข้าเคยเปิดร้านเหล้าที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เซียนกระบี่ดื่มเหล้าก็ยังติดค้างค่าเหล้าไม่ได้ อีกทั้งยังมีแค่สามเหรียญเงินเกล็ดหิมะเนี่ยนะ? การค้าครั้งนี้ข้าไม่ทำหรอก ขาดทุนเกินไป”
ซวงเจี้ยงพลิกตัวหันหลังกลับ หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งที่เหมือนผ้าของสตรีออกมาอย่างลับๆ ล่อๆ แล้ววางกางลงบนพื้นเบาๆ สองนิ้วคีบเอาของรักของตัวเองที่เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีมาอย่างยาวนานออกมา
บนผ้าเช็ดผ้าเกิดริ้วกระเพื่อมเป็นระลอก ซวงเจี้ยงหยิบดาบแคบที่ยาวมากออกมาเล่มหนึ่ง แล้วก็เปลี่ยนจากมือที่คีบด้ามดาบมาเป็นใช้สองมือกุมด้ามดาบ ปลายด้านหนึ่งของฝักดาบค้ำอยู่บนผ้าเช็ดหน้า
เมื่อเทียบกับตัวของเทวบุตรมารที่อยู่ในร่างของเด็กชายแล้วยังสูงกว่าเสียอีก
ซวงเจี้ยงเก็บผ้าเช็ดหน้ามา ลุกขึ้นยืน เขย่งปลายเท้า ยื่นมือไปผลักดาบออกจากฝักมาชุ่นกว่า พริบตาเดียวประกายแสงก็พร่างพราว มีห้าสี ดุจก้อนเมฆสีแดงยามถูกแสงอาทิตย์สาดส่อง
ด้ามดาบถูกรัดพันด้วยเส้นด้ายสีทองเล็กบางหนาแน่น เป็นทรงโค้งกลมปกป้องมือ ประณีตงดงามอย่างยิ่ง นอกวงกลมยังมีตัวอักขระสีทองเป็นวงหนึ่ง สลักเป็นคำว่า ‘ประกายแสงไหลเวียนวนเหมือนแสงจันทร์สุกสกาว ฟ้าโปร่งน้ำใส มั่นคงตลอดกาล จิตใจสะอาดบริสุทธิ์’ สองคำสุดท้ายคือ ‘พิฆาต’
ซวงเจี้ยงผลักดาบกลับเข้าฝักแล้วก็ประคองถือดาบด้วยสองมือ “เป็นอย่างไร? ข้าใช้ดาบเล่มนี้มาแลกเปลี่ยนคำตอบจากท่านบรรพบุรุษ”
เฉินผิงอันยิ้มพลางยื่นมือไปรับ “ได้สิ”
ซวงเจี้ยงยื่นดาบแคบเล่มนี้ให้แก่เฉินผิงอันอย่างไม่ลังเล
เฉินผิงอันวางดาบพาดขวางไว้บนเข่า หนักมาก ใช้มือข้างหนึ่งกำดาบ มืออีกข้างประกบสองนิ้วดันด้ามดาบ ค่อยๆ ผลักมันออกจากฝักช้าๆ จ้องมองไปนิ่งๆ เพียงแต่ไม่นานก็ผลักมันกลับคืน นึกถึงสองคำว่า ‘พิฆาต’ ที่ไม่ถือว่าเป็นคำแปลกใหม่สำหรับเขาขึ้นมาได้ จึงถามอย่างสงสัยว่า “คือวัตถุที่ใช้ในการลงทัณฑ์ของแท่นสังหารมังกรสมัยบรรพกาลหรือ?”
ซวงเจี้ยงนั่งยองอยู่ด้านข้าง พยักหน้าเอ่ยว่า “ก็ใช่น่ะสิ! แค่ว่าก่อนที่มันจะถูกตกทอดมา ถูกทำเสียรูปโฉมไปบ้าง คาดว่าคงต้องเคยตัดหัวของมังกรชั่วเจียวร้ายไปไม่น้อย ดังนั้นปราณดุร้ายจึงค่อนข้างเข้มข้น ถึงอย่างไรท่านบรรพบุรุษอิ่นกวานก็ไม่กลัดกลุ้มในเรื่องนี้ ข้าจึงถือเสียว่ามอบดาบวิเศษให้กับวีรบุรุษ! มีอะไรก็จะบอกทั้งหมด วัตถุชิ้นนี้หากอยู่บนแท่นสังหารมังกรไม่ถือว่าดีที่สุด แต่ทุกวันนี้หากเอาไปวางไว้ที่ใต้หล้าไพศาลก็ยังสามารถทำให้ผู้ฝึกตนสำนักการทหารห้าขอบเขตบนแย่งชิงกันหัวร้างข้างแตกได้แล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มอบ?”
ซวงเจี้ยงรีบตบบ้องหูของตัวเองทันใด เปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า “ขาย!”
เฉินผิงอันใช้สองมือกดตัวดาบ เอ่ยเบาๆ ว่า “คำตอบนั้นข้าก็ไม่ค่อยรู้ชัดนัก ไม่ได้โกหกเจ้าจริงๆ”
ซวงเจี้ยงเหมือนถูกฟ้าผ่า
เฉินผิงอันยกดาบแคบขึ้นมาสองสามชุ่น “ข้าทำการค้าไม่เคยหลอกลวงเด็กสตรีและคนชรา รับมาแล้วก็ละอายใจ ถ้าอย่างนั้นก็คืนให้เจ้าแล้วกัน”
ทั้งสองคนต่างพากันเงียบงัน
มารดาเถอะ เจ้าก็เอาดาบคืนข้ามาเสียทีสิ
ที่แท้พอเฉินผิงอันยกดาบขึ้นมาเล็กน้อยก็ไม่เอ่ยอะไรอีก จะให้ซวงเจี้ยงไปแย่งเอามาก็คงไม่สมควร ประเด็นสำคัญคือดูจากท่าทางของบรรพบุรุษอิ่นกวานที่ห้านิ้วกำแน่นแล้ว ไม่เหมือนว่าจะคลายมือเลย ซวงเจี้ยงยิ่งไม่คิดจะเอ่ยถ้อยคำเกรงใจอะไรแม้แต่ครึ่งประโยค เพราะหากตนเกรงใจ อีกฝ่ายต้องไม่เกรงใจกันแน่นอน
เฉินผิงอันโยนดาบแคบไปให้เทวบุตรมาร “นี่ก็เพราะเห็นแก่ที่เจ้าช่วยทิ้งวัตถุจื่อชื่อไว้ที่หน้าประตูให้ข้า”
ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องเปลือยกายไปที่ศาลาแห่งนั้น แล้วอาจจะต้องไปเจอกับเหนี่ยนซินที่กลางทาง
ซวงเจี้ยงยืนถือดาบด้วยสองมือ ถามว่า “เรื่องเล็กแค่นี้เองหรือ? คู่ควรให้เอาดาบดีๆ ที่ได้ไปอยู่ในมือแล้วมาแลกด้วยเลยหรือไร?”
เฉินผิงอันยื่นมือออกมา ยิ้มกล่าวว่า “เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ เปิดประตูรับความมงคล เป็นนิมิตหมายที่ดี”
ซวงเจี้ยงยื่นส่งดาบแคบมาให้ด้วยท่าทางเบิกบานยินดี
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน พกดาบไว้ที่เอวฝั่งซ้ายแล้วเดินไปข้างหน้าช้าๆ ไม่ได้ย้อนกลับไปที่คุก
ซวงเจี้ยงถาม “เลื่อนเป็นขอบเขตเดินทางไกลก่อน แล้วค่อยหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิต ก็จะสามารถถือโอกาสขัดเกลาโชคชะตาบู๊ไปได้พร้อมกันทีเดียว เรื่องพวกนี้ล้วนคิดไว้นานแล้วหรือ? ดังนั้นถึงได้ไม่เคยรีบร้อนกับเรื่องของการเย็บผ้า?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “อันที่จริงไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้น มีเจ้าอยู่ข้างกาย ก่อนหน้านี้ข้าเลยจงใจสะกดความคิด”
ซวงเจี้ยงทิ้งตัวคุกเข่าแล้วกระโจนนอนหมอบลงบนพื้น สองหมัดทุบดิน การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วดุจเมฆคล้อยน้ำไหล ก่อนจะเริ่มคร่ำครวญ “ข้านี่ไปทำบาปทำกรรมอะไรไว้นักหนากันนะ”
เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกขบขัน กลับกันยังเป็นกังวลใจ
เทวบุตรมารนอกโลก ทำทุกอย่างตามใจปรารถนา เป็นความอิสระเสรีที่แท้จริง
แสงกระบี่เส้นหนึ่งพุ่งมาถึงในชั่วพริบตา มาหยุดลอยอยู่ห่างจากเบื้องหน้าเฉินผิงอันไปไม่ไกล จากนั้นก็พุ่งไปทางกระท่อมริมลำธาร
สิงกวานเป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้เขาไปเป็นแขกที่บ้านหรือ?
เฉินผิงอันจึงทะยานลมเดินทางไกลด้วยขอบเขตแปดของผู้ฝึกยุทธเป็นครั้งแรก
ซวงเจี้ยงที่อยู่ข้างกายเฉินผิงอันกระซิบกระซาบว่า “เม็ดกระบี่ที่สิงกวานทำตัวเหมือนคนตาบอดจึงมอบให้แก่ตู้ซานอินเม็ดนี้มีค่าหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยเลยนะ”
เม็ดกระบี่ที่สิงกวานหล่อหลอมก็ดี ดาบแคบที่เฉินผิงอันเพิ่งได้มาอยู่ในมือก็ช่าง ล้วนเป็นสมบัติหนักตระกูลเซียนที่มีมูลค่าควรเมือง เพียงแต่ว่าการค้าระหว่างเขากับเทวบุตรมาร ล้วนใช้วิธีการคิดบัญชีที่ไม่เหมือนกัน ในคุกแห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นโชควาสนาหรือสมบัติต่างๆ ล้วนมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง และชีวิตของขอบเขตบินทะยานของซวงเจี้ยงก็ยิ่งมีค่ามากกว่า เฉินผิงอันเคยได้ยินมาว่าทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีสำนักลัทธิมารแห่งหนึ่งที่อำพรางตนอย่างลึกล้ำ เวลาทำการค้ากับคนอื่นจะแค่เอาสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในใจของอีกฝ่ายมาเท่านั้น อาจเป็นสหายรักหรือสตรี หรือบางทีอาจเป็นความยืนหยัดบางอย่าง เหตุผลบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นคนที่รักชีวิตมากที่สุดก็จะต้องมอบชีวิตของตนเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน
เฉินผิงอันพลิ้วกายลงตรงซุ้มองุ่น เซียนกระบี่สิงกวานที่ยังคงไม่เปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงยืนอยู่ท่ามกลางประกายแสงสีเขียวมรกตชอุ่มแวววาว เอ่ยว่า “พวกเราจะออกไปจากที่แห่งนี้แล้ว จึงมาบอกกล่าวแก่อิ่นกวานสักคำ สตรีสองคนนั้นที่จำแลงร่างมาจากบรรพบุรุษของเงิน เจ้าสามารถเลือกคนหนึ่งในนั้นเอามาไว้ข้างกายได้”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่มีคุณความชอบมิอาจรับค่าตอบแทน”
สิงกวานเอ่ย “อาศัยอยู่ที่นี่มาเนิ่นนาน ถึงอย่างไรก็เลี่ยงความอุดอู้ไม่ได้ อิ่นกวานถามหมัดออกกระบี่แล้วค่อยหลอมวัตถุ ข้าได้เห็นเรื่องสนุกมาหลายครั้ง จึงควรจะแสดงท่าทีบ้าง นอกจากนี้แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดยังเป็นเพราะพวกนางค่อนข้างรู้สึกสนิทสนมใกล้ชิดกับเจ้า ต่างก็ยินดีจะรับใช้อิ่นกวาน เพียงแต่ว่าการฝึกตนในวันหน้าของตู้ซานอินยังต้องการคนหนึ่งในนั้นคอยช่วยเหลืออยู่ข้างกาย ไม่อย่างนั้นเจ้าก็สามารถพาไปด้วยได้ทั้งสองคน”
ทางฝั่งของโต๊ะหิน สตรีทุบผ้ากับเด็กสาวซักผ้าอาลัยอาวรณ์ต่อกัน เพียงแต่เมื่อพวกนางมองมายังอิ่นกวานหนุ่มก็คลี่ยิ้มหวาน ดวงตาเปล่งประกายแสงระยิบระยับ
ได้ฟังมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็พลันกระจ่างแจ้ง เริ่มมั่นใจแล้วว่าเหตุใดเซียนกระบี่สิงกวานที่ถูกเมฆหมอกล้อมวนผู้นี้ถึงได้ดูเหมือนไม่ค่อยชอบขี้หน้าตนเท่าใดนัก
เงิน
ผู้ฝึกตนในใต้หล้าไพศาลส่วนใหญ่ ยามที่มองพื้นที่มงคลถ้ำสวรรค์ สิ่งที่เห็นในสายตาล้วนมีแต่เงินเทพเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกคนของพื้นที่มงคลที่ไม่รู้ว่านอกฟ้ายังมีฟ้าพวกนั้น ในสายตาของเจ๋อเซียนล้วนไม่มีมูลค่ามากที่สุด
เฉินผิงอันเองก็คร้านจะอธิบายอะไร เพียงส่ายหน้าเอ่ยว่า “สิงกวานพาพวกนางไปอยู่ข้างกายเถอะ”
สิงกวานกลับคล่องแคล่วฉับไวยิ่งกว่า ใช้วิชาอภินิหารจักรวาลในชายแขนเสื้อเก็บลำธารของกระท่อม แก้วเทพบุปผาซุ้มองุ่นและโต๊ะหินหยกขาวเสร็จก็ขี่กระบี่จากไปทันที ส่วนตู้ซานอินกับเด็กสาวคนซักผ้าก็ตามหลังของเขาไปติดๆ
แต่กลับเหลือสตรีที่ใช้ไม้ทุบผ้าคนนั้นเอาไว้ นางยอบตัวคารวะเฉินผิงอันด้วยท่วงท่าแช่มช้อย งดงามเปี่ยมเสน่ห์
เฉินผิงอันไม่ได้ทำตัวไร้เหตุผล จะให้เขากระชากสตรีผู้นี้ขว้างคืนไปให้สิงกวานก็คงไม่ได้ ดังนั้นจึงกุมมือคารวะนาง จากนั้นก็มองไปยังทิศทางที่ตั้งของโต๊ะหยกขาว เอ่ยเสียงเบาว่า “แม้แต่โต๊ะสักตัวก็ยังไม่ทิ้งไว้ให้”
ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้เก็บตกของเหลือบ้างเลย
รับของขวัญที่คนอื่นมอบให้ ย่อมติดค้างน้ำใจคนเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ การเก็บตกของเหลือของผ้าห่อบุญกลับเป็นการนำหัวไปผูกไว้บนเข็มขัดกางเกง หาเงินโดยอาศัยความสามารถของตัวเอง
สตรีคนทุบผ้าที่จำแลงร่างมาจากเหรียญทองแดงแก่นทองได้ยินคำนี้ก็ยิ่งคลี่ยิ้มหยาดเยิ้ม เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “บ่าวมีชื่อว่าฉางมิ่ง หากนายท่านไม่ชอบชื่อนี้ สามารถตั้งชื่ออะไรให้บ่าวก็ได้ บ่าวมีแต่จะรู้สึกเป็นเกียรติอย่างถึงที่สุด”
เฉินผิงอันหมุนตัวกลับมา โยกมือยิ้มเอ่ยกับสตรีว่า “สหายฉางมิ่ง วันหน้าเจ้าและข้ามีศักดิ์เท่าเทียมกัน บอกตามตรง ข้ามีที่ทางสำหรับเจ้าอยู่จริงๆ อยู่ในแจกันสมบัติทวีป มีชื่อว่าพื้นที่มงคลรากบัว เป็นสถานที่ที่เหมาะจะให้สหายปักหลักฝึกตนอยู่ยาวนาน เพียงแต่ว่าในอนาคตหลังออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปแล้วสหายจะไปอยู่ที่ใด จะไปอยู่ที่พื้นที่มงคลรากบัวแห่งนั้นหรือไม่ ก็ตามใจสหายได้เลย”
หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา สี่ทิศของฟ้าดินมีโครงกระดูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายกระจัดกระจายไปทั่วทุกแห่ง เรือนกายใหญ่โตมโหฬารที่สภาพทรุดโทรมเสื่อมสลายพากันปริแตกกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็กลายเป็นเม็ดทรายสีทองที่มาเชื่อมโยงกันเป็นเส้น สุดท้ายมารวมตัวกันอยู่รอบกายของสตรีทุบผ้า ประหนึ่งภูเขาสีทองลูกหนึ่ง ขนาดพอๆ กับหน้าผาสังหารมังกรของจวนหนิง
ซวงเจี้ยงเอ่ยเตือนเสียงเบา “ภูเขาสีทองลูกนี้ หากอยู่ในใต้หล้ามืดสลัวก็มากพอจะหล่อหลอมร่างทองของเทพวารี เซียนน้ำสามสี่ท่านออกมาได้แล้ว พื้นที่มงคลอะไรนั่นของบรรพบุรุษอิ่นกวาน ถึงอย่างไรก็เพิ่งเป็นพื้นที่มงคลระดับกลาง ตำแหน่งที่ว่างสำหรับองค์เทพร่างทองมีแต่จะมากยิ่งกว่า”
เฉินผิงอันพยายามกลั้นยิ้ม แต่สุดท้ายก็ไม่อาจกลั้นได้ไหว จึงกุมหมัดเอ่ยว่า “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ขอเชิญให้สหายฉางมิ่งไปเป็นแขกที่แจกันสมบัติทวีป จะดีจะชั่วก็ไปเป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกซึ่งไม่ได้มีพันธนาการอะไรมากนัก”