กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 682.1 ฝึกบำเพ็ญตบะอย่างยากลำบากเพื่อสิ่งใดกัน
ซวงเจี้ยงถามหยั่งเชิง “ข้าใช้เศษชิ้นส่วนร่างทองกองใหญ่มาแลกเปลี่ยนกับเรื่องเล่าเล็กๆ ของการผูกพันธะสัญญาจากบรรพบุรุษอิ่นกวานดีไหม?”
อันที่จริงเรื่องราวนั้นไม่ถือว่าเล็กเลย
แค่ดูจากเรื่องของการคลายพันธะสัญญา เฉินผิงอันก็ต้องถึงขั้นใช้ดาบพิฆาตซึ่งเป็นดาบลงทัณฑ์บนแท่นสังหารมังกรในสมัยโบราณ ใช้ยันต์กระดาษเขียวแผ่นหนึ่งมาแบกรับเลือดสด ดึงเอาแก่นเลือดในหัวใจออกมาหนึ่งหยด แล้วยังต้องดึงสามจิตเจ็ดวิญญาณออกมาอย่างละหนึ่งเสี้ยวเพื่อกรอกใส่ชื่อที่ลงไว้ช่วงท้าย
การผูกการคลายพันธะสัญญาของผู้ฝึกตนทั่วไป ไม่จำเป็นต้องสร้างความครึกโครมใหญ่โตขนาดนี้เลย
หากแม้แต่การค้าแบบนี้ก็ยังไม่ทำ ซวงเจี้ยงรู้สึกว่าง่ายที่ตนจะโดนสวรรค์ลงทัณฑ์
เฉินผิงอันกลับไม่มีอารมณ์จะทำการค้านี้ มีสหายผู้ฝึกตนอย่างฉางมิ่งที่เป็นบรรพบุรุษของเงินเหรียญทองแดงแก่นทอง นางมีโอกาสสูงมากที่จะไปเป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่ว ที่บ้านมีกระถางรวมสมบัติ ตอนนี้เฉินผิงอันจึงรู้สึกว่าตนเมินเฉยในเรื่องชื่อเสียงผลประโยชน์ได้มากแล้ว ไม่ถึงขั้นแค่เห็นเงินก็ตาโตอีกแน่นอน สิงกวานจากไปแล้ว เฒ่าหูหนวกก็ตามไปด้วย สมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินทั้งหมดของที่แห่งนี้ต่อให้จะมีขาเดินกันได้ก็ไม่มีทางหนีออกไปจากฟ้าดินอย่างคุกแห่งนี้ได้ เฉินผิงอันอยากจะถามเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมาโดยตลอดว่าเหตุใดถึงไม่ขุดเอาสมบัติของที่แห่งนี้ไปให้เกลี้ยงแล้วมอบให้คฤหาสน์หลบร้อนจัดการ หรือไม่ก็ย้ายไปให้หอโอสถจัดการ น่าเสียดายที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสไม่มอบโอกาสให้เขาแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัว จุดจบของเฉินผิงอันล้วนไม่ค่อยดีทั้งนั้น ขนาดรูปปั้นพระโพธิสัตว์ยังมีไฟโทสะได้ แล้วร้านผ้าห่อบุญจะไม่เริ่มเปิดการค้าขายได้อย่างไร? นอกจากนี้กาลเวลาอันยาวนานในอนาคตก็อาจจะไม่มีที่สิ้นสุด ถึงอย่างไรก็ควรต้องหาเรื่องอะไรทำบ้าง ยกตัวอย่างเช่นนับเงิน หรือยกตัวอย่างเช่นการหล่อหลอมวัตถุ
เฉินผิงอันพลิกหมุนข้อมือเรียกเอาตราประทับอาคมห้าอสนีที่ทำมาจากวัสดุแปลกประหลาดออกมาถือประคองไว้ในมือ แม้ว่าจะมีขนาดเท่าแค่เมล็ดของลูกเหอเถา แต่กลับมีเสียงฟ้าคำรณดังให้ได้ยินแว่วๆ ประกายแสงห้าสีไหลเวียนวน ลักษณะอำนาจน่าครั่นคร้าม สามารถสยบกำราบภูตผีสิ่งสกปรกได้แต่กำเนิด
เหมือนกับเจดีย์วิเศษป๋ายอวี้จิงจำลองและธงเซียนกระบี่ เฉินผิงอันต่างก็ไม่กล้าหลอมใหญ่เอามาเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต เพียงแค่หลอมกลางเท่านั้น หนึ่งเพราะไม่มีความจำเป็นต้องหลอมใหญ่ สองก็เพราะไม่กล้าลงมือทำเรื่องนี้อย่างบุ่มบ่าม ถึงอย่างไรก็เป็นของที่ได้มาจากหลีเจิน ต้องระวังหนึ่งในหมื่น อย่างซงเจิน ไฮเหลยก็ได้มาอยู่ในมือนานมากแล้วถึงเพิ่งจะเปลี่ยนจากหลอมกลางเป็นหลอมใหญ่ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะไม่เชื่อใจหลิงจิ่งหลงและหยวนหลิงเตี้ยน แต่เป็นเพราะการหลอมใหญ่ให้กับวัตถุไม่เหมือนกับการหลอมธรรมดาทั่วไป นอกจากที่มันจะต้องยึดครองช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตทั้งแห่งไปแล้ว ยังจะมีการแบ่งเอาปราณวิญญาณของผู้ฝึกตนไปอีก และสองเรื่องนี้ สำหรับผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างที่บุกเบิกช่องโพรงไม่มาก สะสมปราณวิญญาณไว้ไม่หนามากพอแล้ว ก็คือปัญหาที่ใหญ่เทียมฟ้า
ทุกวันนี้ในฐานะผู้ฝึกตนขอบเขตห้า อันที่จริงจำนวนของช่องโพรงลมปราณของเฉินผิงอันก็ไม่ถือว่าน้อยแล้ว แต่ลำพังเพียงแค่วัตถุห้าธาตุที่หลอมเพื่อสะพานแห่งความเป็นอมตะก็แบ่งเอาช่องโพรงไปแล้วห้าแห่ง ล้วนต้องใช้ปราณวิญญาณมามุมานะหล่อหลอม แล้วจะมีปราณวิญญาณเหลืออีกสักเท่าไรให้เฉินผิงอันนำมา ‘ประทานรางวัลแก่เหล่าขุนนาง’? นี่เรียกว่าสตรีต่อให้มีฝีมือแค่ไหน แต่ไม่มีวัตถุดิบก็ปรุงอาหารเลิศรสออกมาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นหากบุกเบิกเปิดจวนน้ำแค่แห่งเดียว ด้วยโชควาสนามากมายที่เฉินผิงอันได้รับมาระหว่างเดินทางไกล พวกเด็กๆ ชุดเขียวก็คงไม่มีทางว่างงานกันขนาดนี้ ยกตัวอย่างเช่นการชดเชยด้วยโอสถวารีเซิ่นเจ๋อ ทุกครั้งที่จวนน้ำได้เจอกับฝนรสหวานหลังจากแห้งแล้งมานาน ปราณวิญญาณกลับยังคงต้องเอาไปแบ่งให้กับศาลภูเขาและจวนไม้ส่วนหนึ่ง
ทว่าต่อให้แค่หลอมกลางให้กับตราประทับชิ้นนี้ เฉินผิงอันก็เชื่อว่าลำพังแค่สมบัติหนักบนภูเขาชิ้นนี้ ไม่ว่าจะอยู่ที่แคว้นเล็กใต้อาณัติแห่งใดก็ตามในแจกันสมบัติทวีป คิดจะเป็นนายท่านเทพเซียนที่กำจัดปีศาจปราบมาร มีวิชาอภินิหารเลิศล้ำก็ไม่มีปัญหาใดๆ อีกทั้งต่อให้เดินท่องอยู่ท่ามกลางป่าเขากันดารห่างไกล ก็ยังจะถูกมองเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล เพราะการฝึกวิชาห้าอสนี หากเวทคาถาไม่ใช่ของแท้ดั้งเดิม ก็ง่ายที่จะทำลายอวัยวะภายในของผู้ฝึก เมื่อสะสมนานวันเข้า ร่างกายจะพิการ อีกทั้งยังไม่สามารถแก้ไขได้ ยกตัวอย่างเช่นนักพรตตาบอดเจี่ยเฉิง ก็เป็นเพราะฝึกวิชาสายฟ้านอกรีต ถึงได้ทำร้ายดวงตาทั้งคู่…คิดมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็หลุดหัวเราะพรืด
เฉินผิงอันพลันถามว่า “ไม่ใช่ทรายทอง?”
ซวงเจี้ยงควักเอาเศษชิ้นส่วนร่างทองขนาดใหญ่เท่าผลส้มออกมาแล้วโยนขึ้นลงเบาๆ สมบัติที่มีน้ำหนักเช่นนี้ไม่ได้พบเห็นได้ง่ายนัก ต้องไปขุดเจาะภูเขาเอาสมบัติออกมา เหน็ดเหนื่อยเปลืองแรงอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันใช้มือซ้ายบังคับตราประทับอาคมห้าอสนี มือขวายื่นมือออกไปคว้า ดึงเอาเศษชิ้นส่วนร่างทองมาจากมือของเทวบุตรมาร กำไว้ในมือชั่วครู่ก็ใช้คาถาหลอมสามขุนเขาหลอมให้เศษชิ้นส่วนร่างทองกลายเป็นหยดน้ำสีทองหยดหนึ่ง แล้วค่อยใช้นิ้วรับเอาไว้ ลูบลงบนตัวอักษร ‘จ่าน’ (攒 เก็บ/สะสม/รวบรวม) หนึ่งในสิบหกตัวอักษรธารณีแห่งตราประทับอาคมห้าอสนี ประหนึ่งการแปะทองให้กับเทวรูปในวัดวาอาราม
หลังจากขั้นตอนการแปะทองนี้ผ่านไป ช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตทั้งห้าแห่งของเฉินผิงอันก็มีปราณวิญญาณเสี้ยวหนึ่งที่ไหลรินไปด้วยตัวเอง ราวกับได้รับคำสั่งจึงพุ่งมาที่ฝ่ามือแล้วลอยตัวออกมาโอบล้อมตราประทับอาคมห้าอสนีเอาไว้ ช่วยหล่อหลอมไข่มุกน้ำสีทองหยดนั้นให้ผสานเข้าไปในตราประทับอาคม เมื่อเทียบกับการใช้คาถาเซียนหลอมวัตถุในการแปะทองเพียงอย่างเดียวแล้ว ความเร็วยังเร็วกว่าระดับใหญ่ นี่ก็คือข้อได้เปรียบจากการที่ผู้ฝึกตนคนหนึ่งรวบรวมวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้ครบห้าธาตุ ความลี้ลับเหล่านั้นมหัศจรรย์เกินกว่าจะบรรยายได้
เฉินผิงอันเก็บตราประทับอาคมและเศษชิ้นส่วนร่างทอง เอ่ยว่า “ถ้ำสวรรค์หลีจูบ้านเกิดของข้า ตอนที่ข้ายังเด็ก ท่ามกลางค่ำคืนที่พายุหิมะตกหนัก ข้าเพิ่งสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวตรงหน้าประตู เหมือนจะเป็นเสียงที่แผ่วเบามากๆ ในคืนที่ลมแรงพายุตกกระหน่ำเช่นนั้นจึงได้ยินไม่ชัดเจนนัก แค่รู้สึกว่าน่าขนลุก อันที่จริงตอนนั้นข้าลังเลมาก ไม่รู้ว่าควรจะออกไปหรือหลบอยู่ในผ้าห่ม แล้วก็เคยคิดว่าอันที่จริงซ่งจี๋ซินก็น่าจะได้ยินเหมือนกัน เขาใจกล้า จะต้องออกจากบ้านไปก่อนข้าแน่นอน แต่ภายหลังข้าก็ยังออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ จากนั้นก็ได้ช่วย…”
พูดมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็พลันไม่รู้ว่าควรจะให้คำจำกัดความจื้อกุยอย่างไรแล้ว
ซวงเจี้ยงคุ้นเคยกับประสบการณ์มากมายในเส้นทางหัวใจของเฉินผิงอันดี จึงพูดเปิดเผยความลับสวรรค์ว่า “นางไม่ได้ไปหาองค์ชายซ่งจี๋ซินผู้นั้นก็มีความเป็นไปได้สองอย่าง อย่างหนึ่งคือนางเลือกที่จะเดินเข้าตรอกหนีผิงจากทางฝั่งตะวันตก เพราะเข้าตรอกไปอย่างยากลำบาก ต่อให้จะอยู่ห่างแค่บานประตูกั้นก็หมดแรงกำลังที่มีแล้ว ดังนั้นถึงได้ไปล้มอยู่หน้าประตูบ้านของเจ้า ไม่อาจเคาะประตูบ้านของซ่งจี๋ซินได้ นี่ก็คือโชควาสนาบนมหามรรคาที่มาจากเจตนารมณ์สวรรค์ หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือนางเดินเข้าตรอกหนีผิงมาทางบ้านของกู้ช่าน มาถึงหน้าประตูบ้านของซ่งจี๋ซินแล้วก็เปลี่ยนใจกะทันหัน เพราะว่าการผูกพันธะสัญญากับลูกหลานมังกรของสกุซ่งต้าหลีมีพันธนาการมากเกินไป ไม่แน่ว่าอาจทำได้เพียงลงสัญญาเป็นนายบ่าวอย่างแท้จริง ความเป็นความตายล้วนอยู่ในมือของคนอื่น สำหรับมังกรที่แท้จริงที่เหลืออยู่ตัวสุดท้ายบนโลกแล้ว นี่ไม่ใช่ทางเลือกที่สบายใจอะไร นางถูกเจ้าช่วยมาไว้แล้วก็แอบผูกพันธะสัญญากับเจ้า เพราะเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเจ้าแตกสลายแล้ว ร่างกายและจิตวิญญาณล้วนอ่อนแอ เรื่องของการผูกพันธะสัญญาจึงเป็นไปโดยเทพไม่รู้ผีไม่เห็น นางจึงสามารถเจาะกำแพงขโมยแสงได้อย่างมั่นคง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริง”
“ท่านบรรพบุรุษอิ่นกวานของข้าหนอ มีใครเขาทำการค้าแบบท่านกันบ้าง”
ซวงเจี้ยงเอ่ยอย่างเสียดายว่า “กับสตรีที่ใช้นามแฝงว่าจื้อกุยคนนั้น ทั้งสองฝ่ายคือการผูกสัญญาอย่างเท่าเทียมกัน ยิ่งตอนแรกเสียเปรียบมากเท่าไร ภายหลังก็จะยิ่งได้เสวยสุขมากเท่านั้น บรรพบุรุษอิ่นกวานสุดท้ายแล้วท่านคิดอย่างไรกันแน่? ทั้งๆ ที่ขอแค่ทนทรมานต่อไปอีกสักหน่อย ไม่เขียนถ้อยคำตัดขาดบนหนังสือคลายสัญญาได้เด็ดขาดเช่นนั้น ในอนาคตท่านผู้อาวุโสก็ต้องมีช่วงเวลาที่ความยากลำบากสิ้นสุดความหวานล้ำมาเยือนแล้ว! แทบจะนอนรอให้ฝ่าทะลุขอบเขตเลยด้วยซ้ำ ตอนอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน หนีชิวชั่วที่เล่นงานท่านอย่างหนักตัวนั้นหันกลับมาหล่อเลี้ยงเรือนกายและจิตวิญญาณของกู้ช่านให้แข็งแกร่งอย่างไร บรรพบุรุษอิ่นกวานท่านจะไม่รู้เลยหรือ?”
เด็กชายชุดขาวพูดจนน้ำลายแตกฟอง โบกมือไม้ประกอบคำพูดไปด้วย “ไม่ว่าในอดีตหวังจูผู้นั้นขโมยโชคชะตาในชีวิตของเจ้าไปอย่างไร ยิ่งนางบรรลุมรรคาได้ประสบผลสำเร็จมากเท่าไร ใต้หล้านี้ก็ยิ่งพิถีพิถันในเรื่องมียืมมีคืนมากเท่านั้น นี่ก็คือสัจธรรมที่แน่นอน ดังนั้นขอแค่นางได้จำแลงร่างกลายเป็นมังกรจริงๆ ก็ถือว่าเจ้าสร้างคุณความชอบได้อย่างสมบูรณ์แบบ คือคนที่มีคุณูปการในการประคับประคองมังกรเป็นอันดับหนึ่งอย่างสมชื่อที่สุดในใต้หล้า นับจากวันนี้ไปเจ้าก็จะได้ผลประโยชน์ที่เป็นดั่งน้ำเส้นเล็กไหลยาวมาครอง ทุกครั้งที่นางฝ่าทะลุขอบเขตก็จะยิ่งหันกลับมาป้อนผลประโยชน์ให้แก่คนที่ผูกพันธะสัญญาด้วย สร้างโอสถทอง เลี้ยงก่อกำเนิดจะนับว่าเป็นเรื่องยากอะไร ลำพังเพียงแค่เรื่องที่ว่ามังกรที่แท้จริงเกิดมาก็สยบกำราบเผ่าพันธ์เจียวหลง หรือแม้กระทั่งพวกเทพวารีเจ้าแห่งทะเลสาบทั้งหลายได้ตามธรรมชาติ มีผู้ฝึกตนคนใดบ้างที่ไม่ปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน?”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน สาวเท้าเดินเล่นไปช้าๆ ยิ้มบางเอ่ยว่า “ข้ารู้แค่ว่าช่วยเหลือคนอื่นก็อย่าคิดแค่ว่าจะต้องได้รับผลตอบแทน ปีนั้นเป็นเพราะข้าไม่รู้เรื่องของการผูกพันธะสัญญา รู้แค่ว่าช่วยเหลือนางเป็นเรื่องที่ข้าพอจะทำได้เท่านั้น”
ภิกษุถือบาตรออกบิณฑบาตเป็นการผูกบุญสัมพันธ์ ลัทธิเต๋าเองก็มีคำกล่าวที่ว่าการกินการดื่ม หรือจะเป็นลิขิตสวรรค์ (เปรียบเปรยว่าทุกสิ่งที่เผชิญในชาตินี้ล้วนมีต้นสายปลายเหตุ)
ซวงเจี้ยงเอ่ยอย่างระมัดระวัง “บรรพบุรุษอิ่นกวาน ท่านเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ วิญญูชนทำความดีไม่หวังสิ่งตอบแทน เรื่องนี้ข้ายังพอจะเข้าใจได้ แต่นางทำร้ายให้โชควาสนาของท่านย่ำแย่มานานหลายปี ท่านก็ยังยินดีจะใช้คุณธรรมตอบแทนความแค้นอย่างนั้นหรือ? นี่จะตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคนดีเกินเหตุหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เรื่องราวมีแบ่งแยกช้าด่วนหนักเบา หนึ่งเพราะในใจของข้า นางจื้อกุยเป็นแค่เพื่อนบ้านคนหนึ่ง ไม่ได้สำคัญเท่าสถานการณ์ใหญ่ของแจกันสมบัติทวีป อีกอย่างใช้คุณธรรมตอบแทนความแค้น? เจ้าเองก็รู้ดีว่า อันที่จริงนี่ขัดแย้งกับความรู้อันเป็นรากฐานของข้า เรื่องราวมีก่อนมีหลัง ความผิดมีแบ่งเล็กใหญ่ ล้วนต้องพูดกันให้ชัดเจน แล้วค่อยมาพูดถึงการยกโทษ การให้อภัย”
เฉินผิงอันหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง มือจับประคองด้ามดาบที่เป็นวัตถุซึ่งใช้ในการสังหารมังกร แล้วยิ้มเอ่ยว่า “สมมติว่าเรื่องใหญ่ยุติลงแล้ว เจ้าก็ลองให้นางมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าข้าดูสิ?”
ตอนนี้พอซวงเจี้ยงได้ยินสามคำว่า ‘ลองดูสิ’ ก็พลันปวดหัวแปลบ
เฉินผิงอันเอ่ยต่ออีกว่า “หากไม่พูดถึงเรื่องความผิดความถูก เรื่องแผนการชั่วร้าย เหตุการณ์หนึ่งก็ส่วนเหตุการณ์หนึ่ง พูดถึงแค่ว่าข้าเป็นเพื่อนบ้านกับซ่งจี๋ซินและจื้อกุย อันที่จริงสถานการณ์ของพวกเราก็ไม่ได้ย่ำแย่อย่างที่เจ้าคิด ถึงขั้นพูดได้ว่ามีพวกเขาใช้ชีวิตอยู่บ้านข้างๆ ถึงทำให้ข้ามีความหวังให้การมีชีวิตอยู่ต่อเพิ่มขึ้นมา จะดีจะชั่วก็รู้ว่าการมีชีวิตที่ดีของชาวบ้านคนอื่นเป็นอย่างไร ควรจะใช้ชีวิตอย่างไรถึงจะไม่ขาดเงิน ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินการอยู่ เสียงหั่นผักขอดเกล็ดปลาบนเขียงในห้องครัว หรือไม่ก็เสียงใช้ไม้ไผ่ตีบนผ้านวมหนาๆ ในวันที่แดดส่องแรง เจ้าเคยได้ยินหรือไม่? ล้วนเป็นเสียงที่น่าฟังทั้งสิ้น ข้าไม่เคยรู้จักตัวอักษร แต่กลับเคยได้ยินถ้อยคำบนตำรามาไม่น้อย นี่ต้องยกให้เป็นคุณความชอบในการท่องหนังสือด้วยความเบื่อหน่ายของซ่งจี๋ซิน”
ตอนนั้นเป็นเด็กหนุ่ม เฉินผิงอันถูกปิดหูปิดตาไปเสียทุกเรื่อง เรื่องที่เขาคิดจึงมีเพียงแค่การกินอิ่มในสองมื้อต่อวัน หน้าร้อนกลัวว่าจะเป็นไข้แดด หน้าหนาวเสื้อผ้าบางจึงกลัวความหนาวเย็นมากที่สุด ฤดูใบไม้ผลิกลัวช่วงกลิ่นอายของปลายปี ฤดูใบไม้ร่วงกลัวว่าจะมีที่ดินน้อย
อยู่ร่วมกับนายบ่าวที่เป็นเพื่อนบ้านสองคนนั้น อะไรที่ช่วยเหลือได้ เด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงล้วนเต็มใจช่วย ยกตัวอย่างเช่นเจอกันกลางทางก็จะช่วยจื้อกุยหาบน้ำ ช่วยตากหนังสือไว้บนหัวกำแพงของระหว่างสองบ้าน ตอนนั้นซ่งจี๋ซินที่เป็น ‘บุตรชายนอกสมรสของใต้เท้าซ่งผู้ตรวจการใหญ่’ ดูเหมือนว่าจะมีเงินใช้จ่ายไม่หมดไม่สิ้น อีกทั้งเงินพวกนั้นก็เหมือนว่าจะหล่นลงมาจากฟ้า ไม่ว่าจะใช้จ่ายเรื่องอะไรซ่งจี๋ซินก็ไม่ต้องเสียดาย จ่ายเงินได้โดยไม่ต้องกะพริบตาเลยด้วยซ้ำ
ตรอกหนีผิงแคบเกินไป อีกทั้งซ่งจี๋ซินยังเป็นคนที่ชอบเสพสุข แล้วยังกลัวเรื่องยุ่งยาก แต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่จะให้จื้อกุยไปซื้อฟืน ซื้อถ่านมาเป็นคันรถ ลำบากครั้งเดียวสบายตลอดไป หน้าหนาวที่เยียบเย็นก็รับมือได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
หากเฉินผิงอันเห็นเข้าก็จะเข้าไปช่วย ตอนนั้นดูเหมือนว่าจื้อกุยที่เรี่ยวแรงไม่ค่อยมีก็จะยกชายกระโปรงวิ่งไปที่หน้าประตูบ้าน ตะโกนเรียกให้เฉินผิงอันออกมาช่วยเช่นกัน
เฉินผิงอันเองก็ไม่ปฏิเสธ ทำเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ไม่ใช่ว่าเขามีความคิดอะไร ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ ก็เพราะว่าทำทุกอย่างอยู่ในกในเกณฑ์ ทำเช่นนี้กับทุกคนที่อยู่รอบกาย มองเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ยามที่เฉินผิงอันลงมือทำขึ้นมา เสื้อผ้าที่สวมใส่ถึงได้เปื้อนดินเปื้อนโคลน เลอะผงถ่าน ทว่าสายตาและหัวใจของเขากลับสะอาดบริสุทธิ์ แล้วนับประสาอะไรกับที่เมื่อเทียบกับการช่วยเหลือเพื่อนบ้านเล็กๆ น้อยๆ แล้ว สิ่งที่เฉินผิงอันทำให้กับบ้านของกู้ช่านกลับยังมีมากกว่าเสียอีก
อีกทั้งตอนนั้นเด็กหนุ่มสวมรองเท้าเตะก็ไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องของชายหญิงเลย
ดังนั้นคนวัยเดียวกันที่ใจแคบราวไส้ไก่อย่างซ่งจี๋ซินถึงได้ไม่เคยรู้สึกว่าเฉินผิงอันมีความคิดอะไรต่อจื้อกุย แค่รู้สึกเป็นศัตรูกับหลิวเสี้ยนหยางและหม่าขู่เสวียนเท่านั้น
บางครั้งจื้อกุยจะมาเลือกผักในลานบ้านติดกัน แล้วนางก็จะพูดจาหยั่งเชิงเฉินผิงอันบอกว่า เจ้าช่วยเหลือสองแม่ลูกตระกูลกู้มากขนาดนั้น จะดีจะชั่วเจ้าก็ควรจะขอค่าตอบแทนบ้าง ต่อให้ไม่ใช่เงินเหรียญทองแดง แต่ไร่นาของบ้านพวกนางก็ล้วนได้เจ้าคอยช่วยเหลือ ผลเก็บเกี่ยวเหล่านั้น เจ้าก็ขอพวกข้าวสารมาสักสองสามเซิงสิ (ลิตร) ถึงอย่างไรก็สมเหตุสมผล หากนางจิ้งจอกผู้นั้นไม่ยอมตอบตกลง ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่านิสัยของนางมีปัญหา คิดแต่จะตักตวงผลประโยชน์ไปจากเจ้าเฉินผิงอันท่าเดียว คิดดูสิว่างานระยะสั้นระยะยาวในเมืองเล็ก เวลาไปช่วยงานมงคลต่างๆ มีงานไหนบ้างที่ไม่ได้เงินมา
ตอนที่กินหม้อไฟด้วยกันซ่งอวี่เซาที่เมามายเคยเอ่ยประโยคหนึ่ง ตอนนั้นเฉินผิงอันยังไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก ทว่าตอนนี้เฉินผิงอันอายุสามสิบแล้ว ไม่ใช่เด็กหนุ่มมาหลายปีแล้ว
พอลองย้อนไปขบคิดอย่างละเอียดก็ใคร่ครวญความนัยที่แฝงอยู่ออกมาได้มากมาย เหมือนเหล้าหมักหลายปีชามหนึ่งที่มีฤทธิ์แรงมากอย่างแท้จริง ผ่านไปนานหลายปีฤทธิ์เหล้านั้นก็ยังค้างอยู่ในใจ
ตอนอายุน้อยความจำดี ทุกครั้งที่คิดถึงบ้านเกิด เหตุการณ์และบุคคลต่างๆ ล้วนจดจำได้ขึ้นใจ เมื่อความคิดบังเกิด จินตนาการว่าตัวเองอยู่ในเหตุการณ์นั้นก็เหมือนได้ย้อนกลับบ้านเกิดอีกครั้ง
พออายุมากขึ้น ความทรงจำพร่าเลือน ทุกครั้งที่คิดถึงบ้านเกิดกลับกลายเป็นว่ายิ่งเหมือนห่างไกลจากบ้านเกิดทุกที ชีวิตคนช่างน่าจนใจ ก็คงประมาณนี้กระมัง
ซวงเจี้ยงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “เรื่องหยุมหยิมยิบย่อยในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด ข้าเข้าใจอยู่ไม่น้อยจริงๆ นั่นแหละ”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “เป็นถึงผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานผู้ยิ่งใหญ่ ก็ยังรู้เรื่องพวกนี้ด้วยหรือ?”
ดูตามเรื่องราวในชีวิตที่มันเล่าให้เฉินผิงอันฟังก่อนหน้านี้ ในฐานะ ‘เสี่ยวฉ่าว’ เด็กกำพร้าที่เป็นชาวบ้านลี้ภัย ชีวิตต้องพเนจรร่อนเร่ไม่มีหลักแหล่ง อาจแข็งตายเพราะอากาศที่เหน็บหนาวได้ทุกเมื่อ โชคดีที่มีครอบครัวพอมีอันจะกินรับไปเป็นบ่าว จากนั้นก็ไปเป็นเด็กรับใช้ให้กับคุณชายน้อย ภายใต้โชควาสนานำพา จึงถูกอาจารย์ในโรงเรียนที่แฝงตัวอยู่ในหมู่ชาวบ้านหมายตาในพรสวรรค์และฐานกระดูก ตั้งชื่อให้ว่าซวงเจี้ยง ได้เหยียบลงบนเส้นทางของการฝึกตน ระหว่างนี้ก็น่าจะรู้ถึงความทุกข์ยากลำบากของชาวบ้านมามากจริงๆ
แต่เฉินผิงอันกลับไม่เชื่อคำบอกเล่าพวกนี้แม้แต่น้อย
ซวงเจี้ยงนวดคลึงข้างแก้ม “ขอบเขตบินทะยานบนโลกใบนี้ที่มีชะตาชีวิตยากลำบากอย่างข้า แมลงน่าสงสารที่เหมือนโตมาด้วยการกินอาจม มีให้เห็นไม่มากหรอก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ต้องเรียกผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้าคนหนึ่งว่าบรรพบุรุษก็ถือว่าชะตาชีวิตรันทดจริงๆ”
ตรงขั้นบันได เทวบุตรมารเอาสองมือเท้าเอว พูดอย่างเต็มไปด้วยเหตุผลว่า “บรรพบุรุษอิ่นกวาน ข้าไม่อนุญาตให้ท่านผู้อาวุโสดูถูกตัวเองเช่นนี้!”
เฉินผิงอันร่ายตราประทับอาคมห้าอสนีออกมาอีกครั้ง พูดกับซวงเจี้ยงว่า “ไปบอกกับผู้อาวุโสเหนี่ยนซินทีว่าเริ่มงานกันได้แล้ว ให้นางช่วยข้าย้ายวัตถุชิ้นนี้ไปไว้กลางฝ่ามือให้ได้ก่อน ตอนนี้ข้าทำเองก็ได้เหมือนกัน แต่เปลืองเวลามากเกินไป และนั่นมีแต่จะถ่วงรั้งการแก้ชุดของนาง”
ซวงเจี้ยงจึงไปบอกกล่าวแก่แม่นางน้อยที่กำลังง่วนอยู่กับการแก้ชุดคลุมอาคมผู้นั้น
——