กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 682.3 ฝึกบำเพ็ญตบะอย่างยากลำบากเพื่อสิ่งใดกัน
“การเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตถ้ำสถิตซึ่งเป็นขั้นแรกของห้าขอบเขตกลางนั้น หากไม่ระวังก็จะต้องมีจุดจบที่เกิด ‘ภัยพิบัติน้ำท่วม’ หากฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์เชื่อมโยงอยู่กับฟ้าดินใหญ่ ปราณวิญญาณเหมือนน้ำท่วมที่ไหลบ่าสู่ด้านใน กรอกเทเข้าใส่อย่างกำเริบเสิบสาน มหามรรคาของเจ้าใกล้ชิดกับน้ำ อีกทั้งเนื่องจากเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว เรือนกายจึงแข็งแกร่ง และเส้นทางในจิตวิญญาณที่มังกรเพลิงตัวนั้นบุกเบิกเอาไว้ก็มีเยอะมาก นอกจากนี้ยังมีตราประทับอักษรน้ำชิ้นหนึ่งพิทักษ์จวน จึงไม่ต้องกลัวเรื่องนี้แม้แต่น้อย”
“ดังนั้นเลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิตจึงง่ายดายอย่างยิ่ง ผู้ฝึกลมปราณทั่วไปยังต้องกะกำลังไฟนี้ให้ดี แต่เจ้ากลับตรงกันข้ามกันเลย ต้องพยายามดูดซับเอาปราณวิญญาณมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จำเป็นต้องตั้งท่าเหมือนวัวกินน้ำ ปลาวาฬสูบน้ำ ทำให้เสร็จในรวดเดียว แล้วตามหาสถานที่ที่ใกล้ชิดกับสายน้ำอย่างพวกจวนน้ำ ศาลภูเขามากขึ้นกว่าเดิม ก็เหมือนการที่ห้าขุนเขาบนโลกมนุษย์ต้องตามหาภูเขาทายาทไว้คอยช่วยประคับประคอง เพียงแต่ว่าใต้หล้าไพศาลของพวกเจ้าไม่ค่อยพิถีพิถันในเรื่องนี้ แต่ในใต้หล้ามืดสลัว ไม่เพียงแต่ซานจวินเท่านั้น ยังมีสุ่ยเซียน (เซียนน้ำ) ที่ต่างก็มองการเลือกสถานที่ตั้งของพวกทายาทผู้สืบทอดเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง ลองคิดตามดู วัตถุห้าธาตุของเจ้าต่างก็มีถ้ำสถิตแห่งหนึ่งคอยช่วยเหลือ การสะสมปราณวิญญาณก่อนที่จะสร้างโอสถทองก็จะมากมายอย่างน่าตะลึง ทั้งไม่ต้องวางวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นใดไว้คอยเฝ้าพิทักษ์ หลีกเลี่ยงไม่ให้ยามที่เผชิญกับการเข่นฆ่าอันดุเดือดรุนแรงแล้วจะถูกคนอื่นทำร้ายรากฐานมหามรรคาได้อย่างง่ายดาย แต่นี่กลับสามารถทำให้เจ้าดูดดึง สะสมปราณวิญญาณบนเส้นทางของการฝึกตนได้ง่ายขึ้น เหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลเป็นเท่าตัว เพียงแต่ว่าต้องเป็น ‘ผู้สืบทอด’ แห่งขุนเขาสายน้ำแบบไหนที่เหมาะกับช่องโพรงลมปราณ เรื่องนี้ซุกซ่อนเคล็ดลับที่สำคัญเอาไว้ การเปิดถ้ำสถิตเป็นเรื่องใหญ่เพียงใด ก็เหมือนยามที่ฟ้าดินเปิดออกในช่วงแรกนั่นแหละ ปราณวิญญาณกรอกเทลงมา ทุกที่ที่ผ่านอาจมีปรากฎการณ์มากมาย หากผู้ปกป้องมรรคาตั้งใจสังเกตการณ์อย่างละเอียดก็จะสามารถตามหาเบาะแสร่องรอยได้ ทว่าสัญญาณที่ลี้ลับมหัศจรรย์เหล่านั้นเกิดขึ้นเพียงแวบเดียวก็หายไป ดังนั้นขอบเขตของผู้ปกป้องมรรคาต้องสูงมากพอ ไม่อย่างนั้นก็จะเสียเปล่า ต่อให้รู้เคล็ดลับที่ว่านี้ก็ยังไร้ประโยชน์อยู่ดี อย่างน้อยที่สุดต้องเริ่มต้นที่ขอบเขตเซียนเหริน หากเปลี่ยนมาเป็นขอบเขตหยกดิบที่มองเบาะแสออก เขาจะกล้าลงมือไหม? แน่นอนว่าไม่กล้า ฟ้าดินร่างกายมนุษย์เปิดออกกว้าง อยู่ดีๆ ก็ทะเล่อทะล่าบุกเข้าไป นั่นจะไปปกป้องหรือไปทำร้ายคนอื่นทั้งยังทำร้ายตัวเองกันแน่?”
เฉินผิงอันเงี่ยหูตั้งใจฟังอยู่ตลอดเวลา ไม่ยินดีให้พลาดคำใดไปสักคำ เพียงแต่ปากกลับเอ่ยว่า “เจ้าพูดตื้นเขินเกินไปแล้ว”
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เฉินผิงอันปฏิบัติต่อเรื่องการฝึกตนของตัวเองจริงจังถึงเพียงนี้
สถานที่อันเป็นทายาทถ้ำสถิตที่เทวบุตรมารพูดถึง รวมไปถึงช่วงเริ่มต้นของการเลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิตเท่ากับว่าเป็น ‘ช่วงแรกที่ฟ้าดินเปิดออก’ นั้น เฉินผิงอันเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกจริงๆ
คนทั้งสองเดินขึ้นที่สูงไปด้วยกันช้าๆ ซวงเจี้ยงยิ้มเอ่ย “ตามความเห็นข้า มีเพียงเจ้าหลอมธงเซียนกระบี่เท่านั้นถึงจะดีเยี่ยมที่สุด แต่หากหลอมป๋ายอวี้จิงจำลองแล้วเอาวางไว้บนยอดเขาของศาลภูเขากลับไม่เหมาะไม่ควรอย่างยิ่ง หากไม่เป็นเพราะเหนี่ยนซินช่วยผลัดเปลี่ยนถ้ำสวรรค์ ย้ายตราประทับอาคมห้าอสนีที่แขวนอยู่หน้าจวนไม้มาไว้ที่กลางฝ่ามือของเจ้า นั่นก็จะยิ่งเป็นการลงมือที่ย่ำแย่ครั้งหนึ่ง เพราะหากถูกผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคว้าจับรากฐานไว้ได้แล้วขว้างเวทอาคมร้ายกาจสักบทเข้าใส่ ตราประทับอาคมห้าอสนีไม่เพียงแต่ไม่สามารถปกป้องประตูจวนไม้ได้ กลับกันยังมีแต่จะกลายเป็นค้อนที่ทุบประตูให้พังเร็วเท่านั้น ผู้ฝึกตนมีข้อห้ามในเรื่องลูกไม้ลวดลายที่ไร้ประโยชน์ที่สุด บรรพบุรุษอิ่นกวานจะไม่ตรวจสอบไม่ได้เชียว…”
เฉินผิงอันตบหัวเทวบุตรมารอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอาร่างของซวงเจี้ยงหายไปจากที่เดิม และเพียงชั่วพริบตาก็ไปโผล่ที่อื่น มันวิ่งขึ้นมาบนบันได แหงนหน้าพูดน้ำตากลบตา “บรรพบุรุษอิ่นกวาน ลงโทษโดยไม่สั่งสอนกันก่อน เพราะเหตุใดกัน”
เฉินผิงอันปรายตามอง “ก่อนหน้านี้เจ้าพูดถึงเรื่องวัตถุที่ข้าหลอมว่ายังไงนะ?”
ซวงเจี้ยงครุ่นคิด คำพูดเหลวไหลของตนมีเยอะเกินไปจึงจำไม่ค่อยได้แล้ว จะต้องไล่เรียงให้ดีเสียก่อน แล้วมันก็ค้นพบว่าตนเองผิดไปแล้วจริงๆ ทว่าบรรพบุรุษอิ่นกวานก็เจ้าคิดเจ้าแค้นเกินไปหน่อยแล้ว มันจึงได้แต่หาบันไดลงให้ตัวเองด้วยการพูดประจบว่า “ตอนนั้นเป็นท่านปู่อิ่นกวาน ตอนนี้เป็นท่านบรรพบุรุษแล้ว ไม่เหมือนกัน เฒ่าหูหนวกก็เรียกข้าว่าท่านปู่เหมือนกันไม่ใช่หรือ เขาเองก็ไม่ได้มีเจตนาดี ไม่ได้จริงใจเลยสักนิด ใช่ไหมล่ะ? ตอนนี้ข้ากับท่านบรรพบุรุษอิ่นกวานเป็นทั้งญาติบนทำเนียบวงศ์ตระกูล แล้วยังเป็นคู่ค้าที่ทำการค้าด้วยกันอย่างจริงใจ ยิ่งสนิทกันเข้าไปใหญ่ ความสัมพันธ์นี้ของพวกเราสองคนมั่นคงนักล่ะ!”
สีหน้าของเฉินผิงอันมองดูเหมือนผ่อนคลาย แต่แท้จริงแล้วในใจกลับยังหวาดผวาไม่คลาย
หลังจากหลอมวัตถุ หากเปิดฉากเข่นฆ่ากับผู้อื่น เรือนกายและจิตวิญญาณได้รับบาดเจ็บสาหัส ช่องโพรงลมปราณถูกทำลายจนเละ วัตถุที่ผ่านการหลอมกลางและหลอมใหญ่ต่างก็พังภินท์ นั่นก็คือคำว่าประตูเมืองไฟไหม้ลามไปถูกปลาในบ่ออย่างแท้จริง รากฐานมหามรรคาของผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งจะได้รับความเสียหายในระดับไหนก็ต้องดูที่ระดับของวัตถุแห่งชะตาชีวิตว่าสูงแค่ไหน เรื่องราวบนโลกมักจะมีโชคดีที่มาพร้อมกับโชคร้ายเสมอ ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันหลอมตราประทับห้าอสนี ปณิธานแห่งเต๋าของอิฐเขียวและเจดีย์ป๋ายอวี้จิงจำลอง แม้ว่าจะเป็นการหลอมกลาง เอามาใช้ช่วยวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุ แน่นอนว่าได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย แต่หากช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตได้รับความเสียหายพังทลายไปพร้อมกับวัตถุแห่งชะตาชีวิต ก็จะยิ่งเป็นดั่งการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนเกล็ดหิมะ ภัยพิบัติมีแต่จะมากยิ่งกว่าเดิม มีความเป็นไปได้มากว่าจะเดือดร้อนให้ช่องโพรงที่อยู่ใกล้เคียงต้องพังถล่มเละเทะไปด้วย
ทุกครั้งที่เฉินผิงอันเรียกวัตถุที่ผ่านการหล่อหลอมออกมาก็จะเป็นเหมือนที่เทวบุตรมารบอก หากมันเชื่อมโยงอยู่กับวัตถุแห่งชะตาชีวิตก็ง่ายมากที่จะถูกผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนสืบสาวร่องรอยระหว่างการปล่อยและการเก็บจนไปเจอกับที่ตั้งของช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิต และเดิมทีวัตถุห้าธาตุของเฉินผิงอันก็มีการเชื่อมโยงกันอยู่แล้ว หากหาชิ้นหนึ่งเจอก็ง่ายที่จะเจอครบทั้งห้าชิ้น! คิดมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ปล่อยหมัดออกไปอีกหมัด
วัตถุที่ผ่านการหลอมกลาง ไม่ว่าระดับขั้นจะสูงแค่ไหน ผลประโยชน์ที่มอบให้ยามฝึกตนจะมากเท่าไร และก็ไม่ใช่ว่าไม่สามารถเอามาวางไว้ในช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตได้ แต่เห็นได้ชัดว่าจำเป็นต้องระวังแล้วระวังอีก
ครั้งนี้เทวบุตรมารมีการเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว เป็นฝ่ายเขย่งปลายเท้ารับหมัด แล้วมารวมตัวกันที่ด้านหลังของเฉินผิงอัน วิ่งตุปัดตุเป๋ตามบรรพบุรุษอิ่นกวานไป ไม่ลืมเอ่ยชมเชยว่า “หมัดดีๆ วันหน้าพวกเราสองบรรพบุรุษกับหลานชายจับคู่กันไปท่องเที่ยวใต้หล้ามืดสลัว เรื่องแรกที่ท่านบรรพบุรุษอิ่นกวานต้องทำก็คือใช้หมัดต่อยกลองตีฟ้านั่นให้เละ จะได้ให้ป๋ายอวี้จิงทั้งหลังและใต้หล้ามืดสลัวทั้งแห่งรู้ว่าท่านบรรพบุรุษอิ่นกวานเดินทางมาเยือนแล้ว!”
เฉินผิงอันพึมพำกับตัวเอง “สภาพจิตใจของผู้ฝึกตนอิสระบางอย่าง ตอนนี้ต้องเปลี่ยนแปลงบ้างแล้ว”
สภาพจิตใจที่ละเอียดอ่อนมหัศจรรย์บางอย่าง เมื่ออยู่บนเส้นทางชีวิตคนจะกลายเป็นแรงผลักดันที่ไม่อาจขาดไปได้ แต่เมื่ออยู่ในบางช่วงเวลากลับจะกลายเป็นการเหนี่ยวรั้งอย่างเงียบเชียบแบบหนึ่ง
ไม่ใช่ว่าเขาจะปฏิเสธทุกอย่างในอดีตไปทั้งหมด แต่เป็นเพราะความคิดถือกำเนิดเชื่อมโยงกัน ไม่มีอะไรที่ตายตัวแน่นอน สุดท้ายเมื่อเส้นสายที่เป็นรากฐานนี้สำเร็จ จึงหวังให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่คิด ไร้อุปสรรคขัดขวาง
ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกตนอิสระอาจจะมีของชิ้นหนึ่งก็หลอมชิ้นหนึ่ง ได้แต่เจ็บใจที่มีน้อยเกินไป ขอแค่เปิดจวนได้มากพอ ไม่ว่าปัญหาร้อยแปดพันเก้าอะไรก็ล้วนไม่เป็นปัญหาทั้งนั้น
ทว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของภูเขาใหญ่กลับไม่ได้เป็นเช่นนี้ มีแต่จะคัดเลือกอย่างละเอียดบรรจง ภายใต้การถ่ายทอดและปกป้องมรรคาจากเหล่าผู้อาวุโสในสำนัก จะเลือกหลอมวัตถุหลายๆ ชิ้นมาเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต ส่วนที่เหลืออย่างมากสุดก็เลือกหลอมกลาง บ้างก็เอาไว้โจมตี บ้างก็เอาไว้ป้องกันตัว เป็นการปักบุปผาเพิ่มลงบนผ้าแพร ทุกครั้งที่ขอบเขตสูงมากขึ้น ปราณวิญญาณเหมือน ‘น้ำขึ้น’ หนึ่งขั้น ก็ค่อยหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตเพิ่มอีกชิ้น การคัดเลือกช่องโพรงลมปราณก็ยิ่งเป็นความรู้อย่างหนึ่ง ยังต้องเลือกสถานที่หนึ่งไว้เป็นห้องสร้างโอสถในอนาคตแต่เนิ่นๆ ต้องทำการสร้าง บุกเบิกก่อตั้งจวนตระกูลเซียนว่างโล่งแห่งหนึ่งเอาไว้ก่อน เพื่อรอให้สมกับคำว่า ‘มีเซียนก็ศักดิ์สิทธิ์’
ในบรรดาผู้ฝึกยุทธเต็มตัวยังมีผู้ฝึกยุทธหายากประเภทหนึ่งที่ถูกเรียกขานว่า ‘สุดยอดยอดฝีมือ’ สามารถเรียกได้ว่าเป็นศัตรูคู่แค้นกับผู้ฝึกตน หมัดทุกหมัดล้วนสามารถตรงไปยังห้องโอสถของผู้ฝึกลมปราณ เผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนโอสถทอง ทุกหมัดล้วนชี้ไปยังโอสถทอง เผชิญหน้ากับผู้ฝึกลมปราณที่ต่ำกว่าโอสถทอง หมัดก็สามารถต่อยทะลุช่องโพรงลมปราณที่มีเค้าโครงของห้องโอสถได้ หนึ่งหมัดต่อยลงไป ช่องโพรงลมปราณที่สำคัญทั้งหลายของฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์จะถูกพายุหมัดซัดจนแม่น้ำพลิกมหาสมุทรคว่ำ ภูเขาปริแตกพื้นดินแยกยับ
ซวงเจี้ยงช่วยนับสมบัติให้แก่บรรพบุรุษอิ่นกวานพลางบอกถึงคำแนะนำอย่างละเอียดของมัน รวมไปถึงอธิบายอย่างอดทนด้วยว่าเหตุใดถึงต้องเป็นเช่นนั้น
ยกตัวอย่างเช่นกระบี่สั้น ‘แกะสลักเรือในอดีต’ ที่มันมอบให้อิ่นกวานเล่มนั้น บนตัวกระบี่แกะสลักคำหนึ่งว่า ‘ตู๋’ (คูน้ำ ร่องน้ำไหล) เอาไว้ ต้องไม่เหมาะให้นำมาหลอมใหญ่อย่างแน่นอน แต่กลับเหมาะกับการหลอมกลางที่สุด สามารถเอาวางไว้ในบ่อน้ำของจวนน้ำได้ เจียวหลงตัวน้อยที่ก่อนหน้านี้จำแลงมาจากโชคชะตาน้ำของโอสถวารี ทั้งเป็นของปลอมทั้งอ่อนแอ เรียกได้ว่าทำให้ฮวงจุ้ยของจวนน้ำท่านบรรพบุรุษอิ่นกวานด่างพร้อยโดยแท้ ไม่ควรจะรวมตัวขึ้นเป็นเจียวหลงเลยสักนิด กลับกันควรจะรวมตัวเป็นไข่มุกเม็ดหนึ่ง เมื่อโชคชะตาน้ำเข้มข้นขึ้นส่วนหนึ่ง โอกาสที่ไข่มุกจะรวมตัวกลายเป็นของจับต้องได้จริงก็เพิ่มมากขึ้นส่วนหนึ่ง บวกกับกระบี่สั้นอีกเล่มหนึ่งที่สลักคำว่า ‘หู’ (ทะเลสาบ) ของมัน ก็จะสามารถสร้างสถานการณ์ที่มังกรคู่ช่วงชิงไข่มุกได้แล้ว นั่นต่างหากจึงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
และยังมีธงเซียนกระบี่อันนั้นที่ควรจะนำไปตั้งวางไว้บนยอดของศาลภูเขาอย่างไร ก็ยังมีข้อพิถีพิถันใหญ่อยู่อีก ย่อมไม่ใช่แค่เฉินผิงอันโยนเอาไปไว้ง่ายๆ แล้วจบเรื่องแน่นอน
เฉินผิงอันรับฟังอย่างตั้งใจ
เทวบุตรมารนอกโลกตนนี้ ขอแค่ยินยอม ‘ถ่ายทอดมรรคา’ อย่างจริงจัง ก็ไม่เสียแรงที่มีสถานะเป็นขอบเขตบินทะยานเลย ในด้านตบะเรียกได้ว่าเชื่อมถึงฟ้าไปเด็ดดวงตะวันจันรา ส่วนถ้อยคำที่เอ่ยก็ลงพื้นดินมาสร้างบ้านหลังโตหอเรือนสูงได้เลย
เฉินผิงอันได้รับผลประโยชน์อย่างมาก เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ เป็นการค้าที่คุ้มค่ายิ่ง
เดินมาได้ครึ่งทาง เผ่าปีศาจที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดตนหนึ่งก็เดินขยับเข้ามาใกล้ราวรั้ว ถามอย่างใคร่รู้ว่า “คนหนุ่มอย่างเจ้าฝึกตนอย่างไรกันแน่? เหตุใดถึงได้รวดเร็วจนเหมือนเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปทุกวันเช่นนี้?”
เฉินผิงอันหยุดเดิน ย้อนถามว่า “ได้ยินว่าเจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่ แต่เชี่ยวชาญศาสตร์ฮวงจุ้ย สามารถตรวจสอบหาเส้นทางมังกร ชำนาญการหาพื้นที่ลับถ้ำสถิตเป็นพิเศษรึ?”
ปีศาจตนนั้นยิ้มกล่าว “อยากเรียนหรือ? เจ้าเรียกข้าว่าพ่อสิ แล้วข้าจะลองพิจารณาดู”
เฉินผิงอันหยิบยันต์กระดาษสีทองแผ่นสุดท้ายที่ตัวเองเก็บไว้ออกมายื่นส่งให้ซวงเจี้ยง “นี่เป็นรางวัลเพิ่มเติมจากการค้าเงินร้อนน้อย ไม่คิดเงิน”
“รับบัญชา” ซวงเจี้ยงก้มหัวค้อมเอว ยื่นสองมือมารับกระดาษยันต์เอาไว้ จากนั้นร่างก็หายวับเข้าไปในกรงขัง
ครู่หนึ่งต่อมาก็ ‘เดินออกมา’ จากร่างของเผ่าปีศาจที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้น สะบัดยันต์ในมือ ด้านบน ‘แขวน’ ตัวอักษรเอาไว้แน่นขนัด เหมือนหยดน้ำมากมายที่อยู่บนใบบัวซึ่งส่ายไหวน้อยๆ
ซวงเจี้ยงเป่าลมใส่กระดาษยันต์สีทอง ตัวอักษรทั้งหมดก็ฝังเลื่อมเข้าไปในกระดาษยันต์อย่างแน่นหนา แล้วมอบมันให้กับเฉินผิงอัน
เผ่าปีศาจตนนั้นด่าทอพลางถอยกลับเข้าไปในหมอกพรางตา
เฉินผิงอันถาม “สภาพจิตใจของเซียนดินก่อกำเนิด เจ้าก็สามารถเข้าออกได้ตามใจชอบด้วยหรือ?”
ซวงเจี้ยงส่ายหน้า “เพราะว่าเป็นเพื่อนบ้านกันมานานหลายปี เดินทางมาเยี่ยมเยียนกันหลายครั้งแล้ว ข้าถึงได้สามารถเดินเล่นได้อย่างผ่อนคลายเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นจิตแห่งมรรคาของก่อกำเนิด มีของใครบ้างที่ไม่แข็งแกร่งปานหินผา ไม่ใช้เวลานานหลายปีก็ยากที่จะทำได้สำเร็จ”
หลังจากนั้นซวงเจี้ยงก็บอกถึงเรื่องวงในของขอบเขตชมมหาสมุทรให้ฟังอยู่หลายข้อ ยกตัวอย่างเช่นพูดถึงทางลัดในการ ‘แต้มนัยน์ตา’ ให้กับจวนน้ำ ทางลัดที่ว่านี้ไม่ใช่วิชานอกรีตอะไร แต่เป็นเพราะเฉินผิงอันปูพื้นฐานมาได้ไม่เลว ทั้งฟ้าอำนวย ดินอวยพรและคนสามัคคีล้วนมีครบถ้วน จึงสามารถไปเยี่ยมเยือนจวนของเทพวารีทั้งหลายได้บ่อยๆ ไปตามหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และสุ่ยเซียนที่ถูกชะตากันแล้วประลองแลกเปลี่ยนความรู้ด้านมรรคกถาแก่กันและกัน ใช้วิธีการที่เปิดเผยตรงไปตรงมาช่วงชิงเอาสัจธรรมแห่งคาถาน้ำของอีกฝ่ายมาเสี้ยวหนึ่ง แค่นี้ก็สามารถเพิ่มการ ‘แต้มนัยน์ตา’ ให้กับภาพเซียนน้ำนมัสการบนภาพฝาผนังได้แล้ว เรื่องนี้หากทำตอนเป็นขอบเขตชมมหาสมุทร ผลประโยชน์ที่ได้รับจะมากที่สุด หลังสร้างโอสถทองแล้วก็ทำได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าผลประโยชน์ที่ได้รับกลับไม่มากเท่าตอนขอบเขตชมมหาสมุทร ความลี้ลับบนมหามรรคาก็อยู่ตรงนี้นั่นเอง
ดังนั้นบนเส้นทางของการฝึกตน ส่วนใหญ่แล้วมักจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่ผู้ฝึกลมปราณยินดีเอาเวลาหลายปีหรืออาจมากหลายสิบปีออกมาขัดเกลาอย่างช้าๆ
เดินขึ้นบันไดไปด้านบนแล้วเฉินผิงอันก็ไปนั่งพักอยู่ตรงทางเข้าคุก
ซวงเจี้ยงนั่งลงด้านข้าง ได้เงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งมาอยู่ในมือ มันภาคภูมิใจอย่างมาก
เฉินผิงอันกล่าว “ต่อจากนี้ต้องหล่อหลอมโชคชะตาบู๊แล้ว”
เมื่อก่อนเฉินผิงอันไม่เคยรับโชคชะตาบู๊เอาไว้ เพียงแต่ว่าครั้งนี้อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินผิงอันรู้สึกเพียงว่าโชคชะตาบู๊ยังไม่มากพอ
โชควาสนาของวิถีกระบี่ โชคชะตาบู๊ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนสะสมมาแล้วหมื่นปี รากฐานของโชคชะตาบู๊ แน่นอนว่าไม่อาจเปรียบเทียบกับโชคชะตาวิถีกระบี่ได้ ทว่าสถานที่แห่งนี้มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฝึกกระบี่กับโชคชะตากระบี่เป็นเหมือนพระมากโจ๊กน้อย ดังนั้นต่อให้โชคชะตากระบี่จะมากแค่ไหนก็ยังไม่มากพอให้เอามาแบ่งกันได้ ก็เหมือนอย่างการที่เฉินผิงอันฟูมฟักกระบี่บินออกมาได้สองเล่มก็ยังไม่ถือว่ามีปรากฎการณ์พิเศษแห่งฟ้าดินอะไรมากนัก ทว่าผู้ฝึกยุทธเต็มตัวกับโชคชะตาบู๊กลับเป็นเหมือนโจ๊กในถ้วยที่มีอยู่ไม่มาก ทว่าผู้ฝึกยุทธของกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับมีน้อยยิ่งกว่า คนที่ยกถ้วยโจ๊กขึ้นดื่มมีอยู่ไม่กี่คน โชคชะตาบู๊เปี่ยมล้น แน่นอนว่าต้องมีมากจนน่าดูชม เฉินผิงอันฝ่าทะลุขอบเขตครั้งนี้ยังถือว่าเป็นความสำเร็จที่ไม่ต่ำ เลื่อนจากร่างทองเป็นเดินทางไกล ดังนั้นจึงดึงมาได้เยอะมาก ถึงขั้นเรียกได้ว่าแย่งชิงโชคชะตาบู๊ส่วนหนึ่งมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ทำให้เฉินผิงอันสะใจอย่างมาก
ซวงเจี้ยงเบี่ยงตัวหันข้างไปขยี้ตาแรงๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างน่าสงสารว่า “ท่านบรรพบุรุษอิ่นกวานต้องยุ่งหัวไม่วางหางไม่เว้น ไม่มีเวลาพักกายพักใจแม้สักเสี้ยวนาที ทำเอาข้าที่มองดูอยู่ทั้งเลื่อมใส ทั้งสงสาร อารมณ์นับร้อยประดังประเดกัน จนน้ำตาไหลอาบหน้าแล้ว”
เฉินผิงอันเอาสองมือวางไว้บนศีรษะของเด็กชายผมขาว “แม้ว่าจะเป็นแค่การเสแสร้ง แต่ฟังแล้วก็ยังปลอบใจคนได้ดี”
ผลคือคำพูดนี้ของบรรพบุรุษอิ่นกวานพูดช้าเกินไปหน่อย เพราะซวงเจี้ยงกลับระเบิดร่างของตัวเองไปก่อนแล้ว แล้วไปจำแลงร่างกลายเป็นคนที่ตำแหน่งอื่น ดังนั้นจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง ยังไม่กล้าวิ่งไปนั่งที่เดิมทันที
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองด้วยสีหน้ามีเลศนัย ซวงเจี้ยงยิ้มพูดอย่างขลาดๆ ว่า “ยังไม่ทันออกหมัด ปณิธานก็มาถึงเสียก่อน ทำให้ข้าตกใจแทบตาย ไม่ใช่ว่าข้าพูดประจบจริงๆ นะ วันหน้ารอให้บรรพบุรุษอิ่นกวานเดินทางท่องเที่ยวไปยังใต้หล้าแห่งอื่น ไม่ต้องสนว่าจะเป็นใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ใต้หล้าไพศาลหรือใต้หล้ามืดสลัว แค่สายตาเดียวที่มองมา ต่อให้เป็นเผ่าปีศาจเซียนดินก็ต้องตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ คุกเข่าไม่กล้าลุกขึ้น ยื่นคอรอให้ท่านตัดแต่โดยดี!”
เฉินผิงอันถอนสายตากลับมา ยิ้มเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้สมพรปากเจ้า”
ตามคำกล่าวของผู้อาวุโสหลี่เอ้อ กล้ามเนื้อหกร้อยสามสิบเก้าก้อนบนเรือนกายมนุษย์ล้วนสามารถมองเป็นเทือกเขา ขุนเขาใหญ่และภูเขาลูกน้อย การชำระหล่อหลอมโชคชะตาบู๊ก็เหมือนการ ‘เปิดภูเขา’ สามารถสร้างความมั่นคงให้กับรากภูเขาแต่ละแห่งของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวได้ โชคชะตาบู๊มากน้อยเป็นตัวตัดสินจำนวนของภูเขาที่ถูกเปิด หากไม่มีการประทานโชคชะตาบู๊ให้ก็ไม่เป็นไร ยามที่ผู้ฝึกยุทธเข่นฆ่าเพื่อตัดสินเป็นตาย หรือประลองฝีมือเพื่อตัดสินแพ้ชนะกับคนอื่น ล้วนเป็นการหล่อหลอมภูเขาแต่ละลูกทั้งสิ้น ต้นทุนการหยัดยืนในการฝึกหมัดของผู้ฝึกยุทธอยู่แค่ที่ตัวของวิชาหมัดเท่านั้น ไม่ต้องละโมบในโชคชะตาบู๊ เพราะต่อให้ไม่มีโชคชะตาบู๊ ฟ้าก็ไม่ถล่มลงมา หรือต่อให้ฟ้าถล่มลงมาจริงๆ ก็ยิ่งต้องฝึกปรือวิชาหมัดแล้วออกหมัดอีกครั้ง
เฉินผิงอันถาม “เกี่ยวกับโชคชะตาบู๊ เจ้ารู้เรื่องวงในเรื่องใดบ้าง?”
ซวงเจี้ยงส่ายหน้า “ข้ารู้แค่เรื่องของการฝึกตน เรื่องของการเรียนวรยุทธ รู้ไม่มากนัก…”
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ”
สีหน้าของซวงเจี้ยงสดใสมีชีวิตชีวาทันที “มีเรื่องให้พูด มีเรื่องให้พูด”
คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะเอ่ยว่า “หรือไม่ก็ช่างมันดีกว่า”
ซวงเจี้ยงทิ้งตัวนอนหงายหลัง กางแขนกางขาป่ายปัด พลิกตัวชักดิ้นชักงอ
——