กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 682.5 ฝึกบำเพ็ญตบะอย่างยากลำบากเพื่อสิ่งใดกัน
เพิ่งจะเลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิต ภาพเหตุการณ์ในกายยังไม่มั่นคง ปราณวิญญาณยังซัดกระเพื่อม การเดินทางไปกลับระหว่างฟ้าดินสองแห่งจะถูกก่อกำเนิดคนหนึ่งมองเห็นได้ทะลุปรุโปร่งในปราดเดียวก็เป็นเรื่องปกติ
ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้นชำเลืองตามองเด็กชายผมขาวที่อยู่ด้านข้างแล้วด่าไปคำหนึ่งว่าท่านปู่เจ้าเถอะ จากนั้นก็ถอยกลับเข้าไปในหมอกอำพราง
เฉินผิงอันกล่าว “มันไม่มีทางลงมือ”
ก่อกำเนิดคนนั้นย้อนกลับมาทันใด “จริงหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “พวกเรามาลองใคร่ครวญถึงรายละเอียดคำสาบานกันดู หากทั้งสองฝ่ายต่างยอมรับได้ก็ค่อยมาเดิมพันกัน”
ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้นนึกสนใจขึ้นมาจริงๆ ถึงอย่างไรก็ต้องตายอยู่แล้ว ตายช้าหรือเร็วก็ล้วนต้องตายด้วยน้ำมือคนหนุ่มผู้นี้อยู่ดี ก็ไม่สู้หาความบันเทิงเล็กน้อยๆ มาช่วงชิงความได้เปรียบนิดๆ หน่อยๆ ดีกว่า
ซวงเจี้ยงพยายามทำหน้าให้นิ่งขรึม เพียงแต่ว่าลูกตากลับกลอกซ้ายกลอกขวา ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
เฉินผิงอันที่ตั้งแต่แรกมาก็ ‘จะฟันตนให้ตายด้วยกระบี่เดียวได้หรือไม่’ เริ่มทำการร่างรายละเอียดปลีกย่อยกับผู้อาวุโสผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนี้ หลีกเลี่ยงไม่ให้โต๊ะเดิมพันเกิดความไม่มั่นคงไม่ยุติธรรม
ผลคือในขณะที่เผ่าปีศาจก่อกำเนิดรู้สึกว่าสามารถลองเดิมพันสักครั้งดูได้นั้นเอง เขาดันเหลือบมาเห็นเด็กชายผมขาวที่ทำตัวสงบนิ่งอย่างมากมาตั้งแต่ต้นจนจบ ก็พลันเปลี่ยนใจกะทันหัน ถอยกลับเข้าไปในหมอกพรางตาอีกครั้ง
เฉินผิงอันรู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง
เรื่องของการให้คำสัตย์สาบานของผู้ฝึกลมปราณ หากผิดคำสาบานขึ้นมาจะทำร้ายไปถึงรากฐานของจิตวิญญาณ ผลที่ตามมาหนักหนาสาหัสยิ่ง เพียงแต่ว่าบรรพบุรุษผู้บุกเบิกภูเขาของศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วคือใครกัน? อีกฝ่ายที่เป็นเผ่าปีศาจก็ไม่รู้จักสายเหวินเซิ่งของตนสักหน่อย ดังนั้นขอแค่เฉินผิงอันมีเทวบุตรมารนอกโลกนั่งเฝ้าพิทักษ์ทะเลสาบหัวใจให้ตัวเอง วิธีการที่เขาใช้ได้ก็มีมากมายเหลือคณา หากบอกว่าให้เฉินผิงอันเอ่ยคำสัตย์สัญญาแห่งขุนเขาของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ก็เรียกว่าได้แต่เรียกร้องแต่ไม่อาจได้มาครอง เฉินผิงอันคิดมาโดยตลอดว่าการเปลี่ยนแปลงทางน้ำเสียงยามที่พูด อารมณ์เล็กๆ น้อยๆ บนใบหน้า รวมไปถึงความเฉียบคมในถ้อยคำสัตย์สาบานล้วนไม่มีช่องโหว่ใดๆ ดังนั้นปัญหาจึงอยู่ที่เทวบุตรมารผู้นี้แล้ว เมื่อก่อนลิงโลดเกินไป วันนี้กลับสงบเสงี่ยมเกินไป มารดาเจ้าเถอะ จะดีจะชั่วเจ้าก็ควรร่ายเวทอำพรางตาจริงๆ เท็จๆ อะไรนั่นบ้างสิ เป็นเทวบุตรมารนอกโลกประสาอะไรกัน
ซวงเจี้ยงยกสองมือกุมหัว โอดครวญขึ้นมาว่า “บรรพบุรุษอิ่นกวาน จะโทษข้าไม่ได้จริงๆ นะ!”
เฉินผิงอันเอ่ยเหน็บแนม “หากข้าผู้อาวุโสก็เป็นเทวบุตรมารเหมือนกัน คงเหยียบเจ้าให้ตายได้ง่ายๆ ไปนานแล้ว”
ซวงเจี้ยงกล่าวอย่างน้อยใจ “ฝีมือของเทวบุตรมารก็ต้องดูความตื้นลึกของจิตแห่งมรรคาตอนมีชีวิตอยู่ยามเป็นผู้ฝึกตนด้วย ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ข้าน่ะเป็นคนใสซื่อมากเลยนะ”
เฉินผิงอันถอนหายใจ ไม่ได้ถือสาการที่ต้องเสียกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตไปเล่มหนึ่ง เพราะถึงอย่างไรน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ของตนก็มีอยู่น้อยเกินไป
เดิมทีก็เป็นแค่การเดิมพันเล็กๆ อยู่แล้ว จะสำเร็จหรือไม่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แล้วนับประสาอะไรกับที่หากถามกระบี่ได้สำเร็จ นั่นต่างหากจึงจะเป็นผลประโยชน์ที่ใหญ่หลวงที่สุด
เหนี่ยนซินยังคงนั่งแกะชุดคลุมอาคมตัวนั้นอยู่ที่เดิมอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ตั้งอกตั้งใจอย่างยิ่ง
หากไม่มองสภาพเบื้องล่างศีรษะลงไป อันที่ผู้อาวุโสเหนี่ยนซินก็ไม่ได้ต่างอะไรจากสตรีทั่วไปเลย
เฉินผิงอันไม่ได้รบกวน เดินตรงไปที่ศาลา
เขานั่งขัดสมาธิ สองมือวางทับกันตรงหน้าท้อง พ่นลมหายใจเข้าออกช้าๆ ทำภาพปรากฎการณ์ในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ให้สงบ ค่อยๆ สร้างความมั่นคงให้กับขอบเขต
ขณะเดียวกันก็แบ่งสมาธิไปคิดเรื่องอื่น คฤหาสน์หลบร้อนในทุกวันนี้จะไม่มีแผนการหรือกลยุทธใหญ่อะไรแล้ว การจัดวางกองกำลังที่แน่นอน รายละเอียดของเค้าโครงใหญ่ล้วนมีครบหมดแล้ว ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานก็แค่ต้องทำไปตามลำดับขั้นตอน ต่อให้มีเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้นกะทันหัน เซียนกระบี่โฉวเหมียวก็สามารถรับมือได้อย่างไร้ข้อผิดพลาด โฉวเหมียวคือบุคคลหนึ่งที่ควรค่าแก่การได้รับความเชื่อใจอย่างเต็มที่จากเฉินผิงอัน
ทางหนีทีไล่ของพวกเด็กๆ พวกผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสาวก็มีการวางแผนจัดการมาไว้ก่อนนานแล้ว
ต้องให้พวกเซียนกระบี่ต่างถิ่นยินดีรับเป็นลูกศิษย์ แล้วก็ต้องพิจารณาถึงนิสัยของทั้งฝ่ายอาจารย์และฝ่ายลูกศิษย์ รวมไปถึงขนบธรรมเนียมประเพณี ภูเขาสำนักและกองกำลังทั้งฝ่ายมิตรและฝ่ายศัตรูในทวีปใหญ่ที่เซียนกระบี่ผู้นั้นอยู่อาศัยด้วย นอกจากนี้ก็ยังต้องเข้าใจขนบธรรมเนียมประจำตระกูล นิสัยใจคอของตัวอ่อนเซียนกระบี่เหล่านั้นว่ามีความเป็นศัตรูตามธรรมชาติต่อให้หล้าไพศาลหรือไม่
เรื่องพวกนี้แน่นอนว่าต้องทำให้คนกลัดกลุ้มเป็นกังวลอย่างมาก
พวกเซียนกระบี่ต่างถิ่นที่หวนกลับใต้หล้าไพศาลพวกนั้น ยังไม่ต้องไปพูดถึงพวกผู้อาวุโสที่มีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ลำพังแค่ตระกูลเซียนอักษรจงแห่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสำนัก เป็นบรรพจารย์หรือไม่ หรือจะเป็นผู้ถวายงาน เป็นเค่อชิงหรือไม่ ขอแค่เป็นเซียนกระบี่ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องรักษาลูกศิษย์ผู้สืบทอดไว้ให้ได้หนึ่งถึงสามคน สำนักคือยันต์คุ้มกันกายแผ่นหนึ่ง ทว่ายามที่ฝ่ายในของสำนักเกิดความขัดแย้งกับเด็กๆ เหล่านั้น อาจารย์ที่เป็นเซียนกระบี่กลับจะเป็นยันต์คุ้มกันกายอีกแผ่นหนึ่ง อีกทั้งมีเพียงเซียนกระบี่เท่านั้นถึงจะมีความมั่นใจมากพอที่จะงัดข้อกับเจ้าสำนักไม่ว่าจะแห่งใดก็ตาม ยินดีที่จะทวงความยุติธรรมให้แก่ลูกศิษย์ของตนโดยไม่เสียดายสิ่งใด
หากเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดอย่างเติ้งเหลียงนั้น ต่อให้อยู่ในเก้าทวีปของใต้หล้าไพศาลก็ยังเป็นคนในกลุ่มเทพเซียนอันดับหนึ่ง แต่กระนั้นเฉินผิงอันก็ยังไม่กล้าวางใจ เหตุผลมีเยอะมาก ยกตัวอย่างเช่นตัวเติ้งเหลียงเองจำเป็นต้องฝ่าทะลุขอบเขต ต้องข้ามผ่านปราการธรรมชาติด่านหนึ่งไปให้ได้ อีกทั้งเติ้งเหลียงอายุยังน้อย เดิมทีก็ต้องตั้งใจมานะฝึกตนอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังถูกทางสำนักฝากความหวังไว้มาก อีกอย่างอายุน้อยก็หมายความว่าประสบการณ์น้อย เส้นสายเครือข่ายผู้คนบนภูเขาไม่มีทางเยอะได้แน่ และนี่ยังซุกซ่อนภัยแฝงที่ยากจะสังเกตเห็นอยู่อีกอย่างหนึ่ง ยามที่อยู่กับฝ่ายในของสำนัก บุคคลอย่างเติ้งเหลียงนี้ต้องเป็นที่อิจฉาริษยาของผู้คนแน่นอน แผนการต่างๆ ล้วนจะพากันพุ่งเป้ากระทบกระเทียบมาที่เขา ลูกศิษย์ของเติ้งเหลียงที่มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คือเป้าหมายที่ดีเยี่ยมที่สุด
ยามที่เติ้งเหลียงมีอำนาจย่อมเห็นได้ไม่ชัด แต่ขอแค่เจออุปสรรคสักเล็กน้อย พวกเขาจะไม่ทำอย่างไรต่อเติ้งเหลียง แต่กลับง่ายมากที่จะจ้วงมีดเข้าใส่ลูกศิษย์ของเขา
คิดจะทำเรื่องเรื่องหนึ่งโดยหวังว่าจะผูกบุญสัมพันธ์ อีกทั้งยังหวังให้ออกผลเป็นบุญเป็นกุศล อันที่จริงมันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น
ไม่ว่าความคิดใดๆ ของคฤหาสน์หลบร้อนที่คิดไม่ครอบคลุมมากพอก็จะทำให้มหามรรคาของคู่อาจารย์และศิษย์ผู้ฝึกกระบี่เดือดร้อนไปด้วย
เด็กทุกคนที่ไปฝึกตนไปฝึกกระบี่อยู่ที่ใต้หล้าไพศาล คำว่า ‘กำแพงเมืองปราณกระบี่’ ของบ้านเกิดนี้ ล้วนจะกลายมาเป็นด่านสองด่าน ด่านหนึ่งอยู่ในสายตาคนต่างถิ่น อีกด่านหนึ่งตั้งอยู่บนทะเลสาบหัวใจของตัวผู้ฝึกกระบี่เอง
นอกจากนี้แล้วก็คือเรื่องของการ ‘ยกเมืองบินทะยาน’ ที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสวางแผนมาเนิ่นนาน
และนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่อันดับหนึ่งของผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานในตอนนี้ ต้องไปคอยจับตามองตามจุดต่างๆ เอาไว้ หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน
เฉินผิงอันลืมตาขึ้น พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาเบาๆ
สิ่งที่เขาทำได้และส่วนที่พอจะมีความสามารถให้ลงมือทำ ดูเหมือนว่าจะทำไปหมดแล้ว
ส่วนที่ทำไม่ได้ คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ เพียงแต่ว่ามันยากที่จะไม่คิดถึงก็เท่านั้น
ดังนั้นเฉินผิงอันที่ชินกับการใช้ท่าเดินนิ่งหกก้าว ท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูมาทำจิตใจให้สงบจึงเริ่มฝึกท่าขึ้นรูปเครื่องปั้นอยู่ในศาลาอีกครั้ง
ซวงเจี้ยงนั่งอยู่บนขั้นบันได บรรพบุรุษอิ่นกวานยุ่งมากเท่าไรก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความเกียจคร้านของมันมากเท่านั้น
อันที่จริงตอนนี้มันมีเรื่องสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง หรือว่าเฉินผิงอันจะรู้รากฐานที่แท้จริงของตนแล้ว?
……
หมี่อวี้เดินทางไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เพราะทางฝ่ายคฤหาสน์หลบร้อนส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังเรือนชุนฟานบอกว่าต้องการให้เขาไปเฝ้าพิทักษ์ที่หอมายาสักระยะหนึ่ง อารมณ์ของหมี่อวี้หนักอึ้ง บนจดหมายลับไม่มีตราประทับของใต้เท้าอิ่นกวาน นี่เป็นเรื่องปกติมาก ใต้เท้าอิ่นกวานหายตัวไปนานมากแล้ว คฤหาสน์หลบร้อนมอบหมายให้โฉวเหมียวเป็นผู้ดูแล แต่เหตุใดถึงไม่ใช่โฉวเหมียว กลายเป็นต่งปู้เต๋อกับสวีหนิงที่ออกคำสั่งแทนล่ะ?
เหวยเหวินหลงตามมาข้างกายเซียนกระบี่หมี่ด้วยความกระวนกระวายใจ
เพราะเหวยเหวินหลงไม่เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน หมี่อวี้จึงลากตัวผู้ฝึกตนโอสถทองที่ทั้งชีวิตอยู่แต่ภูเขาห้อยหัวให้มาด้วยกัน แรกเริ่มเหวยเหวินหลงปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมไปหลายครั้ง ความกังวลหลักๆ ของเขาก็คือทุกวันนี้กำแพงเมืองปราณกระบี่มีการป้องกันอย่างเข้มงวด หากมีใครที่กล้าข้ามบ่อสายฟ้านั้นไป จุดจบล้วนไม่ค่อยดีทั้งสิ้น ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานอย่างแท้จริง กังวลว่าสุดท้ายแล้วจะทำให้เซียนกระบี่หมี่อวี้เสียหน้า ให้คนนอกคนหนึ่งเข้าไปในหอมายาตอนนี้ ไม่ถูกกฎเอาเสียเลย ย่อมง่ายที่จะสร้างปัญหา
เดินผ่านประตูใหญ่มา เหวยเหวินหลงก็ยิ่งรู้สึกหายใจติดขัด ลมหายใจไม่ราบรื่น การโคจรวัตถุแห่งชะตาชีวิตติดขัดยิ่งกว่าตอนอยู่ภูเขาห้อยหัวอย่างน้อยก็สองสามส่วน
ในใจเหวยเหวินหลงตกตะลึงไปเล็กน้อย หากตนต้องคุมเชิงกับผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนหนึ่งขึ้นมาก็ไม่ใช่ว่าอย่างมากสุดออกกระบี่ได้แค่ครั้งเดียวก็ไม่เหลือชีวิตแล้วหรอกหรือ?
หมี่อวี้กล่าว “เมื่อก่อนไม่ถึงขั้นทำให้ผู้ฝึกตนโอสถทองถูกสยบกำราบเช่นนี้”
แน่นอนว่าเป็นเพราะศึกใหญ่กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด ลมปราณในฟ้าดินจึงซัดปั่นป่วนวุ่นวาย ปราณกระบี่และปณิธานกระบี่ยิ่งแตกละเอียดยิบมากขึ้น เหมือนเมล็ดหลิวที่ปลิวปรายไปทั่วเมืองของหมู่ชาวบ้าน ทำให้คนทรมานจนพูดไม่ออก
นครแห่งนั้นเปิดใช้ค่ายกลขุนเขาสายน้ำมานานแล้ว ถูกปราณกระบี่มหาศาลปกคลุมไว้ภายใน
นอกจากนี้ที่หอโอสถ หอภูษาและหอกระบี่ก็มีสภาพการณ์ที่ไม่ค่อยต่างกันนัก
เพราะมักจะมีปีศาจใหญ่ดึงเอาภูเขาออกมาแล้วทุ่มเข้าใส่กำแพงเมืองปราณกระบี่จากจุดสูง พวก ‘ปลาที่หลุดรอดแห’ บางส่วนจึงข้ามผ่านหัวกำแพงเมืองขว้างภูเขาเข้าใส่ค่ายกลใหญ่ของนคร ส่วนใหญ่แล้วล้วนถูกเซียนกระบี่ใช้กระบี่ทำลายให้ย่อยยับ แต่เศษหินก็ยังร่วงกราวลงมา เรือนพักส่วนตัวของเซียนกระบี่นอกเมืองที่ไม่ได้รับการคุ้มกันจากค่ายกลจึงมีสภาพทรุดโทรมจะพังมิพังแหล่
ตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่เริ่มทำการ ‘ปิดภูเขา’ นี่เป็นครั้งที่สามในประวัติศาสตร์แล้ว
ออกไปง่ายมาก แต่เข้ามากลับยากราวเดินขึ้นสวรรค์
ทรัพยากรที่เคลื่อนย้ายจากท่าเรือภูเขาห้อยหัวเข้ามาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ต้องเจอด่านทุกย่างก้าว แต่ละด่านล้วนมีผู้ฝึกกระบี่หลายกลุ่มเฝ้าพิทักษ์
กระทั่งเข้ามาในกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว เหวยเหวินหลงถึงเพิ่งจะได้รู้ถึงบารมีอำนาจของสองคำว่า ‘อิ่นกวาน’
หมี่อวี้แค่พูดว่าเหวยเหวินหลงคือแขกของใต้เท้าอิ่นกวาน เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องที่พูดปากเปล่าไร้หลักฐานอยู่แล้ว ทว่าทั้งสองคนกลับผ่านทางมาได้อย่างราบรื่น
เมื่อก่อนตอนที่อยู่ในห้องบัญชีของเรือนชุนฟาน เฉินผิงอันเป็นคนที่ทำให้เหวยเหวินหลงรู้สึกผ่อนคลายสบายใจได้มากที่สุด คิดไม่ถึงว่าเมื่อเปลี่ยนสถานที่ เฉินผิงอันไม่อยู่ข้างกาย เหวยเหวินหลงกลับต้องเริ่มเอาเฉินผิงอันมาเปรียบเทียบกับใต้เท้าอิ่นกวานอย่างแท้จริงแล้ว
หอมายาคือสิ่งปลูกสร้างที่เรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ อาณาบริเวณไม่เล็ก อีกทั้งยังสูงตระหง่านง้ำ หอเรือนเบียดเสียดกันแออัด ห้องน้อยใหญ่มีมากถึงสามพันกว่าห้อง ซึ่งสถานที่เหล่านี้เคยเป็นร้านค้า เรือนส่วนตัวที่เหล่าเถ้าแก่ทั้งหลายเคยมาทำการ
บนหอมายามีเด็กหนุ่มเด็กสาวยืนพิงราวรั้วมองลงมา
เหวยเหวินหลงแหงนหน้ามองไปก็สบตากับเด็กสาวคนนั้นพอดี
เหวยเหวินหลงเพียงรู้สึกประหลาดใจ เหตุใดเห็นเด็กสาวที่อยู่ตรงจุดสูงคนนั้นแล้วถึงเหมือนตอนพลิกเปิดหน้าบัญชี รู้สึกใกล้ชิดกับนางเป็นพิเศษกันนะ?
ตู้ซานอินหัวเราะเบาๆ “แม่นางจี๋ชิง คนที่อยู่ข้างกายเซียนกระบี่หมี่คือคนที่มีโชคด้านเงินทองหรือ?”
เด็กสาวซักผ้าที่สายตาใสกระจ่างมีหน้าตาสดชื่นเปี่ยมชีวิตชีวา เวลานี้นางพยักหน้ารับ “ตอบคุณชาย คนผู้นี้มีโชคด้านเงินทองติดตัวอยู่จริงๆ”
“แม่นางจี๋ชิง วิชาอภินิหารในการมองโชคชะตาของพวกเจ้าสามารถถ่ายทอดให้คนอื่นได้หรือไม่?”
“นี่คือวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของข้ากับพี่หญิงฉางมิ่ง ไม่จำเป็นต้องเรียน ดังนั้นจึงไม่สามารถสอนให้ใครได้ ขอคุณชายโปรดยกโทษให้ด้วย”
ตู้ซานอินรู้สึกเสียดายเล็กน้อย มีเงินก็สามารถจ้างผีให้โม่แป้งได้ หลักการนี้ช่างตื้นเขินเข้าใจง่ายยิ่งนัก
แต่พอคิดถึงว่าบนเส้นทางการฝึกตนของตนในวันหน้า ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ ไม่ต้องถูกกักอยู่แค่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกต่อไป สภาพจิตใจของเขาก็เปิดกว้างตามไปด้วย
หมี่อวี้บอกให้เหวยเหวินหลงเดินเล่นได้ตามสบาย ส่วนตัวเขาขี่กระบี่ทะยานตัวไปยังจุดที่สูงที่สุดของหอมายา ไปเจอกับเซียนกระบี่ชุดขาวคนหนึ่งที่ถือจอกดื่มเหล้าขี่กระบี่ลอยตัวอยู่ อีกฝ่ายมีไอหมอกล้อมวนทั่วร่างจนไม่อาจมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงได้
กระบี่บินที่ส่งข่าวมาจากคฤหาสน์หลบร้อนบอกไว้ว่าเซียนกระบี่ท่านนี้มีสถานะเป็นสิงกวาน
ในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เคยมีตำแหน่งขุนนางเก่าแก่อยู่สามตำแหน่ง อิ่นกวานที่เป็นหนึ่งในนั้นเป็นตำแหน่งที่คล้ายการสืบทอดบรรดาศักดิ์จากรุ่นสู่รุ่น เพียงแต่ว่าไม่ได้ถ่ายทอดกันอยู่แค่ในหนึ่งแซ่หนึ่งตระกูลเท่านั้น แต่เป็นการสืบทอดอย่างมีระบบระเบียบระหว่างอาจารย์และศิษย์ กระทั่งเซียวสวิ้นทรยศ เฉินผิงอันมารับช่วงต่อถึงได้เป็นการทำลายกฎเกณฑ์นี้ ไม่อย่างนั้นรอจนเซียวสวิ้นปลดประจำการจากตำแหน่ง ก็ต้องเป็นผังหยวนจี้ลูกศิษย์ของนางที่มีความหวังมากที่สุด
นอกจากนี้ยังมีสิงกวาน จี้กวาน จี้กวานหายสาบสูญไร้การสืบทอดไปนานแล้ว ส่วนคนที่มาดำรงตำแหน่งสิงกวานในแต่ละยุคสมัยนั้นล้วนต้องเป็นเซียนกระบี่ใหญ่
สิงกวานคนปัจจุบันถอยไปอยู่เบื้องหลังมานานมากแล้ว ตำแหน่งยังคงอยู่ แต่ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมออกมาพบเจอใคร นานวันเข้าจึงสูญเสียสิทธิ์เสียงในกำแพงเมืองปราณกระบี่ไป ทุกคนพากันพูดไปหลากหลาย บ้างก็บอกว่าเขาไปจำศีลที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง บ้างก็บอกว่าเขาไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างเงียบเชียบนานแล้ว
หมี่อวี้คารวะ “ผู้ฝึกกระบี่หมี่อวี้คารวะสิงกวาน”
สิงกวานพยักหน้ารับถือเป็นการทักทายกลับคืน แล้วก็ไม่เอ่ยอะไร แค่ถือจอกเหล้าค้างไว้อย่างนั้น
หมี่อวี้ถาม “สิงกวานเคยเจอกับใต้เท้าอิ่นกวานหรือไม่?”
สิงกวานตอบ “เคย”
หมี่อวี้ถาม “ใต้เท้าอิ่นกวานเลื่อนเป็นขอบเขตเดินทางไกลแล้วหรือ?”
สิงกวานพยักหน้า “ใช่”
หมี่อวี้ถามอีก “เหตุใดใต้เท้าอิ่นกวานถึงยังไม่กลับมาเสียที ไม่ไปเฝ้าพิทักษ์อยู่ที่คฤหาสน์หลบร้อน?”
สิงกวานเอ่ย “ไม่รู้”
ในใจหมี่อวี้เป็นกังวลอย่างมาก “ใต้เท้าอิ่นกวานไม่ยินดีจะพลาดศึกในครั้งนี้ แต่ในเมื่อศึกมาประชิดจ่อรอตรงหน้าแล้ว เหตุใดถึงไม่เคยมาปรากฏตัวบนหัวกำแพงเมืองเลยสักครั้ง?”
สิงกวานทนรำคาญไม่ไหวจึงหยุดดื่มเหล้า เอ่ยว่า “คำถามเจ้าค่อนข้างมากไปสักหน่อย”
หมี่อวี้ถามคำถามสุดท้าย “เหตุใดสิงกวานถึงวางตัวอยู่นอกเหนือเรื่องราว?”
สิงกวานเอ่ยอย่างเฉยเมย “ผู้ที่พูดคุยกับข้าเคยมีเซียนกระบี่ใหญ่คนใดที่พลังการต่อสู้เลิศล้ำกร้าวแกร่งบ้าง?”
หมี่อวี้ไร้คำพูดตอบโต้
เขาคิดถึงใต้เท้าอิ่นกวานเหลือเกิน
มีหินยักษ์ก้อนหนึ่งถูกเซียนกระบี่บนหัวกำแพงเมืองโจมตีแตกจึงกระแทกเข้าใส่ค่ายกลใหญ่ของนคร
หมี่อวี้ขมวดคิ้วน้อยๆ ทะยานร่างออกไป ดีดตัวไปบนม่านฟ้าของค่ายกลใหญ่เหมือนกบกระโดดแตะผิวน้ำ ก้มตัวชักกระบี่แล้วพุ่งไปข้างหน้าต่อ เงื้อกระบี่ฟันให้มันแหลกสลาย จากนั้นก็สอดกระบี่กลับเข้าฝัก ย้อนกลับมาที่หอมายา ทำทุกอย่างนี้ได้อย่างคล่องแคล่วเป็นธรรมชาติ
เหวยเหวินหลงมองเห็นภาพนี้ก็ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเหตุใดมาดเซียนกระบี่เช่นนี้ของหมี่อวี้ถึงได้ยังถูกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ดูแคลนอยู่อีก?
จากนั้นเหวยเหวินหลงก็เห็นว่านอกหัวกำแพงเมืองพลันปรากฏกายธรรมร่างจริงของปีศาจใหญ่ตนหนึ่ง มันใช้สองมือเหวี่ยงค้อนทุบลงบนหัวกำแพง พลังอำนาจสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ขนาดเหวยเหวินหลงที่อยู่ไกลมาถึงหอมายาก็ยังรู้สึกหายใจไม่ออก ผลคือกลับถูกเซียนกระบี่หญิงท่านหนึ่งฟันขาดออกเป็นสองท่อน
……
ในศาลาของคุก เฉินผิงอันวางดาบพาดขวางไว้บนหัวเข่า ขอบเขตถ้ำสถิตมั่นคงดีแล้ว โชคชะตาบู๊บนร่างก็หลอมเสร็จแล้ว สามารถลองไปถามกระบี่ดูสักครั้งได้แล้ว
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนช้าๆ ซวงเจี้ยงยืนรออย่างนอบน้อมอยู่ตรงบันไดมานานแล้ว
ทั้งสองคนเดินขึ้นบันไดไปด้วยกัน ซวงเจี้ยงยิ้มถามชวนคุยว่า “บรรพบุรุษอิ่นกวาน ในเมื่อไม่ได้ฝึกตนเพื่อความเป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย ไม่ได้หวังจะมีอายุยืนยาวเคียงข้างฟ้าดิน ถ้าอย่างนั้นจะลำบากตรากตรำฝึกตนเช่นนี้ไปเพื่ออะไรกัน?”
แค่เป็นคำถามชวนคุย อันที่จริงเทวบุตรมารนอกโลกไม่ได้หวังว่าคนหนุ่มจะให้คำตอบ
แต่เฉินผิงอันกลับตอบว่า “พวกเราต้องเป็นผู้แข็งแกร่ง พวกเราต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อโลกใบนี้บ้าง”
ซวงเจี้ยงอึ้งตะลึง “พวกเรา?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ทุกคน”
——