กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 685.4 ดวงจันทร์บนฟ้า
เฉินซีที่อยู่ด้านหน้าสุดของสนามรบใช้กระบี่หนึ่งฟันฟ้าดินเล็กของปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ท่านหนึ่งให้ปริแตกออก แล้วหันปลายกระบี่จ้วงแทงตรงเข้าหาปีศาจใหญ่ฉงกวงที่อยู่บนสนามรบเช่นเดียวกัน
ในศึกสิบสามก่อนหน้า ก่อนศึกโจมตีเมืองคราวนี้ ผู้ที่บัญชาการณ์เผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็คือปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนนี้
ปีศาจใหญ่ฉงกวงปากอ้าตาค้างไปทันที ไม่รู้ว่าเฉินซีผู้นี้เป็นบ้าอะไรขึ้นมาถึงได้ยอมสละชีวิต ละทิ้งตบะบำเพ็ญส่งกระบี่นั้นใส่ตน
หากเฉินซีแค่ตามมาไล่ฆ่า ฉงกวงก็ไม่กลัวอีกฝ่ายจริงๆ ตนย่อมมีสารพัดวิธีที่สามารถหลบหลีกประกายเฉียบคมจากอีกฝ่ายได้ อย่างมากก็แค่ต้องเสียตบะหลายร้อยปีที่เก็บสะสมมาอย่างยากลำบาก บวกกับสมบัติหนักที่ใช้ในการป้องกันตัวไปชิ้นสองชิ้นเท่านั้น
ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ที่ก่อนหน้านี้ประมืออยู่กับเฉินซีขว้างทวนสายฟ้าในมือออกไป แทงตรงเข้าสู่แผ่นหลังของเซียนกระบี่ผู้เฒ่าเฉินซี
น่าหลันเซาเหว่ยที่อยู่มุมอื่นหันมารับทวนนี้แทนสหายรักอย่างเฉินซีอย่างไม่เสียดายค่าตอบแทน ปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในวงล้อมสังหารของปีศาจใหญ่บนบัลลังก์สองตน มองส่งเฉินซีปล่อยกระบี่เล่มนั้นจากไปไกล
เพราะถึงอย่างไรชีวิตและมหามรรคา รวมถึงปณิธานกระบี่ตลอดชีวิตของผู้เฒ่าที่เคยสลักตัวอักษร ‘เฉิน’ ลงบนกำแพงเมืองผู้นี้ก็ล้วนอยู่ในกระบี่นี้แล้ว
ต่อให้เจ้าปีศาจใหญ่ฉงกวงจะเป็นขอบเขตบินทะยาน เจออย่างนี้จะยังไม่ตายได้อย่างไร
น่าหลันเซาเหว่ยแผดเสียงหัวเราะดังลั่น “ไม่สู้ปล่อยเดรัจฉานบนบัลลังก์มาอีกสักตัวหนึ่งสิ?!”
……
ผู้ฝึกตนของสำนักหยินหยางและอาจารย์ค่ายกลสำนักโม่จากใต้หล้าไพศาลกลุ่มนั้นได้จากไปแล้ว
เฉินซานชิว เตี๋ยจ้างสองคนจับคู่ออกเดินทางไปด้วยกัน
คนทั้งสองต่างก็เพิ่งเคยมาเยือนภูเขาห้อยหัวเป็นครั้งแรก พวกเขาจะนั่งเรือข้ามทวีปลำหนึ่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่มีชื่อว่า ‘หยกประการัง’ จากไป
หลังเดินข้ามผ่านประตูใหญ่ไป เฉินซานชิวก็หันกลับไปมองครั้งหนึ่ง
เตี๋ยจ้างเอ่ยว่า “ไปถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็จะสามารถรอคอยการเปิดประตูในช่วงร้อยปีได้แล้ว”
คนทั้งสองต่างมาที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย
โรงเตี๊ยมตั้งอยู่ในตรอกเล็กแคบ เถ้าแก่หนุ่มนั่งอาบแดดอยู่บนธรณีประตู เห็นคุณชายชุดขาวกับสตรีแขนเดียวก็ลุกขึ้นยืน ยิ้มต้อนรับ “แขกผู้มีเกียรติทั้งสองท่าน เชิญด้านใน เชิญด้านใน”
ข้ามผ่านธรณีประตูเข้ามา เฉินซานชิวก็เอ่ยว่า “เฉินผิงอันเคยบอกว่าหากเห็นเถ้าแก่ยังอยู่ที่ภูเขาห้อยหัว ก็ให้ข้าถามเถ้าแก่สักคำว่าใช่ผู้ฝึกตนหรือไม่?”
เฉินซานชิวยิ้มกล่าว “เฉินผิงอันยังบอกอีกว่า ไม่ได้มีความหมายอื่นใด แค่อยากรู้เท่านั้น”
เถ้าแก่หนุ่มฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนโต๊ะคิดเงิน ยิ้มร่าเอ่ยว่า “ข้าก็แค่คนทำการต้นทุนเล็กๆ แค่พอจะรักษากิจการบรรพบุรุษพื้นที่คับแคบนี้ไว้ได้เท่านั้น จะถือเป็นผู้ฝึกตนได้อย่างไร”
เฉินซานชิวพยักหน้ารับ ไม่ถามให้มากความอีก
เถ้าแก่หนุ่มแหงนหน้ามองเจ้าพวกคนขี้เกียจที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ โทสะก็ไม่รู้ว่าผุดมาจากไหน เปิดประตูทำการค้า แต่กลับวางมาดใหญ่กว่าเถ้าแก่อย่างเขาเสียอีก
กิจการของโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยซบเซา ดังนั้นพวกลูกจ้างในโรงเตี๊ยมจึงไม่มีเรื่องอะไรให้ทำมากนัก
ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่รับผิดชอบหน้าที่เปิดปิดประตูและเฝ้ายามตอนกลางคืน พ่อครัววัยกลางคนคนหนึ่งที่ฝีมือทำอาหารไม่ได้เรื่อง สตรีออกเรือนแล้วร่างกายกำยำรับหน้าที่ปัดกวาดทำความสะอาดห้อง และเด็กสาวคนหนึ่งที่ไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้แขกเห็น
คนทั้งสี่ต่างก็แซ่เหนียน เหนียนหง เหนียนโต้วฟาง เหนียนชุนเถียว เหนียนชวงฮวา
พวกเขารวมตัวกันนั่งอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่ง ชายฉกรรจ์กับสตรีออกเรือนแล้วนั่งอยู่บนม้านั่งยาวด้วยกัน ผู้เฒ่ากับเด็กสาวนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน เด็กสาวฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนโต๊ะ กำลังอ้าปากหาว
ผู้เฒ่ามีจมูกแดงก่ำของคนติดเหล้า เขายกเท้าข้างหนึ่งเหยียบบนม้านั่ง กำลังดื่มเหล้า ทุกครั้งที่สูดเหล้าคำเล็กๆ จะต้องหรี่ตาลงแล้วตัวสั่นเยือก
เหล้ากาหนึ่งดื่มได้เป็นครึ่งๆ วัน
ชายฉกรรจ์เหมือนจะเหม่อลอย ทว่าเท้าที่อยู่ใต้โต๊ะกลับลูบไล้ไปบนขาของสตรี ถูกสตรีปัดออก ครู่หนึ่งก็กลับมาอีก ความมานะพยายามนี้ช่างน่าชื่นชม
สตรีนั่งหันข้างกำลังพูดคุยกับเด็กสาว นางพูดถึงข่าวลือในที่ต่างๆ ของภูเขาห้อยหัว ถ้อยคำที่ใช้ค่อนข้างหยาบโลน ไม่อย่างนั้นก็คงคุยไม่สนุก อย่างเรื่องที่ว่าอวิ๋นเชียนเซียนซือของตำหนักสุ่ยจิงไปจากภูเขาห้อยหัว เป็นเพราะว่ามีคุณชายน้อยรูปงามคนหนึ่งของตำหนักสุ่ยจิ่งไม่สนใจเรื่องลำดับอาวุโส แอบหลงรักนางจนหัวปักหัวปำ อวิ๋นเชียนเซียนซือจะตีจะด่าก็ไม่ได้ จะตอบตกลงกับอีกฝ่ายก็ยิ่งไม่ได้ จึงได้แต่ออกเดินทางไกลด้วยความอับอายที่พานเป็นความโกรธ และยังมีที่หน้าผาหมีลู่ ผู้ฝึกตนหญิงที่มาท่องเที่ยวบางคนถูกใครบางคนตะปบก้นบีบหนักๆ นางล่ะแปลกใจนัก นางเองก็ไปเดินเที่ยวอยู่ที่นั่นมาตั้งหลายรอบ เหตุใดถึงได้ไม่โดนกระทำเช่นนี้บ้าง สตรียังถามเด็กสาวว่า รู้หรือยังว่าหอหลิงจือที่ก่อนหน้านี้เพิ่งย้ายออกไป อย่าเห็นว่ามีเทพเซียนมาเยือนโรงเตี๊ยมพวกเขาเยอะ แท้จริงแล้ววุ่นวายมาก จุ๊ๆ นังปีศาจจิ้งจอกบางคนก็ช่างหน้าไม่อายจริงๆ พวกแขกที่กลับมาเยือนซ้ำอีกครั้งทำไมถึงยังกลับมา ก็ไม่ใช่เพราะว่าพวกนางเปิดเผยเนื้อหน้าอกขาวนวลในงานเลี้ยงเซียนซือ แล้วเรียกแทนตัวท่านพี่กับน้องหญิงยามอยู่บนเตียงหรืออย่างไร
เถ้าแก่หนุ่มยกกับแกล้มมาสองจานเล็ก เดินอ้อมออกจากโต๊ะคิดเงินมานั่งลงบนม้านั่งตัวยาวที่ว่างอยู่
วางถั่วเหลืองเต้าเจี้ยวและถั่วลิสงหมักน้ำส้มสายชูสองจานลงบนโต๊ะ จากนั้นก็หันไปด่าสตรีปากมากยิ้มๆ “เจ้าน่ะหุบปากไปเลย เมื่อก่อนก็ไม่รู้ว่าใครแต่งกายเลียนแบบเซียนจิ้งจอกไปเคาะประตูยามค่ำคืน แล้วยังถูกคนเขารังเกียจว่าอัปลักษณ์ด้วย”
เด็กสาวเอาหน้าแนบผิวโต๊ะ ถามเสียงเบาว่า “เถ้าแก่ นั่นคือเฉินซานชิวกับเตี๋ยจ้างหรือ?”
เถ้าแก่หนุ่มพยักหน้ารับเบาๆ หยิบถั่วลิสงเมล็ดหนึ่งใส่ปาก “ล้วนเป็นคนหนุ่มสาวที่ร้ายกาจมาก เพียงแต่ว่าจิตสังหารในใจเข้มข้นไปสักหน่อย”
ผู้เฒ่าจิบเหล้าอีกหนึ่งอึก ไม่เห็นว่าเหล้าในจอกจะลดน้อยลงแต่อย่างไร ทว่าเขากลับยังทำตัวสั่นเยือก “เฉินซานชิว มองดูแล้วไม่ว่าจะเป็นโชคแห่งกระบี่หรือโชคชะตาบุ๋นก็ล้วนมีมากทั้งสิ้น คนมีพรสวรรค์!”
“ส่วนแม่นางน้อยคนนั้น ขาดแขนไปข้างหนึ่งก็ไม่เป็นไร แค่มองก็รู้ว่านางมีดวงหนุนสามี”
“โอ้โห เถ้าแก่ เหล้านี้กินแกล้มกับถั่วเหลืองเต้าเจี้ยวของเรา รสชาติสุดยอดไปเลย”
ชายฉกรรจ์พึมพำ “สามารถดื่มเหล้าที่มีรสเหมือนเยี่ยวม้าให้เป็นเหมือนเหล้าหมักตระกูลเซียนชั้นยอดได้ ก็มีเพียงเจ้าเท่านั้นแหละ”
เถ้าแก่หนุ่มเอ่ยอย่างระอาใจ “จะดีจะชั่วก็เป็นเหล้าที่ร้านตัวเองหมักเอง ช่วยพูดให้น่าฟัง สะสมบุญให้ปากตัวเองสักหน่อยเถอะ”
เด็กสาวหยิบกลองป๋องแป๋งอันเล็กกะทัดรัดออกมาจากชายแขนเสื้อ บนผิวกลองวาดลวดลายสีสันสดใส เย็บจากหนังมังกร ด้ามทำจากไม้ท้อ ห้อยไข่มุกแก้วใสสีแดงเม็ดหนึ่ง
ผู้เฒ่าขมวดคิ้ว “ชวงฮวา เก็บลงไป”
เถ้าแก่หนุ่มยิ้มเอ่ย “ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
มองสี่คนที่อยู่ตรงหน้า เถ้าแก่หนุ่มก็เอ่ยว่า “ตลอดหลายปีมานี้ ลำบากพวกเจ้าแล้ว”
สตรีทอดถอนใจ หยิบปิ่นปักผมลักษณะคล้ายไผ่หยกชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ วางลงบนโต๊ะแล้วจับพลิกเบาๆ
ชายฉกรรจ์ฉวยโอกาสที่สตรีกำลังเหม่อลอยตบป้าบลงบนสะโพกของนาง เสียงใสดังเสนาะหู ประเด็นสำคัญคือแรงสั่นสะเทือนพั่บๆ นั่นชวนให้คนสบายตาสบายใจยิ่งนัก “ไม่ลำบากๆ อยู่ที่นี่ไม่ต้องรักษากฎเกณฑ์อะไรแม้แต่น้อย สบายมากเลยล่ะ ข้าไม่อยากกลับไปด้วยซ้ำ”
สตรียกมือตบหน้าชายฉกรรจ์เต็มแรงจนร่างชายฉกรรจ์หมุนรอบหนึ่งก่อนจะร่วงลงพื้น ชายฉกรรจ์กุมแก้มกลับมานั่งบนม้านั่งยาวก็ถูกสตรียกเท้าถีบจนร่างขยับไปอยู่สุดปลายอีกด้านของม้านั่ง
เด็กสาวนามเหนียนชวงฮวาถามเสียงเบา “เถ้าแก่ เหตุใดกุ้ยฮูหยินผู้นั้นถึงเปลี่ยนใจแล้วล่ะ? หากติดตามพวกเราไปที่นั่น นางก็จะไม่ได้มีชีวิตที่สงบสุขแล้วจริงหรือ? ถึงเวลานั้นพวกเราก็จะช่วยแนะนำนางให้ป๋ายอวี้จิง…”
เถ้าแก่หนุ่มโบกมือบอกเป็นนัยไม่ให้เด็กสาวพูดต่อ
เถ้าแก่หนุ่มมองไปนอกประตู กล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “นั่งมองแสงตะเกียงริบหรี่ในโรงเตี๊ยม ข่มตาหลับไม่ลง จิตใจเศร้าสลดไม่รู้ด้วยเหตุใด คืนก่อนปีใหม่หวนคิดถึงตนยามอยู่บ้านเกิดห่างไกล อายุเพิ่มขึ้นอีกปี ผมขาวก็เพิ่มอีกไม่น้อย”
ชายฉกรรจ์ตบโต๊ะร้องเสียงดังว่าดี ผู้เฒ่ารีบจิบเหล้า “สุดยอดเลยๆ เมาแล้วๆ”
เด็กสาวที่เอาหน้าแนบผิวโต๊ะเดือดดาลอย่างหนัก สองมือจับขอบโต๊ะเห็นแต่ศีรษะโผล่ออกมา ส่งเท้าถีบใส่ชายฉกรรจ์เต็มแรง
เถ้าแก่หนุ่มยิ้มเจิดจ้า กุมหมัดเอ่ยขอบคุณ
สตรีมองเถ้าแก่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วก็ยิ้มอย่างเข้าใจ
เถ้าแก่ที่เป็นเช่นตรงหน้านี้ หากเทียบกับรองเจ้าตำหนักยามที่อยู่บ้านเกิดแล้วน่ารักน่าใกล้ชิดกว่ากันมากนัก
เถ้าแก่หนุ่มคีบถั่วลิสงหมักน้ำสมสายชูเมล็ดหนึ่งขึ้นมาแล้วโยนกลับลงในจานเบาๆ เอ่ยเนิบช้าว่า “เขียนยันต์ท้ออักษรหวัดหน้าตะเกียง”
อีกสี่คนที่นั่งอยู่บนโต๊ะต่างก็ไม่เล่นสนุกอีก รีบขยับตัวนั่งตัวตรง
เถ้าแก่หนุ่มเอ่ยว่า “หากไม่ได้จริงๆ ข้าก็คงต้องไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่สักครั้ง ต่อให้จะตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าฉวยโอกาสที่คนอื่นยากลำบากหาประโยชน์ให้ตนเองก็ตาม ส่วนพวกเจ้าสี่คนไม่ต้องตามข้าไป ข้าคิดจะกลับบ้านเกิดก็ไม่ใช่เรื่องยากเสียหน่อย”
คนทั้งสี่ต่างก็ไม่มีความเห็นต่าง
ใต้หล้ามืดสลัว ตำหนักสุ้ยฉูมีชื่อเสียงทัดเทียมกับอารามเสวียนตู
เจ้าตำหนักเป็นคนที่คำพูดใช้ได้ผลที่สุด แต่ปิดด่านมานานหลายปีมากแล้ว
ดังนั้นคนที่ต่อสู้เก่งที่สุดก็คือเถ้าแก่หนุ่มคนเฝ้าอายุตรงหน้าผู้นี้แล้ว
เหนียนหง ฉายาต้งจ้งหลง ชื่อเดิมคือจางหยวนป๋อ
เหนียนโต้วฟาง ฉายาซานซ่างจวิน อวี๋โฉว
สตรีที่ใช้นามแฝงว่าเหนียนชุนเถียว แท้จริงแล้วเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับอวี๋โฉว เด็กสาวที่ใช้ชื่อว่าเหนียนชวงฮวา ฉายาคือเติงจู๋ คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าตำหนักสุ้ยฉู ทุกปีในคืนก่อนวันปีใหม่ตำหนักสุ้ยฉูจะมีประเพณีที่ต้องจุดแสงตะเกียงให้แสงสว่างสาดส่องฆ่าเวลา รวมไปถึงการตีกลองขับไล่ผีและโรคระบาดชั่วร้ายซึ่งสืบทอดมาจากรุ่นบรรพบุรุษ ล้วนเป็นเด็กสาวที่ได้ทำหน้าที่นี้ แน่นอนว่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานะของนาง แต่เป็นตบะที่นางสั่งสมมาได้ด้วยตัวเอง
หากพูดถึงแค่ลำดับอาวุโสและขอบเขต ไม่พูดถึงจำนวนคน ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าครึ่งหนึ่งของตำหนักสุ้ยฉูล้วนมาอยู่ในโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยเล็กๆ แห่งนี้หมดแล้ว
เพียงแต่ว่านอกจากเถ้าแก่หนุ่มแล้ว คนทั้งสี่ที่เดินทางไกลมาถึงที่นี่ไม่ได้เอาวิญญาณมาอย่างครบถ้วน อีกทั้งร่างจริง จิตหยางล้วนยังอยู่ที่ตำหนักสุ้ยฉู การใช้จิตหยินเดินทางไกลของพวกเขาในครั้งนี้เรียกว่าไกลมากจริงๆ
เรือข้ามทวีปมาจอดเทียบท่าที่ภูเขาห้อยหัว เฉินซานชิวกับเตี๋ยจ้างก็ออกจากโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยขึ้นเรือไป
ชื่อเรือว่าหยกปะการังนี้ โดยเฉพาะคำว่าหยกนั้น (โดยปกติแล้วหยกในภาษาจีนจะใช้คำว่า 玉 แต่ในชื่อนี้ใช้คำว่า 玦ซึ่งหมายถึงหยกพกประดับกายในสมัยโบราณเป็นรูปวงแหวน) ทำให้เฉินซานชิวต้องยื่นมือมากุมราวระเบียงไว้แน่น
ตนอ่านตำราเบ็ดเตล็ดมามากเกินไป ขอบเขตต่ำเกินไป เวทกระบี่แย่เกินไป
‘ม้าควบม้าถึง หยกพกปรากฏ ประคองกล่องคุกเข่า สะท้านไปทั้งกาย เชือกคลายกล่องเปิด แวววาวละลานตา’
เฉินซานชิวยิ้มเศร้า เตรียมจะหยิบกาเหล้าตรงเอวขึ้นมาถึงนึกขึ้นได้ว่าตนเลิกดื่มสุราแล้ว แม้จะจากบ้านเกิดมาก็ยังไม่พกสุรามาด้วย
เตี๋ยจ้างไม่รู้ว่าควรจะปลอบใจเฉินซานชิวอย่างไร
เมื่อก่อนนางอยู่คนเดียวไร้ญาติขาดมิตร เป็นแค่เด็กสาวแขนเดียวที่ไร้ห่วงให้พะวงหลัง แต่อันที่จริงบางครั้งก็อดอิจฉาความคึกคักของจวนตระกูลเฉินบนถนนไท่เซี่ยงไม่ได้ แต่วันนี้ไม่รู้แล้วว่าใครควรอิจฉาใครกันแน่
เฉินซานชิวที่อยู่ข้างกาย แล้วก็คิดไปถึงพี่หญิงหนิง เจ้าอ้วนเยี่ยน ต่งถ่านดำ และยังมีแม่นางน้อยกวอจู๋จิ่ว ลูกค้าแต่ละคนที่มาแขวนป้ายสงบสุขไว้บนผนังร้านเหล้าของตน…
สตรีที่ต่อให้ถูกตัดแขนขาดไปข้างหนึ่งก็ยังไม่เคยหลั่งน้ำตา เวลานี้นางกลับยกแขนที่เหลือเพียงข้างเดียวขึ้นมาบดบังดวงตาของตน
……
กลุ่มผู้ฝึกกระบี่ที่มีเฉิงเฉวียนเป็นผู้นำสะพายกล่องกระบี่ใบหนึ่งที่ใช้ผ้าฝ้ายห่อเอาไว้อย่างแน่นหนา ผู้เฒ่านำพาคนหนุ่มสาวสิบกว่าคนมาที่ภูเขาห้อยหัว
ในบรรดานั้นก็มีเยี่ยนจั๋ว ต่งฮว่าฝูที่ต่างก็อยู่คอขวดขอบเขตโอสถทอง
ไปเจอกับเจินเหรินผู้เฒ่าที่ในมือถือแส้ปัดฝุ่นซึ่งหลอมขึ้นจากหนวดมังกร เฉิงเฉวียนมอบจดหมายลับฉบับหนึ่งที่อริยะลัทธิเต๋าเขียนขึ้นด้วยมือของตัวเอง และยังมี ‘จดหมายทางบ้าน’ ที่ร่ายตราผนึกไว้หลายชั้นอีกฉบับหนึ่ง หวังว่าเทียนจวินใหญ่จะนำมันกลับไปยังใต้หล้ามืดสลัวในอนาคต
เจินเหรินผู้เฒ่าชำเลืองมองผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง เด็กหนุ่มหยิบด้ามไม้ของพัดหางกวางออกมา เจินเหรินผู้เฒ่าก็ทอดถอนใจหนึ่งที “เจ้าเก็บเอาไว้เองเถอะ มันควรเป็นโชควาสนาของเจ้า”
ภายใต้การนำพาของเจินเหรินผู้เฒ่า คนทั้งกลุ่มก็เดินขึ้นไปบนภูเขาเดียวดายที่ตั้งอยู่ใจกลางภูเขาห้อยหัว แล้วเข้าไปพักอยู่ยังจวนกึ่งกลางภูเขาที่ผู้เฒ่าจัดหาไว้ให้ด้วยตัวเอง เฉิงเฉวียนมาหาเยี่ยนจั๋ว มอบวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งที่ถูกอริยะลัทธิเต๋าร่ายเวทอำพรางตาให้แก่เขา บอกว่าวัตถุชิ้นนี้อิ่นกวานหนุ่มบอกให้อาเหลียงนำไปมอบให้แก่อริยะลัทธิเต๋าก่อน แล้วค่อยให้อริยะลัทธิเต๋าส่งมอบต่อมาให้เจ้า วันหน้าเมื่อไปถึงใต้หล้ามืดสลัวสามารถพกของสิ่งนี้ไปเยือนอารามเสวียนตูใหญ่ของที่แห่งนั้นได้
เฉิงเฉวียนเอ่ย “เฉินผิงอันบอกว่าการที่เขาทำเรื่องให้ยุ่งยากเช่นนี้ย่อมต้องมีเหตุผลของเขา”
เยี่ยนจั๋วพยักหน้ารับ เก็บวัตถุจื่อชื่อชิ้นนั้นไป
สีหน้าของเยี่ยนจั๋วเฉยชา ต่งฮวาฝูเองก็นั่งเงียบๆ อยู่ด้านข้าง
เฉิงเฉวียนมองคนหนุ่มสองคน พูดประโยคเดียวว่า ต่อให้ชีวิตจะยากลำบากแค่ไหน ก็ต้องอดทนผ่านมันไปให้ได้
นอกเรือนหลังเล็ก ต้นสนโบราณกลางเขาเป็นสีขาวโพลนดุจหิมะ
——