กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 687.2 พจนะจากตำราโบราณ
ผู้ดูแลเรือข้ามฟากคือผู้เฒ่าแซ่ซูคนหนึ่ง เขาเอาห้องชั้นดีสองห้องออกมารับรองแขกผู้มีเกียรติทั้งสองท่านนี้โดยเฉพาะ ผลคือพอเด็กสาวแซ่เผยคนนั้นถามราคา ให้ตายก็ไม่ยอมรับเอาไว้ บอกว่าเปลี่ยนเป็นห้องธรรมดาของเรือก็พอแล้ว ยังถามผู้ดูแลเฒ่าด้วยว่าการที่เปลี่ยนห้องกะทันหันจะยุ่งยากหรือไม่ ไม่เพียงแต่ห้องชั้นดีว่างลง ยังเดือดร้อนให้ทางเรือข้ามฟากต้องเสียห้องธรรมดาไปอีกสองห้อง
ผู้ดูแลเฒ่าเป็นคนที่ทำการค้ามาจนคุ้นชิน ฝึกฝนจนตัวเองมีดวงตาทิพย์คู่หนึ่งมานานแล้ว เห็นว่าความจริงใจของนางหาได้ทำไปตามมารยาทไม่ ก็บอกไปตามตรงว่าเซียนซือบนภูเขาที่มาทำการค้ายังแจกันสมบัติทวีป เส้นทางยาวไกล ขอแค่มีห้องดีๆ ให้เข้าพัก ทุกคนล้วนไม่ขาดเงินเทพเซียนน้อยนิดแค่นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกลูกหลานตระกูลเซียนที่อยู่แถวเมืองหลวงต้าหลี ทุกวันนี้ล้วนชอบไปท่องเที่ยวที่อุตรกุรุทวีป แต่ละคนมือเติบใจกว้างไม่แพ้กัน ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าห้องราคาแพงจะไม่มีคนเข้าพัก แต่เงินประเภทนี้ ทางสำนักพีหมาไม่ค่อยสนใจจริงๆ ว่าจะได้กำไรหรือไม่ได้
จากนั้นเด็กสาวก็เอ่ยเพิ่มเติมมาอีกประโยคหนึ่งว่า ความหวังดีของผู้อาวุโสข้ารับเอาไว้แล้ว เพียงแต่ว่าราคานี้ต่างกันมากเกินไป หากพวกเขาเอาห้องชั้นดีสองห้องมา ทำให้สำนักพีหมาขาดเงินร้อนน้อยไปตั้งสองเหรียญ นางออกจากบ้านมาเผชิญความยากลำบาก ไม่ได้มาเสวยสุข หากอาจารย์พ่อรู้เข้าต้องโดนลงโทษแน่นอน ดังนั้นตามเหตุตามผลแล้วก็ควรจะต้องย้ายห้อง
ผู้เฒ่าจึงยิ้มพลางมอบแผ่นป้าย ‘ร้อนน้อย’ ให้เด็กสาวหนึ่งแผ่น บอกว่าอาศัยแผ่นป้ายนี้สามารถซื้อของที่มีราคาหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยจากร้านซวีเฮิ่นร้านค้าตระกูลเซียนบนเรือได้หนึ่งชิ้น
ผู้เฒ่าไม่เปิดโอกาสให้เผยเฉียนปฏิเสธ อาศัยความเป็นผู้อาวุโสของตัวเองบอกว่าหากไม่รับไว้เขาจะเสียใจมาก เด็กสาวจึงเอ่ยประโยคหนึ่งว่าผู้ใหญ่มอบของให้ย่อมมิกล้าปฏิเสธ ใช้สองมือรับป้ายไม้มา แล้วค้อมเอวขอบคุณก่อกำเนิดผู้เฒ่าที่ลำดับอาวุโสไม่ต่ำในสำนักพีหมาท่านนี้
ผู้ดูแลเรือแซ่ซู มีชื่อพยางค์เดียวคือซี เป็นก่อกำเนิดผู้เฒ่าท่านหนึ่งของสำนักพีหมา เถ้าแก่ร้านซวีเฮิ่นแซ่หวง ชื่อเสินโหยว ทั้งสองฝ่ายเป็นสหายเก่าแก่ที่เป็นเพื่อนบ้านกันมาเกือบสามร้อยปี
อันที่จริงตอนที่เผยเฉียนกับหลี่ไหวขึ้นเรือมาได้ไม่นาน สหายรักทั้งสองที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำก็พูดคุยกันเรื่องเด็กสองคนนั้น ก่อกำเนิดผู้เฒ่าบอกว่าเมื่อเทียบกับเฉินหลิงจวินที่มาก่อนหน้านี้ เด็กสาวอายุไม่มาก แต่กลับแก่ประสบการณ์กว่ามาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าแผ่นไม้ของเรือข้ามฟากที่มีมูลค่าหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย เผยเฉียนจะเอาไปใช้อย่างไร
เถ้าแก่หวงอารมณ์ดียิ่งนัก ผู้โดยสารที่ขึ้นเรือมาแล้วยังได้เงินร้อนน้อยจากทางเรือข้ามฟากไปหนึ่งเหรียญ ประเด็นสำคัญยังได้มิตรภาพไปด้วย มีให้พบเห็นไม่บ่อยนัก จึงช่วยพูดดีๆ ถึงเฉินหลิงจวินสองสามคำ เขารู้สึกว่าเจ้าเด็กนั่นก็ไม่เลว หากปรับตัวได้แล้ว แล้วไปคุยกับเจ้าเด็กนั่นอีกครั้ง ต้องสนุกมากแน่ๆ
นอกจากพูดคุยกันแล้ว เถ้าแก่หวงยังมีคำถามที่เป็นการเป็นงานอยู่ข้อหนึ่ง เขาถามสหายเฒ่าว่าภูเขาลั่วพั่วแห่งนั้นดูแคลนการค้าเล็กๆ ของตนใช่หรือไม่ ไม่อย่างนั้นเหตุใดพอตนบอกว่าจะไปเปิดร้านที่ภูเขาหนิวเจี่ยว ทั้งๆ ที่ภูเขาลั่วพั่วยังมีร้านว่างตั้งหลายร้าน แต่กลับบอกว่าเรื่องนี้ไว้ค่อยพูดกันทีหลัง เพียงแค่รับคำแต่ปาก บอกแค่ว่าจะต้องเก็บร้านที่ทำเลดีที่สุดไว้ให้ตนร้านหนึ่งอย่างแน่นอน? ผู้ดูแลซูจึงยิ้มเอ่ยปลอบใจสหาย บอกว่าจูเหลี่ยนที่ทำหน้าที่รับผิดชอบงานหลักสำคัญต่างๆ ยามที่เจ้าขุนเขาหนุ่มไม่อยู่ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การที่เขาไม่ให้ร้านซวีเฮิ่นไปเปิดร้านที่ภูเขาหนิวเจี่ยวทันที แสดงว่าต้องมีการคิดพิจารณาเป็นของพวกเขาเอง แต่ต้องไม่ใช่เพราะดูแคลนเจ้าเถ้าแก่หวงและร้านซวีเฮิ่นแน่นอน การอบรมสั่งสอนแค่นี้ภูเขาลั่วพั่วยังมีอยู่บ้าง พวกเขาไม่ใช่คนที่ประจบสอพลอผู้มีอิทธิพลแน่ๆ จูเหลี่ยนผู้นั้นไม่ว่าจะรับรองดูแลใครก็ล้วนรอบคอบรัดกุม ยิ่งไม่ใช่คนวิสัยทัศน์คับแคบที่ความรู้ตื้นเขิน
สหายพูดถึงขนาดนี้แล้ว อันที่จริงเขาเองก็เข้าใจเหตุผล แต่การที่ถูกปฏิเสธก็ยังทำให้ในใจของเถ้าแก่หวงอดรู้สึกอัดอั้นไม่ได้ เอ่ยแค่ว่าทุกวันนี้ภูเขาลั่วพั่วกับเฉินผิงอันที่พวกเรารู้จักในครานั้น กิจการของพวกเขายิ่งนานก็ยิ่งรุ่งโรจน์ขยายใหญ่ คนหนุ่มนั่นยังไม่ชอบอยู่ภูเขาบ้านตัวเองนานๆ วันหน้าจะเป็นอย่างไร จะกลายเป็นภูเขาตระกูลเซียนที่พอร่ำรวยในฉับพลันก็ลืมความสัมพันธ์ในวันวานหรือไม่ ก็ยังบอกได้ยาก
จากสวนน้ำค้างวสันต์ของอุตรกุรุทวีปไปจนถึงนครมังกรเฒ่าของแจกันสมบัติทวีป บนเส้นทางที่มีเงินทองไหลมาเทมาอย่างที่มองไม่เห็นสายนี้ นอกจากสี่ฝ่ายที่กลายเป็นพันธมิตรเร็วที่สุดก่อนใครอย่างสำนักพีหมา สวนน้ำค้างวสันต์ ภูเขาพีอวิ๋นและภูเขาลั่วพั่วแล้ว ก็เริ่มค่อยๆ มีตระกูลฟ่านตระกูลซุนแห่งนครมังกรเฒ่ามาเข้าร่วมด้วย นอกจากนี้ยังมีคนหนุ่มอีกคนหนึ่งที่ชื่อว่าต่งสุ่ยจิง จากนั้นลูกหลานเมล็ดพันธ์แม่ทัพของแซ่สกุลเสาค้ำยันแคว้นสามท่านของต้าหลีอย่างกวนอวี้หรานที่เป็นหนึ่งในขุนนางผู้ตรวจการงานสร้างลำน้ำใหญ่ ผู้ตรวจการเฉาแห่งเขตการปกครองหลงโจวต้าหลี เจ้าเมืองหยวน ทุกวันนี้ก็เริ่มทำการค้าบนภูเขาซึ่งได้ครอบครองส่วนแบ่งที่เล็กมากๆ ในนามของพวกเขากันแล้ว
ในความเป็นจริงแล้วเดิมทีภูเขาพีอวิ๋นสามารถได้รับผลกำไรมากกว่านี้ เพียงแต่ว่าซานจวินใหญ่เว่ยแบ่งมันให้กับภูเขาลั่วพั่ว
เถ้าแก่หวงก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะหาเงินจากภูเขาหนิวเจี่ยวได้มากมายสักเท่าไร ที่มากกว่านั้นเป็นเพราะเขาเชื่อใจในนิสัยใจคอของคนหนุ่ม จึงยินดีเป็นฝ่ายผูกบุญสัมพันธ์กับภูเขาลั่วพั่วที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน ผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปมีกลิ่นอายของยุทธภพเข้มข้น เป็นพวกรักศักดิ์ศรีหน้าตา หลายปีที่ผ่านมานี้เถ้าแก่หวงเองก็คุยโวกับสหายจากแต่ละฝ่ายเอาไว้ไม่น้อย บอกว่าตัวเองมีสายตาที่ฉลาดหลักแหลม ตลอดทั้งอุตรกุรุทวีปก็เป็นเขาคนแรกที่มองออกว่าเจ้าขุนเขาหนุ่มไม่ใช่คนธรรมดา ในเรื่องนี้ขนาดเจ้าสำนักจู๋เฉวียนยังสู้ตนไม่ได้ ดังนั้นยิ่งเป็นเช่นนี้ เถ้าแก่ผู้เฒ่าก็ยิ่งผิดหวัง เงินเทพเซียนที่เกิดมาไม่ได้เอามาด้วย ตายไปก็เอาไปด้วยไม่ได้ล้วนเป็นเหมือนแขกที่เดินผ่านถุงเงินของคนที่ให้ยืมที่พักอาศัยเท่านั้น สำหรับโอสถทองที่ไร้ความหวังบนมหามรรคาคนหนึ่งแล้ว จะได้เงินมาสักกี่มากน้อยล้วนเป็นเรื่องเล็กแล้ว จะมีเรื่องอะไรใหญ่ไปกว่าการที่จะสามารถขอเหล้าคนอื่นดื่ม คุยโวให้คนอื่นฟังอีกหรือ? ไม่มีหรอก
วันนี้สหายทั้งสองมาดื่มเหล้าด้วยกันอีกครั้ง สาวใหญ่คนหนึ่งที่ดูแลเรื่องกิจธุระด้านการทำการค้าของร้านซวีเฮิ่นมาพูดคุยกับผู้เฒ่าทั้งสอง ซูซีฟังจบก็ยิ้มเอ่ยสัพยอกว่า “เด็กสองคนนั้นล้วนเก็บเอาของผุพังไปหรือ? พวกเจ้าก็ไม่ห้าม? ร้านซวีเฮิ่นหาเงินอย่างใจดำเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? โชคดีที่ข้าให้ไปแค่แผ่นไม้เงินร้อนน้อยเหรียญเดียว ไม่อย่างนั้นผ่านเรื่องครั้งนี้ วันหน้าร้านซวีเฮิ่นของพวกเจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้ไปเปิดร้านอยู่บนภูเขาลั่วพั่วอีกเลยจริงๆ”
เถ้าแก่หวงกล่าวอย่างจนใจ “ก็ไม่ใช่เพราะข้ากลัวว่าจะเกิดปัญหาแทรกซ้อนถึงได้ไม่พูดเรื่องนี้กับหลิงเจี่ยวหรือไงล่ะ หลักๆ แล้วก็เป็นเพราะในร้านเพิ่งจะทำการเก็บกวาดคลังในรอบหกสิบปีไป เลยเจอของเก่าเก็บกองใหญ่ หลายชิ้นอันที่จริงล้วนเป็นบัญชีเลอะเลือนทั้งนั้น เป็นเพราะสหายเก่าแก่หาเงินมาคืนไม่ได้ก็เลยใช้ของจ่ายหนี้แทน วัตถุหลายชิ้นมีมูลค่าแค่ห้าสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้น แต่ร้านซวีเฮิ่นก็ถือว่ารับเอาเงินร้อนน้อยมาหนึ่งเหรียญ”
สตรีโตเต็มวัยผู้ดูแลร้านซวีเฮิ่นที่เถ้าแก่เรียกชื่อเล่นว่า ‘หลิงเจี่ยว’ ผู้นั้นพลันเข้าใจถึงความหนักเบาผลได้ผลเสียของเรื่องในครานี้ทันที นางมีวิธีที่จะแก้ไขแล้ว ขณะที่กำลังจะเปิดปากพูด ผู้เฒ่าซูที่มีชื่อเสียงคุณธรรมสูงส่งกลับยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ต้องจงใจทำอะไรหรอก แบบนี้ก็ดีมากไม่ใช่หรือ วันหน้าเจ้าก็ให้เถ้าแก่หวงของพวกเจ้าใช้สถานะของผู้อาวุโสที่เรียกตัวเองว่าเป็นสหายต่างวัยของเฉินผิงอันมอบของชิ้นเล็กๆ น่ารักที่มีมูลค่าเท่าเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญไปให้พวกเขา ไม่อย่างนั้นแม่นางน้อยที่ชื่อเผยเฉียนคนนั้นต้องไม่มีทางรับไว้แน่นอน”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าก็ถามชวนคุยกับหลิงเจี่ยวว่า “ซื้อของผุพังไปกองใหญ่ มีโอกาสจะเก็บตกของดีได้บ้างหรือไม่?”
สตรีโตเต็มวัยส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ร้านของพวกเราเพิ่งรับลูกจ้างคนหนึ่งมาใหม่ ยามที่ต้องหาเงินก็เรียกได้ว่าไม่ไว้หน้าใคร ไม่ว่าอะไรก็กล้าขาย ไม่ว่าราคาไหนก็กล้าเปิด อาจารย์ที่คอยตรวจดูสินค้าหลายคนในร้านพวกเราล้วนมีแววตาไม่แย่ เด็กสองคนนั้นยังเลือกจากกลุ่มของที่มีราคาถูกที่สุดอีกด้วย คาดว่าของที่ซื้อไปคราวนี้ รอให้ลงจากเรือของพวกเรา เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ คิดจะเอาทุนคืนสักสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะก็ยังยาก ถึงเวลานั้นกลัวก็แต่ร้านชวีเฮิ่นของพวกเราจะถูกด่าว่าเป็นร้านเถื่อนเอาได้”
เถ้าแก่หวงมีสีหน้าปั้นยาก
สตรียิ้มหวาน นางรู้ถึงความสัมพันธ์ของผู้เฒ่าทั้งสองดี แล้วก็ไม่กลัวว่าจะเป็นการเปิดเผยความลับสวรรค์ “ลูกจ้างใหม่คนนั้นยังถูกเถ้าแก่หวงของพวกเราขนานนามว่าเป็นต้นกล้าที่ดีต้นหนึ่งด้วย ยังบอกให้ข้าอบรมปลูกฝังเขาให้ดีๆ”
ที่แท้วันนี้เผยเฉียนก็ทำตัวเองให้กระปรี้กระเปร่า ในมือถือแผ่นป้ายร้อนน้อยแผ่นนั้นพาหลี่ไหวไปที่ร้านซวีเฮิ่นมารอบหนึ่ง หลี่ไหวก็ยิ่งตื่นเต้นอารมณ์ดี บอกว่าบังเอิญยิ่งนัก เปิดปฏิทินเหลืองเจอว่าวันนี้เหมาะแก่การซื้อขาย ให้ข้าทำเอง ให้ข้าทำเอง!
คนทั้งสองไปดูกระบี่อาคมคู่ที่อาจารย์พ่อเคยเล่าให้ฟังกันก่อน ดูเป็นบุญตาให้เต็มอิ่ม เพราะถึงอย่างไรก็ซื้อ ‘อวี่ลั่ว’ กับ ‘เติงหมิง’ คู่นั้นไม่ไหวอยู่ดี นี่คือกระบี่เซียนสองเล่มที่คู่รักเซียนยุคบรรพกาลทิ้งเอาไว้ ถูกทำลายจนเสียหายอย่างหนัก คิดจะซ่อมแซมให้กลับมาดีเหมือนใหม่ต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรมากเกินไป ไม่คุ้มค่า ตอนที่อาจารย์พ่อนั่งโดยสารเรือข้ามฟาก พวกมันก็เป็นหนึ่งในสมบัติพิทักษ์ร้านแล้ว และตอนนี้ก็ยังขายไม่ออกอยู่เหมือนเดิม
วันนี้ที่ร้านซวีเฮิ่นมีของมากเป็นพิเศษ ทำเอาเผยเฉียนดูจนตาลาย เพียงแต่ว่าราคาล้วนไม่ถูก อยู่บนเรือข้ามฟากของตระกูลเซียน เงินไม่ใช่เงินจริงดังว่า
หลี่ไหวพูดจาน่าเชื่อถือว่าตัวเองจะซื้อแค่ของถูกเท่านั้น เผยเฉียนที่เดิมทียังลังเลอยู่บ้างจึงมอบแผ่นไม้แผ่นนั้นให้หลี่ไหวไปเสียเลย ให้เขาไปลองเสี่ยงดวงดู
หลี่ไหวยกสองมือขึ้นพนม ชูสูงเหนือหัว จากนั้นก็ถูมือเข้าด้วยกันอย่างแรง พึมพำว่าฟ้าศักดิ์สิทธิ์ดินศักดิ์สิทธิ์ วันนี้เทพแห่งโชคลาภโปรดมาเป็นแขกที่บ้านของข้า…
เผยเฉียนจึงค่อนข้างจะวางใจ
ที่ล้างพู่กันกระเบื้องลายครามชิ้นหนึ่งรูปเซียนนั่งบนแพไม้ไผ่ ราคาสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ
มองดูแล้วมีกลิ่นอายเซียนอย่างยิ่ง ฝีมือการเผาเครื่องปั้นชิ้นนี้ แค่มองก็รู้ว่าเข้าขั้นช่ำชอง ไม่แย่แน่ บ้านเกิดของข้าหลี่ไหวอยู่ที่ใด? มีหรือจะมองไม่ออกถึงความดีเลวของเครื่องปั้น? หางตาหลี่ไหวเหลือบไปเห็นเผยเฉียนกำลังหัวเราะหยัน กังวลว่านางจะรู้สึกว่าตัวเองจ่ายเงินอย่างไร้ประโยชน์ จึงใช้นิ้วมือเคาะเบาๆ เสียงติ้งๆๆ ดังกังวานใสเสนาะหู ทั้งมองทั้งเคาะทั้งฟัง ใช้ครบทั้งตานิ้วหู จึงพยักหน้าถี่ๆ แสดงให้รู้ว่าของชิ้นนี้ไม่เลวๆ ลูกจ้างหนุ่มที่อยู่ด้านข้างก็พยักหน้าเบาๆ เช่นกัน แสดงให้รู้ว่าคนซื้ออย่างท่าน รูปโฉมไม่เท่าไร แต่แววตากลับไม่เลวๆ
ม้วนภาพเก่าแก่เปื่อยผุชิ้นหนึ่ง พอคลี่ออกมาเป็นภาพจิ้งจอกกราบไหว้ดวงจันทร์ ห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ของที่ราคาถูกขนาดนี้มาอยู่ในร้านซวีเฮิ่น พบเห็นได้ไม่มากหรอกนะ!
ลูกจ้างหนุ่มที่อยู่ด้านหลังทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง หากไม่ผิดไปจากที่คาด ลูกค้าน่าจะเก็บตกของดีไปได้อีกแล้ว ดูสิม้วนภาพนี้ถูกฝุ่นเกาะมานาน แม้ว่าปราณวิญญาณจะไม่เหลือแม้แต่น้อย แต่แค่ดูจากฝีมือการวาด พู่กันแต่ละขีดแต่ละเส้นล้วนลงลายเส้นได้อย่างชัดเจน ชัดเจนจนมองเห็นขนเป็นเส้นๆ ของจิ้งจอกตัวนั้น แค่นี้ก็มีค่าพอกับเงินเกล็ดหิมะห้าเหรียญแล้ว
กล่องเก็บอุปกรณ์ในห้องหนังสือไม้จื่อถานฝั่งเลื่อมด้ายเงินทอง แถมสิงโตสามสีตัวจิ๋วให้อีกคู่หนึ่ง เงินเกล็ดหิมะสิบห้าเหรียญ เผยเฉียนรู้สึกว่าการค้าครั้งนี้ไม่ขาดทุนอย่างที่หาได้ยาก กล่องเก็บอุปกรณ์ที่ว่านี้คล้ายคลึงกับกล่องมากสมบัติ พอเปิดออกก็จะเห็นเป็นช่องน้อยใหญ่ ชนะในด้านปริมาณ สำหรับวัตถุประเภทนี้ แต่ไหนแต่ไรมาเผยเฉียนก็มักจะถูกชะตาด้วยเสมอ
ยันต์กระดาษเหลืองปึกหนึ่งที่ใช้ด้ายสีแดงสองเส้นผูกไว้อย่างแน่นหนา แล้วยังผูกเป็นปมทับอีกที สูงหนึ่งฉื่อ จำนวนของแผ่นยันต์เยอะมาก พับเก็บไว้มานานหลายปี จึงเกิดรอยนูนรอยเว้าไม่ราบเรียบ มีเพียงแผ่นแรกกับแผ่นท้ายเท่านั้นที่สามารถมองเห็นรูปวาดและระดับขั้นของยันต์ ตามคำกล่าวของลูกจ้างร้านซวีเฮิ่น ขอแค่กระดาษยันต์ร้อยกว่าแผ่นด้านใน มีสักครึ่งหนึ่งที่มีระดับขั้นเหมือนยันต์สองแผ่นนี้ก็ถือว่าได้กำไรไม่ขาดทุนแล้ว นี่ยังเป็นเพราะในอดีตมีผู้โดยสารที่ตกอับคนหนึ่งในกระเป๋าฟีบแบน เลยจำต้องขายราคาถูกให้กับเรือข้ามฟาก นัดหมายไว้แล้วว่าภายในหนึ่งร้อยปีจะต้องมาไถ่กลับไป ผลคือนี่ผ่านมานานตั้งกี่ปีแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่นานร้านซวีเฮิ่นทำการเก็บกวาดคลัง ยันต์พวกนี้ถึงได้กลับมาเห็นแสงตะวันอีกครั้ง ตามราคาที่อาจารย์ผู้ตรวจสอบของประเมินไว้ ลำพังเพียงแค่ด้ายแดงที่ไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุแบบใด ลำพังเพียงแค่ความเหนียวทนทานของมัน จะดีจะชั่วก็มีค่าเท่าเงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญแล้ว
สุดท้ายร้านซวีเฮิ่นตั้งราคาไว้ที่สามสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ แต่ถูกหลี่ไหวที่คิดว่าตัวเองใช้มาดของคนที่สังหารผู้อื่นโดยไม่กะพริบตาหั่นราคาเหลือยี่สิบเก้าเหรียญ รู้สึกประสบผลสำเร็จอย่างยิ่ง
เผยเฉียนที่อยู่ด้านข้างหลี่ไหวทำเพียงมองดูดายอยู่ตลอดเวลา มองหลี่ไหวที่ถือประคองยันต์ปึกใหญ่ด้วยท่าทางดีใจอย่างมาก กับลูกจ้างร้านซวีเฮิ่นที่ขายยันต์แล้วจะได้ส่วนแบ่งหนึ่งส่วนจึงดีใจยิ่งกว่า
หลี่ไหวเอามือเกี่ยวด้ายแดงที่ผูกยันต์ปึกใหญ่หนาหนักหิ้วไว้ในมือง่ายๆ หันมาพูดขอความชอบจากเผยเฉียนเบาๆ “แค่ฟังก็รู้แล้วว่าต้องมีเรื่องราว ได้กำไรแล้วๆ”
เผยเฉียนเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เรื่องราว? พวกชาวบ้านที่ขายยาหนังสุนัขก็มีเรื่องราวจากบรรพบุรุษให้เล่าหลายเรื่องเหมือนกัน! หากเจ้าอยากฟัง ข้าจะแต่งให้เจ้าฟังสักแปดเรื่องสิบเรื่องเดี๋ยวนี้เลย”
หลี่ไหวมีสีหน้าอึ้งตะลึง
เผยเฉียนลากหลี่ไหวออกไปด้านข้าง “หลี่ไหว สรุปว่าเจ้าใช้ได้หรือไม่? อย่าซื้อมั่วสิ เงินร้อนน้อยตั้งหนึ่งเหรียญ เหลืออีกแค่ไม่กี่เหรียญเงินเกล็ดหิมะแล้ว ข้าเคยได้ยินอาจารย์พ่อเล่าให้ฟังว่า วัตถุบนภูเขาที่ซื้อมาจากทางทิศใต้หลายอย่างพอไปอยู่ที่ทางเหนือของลำน้ำใหญ่อุตรกุรุทวีป หากโชคดีหน่อย หาคนที่จะขายให้ได้ถูกคน ก็มีโอกาสที่ราคาจะเพิ่มเป็นเท่าตัวเชียวนะ”
หลี่ไหวตะลึงงัน ในใจคิดว่าข้าก็ไม่ได้ซื้อมั่วเลยสักชิ้นนะ
แต่ไหนแต่ไรเขาก็เลือกของที่ตัวเองถูกชะตา ไม่เคยถามราคา สรุปก็คือหากซื้อไหวก็ซื้อ ซื้อไม่ไหวก็ช่าง พอได้มาแล้วก็ไม่เคยคิดจะเอาออกไปขายต่อแลกเงินมาเสียหน่อย
หลี่ไหวรู้สึกร้อนตัวเล็กน้อย ก่อนจะตบอกเอ่ยรับรองว่า “ต่อจากนี้ข้าจะต้องตั้งใจเลือกให้ละเอียดกว่านี้แน่!”
ทำเอาเผยเฉียนโมโหจนตบป้าบเข้าที่หัวของหลี่ไหว “หรือว่าก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยตั้งใจดูให้ละเอียดเลย?!”
หลี่ไหวหน้าม่อยคอตก “ถ้าอย่างนั้นพวกเราเอาของพวกนี้คืนให้ร้านซวีเฮิ่นดีไหม?”
เผยเฉียนเป็นคนที่ขึ้นชื่อเรื่องความขี้เหนียว ใจแคบ เจ้าคิดเจ้าแค้น หากขาดทุนจริงๆ เขาหลี่ไหวคงแบกรับไม่ไหวเป็นแน่ ดังนั้นหลี่ไหวจึงบอกว่าไม่อย่างนั้นวันนี้ก็พอแค่นี้ดีไหม คิดไม่ถึงว่าเผยเฉียนจะเอ่ยอย่างเดือดดาล เจ้าโง่หรือไง วันนี้พวกเรามาทำการค้าที่ร้านซวีเฮิ่นเพราะอาศัยแววตาของตัวเอง อาศัยความสามารถที่แท้จริงมาหาเงิน หากซื้อมาแล้วขาดทุน ถ้าร้านซวีเฮิ่นไม่รู้สถานะภูเขาลั่วพั่วของพวกเราก็แล้วไปเถอะ แต่หากรู้แล้ว คราวหน้ามาซื้อใหม่ใช้เงินเกล็ดหิมะที่เหลืออยู่ เชื่อหรือไม่ว่าถึงเวลานั้นพวกเราต้องได้กำไรอย่างแน่นอน? พวกเราได้เงินเกล็ดหิมะบ้าบอนี่แค่ไม่กี่สิบเหรียญ แต่กลับต้องสูญเสียเงินควันธูปส่วนหนึ่งของอาจารย์พ่อข้ากับภูเขาลั่วพั่วไป เจ้าหลี่ไหวก็ลองช่างน้ำหนักดูเอาเองเถอะ
ดังนั้นเผยเฉียนจึงกดหัวหลี่ไหว บอกให้เขาใช้เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญนั้นให้หมด
——