กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 689.2 พบเจอในยุทธภพทักทายว่าลำบาก
ศาลเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูที่ระดับขั้นสูงที่สุดในต้าหลี ภูเขาฉีตุนสถานที่ที่มังกรลุกผงาดของเว่ยซานจวิน ล้วนสามารถไปท่องเที่ยวได้รอบหนึ่ง แล้วนับประสาอะไรกับที่สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว ระยะทางขุนเขาสายน้ำน้อยนิดแค่นี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องยากลำบากอะไรเลย
เนื่องจากน้ำและดินของแม่น้ำเถี่ยฝูดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด ต่อให้เป็นช่วงฤดูหนาวที่อากาศหนาวเหน็บ ทั้งสองฝากฝั่งก็ยังคงมีสายลมพัดมีแสงอาทิตย์อบอุ่น บุปผาหลากหลายสายพันธ์พากันเบ่งบาน ทัศนียภาพชวนให้คนสบายตาสบายใจยิ่ง
นี่จึงเป็นเหตุให้มีผู้คนมาท่องเที่ยวกันไม่ขาดสาย นักแสวงบุญที่มาจุดธูปขอพรหรือไม่ก็มาแก้บนที่ศาลเทพวารีจึงมีมาอย่างต่อเนื่อง
บวกกับที่เขตการปกครองหลงเฉวียนได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งไปแล้ว อีกทั้งยังมีภูเขาหนิวเจี่ยวท่าเรือตระกูลเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูเขาพีอวิ๋นที่จัดงานเลี้ยงท่องราตรีติดต่อกันหลายครั้ง สิบกว่าปีมานี้จึงมีตระกูลเซียนบนภูเขาแวะเวียนมาเยือนไม่ขาดระยะ ดังนั้นชาวบ้านและคนตระกูลร่ำรวยที่มาจุดธูปกราบไหว้ที่นี่จึงไม่ค่อยรู้สึกสนใจเทพธิดาจากตำหนักฉางชุนกลุ่มนี้สักเท่าไร มีเพียงเด็กน้อยที่ชี้ไม้ชี้มือโหวกเหวกเรียกว่าเทพธิดา พี่สาวเทพธิดา พวกผู้อาวุโสในตระกูลพยายามห้ามปราม ด้วยกังวลว่าจะไปทำให้เทพเซียนหญิงที่ฝึกตนบนภูเขากลุ่มนั้นขุ่นเคือง แต่กลับเห็นว่าเทพธิดาอายุน้อยเหล่านั้นมีรอยยิ้มอ่อนโยน สองคนในนั้นยังโบกมือให้พวกเด็กๆ แค่บอกให้พวกเด็กๆ ลดเสียงลงหน่อย อย่าเอะอะเสียงดัง แต่กลับไม่ห้ามพวกเด็กๆ ให้พูดคุยกัน
อันที่จริงหมี่อวี้รู้จุดประสงค์ของเว่ยซานจวินดี ปกป้องมรรคาให้กับสตรีผู้นั้นคือเรื่องจริง ให้เซียนกระบี่อย่างเขาทำความเข้าใจกับขนบธรรมเนียมด้านล่างภูเขาของแจกันสมบัติทวีปได้มากขึ้นกว่าเดิมกลับจริงยิ่งกว่า
ความหวังดีของเว่ยป้อ หมี่อวี้น้อมรับไว้ด้วยความเต็มใจ อีกทั้งใต้เท้าอิ่นกวานก็เป็นคนที่ยึดหลักเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามเสมอมา ไปไหนมาไหนก็หนีไม่พ้นต้องเลียนแบบคนในพื้นที่ แน่นอนว่าหมี่อวี้ย่อมคิดว่าตัวเองพอจะสามารถทำได้
เพียงแต่ว่ามีอยู่เรื่องเดียวที่เขาไม่ค่อยคุ้นชิน ก็คือต่างบ้านต่างเมืองแห่งนี้มีปราณกระบี่น้อยเกินไป ผู้ฝึกกระบี่น้อยเกินไป เซียนกระบี่ก็ยิ่งมีน้อยกว่า
ชีวิตที่สงบสุขปลอดภัยของที่นี่เป็นชีวิตที่ดีเกินไปแล้ว ดีจนทำให้หมี่อวี้รู้สึกเหมือนกำลังฝันไป ฝันอย่างที่เขาไม่ยินดีจะตื่นขึ้นมา
ดังนั้นหมี่อวี้จึงปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่กระดกดื่มเหล้าหมักข้าวของภูเขาลั่วพั่วที่เก็บไว้มานานหลายปี
ตอนนี้หน้ากากที่หมี่อวี้สวมไว้บนใบหน้าค่อนข้างหล่อเหลา แม้ว่าไม่อาจเทียบกับโฉมหน้าที่แท้จริงของหมี่อวี้ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นโฉมหน้าที่ดีอย่างจริงแท้แน่นอน
ดังนั้นถึงแม้จะอยู่ร่วมกับสตรีของตำหนักฉางชุนข้างกายมาได้ไม่นาน ก็แค่เดินทางจากภูเขาใหญ่ไปถึงริมตลิ่งแม่น้ำสายนี้เท่านั้น เซียนกระบี่หมี่ก็รู้สึกได้ว่าสายตาของดรุณีน้อยสองคนเหมือนจะกินคนแล้ว
……
ยามสนธยา ทางฝั่งของร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลง ผู้เฒ่าตาบอดคนหนึ่งที่คล้ายกับว่าก้นปักตรึงอยู่บนม้านั่งยาว พร่ำพูดว่าการฝ่าทะลุขอบเขตของตนไม่ใช่เรื่องง่าย วิชาห้าอสนีดั้งเดิมมีการพัฒนาไปอีกหลายขั้น กิจการร้านฉ่าวโถวนับว่าไม่เลว ลูกศิษย์สองคนของตนไม่เอาไหนแต่ก็นับว่ามีใจกตัญญู กว่าจะพล่ามจบได้ไม่ง่าย เห็นว่าพี่ใหญ่สือบื้อใบ้ไร้คำพูดตอบโต้ น่าจะละอายใจที่สู้ตนไม่ได้แล้ว นักพรตเฒ่าเจี่ยเฉิงถึงได้ไปยังร้านที่อยู่ข้างกันอย่างอารมณ์ดี สือโหรวเดินไปปิดประตูร้าน เมื่อวานเป็นอย่างนี้ วันนี้ก็เป็นอย่างนี้ คาดว่าพรุ่งนี้ก็คงไม่ต่างกันสักเท่าไร สือโหรวไม่เข้าใจจริงๆ ว่านักพรตเฒ่าที่เลื่อนสู่ขอบเขตชมมหาสมุทรอย่างลุ่มๆ ดอนๆ จะมาแข่งขันงัดข้อเอาอะไรกับตน? หากมีความสามารถจริงก็ไปหาคนโอ้อวดบารมีที่ภูเขาลั่วพั่วเสียสิ ไปหาสหายรักของเจ้าอย่างเฉินหลิงจวินหรือไปหาเผยเฉียนไม่ดีหรือ?
สือโหรวกลับไปยังที่พัก ห้องหลักไม่มีคนพักอาศัย แต่สือโหรวก็ยังปล่อยวางไว้ เวลานี้นางปิดประตูแล้วจึงแอบดึงลิ้นชักออกมา หยิบเอากระจกแต่งหน้า เครื่องประทินโฉมผงชาดทั้งหลายออกมาจากในลิ้นชัก นางไม่กล้าเบียดบังเงินส่วนรวมเอามาใช้ส่วนตน ดังนั้นส่วนนี้จึงเป็นเงินเดือนที่นางสมควรได้รับ อีกทั้งเมื่อถึงช่วงเทศกาลปีใหม่ ทางภูเขาลั่วพั่วยังมอบหงเปาที่มีเงินเกล็ดหิมะหลายเหรียญมาให้ด้วย อยู่บนภูเขาอาจไม่นับเป็นอะไรได้ แต่อยู่ในหมู่ชาวบ้านกลับไม่ถือว่าเป็นเงินเล็กน้อย ดังนั้นของน้อยใหญ่บนโต๊ะจึงซื้อด้วยเงินส่วนตัวที่สือโหรวเก็บออมเอาไว้
ในฐานะผีสาวที่ห่มคราบร่างเซียน อันที่จริงสือโหรวไม่จำเป็นต้องนอนหลับ เพียงแต่ว่าอยู่ในเมืองเล็กแห่งนี้ สือโหรวเองก็ไม่กล้าฉวยโอกาสยามค่ำคืนตั้งใจฝึกบำเพ็ญตน ส่วนวิธีการลึกลับที่เป็นวิชานอกรีตบางอย่าง นางก็ยิ่งไม่กล้าฝึก รนหาที่ตายหรือไร ถึงเวลานั้นไม่ต้องให้สายลับต้าหลีหรือสำนักกระบี่หลงเฉวียนทำอย่างไรกับนาง ภูเขาลั่วพั่วบ้านตนเองนี่แหละที่ต้องเล่นงานนางก่อนแน่นอน แล้วนับประสาอะไรกับที่สือโหรวเองก็ไม่มีความคิดพวกนี้ สำหรับวันเวลาที่ผ่อนคลายเรียบเรื่อยซึ่งผ่านไปวันแล้ววันเล่า ราวกับว่าทุกๆ วันพรุ่งนี้ก็จะต้องเป็นเหมือนวันวาน นอกจากบางครั้งที่จะรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อยแล้ว อันที่จริงสือโหรวก็พึงพอใจอย่างยิ่ง กิจการของร้านยาสุ้ยธรรมดามาก อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบความเจริญรุ่งเรืองของร้านฉ่าวโถวที่อยู่ข้างกันได้ติด อันที่จริงสือโหรวเองก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย
สือโหรวนับนิ้วคำนวณในใจเงียบๆ จากนั้นก็ ‘ถอดชุด’ ออก กลับคืนมาเป็นร่างจริงของผีสาว
คราบร่างเซียนนั้นยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ขยับเขยื้อน ราวกับแค่ปล่อยจิตหยินออกมาเดินทางไกลด้านนอกเท่านั้น
หลังจากที่สือโหรวกลับคืนมามีรูปโฉมเดิม นางก็สวมชุดกระโปรงสีสันสดใส กระโปรงยาวชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ เรือนกายอรชรอ้อนแอ้น รูปลักษณ์เหมือนปีนั้นที่ถูกหลิวหลีเซียนเวิงกักตัวเอาไว้
สามารถ ‘ออกเดินทางไกล’ เช่นนี้ได้ ยังต้องยกคุณความชอบให้กับเผยเฉียน เป็นนางที่ช่วยไปขอคาถาเล็กๆ ในการ ‘ออกจากบ้าน’ วิชานี้มาจากศิษย์พี่เล็กห่านขาวใหญ่ของนาง แต่เผยเฉียนก็เคยเตือนตนว่า อย่างมากสุดก็ออกมาได้แค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น หากนานกว่านี้ย่อมยากที่จะกลับเข้าไป ถึงเวลานั้นนางก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว หากห่านขาวใหญ่ไม่อยู่ ต่อให้นางอยากช่วยก็จนปัญญา เด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้นจึงหัวเราะหึหึเอ่ยเสริมมาประโยคหนึ่งว่า หากกลับคืนไปไม่ได้ก็ตบให้ร่อแร่ปางตายด้วยฝ่ามือหนึ่งก่อน ชอบส่องกระจกนักไม่ใช่หรือ หลังจากนั้นจะกักขังวิญญาณเจ้าไว้ในกระจกให้เจ้าส่องจนพอใจไปเลย แม้ว่าตอนนั้นชุยตงซานจะโดนเผยเฉียนดุ แต่สือโหรวก็ไม่กล้าไม่เก็บเอามาใส่ใจ
สือโหรวหยิบหวีขึ้นมาหวีผมหน้ากระจกเบาๆ พอเห็นตัวเองในกระจก นางก็เกือบจะรู้สึกเหมือนเห็นคนแปลกหน้าแล้ว
ผีสาวตนนี้คลอเพลงพื้นบ้านเก่าแก่เพลงหนึ่งในลำคอเบาๆ
รูปลักษณ์เป็นดั่งกระดูกแห้งเหี่ยว หัวใจเป็นดั่งขี้เถ้ามอด…นี่คือความจริง ไม่ใช้สิ่งนี้มาควบคุมตน มึนงงสงสัย ไร้ใจก็ไร้ความสามารถ ไร้แผนการ แล้วนั่นจะเป็นคนแบบใด…
หลังจากที่เขตการปกครองหลงเฉวียนเลื่อนเป็นจังหวัดหลงโจว สี่เขตการปกครองที่อยู่ใต้อาณัติอย่างชิงสือ เป่าซี ซานเจียงและเซียงฮว่อ ขุนนางใหญ่ที่ปกครองทั้งจังหวัดคือผู้ว่าเว่ยหลี่ที่มีชาติกำเนิดมาจากแคว้นหวงถิง ลูกหลานสกุลหยวนเสาค้ำยันแคว้นอย่างหยวนเจิ้งติ้งรับหน้าที่เป็นเจ้าเมืองของเขตการปกครองชิงสือ ฟู่อวี้อดีตขุนนางผู้ช่วยของเจ้าเมืองอู๋ยวนนายอำเภอคนแรกในประวัติศาสตร์ของถ้ำสวรรค์หลีจูได้เลื่อนขั้นเป็นเจ้าเมืองของเขตการปกครองเป่าซีแล้ว ใต้เท้าเจ้าเมืองอีกสองท่านที่เหลือต่างก็มีชาติกำเนิดจากตระกูลยากจนซึ่งเป็นขุนนางจากเมืองหลวง ว่ากันว่านอกจากยามที่ต้องร่วมงานกับลูกหลานชนชั้นสูงสองคนอย่างหยวนเจิ้งติ้งและฟู่อวี้แล้ว เวลาปกติก็ไม่เคยไปมาหาสู่กัน
เฉาเกิงซินผู้ตรวจการงานเตาเผาคนปัจจุบันทำหน้าที่เป็นนายท่านผู้ตรวจการที่ยามอยู่ทั้งในและนอกที่ว่าการต่างก็ไม่เคยวางมาดของเขาต่อไป ทุกวันหากไม่ดื่มเหล้าก็จะหยอกเย้าพวกเด็กๆ หรือไม่ก็ถูกสตรีสาวใหญ่หยอกเย้า เรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับพวกชายฉกรรจ์ระหว่างทางที่ไปซื้อเหล้า
ศาลบุ๋นบู๊สองแห่งของอำเภอไหวหวงแบ่งออกเป็นตั้งบูชาบรรพบุรุษของเจ้าเมืองหยวนและผู้ตรวจการเฉา
ไม่เพียงเท่านี้ ทุกวันนี้อย่างน้อยก็มีบ้านเรือนในพื้นที่ครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปที่ภาพเทพทวารบาลบนหน้าประตูแปะเป็นภาพเหมือนของขุนนางผู้มีชื่อเสียงที่สร้างความรุ่งโรจน์ให้แก่สกุลซ่งต้าหลีอย่างหยวน เฉาสองแซ่
ศาลเทพอภิบาลเมืองที่อยู่ในเขตการปกครองมีควันธูปโชติช่วง คนจิ๋วควันธูปที่เคยบอกว่าตัวเองเกือบจะต้องหิวตาย แล้วยังต้องถูกเพื่อนร่วมงานหัวเราะจนตายผู้นั้น ไม่รู้ว่าเหตุใด แรกเริ่มก็ยังชอบเดินแวะเวียนไปเยี่ยมเยือนตามที่ต่างๆ เพื่อโอ้อวดบารมี เล่าลือกันว่าถูกนายท่านเทพอภิบาลเมืองสั่งสอนอย่างรุนแรงไปสองรอบ กดลงกระถางให้กินขี้เถ้า แต่กลับยังคงไม่เปลี่ยนนิสัย กระโดดขึ้นมาจากในกระถางธูปชี้หน้าด่าเจ้าแห่งศาลอภิบาลเมืองต่อหน้าขุนนางผู้พิพากษา ขุนนางโลกมืด เทพท่องทิวาราตรีที่มีอำนาจสำคัญในศาลเทพอภิบาลเมือง บอกว่าเจ้ามันตะพาบใจจืดใจดำ ข้าผู้อาวุโสลำบากกับเจ้ามาตั้งเท่าไร ตอนนี้กว่าจะร่ำรวยมีเกียรติขึ้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย อาศัยความสามารถแท้ๆ ของตนอดทนจนความขมขื่นผ่านพ้นความหวานชื่นมาเยือน แต่เจ้ากลับไม่อนุญาตให้นายท่านใหญ่ของเจ้าโอ้อวดบ้างเลยหรือ? นายท่านใหญ่อย่างข้าหนึ่งไม่ทำร้ายใคร สองไม่รบกวนประชาชน แล้วยังช่วยเจ้าตรวจตราพื้นที่ในเขตการปกครองอย่างรอบคอบระมัดระวัง ช่วยเจ้าจดบันทึกชื่อพวกผีเร่ร่อนทั้งหลายที่ไม่มีอยู่ในบันทึก เจ้ามายุ่งกับผายลมอะไรด้วย เจ้ามายุ่งอะไรกับมารดาเจ้าด้วย เจ้ามันคนทึ่มน้ำเข้าสมอง หากยังบ่นไม่เลิกข้าผู้อาวุโสจะออกบวชแล้ว ดูสิว่าวันหน้าจะยังมีใครกล้าทัดทานเจ้าอย่างไม่กลัวตายอีกหรือไม่…
ว่ากันว่าเจ้าตัวน้อยที่ถูกท่านเทพอภิบาลเมืองโยนทิ้งไปนอกศาลพร้อมกับกระถางธูปแอบแบกกระถางกลับเข้าไปในศาลอีกครั้ง จากนั้นก็ยังคงชอบรวบรวมลูกสมุนจับกลุ่มกันอยู่เป็นพรรคเป็นพวก คอยออกคำสั่งแก่เทพท่องทิวาราตรีสองท่านที่สาบานเป็นพี่น้องกัน ชอบจะ ‘ให้เกียรติเดินทางไปเยือน’ ศาลเทพอภิบาลน้อยใหญ่ทั้งในอำเภอและในเขตการปกครองของจังหวัด บ้างก็วิ่งตะบึงไปมาตามถนนใหญ่ตรอกเล็กของศาลแห่งต่างๆ เพียงแต่ว่าไม่รู้เหตุใดภายหลังถึงเปลี่ยนนิสัยฉับพลัน ไม่เพียงแต่สลายกลุ่มลูกสมุนทิ้งไป ทุกๆ ช่วงเวลาที่กำหนดยังชอบออกจากศาลเทพอภิบาลเมืองของจังหวัดไปเยือนสถานที่บางแห่งในกลุ่มขุนเขา ความจริงคือต้องไปคอยขานชื่ออย่างยากลำบาก แต่กลับบอกแก่คนภายนอกแค่ว่าไปเยี่ยมเยือนมิตรสหาย ไม่ว่าลมหรือฝนก็ขัดขวางมันไม่ได้
วันนี้มีฝนเม็ดเล็กตกโปรยปราย คนจิ๋วควันธูปที่ไม่เคยย่อท้อต่อความยากลำบากถือ ‘ร่มคันเล็ก’ ที่เป็นใบไม้ใบหนึ่งไว้ในมือ วิ่งตะบึงไปตลอดทางจนกระทั่งไปถึงหน้าประตูภูเขาลั่วพั่ว
เจ้าตัวน้อยวิ่งไปหาหยวนไหลแล้วพูดเหมือนคนแก่ว่า “หยวนไหลอ่า ช่วงครึ่งเดือนมานี้ทั้งอ่านตำราทั้งฝึกหมัดล้วนขยันขันแข็งดีหรือไม่?”
เด็กหนุ่มที่นั่งอ่านตำราอยู่ใต้ชายคาตลอดเวลาพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “นับว่ายังดี”
ภูเขาลั่วพั่วมีแขกมาเยือนน้อยมาก หากอ่านหนังสือจนเหนื่อยล้า หยวนไหลก็จะฝึกท่าเดินนิ่ง ฝึกท่าเดินนิ่งเหนื่อยแล้วก็มาอ่านตำราต่อ บางครั้งก็จะคอยมองเฉินยวนจีที่ฝึกหมัดท่าเดินนิ่งผ่านประตูภูเขา เวลาหนึ่งวันจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว อย่างมากสุดก็แค่ถูกพี่สาวบ่นไม่กี่คำเท่านั้น
เจ้าตัวน้อยหัวเราะคิกคัก “หากระหว่างที่ขึ้นไปบนภูเขาแล้วข้าพบแม่นางเฉิน จะให้ข้าช่วยทักทายนางแทนเจ้าหรือไม่?”
หยวนไหลกล่าวอย่างจนใจ “มิกล้ารบกวนใต้เท้าผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา”
เจ้าตัวน้อยโยนร่มใบไม้คันเล็กทิ้งไปง่ายๆ เอาสองมือไพล่หลัง สาวเท้าเดินเล่นเป็นวงกลมอยู่บนพื้นดินโคลน ขมวดคิ้วถอนหายใจเอ่ยว่า “จำเอาไว้ๆ ข้าเป็นแค่ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของตรอกฉีหลงเท่านั้น ในวงการขุนนางจะเรียกกันส่งเดชไม่ได้ หากผู้พิทักษ์โจวอยู่ด้วย ไม่ใช่ว่าเจ้าล่วงเกินขุนนางใหญ่ทั้งสองท่านในเวลาเดียวกันหรอกหรือ? หากทำงานในที่ว่าการจริงๆ แล้วเจ้ายังเรียกแบบนี้ จะทำร้ายให้คนอื่นถึงตายได้ หยวนไหล เจ้ายังเด็กเกินไป วันหน้าต้องระวังให้มากนะ ในฐานะคนที่ช่วยพี่น้องต้าเฟิงเฝ้าประตูภูเขาชั่วคราว แม้จะบอกว่าไร้ตำแหน่งไร้ระดับขั้น แต่ถึงอย่างไรก็เป็นบุคคลที่เป็นดั่งหน้าตาของภูเขาลั่วพั่ว ยามที่ต้องรับรองต้อนรับแขกมีความรู้มากมายให้ต้องศึกษา จะเอาแต่อ่านตำราได้อย่างไร”
อดทนฟังเจ้าตัวน้อยบ่นจนจบ หยวนไหลก็ยิ้มเอ่ยว่า “จำเอาไว้แล้ว”
ความรู้ไม่ได้มีอยู่แค่ในตำราเสียหน่อย คำพูดประโยคนี้ของคนจิ๋วควันธูปก็เป็นหลักการเหตุผลเหมือนกันไม่ใช่หรือ ต่อให้คนพูดไม่ตั้งใจ แต่คนฟังมีเจตนาก็พอแล้ว
ผู้อาวุโสต้าเฟิงเคยกำชับตนว่า ให้คอยมองดูการกระทำและคำพูดของคนอื่นอย่างละเอียด นี่ก็คือการฝึกตนบนภูเขาที่ดีเยี่ยม อย่าได้ทำตัวหูหนวกตาบอด ปล่อยให้ลมและน้ำของภูเขาลั่วพั่วต้องถูกทิ้งไปเสียเปล่า
แล้วเจ้าตัวน้อยก็เริ่มทำการปีนภูเขาอย่างแท้จริงอีกครั้ง
ไปถึงหน้าผาของเรือนไม้ไผ่ เห็นว่าใต้เท้าผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ริมหน้าผา
เจ้าตัวน้อยบอกกับโจวหมี่ลี่เรื่องการขานชื่อ ย้ำเตือนนางว่าอย่าลืมให้พี่หญิงหน่วนซู่จดลงในสมุดบัญชีเด็ดขาด จากนั้นก็ถามอย่างใคร่รู้ว่า “พี่ใหญ่อวี้หมี่ของข้าล่ะ?”
โจวหมี่ลี่นั่งเท้าคาง เอ่ยว่า “ลงจากเขาไปทำธุระแล้วน่ะสิ”
เจ้าตัวน้อยกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เป็นพี่น้องกันประสาอะไร ไม่รู้จักบอกกล่าวข้าสักคำก่อนจะออกไปข้างนอก ไร้คุณธรรมไร้น้ำใจ พี่น้องเส็งเคร็งแบบนี้ ให้มาทั้งกระบุงข้าก็ไม่ต้องการ”
โจวหมี่ลี่ยื่นมือมาบังลมฝนให้เจ้าตัวน้อย หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ทำไมถึงตัวไม่สูงสักทีหนอ?”
เจ้าตัวน้อยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ใต้เท้าผู้พิทักษ์สั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว วันหน้าเมื่อข้าน้อยกลับไปยังที่ว่าการจะต้องกินขี้เถ้าให้มากขึ้น”
แม่นางน้อยก้มหน้าค้อมเอว ยื่นมือมาป้องปาก กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “เผยเฉียนเคยบอกว่าคำพูดประจบเอาใจนั้นสำคัญอย่างถึงที่สุด แต่ไหนแต่ไรมาภูเขาลั่วพั่วของพวกเราไม่สนคำกล่าวแบบนี้ นี่ก็คือขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีมาตั้งแต่อาจารย์พ่อของนางแล้ว”
เจ้าตัวน้อยทำท่ากระจ่างแจ้งในฉับพลัน พยักหน้ารับอย่างแรง “นายท่านเจ้าขุนเขามองการณ์ไกล! ใต้เท้าหัวหน้าสาขาองอาจเลิศล้ำ! ใต้เท้าผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาก็ไม่ด้อยกว่ากันแม้แต่น้อย แค่พูดง่ายๆ ไม่กี่คำก็ล้วนเป็นถ้อยคำล้ำค่าดุจหยกดุจทองคำ ไม่เสียแรงที่แบกหาบทองทุกวัน หากมีหยกประดับอีกสักแผ่น นั่นจะไม่ยิ่งร้ายกาจหรอกหรือ แม้แต่นักปราชญ์วิญญูชนของสำนักศึกษาก็น่าจะยังเป็นได้! ใต้เท้าผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา รอกระทั่งนายท่านเจ้าขุนเขาหรือไม่ก็หัวหน้าเผยกลับบ้านมา ข้าจะต้องทำตัวเป็นขุนนางผู้จงรักภักดี ถวายคำทัดทานอย่างกล้าหาญแข็งแกร่ง ขอหยกประดับชิ้นหนึ่งมาให้ใต้เท้าผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา…”
แม่นางน้อยเอียงศีรษะ ขมวดคิ้วบางๆ เป็นปมแน่น มักรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แล้วทันใดนั้นก็พลันเข้าใจ จึงหัวเราะหึหึ
คนจิ๋วควันธูปก็รู้ว่าตัวเองพูดผิดไป คำเอ่ยว่ากล้าหาญแข็งแกร่ง (铁骨铮铮 เป็นคำที่จูเหลี่ยนเคยใช้หยอกเรียกเผยเฉียนว่าหญ้ายอดกำแพงที่แข็งแกร่ง) คือข้อห้ามใหญ่หลวงของภูเขาลั่วพั่ว!
โจวหมี่ลี่ยกสองมือมาป้องไว้ตรงริมปากแล้วหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังลั่น
เจ้าตัวน้อยก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดีตามไปด้วย ใต้เท้าผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของเราท่านนี้ เป็นสตรีที่เรียบร้อยนัก