กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 690.2 เรื่องราวเล็กๆ ของคนหนุ่มคนหนึ่ง
การที่คุยเล่นกันก่อนหน้านี้ก็เพราะเจียงซ่างเจินเบื่อมากจริงๆ ก็เลยหาเรื่องหยอกเย้าหลิวจงเล่นเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่ตอนเฉินผิงอันอยู่ในโรงเตี๊ยมของจิ่วเหนียงที่เมืองหูเอ๋อร์ เคยเกิดความขัดแย้งกับองค์ชายสามหลิวเม่ามาก่อน เขาไม่เพียงแต่สังหารบุตรชายของเกาซื่อเจินเซินกั๋วกง ยังสังหารเว่ยหลี่ขุนนางผู้คุมตราประทับกองม้า นับได้ว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาตขององค์ชายต้าเฉวียนในอดีตทั้งสองคน อีกทั้งเฉินผิงอันยังมีความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับตระกูลเหยา ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่าจวนเซินกั๋วกงสูญเสียการสืบทอดที่ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง หลิวฉงถูกกักบริเวณ เรื่องขององค์ชายสามหลิวเม่า เรื่องของหวังฉีวิญญูชนของสำนักศึกษาถูกเปิดโปง โอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์ได้อย่างราบรื่นก็ล้วนเกี่ยวข้องกับเฉินผิงอันทั้งสิ้น ด้วยสถานะของหลิวจง แน่นอนว่าแม้จะพูดไม่ได้ว่ารู้เรื่องลับวงในของวังหลวงเหล่านี้อย่างชัดเจน แต่ก็ต้องเคยได้ยินมาบ้างอย่างแน่นอน
หลิวจงแต่งเรื่องพูดไปส่งเดช เจียงซ่างเจินก็แค่รับฟังไว้เท่านั้น
หลิวจงจะแพ้ก็คงแพ้ในเรื่องที่ว่าเขาไม่รู้เลยว่า โจวเฝยที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เป็นถึงผู้นำบนภูเขาของตลอดทั้งใบถงทวีป
ต่อให้จะเคยได้ยินมาว่าหนึ่งในสหายรักของเซียนกระบี่ลู่ฝ่างมีเจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยกเป็นคนหนึ่งในนั้น แต่หลิวจงคิดจนหัวแตกก็คงคิดไม่ออกว่าเจ้าประมุขแห่งพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา เทพเซียนบนยอดเขาห้าขอบเขตบนคนหนึ่งจะยินดีไปผลาญเวลาอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว ไปเป็นเจ้าตำหนักคลื่นวสันต์ที่ผู้คนรังเกียจนานถึงหกสิบปี เทพเซียนคนหนึ่งที่เดินทางไกลได้อย่างง่ายดาย กินแสงอรุโณทัยดื่มน้ำค้าง แต่ดันเอาตัวไปเกลือกกลิ้งคลุกอยู่ในดินโคลน สนุกนักหรือ ในอดีตได้ ‘บินทะยาน’ จากพื้นที่มงคลมายังใต้หล้าไพศาล ทัศนียภาพบนภูเขาของใต้หล้าแห่งนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับหลิวจงอีกแล้ว ผู้ฝึกตนของที่นี่ล้วนตัดขาดอารมณ์ไร้ความปรารถนาไม่ต่างจากอวี๋เจินอี้ ถึงขั้นยังเคยเจอเซียนดินไม่น้อยที่อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบอวี๋เจินอี้ที่ถามมรรคาด้วยความตั้งใจจริงได้ติด
หลิวจงเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ฟ้าดินแห่งนี้มีความประหลาดพิสดารนับร้อยนับพันจริงๆ จำได้ว่าตอนที่เพิ่งมาถึงที่นี่แล้วได้เห็นเรื่องอย่างเช่นเทพวารียืมเรือ เทพอภิบาลเมืองพิพากษาคดียามค่ำคืน ภูตจิ้งจอกอำคน ฯลฯ ตอนอยู่บ้านเกิดเคยจินตนาการถึงไหม? มิน่าเล่าเจ๋อเซียนพวกนั้นถึงเห็นพวกเราเป็นกบใต้บ่อ”
เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ย “ความแปลกประหลาดเหล่านี้เห็นมากเข้าก็มีแค่นั้นแหละ กลับเป็นเรื่องประเภทที่ว่าวันวางเสาคานมีคนรื้อเสาคานต่างหากที่หากอดทนมองดูสักหลายๆ ปี กลับยิ่งน่าสนใจมากกว่า”
หลิวจงไม่อยากจะวกวนอ้อมค้อมกับคนผู้นี้อีกต่อไป จึงถามเข้าประเด็นทันที “โจวเฝย ครั้งนี้เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใด? มาขอความช่วยเหลือ หรือมาพลิกบัญชีเล่มเก่า? หากข้าจำไม่ผิด ตอนอยู่ในพื้นที่มงคล เจ้าทำตัวเสเพลอยู่ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ ข้าก็เฝ้าอยู่ที่ร้านเก่าโทรมแห่งนั้น พวกเราสองคนไม่มีความแค้นใดต่อกันนี่นา หากเจ้าเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าแก่ในบ้านเกิดนั่น วันนี้จึงมาเยี่ยมเยือนพูดคุยเรื่องวันวานจริงๆ ข้าก็จะเลี้ยงเหล้าเจ้า”
เจียงซ่างเจินกล่าว “ดื่มเหล้าคงไม่ต้องหรอก ข้าคนนี้ดื่มแต่สุราดีเท่านั้น กิจการศูนย์ฝึกยุทธของเจ้าจะหาเงินได้สักกี่แดงกัน? วางใจเถอะ ข้าไม่ได้มาเพื่อหาเรื่องเจ้าจริงๆ ครั้งนี้เดินทางไกลมาเยือนเมืองเซิ่นจิ่งพร้อมกับสหาย บังเอิญได้ยินชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของเจ้าหลิวจงก็เลยกะว่าจะมาลองเสี่ยงดวงดู คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้าจริงๆ ดูท่าตอนนี้ข้าคงโชคไม่เลว ฉวยโอกาสตอนที่ยังมีโชค คืนนี้จะไปหาเฉาโจวฮูหยินสักหน่อย ดูสิว่านางงดงามอย่างที่เล่าลือหรือไม่ พี่หลิวอยากเดินทางไปเที่ยวพร้อมกับข้าหรือไม่เล่า? มีพี่หลิวให้เกียรติคอยช่วยสนับสนุนน้องชาย ข้าก็คงยิ่งมีหวังว่าจะได้รับความโปรดปรานจากเฉาโจวฮูหยินมากขึ้นแล้ว”
หลิวจงลูบหนวดยิ้ม “น้องโจวยังคงสง่างามดังเดิมเลยนะ”
เจียงซ่างเจินยิ้มบางๆ “ดูจากการแต่งกายด้วยชุดบัณฑิตของข้าก็น่าจะรู้แล้วว่าข้าเตรียมตัวมาดี”
หลิวจงยิ้มถาม “เป็นแค่คนที่เดินผ่านทางมาจริงๆ หรือ?”
เจียงซ่างเจินพยักหน้ารับ “ดังนั้นจึงรบกวนพี่ใหญ่หลิวเก็บมีดเลาะกระดูกในชายแขนเสื้อลงไป รับรองแขกเช่นนี้ทำให้น้องชายตกใจยิ่งแล้ว”
……
ในที่สุดก็ขยับเข้ามาใกล้ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ตลอดทางมานี้หลิ่วชื่อเฉิงเงียบงันผิดปกติ หลังผ่านหินพักมังกรมาแล้ว หลิ่วชื่อเฉิงก็มีท่าทีเหมือนคนซึมกะทือใกล้ตายเช่นนี้
ส่วนลึกในใจของไฉ่ป๋อฝูยอมศิโรราบให้กับหลิ่วชื่อเฉิงทั้งกายใจแล้ว
หากจะบอกว่าเจ้าลูกกระต่ายน้อยกู้ช่านเป็นคนที่มีโชควาสนาในทุกที่ที่ไปเยือน หลิ่วชื่อเฉิงกับตนก็คือคนบนเส้นทางเดียวกันที่แท้จริง
ตอนนั้นที่อยู่บนหินพักมังกร ไฉ่ป๋อฝูง่วนอยู่กับการเก็บสมบัติบนภูเขา พยายามแสดงความสามารถของผู้ฝึกตนอิสระออกมาอย่างเต็มที่ คาดไม่ถึงว่าจะมีผู้ฝึกตนกลุ่มใหญ่เร่งรุดมาเยือน มีทั้งเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลและผู้ฝึกตนอิสระ แบ่งออกเป็นภูเขาน้อยใหญ่หลายลูก พวกเขาทะยานลมหยุดยืนนิ่ง ต่างก็มุ่งหน้ามาเพื่อหินพักมังกรที่สูญเสียพันธนาการไปอย่างกะทันหัน ไฉ่ป๋อฝูเองก็ไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่อง หลิ่วชื่อเฉิงคลายพันธนาการแต่กลับไม่ปิดประตู ปล่อยให้ภาพบรรยากาศผิดปกติชักนำคนนอกมาถึง แน่นอนว่าย่อมต้องมีความสามารถให้ไม่กลัวอีกฝ่าย ต่อให้ไม่พูดถึงตบะขอบเขตหยกดิบของหลิ่วชื่อเฉิง ลำพังเพียงแค่ชื่อเสียงของนครจักรพรรดิขาวก็มากพอจะให้พวกเขาสามคนเดินกร่างได้แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่คนผู้นั้นยังอยู่ในหลุมน้ำลู่ หากมีเรื่องจริงๆ เชื่อว่าคงไม่มีทางนิ่งดูดาย เพราะถึงอย่างไรก็ยังมีลูกศิษย์ผู้สืบทอดอย่างกู้ช่านที่เขาเพิ่งรับมาอยู่ด้วย
จากนั้นบนหินพักมังกร ข้างกายไฉ่ป๋อฝูพลันมีร่างชาวประมงเฒ่าที่สวมงอบไม้ไผ่สวมชุดกันฝน บนไหล่หาบไม้ไผ่เขียวลำหนึ่ง ตรงปลายทั้งสองด้านห้อยปลาหลีสีทองสองตัวที่ถูกด้ายร้อยทะลุแก้ม
ก็คือเซียนจับปลาแห่งหลุมน้ำลู่ที่หลิ่วชื่อเฉิงพูดถึง ตู๋ฉีหลางแห่งทะเลทักษิณแถวหลุมน้ำลู่มีอยู่หลายคน แต่เซียนจับปลากลับมีแค่คนเดียว แต่ไหนแต่ไรมามักไม่อยู่เป็นที่เป็นทาง
ไฉ่ป๋อฝูเตรียมจะลุกขึ้นยืนแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสที่อยู่บนเส้นทางการฝึกตนผู้นี้ กลับถูกชาวประมงเฒ่าชำเลืองตามอง ไฉ่ป๋อฝูจึงยืนนิ่งไม่ขยับทันที
ชาวประมงเฒ่าโบกมือให้กับพวกผู้ฝึกตนที่ได้ข่าวจึงทะยานลมมา บอกให้รู้ว่าหินพักมังกรแห่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาละโมบอยากครอบครองได้
เซียนจับปลาขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งที่มหามรรคาใกล้ชิดกับน้ำ ตัวอยู่บนหินพักมังกรที่เป็นบ้านตัวเอง รอบด้านล้วนมีแต่มหาสมุทร พลานุภาพย่อมน่าเกรงขามเป็นธรรมดา
หากหินพักมังกรไม่มีผู้เฒ่าชาวประมงคนนี้นั่งเฝ้าพิทักษ์ มีเพียงพวกเผ่าพันธ์เจียวหลงที่เหนื่อยล้ากลับมาจากการโปรยพิรุณ เซียนซือที่วางอำนาจบาตรใหญ่อยู่บนมหาสมุทรมาจนชินกลุ่มนี้แค่อาศัยเวทอภินิหารของแต่ละคนก็สามารถกวาดเอาสมบัติบนหินพักมังกรไปได้เกลี้ยงแล้ว ในประวัติศาสตร์หลุมน้ำลู่มักไม่ค่อยใส่ใจเรื่องที่มีคนมาขโมยของบนหินพักมังกรสักเท่าไร น่าเสียดายที่เซียนจับปลาเผยตัวมาไล่คน ถ้าอย่างนั้นก็คนละเรื่องกันแล้ว ตระกูลเซียนบนมหาสมุทร หากเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นดั่งจอกแหนไร้รากลอยไปตามกระแสน้ำก็ยังไม่ค่อยเท่าไร แต่ถ้าเป็นพรรคใหญ่บนภูเขาที่ไม่ยอมย้ายเกาะ ส่วนใหญ่มักจะต้องเคยเห็นกับตา หรือไม่ก็เคยเผชิญกับความร้ายกาจของตู๋ฉีหลางแห่งทะเลทักษิณกับตัวเองมาก่อนแล้ว
ดังนั้นหลังจากที่เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียแล้วจึงพากันคารวะอำลาผู้เฒ่าชาวประมง ผู้ฝึกตนอิสระคนอื่นๆ ชำเลืองตามองน้ำลายมังกรล้ำค่าที่ไหลลงสู่มหาสมุทรแล้วก็ให้รู้สึกอาลัยอาวรณ์
เซียนจับปลาเอาหอกชี้ไปยังคนผู้หนึ่งง่ายๆ น้ำลายมังกรในทะเลก็มารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว แล้วกระเพื่อมขึ้นมาห่อหุ้มผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งที่อยู่ใกล้กับหินพักมังกรไว้อย่างรวดเร็ว สังหารอีกฝ่ายให้ตายคาที่ เรือนกายหลอมละลายหายไปสิ้น
ความคิดของหลิ่วชื่อเฉิงไม่ได้อยู่บนร่างของเซียนจับปลา พวกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลจากไปอย่างรู้กาลเทศะ พวกผู้ฝึกตนอิสระก็เผ่นหนีอย่างอกสั่นขวัญผวา สุดท้ายเหลือแค่สตรีสองคนที่ยังคงทะยานลมลอยตัวอยู่ห่างไปไกล
คนหนึ่งคือหญิงสาวท่าทางบอบบางนุ่มนิ่ม รูปโฉมของนางไม่ได้งามล่มเมือง แต่น่ามอง น่ามองอย่างมาก
ข้างกายมีภูตจิ้งจอกน้อยที่ดวงตาสองข้างเป็นคนละสี ขอบเขตโอสถทอง เทียบกับน้องหลงป๋อของตนแล้วยังแข็งแกร่งกว่าระดับหนึ่ง
กู้ช่านไม่เอ่ยอะไรสักคำ
ส่วนผู้เฒ่าชาวประมงคนนั้นก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงยิ่งเงียบงัน สีหน้าเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน
หลิ่วชื่อเฉิงจึงอดไม่ไหวถามว่า “แม่นางสองคนนี้ หากเชื่อใจพวกเราก็เชิญขึ้นเขามาเก็บสมบัติได้เลย”
จากนั้นหลิ่วชื่อเฉิงก็หันไปยิ้มบางๆ ให้กับภูตจิ้งจอกที่งามเฉิดฉัน ฝ่ายหลังกะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็ไปหลบอยู่ด้านหลังหญิงสาว
หญิงสาวคนนั้นก็ไม่เกรงใจจริงๆ พาภูตจิ้งจอกน้อยที่ลักษณะคล้ายสาวใช้พลิ้วกายมาอยู่บนหินพักมังกร
นางบอกให้ภูตจิ้งจอกรออยู่ที่เดิม ส่วนตัวเองขึ้นเขามาเพียงลำพัง
หลิ่วชื่อเฉิงจึงไปหาภูตจิ้งจอกน้อย ยิ้มถามว่า “ไม่ทราบว่าแม่นางชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ใด? ข้าน้อยหลิ่วชื่อเฉิง คือบัณฑิตคนหนึ่ง เป็นคนของแคว้นป๋ายซานแจกันสมบัติทวีป บ้านเกิดอยู่ใกล้กับทะเลสาบซูเจี่ยนมาก”
เด็กสาวถอยหลังไปหลายก้าว กล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “ข้าชื่อเหวยไท่เจิน มาจากอุตรกุรุทวีป”
‘บัณฑิต’ ที่สวมชุดเต๋าสีชมพูผู้นี้ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก
หลิ่วชื่อเฉิงมีสีหน้าตกตะลึง สายตาฉายแววเวทนา เอ่ยเสียงเบาว่า “น้องเหวยร้ายกาจจริงๆ เดินทางมาตั้งไกลขนาดนี้ ลำบากเกินไปแล้ว เดินทางมาเยือนหินพักมังกรครั้งนี้ต้องได้ของกลับไปเต็มไม้เต็มมือนะ ระดับขั้นของไข่มุกฉิวบนภูเขาลูกนี้สูงมาก เหมาะกับการนำไปทำเป็นวัตถุแต้มนัยน์ตาให้กับกระโปรงน้ำภูษาเซียนมังกรสาวมากที่สุด หากน้องเหวยสวมบนร่างจะต้องเป็นดั่งคู่สร้างคู่สมอย่างแน่นอน หากเอาไปหลอมเป็นกำไล ‘ไข่มุกบนฝ่ามือ’ ด้วย คนอื่นจะไม่เข้าใจผิดคิดว่าน้องเหวยเป็นเทพธิดาบนสรวงสวรรค์เลยหรือ?”
เหวยไท่เจินทั้งไม่เขินอาย แล้วก็ไม่โกรธ เอ่ยเพียงว่า “ท่านหลิ่ว หากท่านยังทำแบบนี้อีก เจ้านายของข้าต้องโกรธแน่”
หลิ่วชื่อเฉิงชี้ไปที่พื้น ทั้งสองฝ่ายยังยืนห่างกันเจ็ดแปดก้าว ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าพูดคุยกับน้องเหวยด้วยความสนใจอย่างถูกต้องตามมารยาท แม่นางท่านนั้นไม่โกรธหรอก”
เหวยไท่เจินกล่าว “ข้าถูกเจ้านายส่งตัวให้ไปเป็นสาวใช้คนอื่นแล้ว ขอท่านอย่าได้พูดจาเหลวไหลอีก อีกอย่างเจ้านายจะโกรธหรือไม่ ท่านไม่ใช่คนที่จะบอกได้”
หลิ่วชื่อเฉิงยกชายแขนเสื้อขึ้นปิดปากหัวเราะ “น้องเหวยน่ารักจริงๆ”
เหวยไท่เจินกล่าว “หากท่านยังทำแบบนี้อีก ข้าจะไม่เกรงใจท่านแล้วนะ”
หลิ่วชื่อเฉิงวางชายแขนเสื้อลง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “น้องเหวยจะต้องเกรงใจพี่หลิ่วไปไย”
ไฉ่ป๋อฝูนั่งยองอยู่ข้างกายเซียนจับปลาอย่างเบื่อหน่าย รู้สึกเพียงว่าหลิ่วชื่อเฉิงผู้นี้สันดานยากจะเปลี่ยนจริงๆ ก่อนหน้านี้ระหว่างที่เดินทางขึ้นเหนือในแจกันสมบัติทวีป พอเห็นสตรีหน้าตางดงาม ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาหรือหญิงสาวชาวบ้าน เขาจะต้องเข้าไปพูดคุยหยอกล้อด้วย ประเด็นสำคัญคือเจ้าคนบ้าตัณหาหลิ่วชื่อเฉิงผู้นี้เอาแต่พูดไม่ลงมือทำ สรุปแล้วเขาต้องการอะไรกันแน่?
บนยอดเขาของหินพักมังกร ในที่สุดกู้ช่านก็เปิดปากยิ้มกล่าว “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
หลี่หลิ่วพยักหน้ารับ “พอได้”
กู้ช่านพยักหน้า กลั้นยิ้มเอาไว้
เพราะกู้ช่านนึกถึงเรื่องตอนเด็กบางเรื่องขึ้นมาได้
ปีนั้นนอกจากจะเป็นแมลงตามก้นเฉินผิงอันกับหลิวเสี้ยนหยางแล้ว อันที่จริงเขาเองก็ชอบเดินเที่ยวไปเรื่อยเพียงลำพัง หากเจอกับพวกอันธพาลอายุมากเรี่ยวแรงเยอะก็ได้แต่วิ่งหนีไปไกล แล้วค่อยแอบด่าอีกฝ่าย แต่ทางทิศตะวันตกสุดของเมืองเล็กมีบ้านเก่าโทรมหลังหนึ่ง ที่นั่นมีคนวัยเดียวกันกับเขาชื่อว่าหลี่ไหว คือหนึ่งในแมลงน่าสงสารที่ปีนั้นเป็นคนส่วนน้อยที่กู้ช่านสามารถรังแกได้ หลี่ไหวด่าสู้ตนไม่ได้ ต่อยตีก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตน อีกทั้งหลี่ไหวมีดีอยู่อย่างหนึ่งคือไม่ค่อยชอบเอาไปฟ้องคนที่บ้าน ดังนั้นกู้ช่านจึงมักจะวิ่งไปเล่นที่นั่นเป็นประจำ ผลคือมีวันหนึ่งหิมะตกหนัก รอบด้านไร้ผู้คน ตอนที่เขาแอบยัดก้อนหิมะเข้าไปในคอเสื้อของหลี่ไหว พี่สาวของหลี่ไหวดันมาเจอเข้าพอดี กู้ช่านเลยถูกหลี่หลิ่วที่มองดูแล้วผอมบางอ่อนแอจับขาขึ้นมาข้างหนึ่ง เอาหัวทิ่มลงพื้น แล้วใช้ร่างเขาต่างไม้กวาดกวาดหิมะหน้าประตูบ้านของนางเสียเกลี้ยง แล้วถึงได้โยนกู้ช่านไว้บนถนน กู้ช่านลุกขึ้นยืนอย่างมึนหัวตาลาย พอวิ่งหนีออกมาไกลแล้วถึงได้กล้าด่าหลี่หลิ่ว บอกว่าวันหน้าจะเรียกให้เฉินผิงอันมารังแกเจ้า ผู้หญิงบ้า ถึงเวลานั้นจะให้เฉินผิงอันขี่บนร่างเจ้าแล้วฟาดเจ้าให้ตาย ดูสิว่าวันหน้าใครจะกล้ามาสู่ขอเจ้า…
กู้ช่านถาม “ได้ยินว่าเจ้าไปอยู่ที่อุตรกุรุทวีปแล้ว?”
หลี่หลิ่วอืมรับหนึ่งที นางมองหลิ่วชื่อเฉิงที่อยู่ตรงตีนเขาของหินพักมังกร
กู้ช่านใช้เสียงในใจกล่าว “เป็นศิษย์น้องเล็กของเจ้านครจักรพรรดิขาว เจ้าระวังหน่อย แม้ว่าหลิ่วชื่อเฉิงจะปากเสีย แต่กลับไม่เคยทำอะไรจริงๆ”
หลี่หลิ่วชำเลืองตามองกู้ช่าน “เจ้าเปลี่ยนไปไม่น้อย”
กู้ช่านยิ้ม “ก็ยังพอได้”
หลังจากนั้นกู้ช่านก็ต้องตกตะลึงขนลุกชัน รีบทะยานลมดีดตัวขึ้นสูงหลายจั้งตามจิตใต้สำนึก
เพราะหลี่หลิ่วกระทืบเท้าหนึ่งที หินพักมังกรทั้งแห่งก็ปริแตกออกในเสี้ยววินาที
ไม่ได้ค่อยๆ จมลงสู่ทะเล แต่ภูเขาทั้งลูกกลับถูกสะเทือนให้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เพียงชั่วพริบตาใต้หล้าไพศาลก็สูญเสียหินพักมังกรที่เป็นของหลุมน้ำลู่แห่งนี้ไป
เหวยไท่เจินร่างส่ายโงนเงน ก่อนจะรีบทะยานลมขึ้นกลางอากาศ
นึกไม่ถึงว่าเซียนจับปลาที่ช่วยเฝ้าพิทักษ์สถานที่แห่งนี้แทนหลุมน้ำลู่กลับไม่เอ่ยอะไรสักคำ
ไฉ่ป๋อฝูตกใจจนขวัญแทบกระเจิง
——