กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 691.2 หมาเฝ้าประตู
เรื่องของการขุดเจาะลำน้ำใหญ่ของแจกันสมบัติทวีป อันที่จริงชุยตงซานคือผู้ตรวจงาน หน้าที่หลักๆ มีกวนอี้หรานและหลิวสวินเหม่ยที่เป็นคนรับผิดชอบ คนที่วางแผนอยู่เบื้องหลังอย่างแท้จริงก็คือหลิ่วชิงเฟิง
คนหนึ่งเป็นคุณชายจากตระกูลใหญ่ของต้าหลี คนหนึ่งเป็นลูกหลานเมล็ดพันธ์แม่ทัพของถนนฉือเอ๋อร์ อีกหนึ่งคืออดีตขุนนางบุ๋นของแคว้นชิงหลวนแคว้นใต้อาณัติ
ชุยตงซานไม่เคยพูดคุยกับผู้ฝึกตนบนภูเขาและขุนนางของลำน้ำใหญ่ ล้วนมอบอำนาจทั้งหมดไว้ในมือของคนหนุ่มทั้งสาม มีเพียงเรื่องที่หลิ่วชิงเฟิงรู้สึกลำบากใจเท่านั้น ถึงจะให้ชุยตงซานเป็นผู้ตัดสินใจ ฝ่ายหลังทำอะไรอย่างรวดเร็วฉับไวมาจนชิน จึงไม่เคยมีเรื่องใดที่ติดชะงักข้ามคืน
เลียบลำน้ำใหญ่ต้องเดินทางผ่านอาณาเขตของขุนเขาสายน้ำแคว้นใต้อาณัติหลายสิบแคว้น ศาลร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำน้อยใหญ่ล้วนต้องเปลี่ยนอาณาเขตการปกครองของตัวเองเพราะลำน้ำใหญ่สายนี้ ถึงขั้นที่ว่าสำนักจำนวนมากบนภูเขาต่างก็ต้องย้ายจวนบนภูเขาหรือแม้กระทั่งทั้งศาลบรรพจารย์
หลังจากที่หลินโส่วอีกลับมาจากทะเลสาบซูเจี่ยนก็ถูกชุยตงซานรั้งไว้ข้างกาย คอยชี้แนะเรื่องการฝึกตนให้แก่เขา
ก่อนหน้านี้หลินโส่วอีที่อยู่บ้านเกิดได้ใช้ภาพค้นภูเขาที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของนักพรตเฒ่าตาบอดเจี่ยเฉิงแลกเปลี่ยนมาด้วยบทกลางและบทล่างของตำรา ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ บทบนสร้างโอสถทอง บทกลางหลอมก่อกำเนิด บทล่างชี้ตรงไปที่หยกดิบ
ตอนนี้หลินโส่วอีเป็นขอบเขตประตูมังกร ไม่เพียงแต่ฝ่าทะลุขอบเขตได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีความอดทนยืดหยุ่นมากเพียงพอ นี่ต่างหากจึงจะเป็นเมล็ดพันธ์ของการฝึกตนที่แท้จริง
เดิมทีหลินโส่วอีวางแผนไว้ว่าจะพยายามสร้างโอสถทองให้ได้ภายในหนึ่งร้อยปี ตอนนี้ลองดูแล้วคงทำได้ล่วงหน้าหลายปี ขอบเขตถ้ำสถิตและขอบเขตโอสถทองคือสองปราการใหญ่สำหรับผู้ฝึกลมปราณ ก่อนจะสร้างโอสถทอง ผู้มีพรสวรรค์ตามความหมายโดยทั่วไป อันที่จริงล้วนไม่อาจต้านทานการกระทบกระเทียบ ไม่รู้ว่ามีคนกี่มากน้อยที่ถูกผลักกลับจากโอสถทองให้วนเวียนอยู่ที่ขอบเขตประตูมังกรตลอดชีวิต นับแต่นั้นก็เซื่องซึมไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก ไร้ความหวังบนมหามรรคาอย่างสิ้นเชิง
มรรคกถา การถ่ายทอดมรรคกถา มีข้อต้องห้ามใหญ่สุดคือสามปากหกหู
เพียงแต่ว่าเมื่ออยู่กับชุยตงซาน หลักการทั่วไปบนโลกล้วนใช้ไม่ได้ผล
หลินโส่วอีมอบ ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ทั้งสามบทให้ชุยตงซานโดยตรง ฝ่ายหลังอ่านจบแล้วก็เขียนคำอธิบายลงไปบนตำราลัทธิเต๋าทั้งสามเล่มจนเต็มพรืด ก่อนจะคืนให้หลินโส่วอี หากหลินโส่วอีไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของตัวอักษรเหล่านั้นค่อยมาขอให้เขาสอนให้ต่อหน้า
วันนี้หลินโส่วอีมาตรวจตราเขื่อนแห่งหนึ่งเป็นเพื่อนชุยตงซาน ฝุ่นผงตลบคละคลุ้ง ร่องลำน้ำเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่ได้ชักดึงน้ำมาที่นี่ คนงานที่อยู่บนฝั่งด้านนี้มองไม่เห็นคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม นี่แสดงให้เห็นว่าในอนาคตพื้นผิวน้ำของลำน้ำใหญ่สายนี้จะกว้างขวางเพียงใด
ชุยตงซานใช้ชายแขนเสื้อปัดฝุ่นบนร่างครั้งแล้วครั้งเล่า “ปีนั้นระหว่างที่เดินทางทัศนศึกษา นังเด็กเซี่ยเซี่ยนั่นสายตามองสูงไม่เห็นหัวใคร ไม่ว่าใครนางก็ดูแคลนไปหมด มีเพียงเจ้าที่นางยินดีมองเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน”
หลินโส่วอีพยักหน้ารับ ไม่ว่าใครก็มองออกว่าเซี่ยเซี่ยถือตัว แต่กระนั้นก็ค่อนข้างจะตรงไปตรงมา กลับกลายเป็นว่าคบหาได้ง่าย อันที่จริงคนที่หลินโส่วอีมองไม่ออกกลับเป็นอวี๋ลู่ รัชทายาทสกุลหลูผู้สิ้นแคว้นมากกว่า
เพียงแต่ว่าคำพูดแบบนี้หลุดออกมาจากปากของชุยตงซาน ฟังแล้วกลับเหมือนด่าคน
เฉินผิงอันกับอวี๋ลู่ต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว หลี่เป่าผิงและหลี่ไหวตอนนั้นอายุยังน้อย ก่อนที่เซี่ยเซี่ยจะกลายมาเป็นนักโทษลี้ภัย นางก็คือเทพเซียนอันดับหนึ่งที่ได้รับการยอมรับของราชวงศ์สกุลหลู ถูกมองเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่มีความหวังจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนมากที่สุด ส่วนหลินโส่วอีในเวลานั้นนอกจากเซี่ยเซี่ยแล้วก็ถือเป็นคนที่เดินบนเส้นทางการฝึกตนก่อนใคร
หลินโส่วอีเป็นกังวลใจ ถามเสียงเบาว่า “แม้แต่กำแพงเมืองปราณกระบี่ยังพิทักษ์ไม่อยู่ แจกันสมบัติทวีปของพวกเราจะพิทักษ์ได้หรือ?”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “พิทักษ์ไว้ได้แล้วอย่างไร พิทักษ์ไว้ไม่ได้แล้วอย่างไร? หากรู้ทั้งรู้ว่าพิทักษ์ไม่ได้ก็จะไม่พิทักษ์แล้วหรือ? หรือว่าจะให้อริยะของศาลบุ๋นมาเจอกับภูเขาทัวเยว่ ทั้งสองฝ่ายแข่งความสามารถบนหน้ากระดาษกัน ใต้หล้าไพศาลของพวกเราประกาศรายชื่อของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนแต่ละคนที่ชื่อเสียงเลื่องระบือ ให้มาแข่งวิชาคำนวณบวกลบที่แม้แต่นักเรียนในโรงเรียนยังทำเป็นกับภูเขาทัวเยว่ หากพวกเราเก่งกาจกว่า เผ่าปีศาจก็จะถอยกลับไปใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หากสู้คนอื่นเขาไม่ได้ พวกนายท่านใหญ่เผ่าปีศาจก็อย่าได้รีบร้อนลงมือ พวกเราจะยกสองมือถวายใต้หล้าหนึ่งไปให้พวกเขาแต่โดยดี จากนั้นค่อยถอยไปยังใต้หล้าแห่งที่ห้า นั่งดูดายอยู่เฉยๆ รอการประลองวิชาคิดคำนวณครั้งต่อไประหว่างภูเขาทัวเยว่กับป๋ายอวี้จิง”
ชุยตงซานพูดมาถึงตรงนี้ก็หัวเราะฮ่าๆ “จะว่าไปวิธีนี้ก็ไม่ทำลายความปรองดองที่สุดจริงๆ นะนี่”
หลินโส่วอีกล่าว “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
ชุยตงซานพยักหน้า “ข้าย่อมรู้ว่าเจ้าไม่ได้คิดอย่างนั้น เจ้ากำลังกังวลกับความเป็นความตายของคนด้านล่างภูเขาทุกคน”
หลินโส่วอีกล่าว “สรุปแล้วควรทำอย่างไรกันแน่? ขออาจารย์โปรดช่วยสอนข้าด้วย”
ชุยตงซานแหงนหน้ามองจุดที่สูงที่สุดของม่านฟ้าแจกันสมบัติทวีป เอ่ยเสียงเบาว่า “ผู้ฝึกตนบนภูเขาของหนึ่งทวีป บวกกับกองทัพต้าหลีของพวกเรา ยืดเอวตรงหลังตั้ง เป็นผู้กล้าที่พร้อมกระโจนเข้าหาความตายก่อน ส่วนคนอื่นๆ ที่ยินดีมีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ ก็รอให้ฝ่ายแรกตายสิ้นซากเสียก่อนค่อยคุกเข่าขอร้อง ส่วนพวกชาวบ้านด้านล่างภูเขาก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆ ได้แต่ฟังคำบัญชาจากสวรรค์แล้ว”
จวนที่ว่าการแห่งหนึ่งในเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน
หลี่เป่าเจินแอบปลีกตัวจากกองรายงานของที่ว่าการแคว้นใต้อาณัติ กองรายงานของสายลับแห่งขุนเขาสายน้ำต้าหลีกองโต มาดื่มสุราร่วมโต๊ะกับคนกันเองสองคน
ทุกวันนี้หลี่เป่าเจินควบหน้าที่หลายอย่าง นอกจากจะเป็นหนึ่งในหัวหน้าของศาลาคลื่นมรกต ต้องคอยดูแลรายงานข่าวทั้งหมดทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของหนึ่งทวีปแล้ว ยังมีเวลาว่างไปเป็นรองเจ้ากรมพิธีการของแคว้นชิงหลวนที่อนาคตในวงการขุนนางเจริญรุ่งเรืองด้วย เขาออกจากเมืองหลวงไปทำหน้าที่เป็นขุนนางหลักผู้คุมสอบของการสอบระดับท้องถิ่นสองครั้งแล้ว กลายเป็น ‘ผู้กุมอำนาจของฝ่ายบุ๋น’ นอกจากนี้ยังเป็น ‘กษัตริย์หลังม่าน’ ของยุทธภพและบนภูเขาของแคว้นใต้อาณัติหลายแห่งรวมถึงแคว้นชิงหลวนเป็นหนึ่งในนั้น แอบควบคุมการลาออกของคนเก่าการรับคนใหม่ของตัวอ่อนผู้ฝึกตนทุกคนที่เดินขึ้นเขาหรือคนที่อยู่ในสำนักของยุทธภพ
หลี่เป่าเจินโยนหนังสือเล่มหนึ่งให้กับบุรุษวัยกลางคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ยิ้มกล่าวว่า “คนบ้านเดียวกันของพวกเรา เจ้าขุนเขาแห่งภูเขาลั่วพั่วอายุน้อยผู้นี้ คาดว่าวันหน้าชื่อเสียงของเขาในแจกันสมบัติทวีปคงต้องถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงแล้ว”
บุรุษก็คือจูเหอ อดีตองค์รักษ์ผู้คุมกันจวนหลี่ถนนฝูลวี่ ส่วนหญิงสาวก็คือจูลู่บุตรสาวของเขา
พ่อลูกคู่นี้หลุดพ้นสัญชาติทาสมานานแล้ว จูเหอยังได้งานหนึ่งในกองทัพต้าหลี ทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลีมานานหลายปี สถานะไม่ต่างจากเว่ยเซี่ยนที่อยู่ข้างกายหลิวสวินเหม่ยขุนนางผู้ตรวจการลำน้ำใหญ่เท่าใดนัก เพียงแต่คุณความชอบทางการสู้รบของจูเหออยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับเว่ยเซี่ยนได้ติด ทุกวันนี้ระดับขั้นขุนนางก็ไม่สูง คือจื๋อจี่หลางลำดับล่างสุด หากได้เป็นขุนนางประจำท้องถิ่น อย่างมากสุดก็เป็นพวกเซี่ยนเหว่ยของแคว้นใต้อาณัติเท่านั้น เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับเสมียนของแคว้นใต้อาณัติทั่วไปแล้วจะมีสถานะของขุนนางบู๊ที่มีเกียรติอย่างหนึ่งเพิ่มเข้ามา
นอกจากต้าหลีจะแต่งตั้งตำแหน่งขุนนางทูตผู้ตรวจการขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีระดับเท่าเทียมกับจอมพลเสาค้ำยันแคว้นแล้ว วงการขุนนางก็มีการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ครั้งใหญ่ ระดับขั้นของขุนนางยังคงเป็นระดับเปิ่นกวนกับระดับซ่านกวน โดยเฉพาะอย่างหลัง ซ่านกวนบุ๋นบู๊ แต่ละฝ่ายจะมีการเพิ่มอีกหกระดับขั้น
ส่วนจูลู่กลายเป็นสายลับคนหนึ่งของศาลาคลื่นมรกต ทำงานอยู่ใต้บัญชาการณ์ของหลี่เป่าเจิน
จูเหอรับหนังสือเล่มนั้นมาด้วยความรู้สึกมึนงง เหลือบตามองบุตรสาว จูลู่คล้ายกำลังคลี่ยิ้ม เห็นได้ชัดว่านางรู้ต้นสายปลายเหตุมานานแล้ว
หลี่เป่าเจินรินเหล้าสามจอก เก็บไว้เองจอกหนึ่ง ที่เหลืออีกสองจอกถูกเขาผลักเบาๆ มันก็ไถลไปบนโต๊ะ ไปหยุดอยู่ตรงหน้าจูเหอจูลู่ บอกเป็นนัยแก่พ่อลูกสองคนว่าไม่ต้องลุกขึ้นแสดงคำขอบคุณ ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่แน่ว่าอีกไม่นานคงจะถูกต้าหลีสั่งห้าม และไม่แน่ว่าอีกไม่นานก็จะมีการจัดพิมพ์นำไปเผยแพร่ด้านนอก หากหนังสือเล่มนี้ไม่ถูกห้ามวางขาย ข้าก็ค่อนข้างจะคาดหวังให้มีฉบับคำวิจารณ์และเชิงอรรถปรากฎขึ้น หลีกเลี่ยงไม่ให้หลายๆ คนไม่เข้าใจความมหัศจรรย์หลายข้อในหนังสือเล่มนี้”
จูเหอเริ่มเปิดหน้าหนังสือ “กู้ช่าน เฉินผิงอัน? เป็นการสะท้อนเรื่องของกู้ช่านและเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิงงั้นหรือ?”
หลี่เป่าเจินเพียงดื่มสุราเงียบๆ จูลู่ใช้สองมือจับจอกเหล้า จิบเหล้าเบาๆ หนึ่งคำ
จูเหอขมวดคิ้วมุ่น “นี่มัน?”
ชายฉกรรจ์ไร้คำพูดจะเอื้อนเอ่ยแล้ว
ปีนั้นเขากับบุตรสาวร่วมเดินทางคุ้มกันหลี่เป่าผิงออกเดินทางไกล แม้จะอยู่ร่วมกับเฉินผิงอันได้ไม่นานนัก แต่จูเหอรู้นิสัยใจคอของเฉินผิงอันอย่างชัดเจน เนื้อหาในหนังสือจะบอกว่าเท็จ ก็ไม่ใช่ทั้งหมด จะบอกว่าจริง กลับห่างกันอยู่หลายขุม จึงทำให้คนรู้สึกถึงความผิดปกติ บนหนังสือมีอยู่หลายประโยคที่ทำให้จูเหอรู้สึกว่ามันตรงกันข้ามกับเรื่องจริงพอดี ยกตัวอย่างเช่นอารมณ์ความคิดของเด็กหนุ่มที่ซ่อนลึกอยู่ในหัวใจไม่อาจให้ใครเห็น และยังมีข้อที่บอกว่าเด็กหนุ่มยากจนตั้งปณิธานมานานแล้วว่าจะต้องเดินทางหมื่นลี้ อ่านตำราหมื่นเล่ม ชื่นชมเลื่อมใสอริยะปราชญ์ที่เป็นคนมีคุณธรรมสมบูรณ์แบบเป็นที่สุด…
ได้วิชาหมัดล้ำโลกมาโดยบังเอิญ? แต่เพียงเพราะเด็กหนุ่มเป็นผู้มีพรสวรรค์ คุณสมบัติดีเยี่ยมจึงไม่จำเป็นต้องขัดเกลาใดๆ การฝ่าทะลุขอบเขตบนวิถีวรยุทธรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด วันเดียวก็ฝ่าขอบเขตติดต่อกันถึงสามขั้น? ทำได้อย่างง่ายดายจนชักนำให้ยอดฝีมือนอกโลก เซียนบนภูเขาตกตะลึงพรึงเพริดไปตามๆ กัน? ก่อนจะออกเดินทางไกลก็มีโชควาสนามาเยือนไม่ขาดสาย เป็นลูกรักของสวรรค์ พอออกเดินทางแล้ว ไม่ว่าเจอกับเรื่องใดก็พร้อมเป็นฝ่ายออกหน้า ขอแค่เจอกับเรื่องไม่เป็นธรรมก็จะต้องออกหมัดอย่างเด็ดเดี่ยว มองดูเหมือนบรรยายให้เห็นถึงคนหนุ่มมีน้ำใจที่ฮึกเหิมและชอบผดุงคุณธรรม อีกทั้งทุกครั้งที่จ่ายค่าตอบแทนก็จะต้องมีโชควาสนาที่ใหญ่ยิ่งกว่าตามติดมา
ทว่าในสายตาของจูเหอ เฉินผิงอันนั้นตรงกันข้ามเลย เดิมทีเขาก็เป็นคนหนักแน่นสุขุม มีกลิ่นอายของความแก่ชรามากกว่าความสดใสของเด็กหนุ่มอยู่แล้ว
ส่วนสาวงามคนรู้ใจอะไรนั่น ด้วยนิสัยทึ่มทื่อเป็นตอไม้ของเฉินผิงอัน เรื่องนี้ก็ไม่เป็นความจริงเลย
จูเหอส่ายหน้าไม่หยุด ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
จูเหอไม่ใช่คนโง่ แม้ว่าจะไม่ใช่บัณฑิต แต่ก็ยังพอจะมองออกถึงปราณสังหารรุนแรงที่แฝงอยู่ในนี้ จอมยุทธพเนจรในตำราใช้คุณธรรมยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นความรู้บ้านตัวเองมาตำหนิคนอื่น เอะอะก็ฆ่าคน แม้ว่าไม่ได้ฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อ แต่หากลองสืบสาวอย่างละเอียด นอกจากภูตตนสองตนที่ออกอาละวาดในพื้นที่หนึ่งแล้ว นอกนั้นล้วนตายภายใต้หมัดของเฉินผิงอันทั้งสิ้น หากคิดอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะคนหรือภูตผีล้วนถือว่าอยู่ระหว่างสองทางเลือกคือจะฆ่าหรือไม่ฆ่า
จูเหอเปิดตำราอย่างว่องไว อดไม่ไหวถามว่า “ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ได้ยินคุณชายบอกว่าแท้จริงแล้วเฉินผิงอันหยุดชะงักอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนนานหลายปี จุดจบเรียกได้ว่าอเนจอนาถมาก ผ่านไปนานหลายปีถึงได้กลับบ้านเกิดหรอกหรือ?”
จูลู่หลุดหัวเราะเบาๆ
ชอบหาเรื่องใส่ตัวดีนัก ตอนนี้ก็ควรถูกกรรมตามสนองแล้ว
หากเปลี่ยนมาเป็นนาง มีเพื่อนอย่างกู้ช่าน หากไม่แอบรักษาความสัมพันธ์ไว้ก็คงชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียแล้วเลิกสนใจไปแล้ว ปล่อยอีกฝ่ายไปตามยถากรรมอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนก็พอ จะเข้าไปยุ่งด้วยทำไม? เกี่ยวอะไรกับเจ้าเฉินผิงอันแม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดงด้วยหรือ? ไม่มีความสามารถขึ้นเป็นอันดับสิบคนรุ่นเยาว์และสำรองสิบคนที่อุตรกุรุทวีปประเมินออกมา ผลกลับกลายเป็นว่าชื่อเสียงเลื่องลือยิ่งกว่าพวกผู้มีพรสวรรค์ทั้งยี่สิบคนนั้นเสียอีก นับว่าเจ้าเฉินผิงอันโชคไม่เลว ยังคงโชคดีเหมือนในอดีต
หลี่เป่าเจินยกจอกเหล้าขึ้นมาหมุนช้าๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คนอ่านหนังสืออย่างพวกเรา ใครบ้างที่ไม่ชอบอ่านถึงเรื่องประสบการณ์อันยอดเยี่ยมในยุทธภพและโชควาสนาบนภูเขา? แต่หากพวกลูกศิษย์ลัทธิเต๋าอ่านหนังสือเล่มนี้กลับมีเรื่องให้พูดมากมายแล้วล่ะ ส่วนพวกจอมยุทธในยุทธภพจะต้องด่าว่าคนผู้นี้สร้างชื่อเสียงจอมปลอม ทั้งไม่ฆ่ากู้ช่านแล้วยังอาศัยเรื่องนี้มาสร้างชื่อเสียงให้ตน จ่ายเงินแค่ไม่กี่ร้อยตำลึงทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนตายลวกๆ แค่ไม่กี่ครั้งก็ทำให้จิตใจสงบสุขได้แล้วหรือ? ฝ่ายเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาย่อมต้องมองเขาเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ส่วนผู้ฝึกตนอิสระจะเย้ยหยันว่าเขาทำอะไรไม่รอบคอบไร้ประสบการณ์ มีโชควาสนาเสียเปล่า แท้จริงแล้วกลับเป็นหมอนปักลายบุปผา หากไม่ใช่คนในตำรา ป่านนี้คงตายไปหลายสิบรอบแล้ว พวกบัณฑิตปัญญาชนที่นอกจากจะอิจฉาว่าคนผู้นี้มีหนี้รักรัดพันตัวแล้ว ก็ต้องด่าเขาว่าแสร้งวางมาดให้ดูภูมิฐาน แม้แต่สัตว์สักตัวก็ยังเทียบไม่ได้”
หลี่เป่าเจินกล่าว “แล้วนับประสาอะไรกับที่ในหนังสือยังจงใจอธิบายวิชาหมัดและคาถาเซียนอย่างละเอียด แม้จะเป็นสัจธรรมหมัดและเวทคาถาขั้นต้นแบบหยาบๆ แต่คิดดูแล้วพวกคนในยุทธภพและผู้ฝึกตนอิสระตามป่าเขาต้องปรารถนาอยากได้มันมาครองแน่นอน นี่จะยิ่งทำให้หนังสือเล่มนี้เผยแพร่ตามหมู่ชาวบ้านร้านตลาดได้ง่าย แบบนี้จะห้ามขายได้อย่างไร? ห้ามไม่ได้เลยล่ะ แน่นอนว่าหากที่ว่าการต้าหลีคิดจะห้ามขายหนังสือเล่มนี้จริง ก็กลับจะยิ่งเป็นการช่วยผลักดันอย่างที่มองไม่เห็น”
หลี่เป่าเจินดื่มเหล้าในจอกจนหมด “วันหน้ายิ่งภูเขาลั่วพั่วขยายใหญ่มากเท่าไร ขอบเขตของเฉินผิงอันสูงเท่าไร คำวิพากษ์วิจารณ์ที่แจกันสมบัติทวีปมีต่อพวกเขาก็ยิ่งมากเท่านั้น ยิ่งเขาสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่เทียมฟ้า คำด่าก็จะยิ่งมากปานกัน ถึงอย่างไรทุกอย่างล้วนเป็นเพราะเขามีใจที่เห็นแก่ตัวมากเกินไป อย่างมากสุดก็แค่แสร้งทำเป็นมีน้ำใจมีคุณธรรม แสร้งทำเป็นคนดีที่กระทำความดีเท่านั้น คนที่แต่งหนังสือเล่มนี้คือบัณฑิตที่ข้าเลื่อมใสที่สุดเว้นจากหลิ่วชิงเฟิง อยากจะพบหน้าเขาแล้วขอความรู้อย่างจริงใจสักครั้งจริงๆ”
หลี่เป่าเจินมองไปทางประตู ยิ้มเอ่ยว่า “อาจารย์หลิ่วเห็นด้วยหรือไม่? ในอนาคตหากมีโอกาส ไม่สู้เจ้าจับมือกับข้าไปเยี่ยมเยือนคนบนเส้นทางเดียวกันผู้นี้ด้วยกันดีไหม?”
หลิ่วชิงเฟิงยืนอยู่หน้าประตู ยิ้มกล่าว “คนไร้คุณธรรมทำเรื่องมีคุณธรรม สำหรับบัณฑิตที่อ่านตำราอริยะปราชญ์จนได้ความคิดบิดเบี้ยวอย่างพวกเรา นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายมากหรอกหรือ? ต่อให้ทำสำเร็จแล้วจะรู้สึกประสบความสำเร็จตรงไหน?”
หลี่เป่าเจินชูจอกเหล้าขึ้น “อาจารย์หลิ่วมักจะสูงกว่าข้าระดับหนึ่งอยู่เสมอ”
หลิ่วชิงเฟิงโบกมือ “ครั้งนี้มาหาเจ้าเพราะมีเรื่องจะปรึกษา”
หลี่เป่าเจินวางจอกเหล้าลง ยิ้มพลางลุกขึ้นยืน “ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนสถานที่เถอะ”
คู่พ่อลูกจูเหอจูลู่ต่างก็รู้จักแขกที่ไม่ได้รับเชิญท่านนี้ ดังนั้นจึงลุกขึ้นยืนก่อนหลี่เป่าเจินเสียอีก พวกเขากุมหมัดคารวะ ขณะเดียวกันก็เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “คารวะผู้ตรวจการหลิ่ว”
ขุนนางบุ๋นแห่งแคว้นชิงหลวนในอดีตที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ตรงหน้าผู้นี้ หากอิงตามคำบอกของคุณชายบ้านตน วันหน้าคนผู้นี้ได้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะกลายเป็นขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาของราชวงศ์ต้าหลี นอกจากอายุขัยจะสั้น มีชีวิตอยู่ได้ไม่ยืนยาวแล้ว นอกจากนี้หลิ่วชิงเฟิงก็ไม่มีจุดอ่อนใดๆ อีก เป็นคนที่อันตรายอย่างถึงที่สุด เทพเซียนบนภูเขาอะไร กษัตริย์แห่งแคว้นใต้อาณัติอะไร ล้วนไม่มีความสำคัญในสายตาของคนผู้นี้
หลิ่วชิงเฟิงคลี่ยิ้มอบอุ่น พยักหน้าให้คนทั้งสองเบาๆ
หลังจากคุยธุระกับหลี่เป่าเจินจบ หลิ่วชิงเฟิงก็ให้ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่เป็นองค์รักษ์ประจำตัวเช่นเดียวกับหวังอี้ฝู่ขับเคลื่อนเรือข้ามฟากตระกูลเซียนลำหนึ่งเร่งเดินทางไปยังยอดเขาสูงแห่งหนึ่ง และตรงตีนเขาก็คือถนนทางหลวง หลิ่วชิงเฟิงให้คนผู้นั้นร่ายวิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือ มองไปยังคู่ชายหญิงที่กำลังเดินเนิบช้าอยู่บนถนนทางหลวงตีนเขาอยู่ไกลๆ
บุรุษหนุ่มที่อยู่บนถนนเดินขากะเผลก ส่วนสตรีพกดาบรูปโฉมธรรมดาผู้นั้นก็เหลือบมองมายังยอดเขาคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา จากนั้นก็ผงกศีรษะน้อยๆ แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น
เพียงแต่ว่าสตรีผู้นั้นแหงนหน้าชำเลืองมองแวบเดียวก็ทำให้ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพคนนั้นตกตะลึงอย่างหนักแล้ว ช่างเป็นจิตสังหารที่เข้มข้นยิ่งนัก
หลิ่วชิงเฟิงกล่าว “สามารถเก็บวิชาอภินิหารได้แล้ว”
สองคนที่อยู่ตรงตีนเขาก็คือหลิ่วชิงซานและหลิ่วป๋อฉีที่กลับมาจากการออกเดินทางไกล ก่อนหน้านี้สองสามีภรรยามุ่งหน้าไปยังเรือนซือเตาของภูเขาห้อยหัว กลับบ้านเดิมของภรรยา
อันที่จริงหลิ่วป๋อฉีไม่มีความคิดนี้ แต่หลิ่วชิงซานบอกว่าจะต้องไปพบหน้าอาจารย์ของนางให้ได้ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร จะโดนตีหรือโดนด่า หรือว่าโดนไล่ออกมาจากภูเขาห้อยหัว ถึงอย่างไรก็ควรปฏิบัติตามมารยาทที่พึงกระทำ แต่คิดไม่ถึงว่าพอไปถึงนครมังกรเฒ่า เรือข้ามทวีปทั้งหลายกลับบอกว่าไม่ออกทะเลแล้ว ไม่ว่าหลิ่วชิงเฟิงจะถามหาสาเหตุอย่างไร พวกเขาก็บอกเพียงว่าไม่รู้ สุดท้ายยังเป็นหลิ่วป๋อฉีที่ออกจากบ้านไปด้วยตัวเองถึงได้นำข่าวที่ชวนให้คนตะลึงพรึงเพริดกลับมา ทางฝั่งของภูเขาห้อยหัวไม่อนุญาตให้เรือข้ามฟากของทั้งแปดทวีปไปจอดเทียบท่า เพราะกำแพงเมืองปราณกระบี่เริ่มมีการป้องกันอย่างเข้มงวด จะไม่ทำการค้าใดๆ กับใต้หล้าไพศาลอีกแล้ว หลิ่วป๋อฉีไม่ได้เป็นห่วงเรือนซือเตา เพียงแต่ลึกๆ ในใจอดเสียดายไม่ได้ เดิมทีนางคิดว่าจะทิ้งควันธูปเอาไว้ จากนั้นนางจะไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่เพียงลำพัง ส่วนจะกลับบ้านมาเมื่อไหร่ ถึงเวลานั้นค่อยเอ่ยสามคำกับสามีอย่างตรงไปตรงมาว่า ยังไม่แน่