กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 695.4 ขอบเขตยอดเขาที่อยู่ในจุดสูงที่สุด
สตรีผู้นั้นเห็นหญิงสาวสวมชุดเขียวที่ตบะแค่คอขวดก่อกเนิดแล้วก็พลันรู้สึกขนลุกพรั่นผวาอยู่ในใจอย่างรุนแรง เป็นสัญชาตญาณที่ไม่อาจใช้เหตุผลมาอธิบายได้เลย
สตรีไม่ใช่คนโง่ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นถึงปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่รู้เรื่องราวในปฏิทินเหลืองดี พอคิดถึงตัวตนที่แท้จริงของหลี่หลิ่วที่อยู่ตรงหน้าแล้ว นางก็เดาตัวตนที่แท้จริงของสตรีแปลกหน้าผู้นั้นออกในทันที
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ นั่งอยู่บนบัลลังก์สูง หลุบตามองโลกมนุษย์ ดวงตะวันเผามหาสมุทร หลอมสังหารหมื่นสรรพสิ่ง! จุดใดที่แสงตะวันส่องไปถึง ล้วนเป็นผืนแผ่นดิน
แรกเริ่มสตรียังสำรวมระมัดระวังตนอยู่ทุกขณะ แต่ไม่นานก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งใบหน้าและดวงตาต่างก็เริ่มเปลี่ยนไป เป็นเหตุให้นิสัยดุร้ายพลันบังเกิด ปีศาจใหญ่ตนหนึ่ง ถึงอย่างไรก็เป็นถึงขอบเขตบินทะยานอย่างสมชื่อ ต่อให้ในใจจะมีความหวาดกลัวมากแค่ไหน แต่หากถึงขีดจำกัดขึ้นมาเมื่อไหร่ กลับกลายเป็นว่าจะกระตุ้นสันดานดิบ ขอบเขตบินทะยานที่ยิ่งใหญ่มีหรือจะยอมยืนนิ่งเฉยรอให้คนมาฆ่า ต่อให้ต้องทุ่มสุดชีวิตก็ต้องลองเข่นฆ่ากันดูสักตั้ง!
หร่วนซิ่วค่อยๆ ละสายตาออกมาจากบนร่างของสตรีโตเต็มวัย หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาแล้วคีบขนมหนึ่งชิ้นใส่ปากเคี้ยวช้าๆ
หลี่หลิ่วกล่าว “ข้าไม่มีปัญหา ประเด็นสำคัญคืออยู่ที่นาง”
หร่วนซิ่วพยักหน้า “ข้ามีข้อเรียกร้องเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ คุณความชอบของศาลบุ๋นต้องยกให้เป็นของสำนักกระบี่หลงเฉวียน แต่สามารถหักลบไปครึ่งหนึ่งได้”
หยางเหล่าโถวลังเลเล็กน้อย “เรื่องนี้ข้าจะไปปรึกษากับชุยฉานดู ในเมื่อเป็นฝ่ายยอมให้หักลบได้ก็ไม่น่าจะมีปัญหามากนัก”
หลี่หลิ่วกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็เหมือนกัน ยกให้หลี่ไหว”
หยางเหล่าโถวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “จะยกให้เขาทำบ้าอะไร เจ้าลูกกระต่ายน้อยนั่นต้องการหรือ? จะไม่ถูกเขารังเกียจหาว่าเป็นขี้หมาที่เหยียบหนักรองเท้าหรือไร”
หลี่หลิ่วหัวเราะ แล้วก็ล้มเลิกความคิดนี้ทันที
แต่พอหลี่หลิ่วโยนด้ายแดงที่ได้มาจากหลี่ไหวให้กับหยางเหล่าโถวแล้ว ก็หัวเราะหยันเอ่ยว่า “หมายความว่ายังไง? วางแผนลามมาถึงตัวน้องชายข้า เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรือไร? ไม่สู้ให้ข้าใช้คุณความชอบส่วนนั้นมาแลกชีวิตสตรีหน้าเหม็นนั่น พอหรือไม่เล่า?”
หยางเหล่าโถวขมวดคิ้วกล่าว “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่ง ข้าจะเก็บกวาดเรื่องเละเทะนี่เอง”
หร่วนซิ่วพลันถามว่า “บันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้นเป็นมาอย่างไรกันแน่?”
หยางเหล่าโถวหลุดหัวเราะพรืด “สำนักประพันธ์แบ่งออกเป็นสองสาย สายหนึ่งมุ่งเข้าหาประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการ พยายามจะสลัดสถานะขุนนางตำแหน่งเล็กๆ ให้หลุด ไม่ยินดีจะเขียนประวัติศาสตร์สายรอง หวังว่าจะอาศัยพื้นที่มงคลกระดาษขาวมาพิสูจน์มรรคา อีกสายหนึ่งกลับหัวแหลมจึงเดินไปบนเส้นทางของเกร็ดพงศาวดาร ฝ่ายหลังมีแผนการใหญ่กว่าฝ่ายแรกมากนัก”
หยางเหล่าโถวโบกกระบอกสูบยาเก่าแก่ “เรื่องพวกนี้พวกเจ้าไม่ต้องสนใจ รีบฝ่าทะลุขอบเขตหยกดิบโดยเร็วจึงจะเป็นเรื่องเร่งด่วน ทุกวันนี้พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องอำพรางตนเท่าไรแล้ว”
หร่วนซิ่วชำเลืองตามองสตรีโตเต็มวัยจากต่างถิ่นผู้นั้น ขนมในมือนางกินไปหมดแล้ว
หากหลอมและสังหารอีกฝ่าย ตนก็มีโอกาสที่จะมุ่งตรงไปยังขอบเขตเซียนเหรินได้เลย
หลี่หลิ่วแค่นเสียงเย็นชา “หร่วนซิ่ว สำรวมหน่อยเถอะ”
หร่วนซิ่วนั่งอยู่บนม้านั่งยาวอย่างเกียจคร้าน ยิ้มตาหยีถามว่า “เจ้าเป็นใครกัน?”
สตรีรู้สึกกระวนกระวายไม่เป็นสุข
นี่ต่างหากจึงจะเป็นเทพเซียนตีกันที่แท้จริง
หร่วนซิ่วถาม “เขาจะยังกลับมาได้หรือไม่?”
หยางเหล่าโถวเงียบไม่ตอบคำถาม แต่ควันในลานบ้านขนาดเล็กกลับยิ่งเข้มข้น
จากนั้นสตรีก็ต้องตกตะลึง อกสั่นขวัญผวาอีกครั้ง นางหันไปมองสตรีเรือนกายสูงใหญ่สวมชุดขาวที่มีนัยน์ตาสีทองซึ่งยืนอยู่ด้านหลังหยางเหล่าโถว
พอได้เห็น ‘คนผู้นี้’ สตรีแห่งหลุมน้ำลู่ก็รู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อย ตนไม่ควรติดตามหลี่หลิ่วมาเที่ยวเล่นที่นี่เลยจริงๆ ดูเหมือนว่าขนาดขอบเขตบินทะยานอย่างนาง พอมาอยู่ที่นี่ก็ยังอ่อนด้อยอยู่ดี หากรู้แต่แรกก็ไม่สู้ไปหาเรื่องฮว่อหลงเจินเหรินที่อุตรกุรุทวีปยังดีเสียกว่า
ได้ยินสตรีร่างสูงใหญ่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แน่นอน”
นางหลุบตาลงต่ำมองหยางเหล่าโถวที่นั่งอยู่บนพื้น “บอกกับชุยฉาน แล้วให้เขาไปบอกต่อแก่ศาลบุ๋น ระวังว่าข้าจะทำให้ใต้หล้าไพศาลและใต้หล้ามืดสลัวต้องเปลี่ยนมาเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน”
หยางเหล่าโถวเอ่ย “ขอแค่เจ้าอยู่ที่นี่ เฉินผิงอันก็จะมีโอกาส เขาดวงแข็ง แล้วนับประสาอะไรกับที่การอดทนข่มกลั้นของเขาเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว หากติดตามเจ้าไปที่นั่น บางทีชีวิตนั้นของเขาอาจต้องมอบให้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปอย่างสมบูรณ์แล้ว”
นางเอ่ย “อยู่ที่นั่นเพียงลำพังก็เหมือนอยู่ไม่สู้ตายไม่ใช่หรือ?”
หยางเหล่าโถวกล่าว “ข้ากลับรู้สึกว่าเขาอยู่ที่นั่นจึงจะเป็นการฝึกตนที่ดีที่สุด เดินขึ้นเขาเป็นเรื่องใหญ่ การฝึกฝนจิตใจเป็นเรื่องยาก ไม่ใช่ว่าแค่โดนด่าสองสามคำ ทำเรื่องดีแค่สองสามเรื่องก็เป็นการฝึกตนแล้ว”
นางหัวเราะหยัน “ดูเหมือนว่าเจ้ากับเฉินชิงตูจะมีคุณสมบัติให้พูดจาเช่นนี้กันนัก”
หยางเหล่าโถวพยักหน้ารับ “ก็พอได้”
หยางเหล่าโถวโบกกระบอกยาสูบ “ยังไงก็ยังต้องระวังไว้ก่อน ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์พวกนั้นไม่มีทางปล่อยให้พวกเจ้าต้มทะเลย้ายน้ำเป็นแน่”
หร่วนซิ่วขี่กระบี่ออกไปจากเรือน หลี่หลิ่วพาสตรีโตเต็มวัยไปยังบ้านบรรพบุรุษของตัวเอง
หยางเหล่าโถวลุกขึ้นยืน “หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับข้า เจ้าก็ช่วยดูแลให้หน่อย”
นางพยักหน้า “เหลือคนรู้จักอยู่แค่ไม่กี่คนแล้ว เจ้าก็ระวังกระดูกแก่ๆ นี้ของเจ้าด้วย”
หยางเหล่าโถวยิ้มเอ่ยคำเดิมก่อนหน้านี้ซ้ำอีกรอบ “ก็พอได้”
ช่วงกลางลำน้ำใหญ่ของแจกันสมบัติทวีป บนเขื่อนแห่งหนึ่งที่เพิ่งสร้างใหม่ล่าสุด เด็กหนุ่มชุดขาวขี่อยู่บนร่างเด็กชายคนหนึ่ง ข้างกายมีผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่จอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลา และยังมีหลินโส่วอีที่ตามมาเงียบๆ
เด็กหนุ่มกำลังด่าอย่างเกรี้ยวกราดว่าเจ้าตะพาบเฒ่าไม่ใช่คน
หลินโส่วอีได้แต่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไร อันที่จริงหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มคู่นี้ ทั้งสองคนต่างก็ถือเป็นอาจารย์ลุงในใจของเขา
ราชครูถามหลินโส่วอีว่า “เจ้ารู้สึกว่าหลิ่วชิงเฟิงเป็นคนอย่างไร?”
หลินโส่วอีตอบ “เกิดมาก็เหมาะกับทฤษฎีการงานและคุณความชอบของอาจารย์ลุง เป็นคนดีมาก ความรู้ที่มีไม่เสียเปล่า”
ชุยฉานกล่าว “มองเรื่องราวไม่ผิด มองคนกลับดูแค่ด้านเดียว หลิ่วชิงเฟิงผู้นั้นเป็นคนที่มองดูเหมือนเย็นชาแต่มีน้ำใจ ทว่าอย่าได้ถูกคำว่ามีน้ำใจล่อลวงเข้าล่ะ กุญแจสำคัญนั้นอยู่ที่คำว่าเย็นชา”
ชุยตงซานหัวเราะคิก “ตะพาบเฒ่าพูดจาภาษาคนได้ด้วยหรือ หาได้ยาก หาได้ยาก ถูกๆๆ หลิ่วชิงเฟิงผู้นั้นยินดีทำดีต่อโลกใบนี้ก็จริง แต่นี่ไม่เท่ากับว่าเขาเห็นดีเห็นงามกับวิถีทางโลกใบนี้ ในความเป็นจริงแล้วหลิ่วชิงเฟิงไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าโลกใบนี้มองเขาอย่างไร การที่ข้าชื่นชมเขาก็เพราะว่าเขาเหมือนข้า ลำดับขั้นตอนก่อนหลังจะให้ผิดพลาดไม่ได้”
ชุยฉานเอ่ย “ข้าจะต้องไปที่หุบเขาผีร้ายของชายหาดโครงกระดูกอุตรกุรุปทวีแล้ว”
ชุยตงซานลังเลเล็กน้อย “เหตุใดถึงไม่ใช่ข้าที่ต้องไป? ข้ามีน้องเกาคอยนำทางให้นะ”
ชุยฉานกล่าว “ขอบเขตของเจ้าต่ำเกินไป ไม่แน่เสมอไปว่าเกาเฉิงผู้นั้นจะยอมเชื่อเจ้า แจกันสมบัติทวีปไม่มีเวลามามัววางแผนปัดแข้งปัดขาอยู่กับเขา หากเขาคิดจะชดเชยมหามรรคาให้กลับมาสมบูรณ์ ทำความเข้าใจกับวิถีการโคจรของวัฎสังสารที่เป็นรากฐานที่สุดจนเชี่ยวชาญ แจกันสมบัติทวีปก็จะมอบโอกาสนี้ให้เขา ยามที่ถึงช่วงเวลาสำคัญ ข้าจะขอยืมตัวจงขุยมาจากใบถงทวีป เจ้าไปหามหาภิกษุที่เดินทางไปเยือนอารามป๋ายอวิ๋นก่อน มีเรื่องบางอย่างที่ต้องพูดคุยกันให้เรียบร้อยไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นจะละเมิดกฎข้อใหญ่ ได้ไม่คุ้มเสีย ต่อให้จะรักษาแจกันสมบัติทวีปไว้ได้ ข้าก็ไม่มีทางยอมให้มันเหลือแค่ซากเละๆ เต็มไปด้วยหลุมบ่อเด็ดขาด”
หากไม่เป็นเพราะใจคนของใบถงทวีปแตกฉานซ่านเซ็นเกินไป ก็ใช่ว่าชุยฉานจะไม่เคยคิดเชื่อมโยงแจกันสมบัติทวีปกับใบถงทวีปเข้าด้วยกัน
จงขุยบวกกับเกาเฉิง แน่นอนว่ายังต้องมีชุยตงซานอีกคน เดิมทีก็มีแนวโน้มว่าน่าจะทำสำเร็จอยู่แล้ว
ชุยตงซานยื่นมือไปกดศีรษะของเด็กน้อย ด่าว่า “น้องเกา เจ้าตะพาบเฒ่าหน้าไม่อายคิดจะขุดหลุมพรางหลอกเจ้าแน่ะ รีบพ่นน้ำลายใส่หน้าเขา ช่วยล้างหน้าให้เขาเร็วๆ…”
ชุยฉานเพิ่มระดับน้ำเสียง “ข้ากำลังคุยเรื่องเป็นการเป็นงานกับเจ้า!”
ชุยตงซานเอ่ยอย่างเดือดดาล “ข้าผู้อาวุโสไม่ได้หูหนวกสักหน่อย!”
ก่อนที่ชุยฉานจะจากไป ดูเหมือนว่าอยู่ดีๆ เขาก็เอ่ยถ้อยคำที่ไร้ความจำเป็น “วันหน้าตั้งใจฝึกตนให้ดี หากเจอกับซิ่วไฉเฒ่าก็บอกไปว่าความผิดและความชอบทั้งหมดอยู่แค่ในใจของข้าเท่านั้น อันที่จริงไม่มีอะไรจะพูดกับเขา”
ชุยตงซานกล่าวอย่างอัดอั้น “เจ้าแน่จริงก็ไปพูดเองสิ ข้าผู้อาวุโสไม่ใช่เครื่องถ่ายทอดคำพูดเสียหน่อย มารดาเถอะ ทุกวันนี้ห่างกันตั้งสองรุ่น เรียกซิ่วไฉเฒ่าว่าอาจารย์ปู่แล้วอายชะมัด”
ชุยฉานแหงนหน้ามองม่านฟ้า เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “เพราะข้าไม่แน่จริง ถึงได้ให้เจ้าเป็นคนพูด”
ราชครูต้าหลีหดย่อพื้นที่ พริบตาเดียวก็ห่างไปไกลหลายพันลี้ แจกันสมบัติทวีปที่กว้างใหญ่เหมือนกลายมาเป็นฟ้าดินเล็กของบัณฑิตขอบเขตบินทะยานท่านนี้
ชุยตงซานกระโดดลงมาจากร่างเด็กน้อย กระโดดตัวขึ้นแล้วโบกชายแขนเสื้ออย่างแรง ชูหมัดสองมือไปยังทิศทางที่ร่างของชุยฉานหายวับไป ปากสบถด่ารัวๆ ว่า ไสหัวไปให้พ้นๆ
หลินโส่วอีกลับรู้ดีว่า แท้จริงแล้วชุยตงซานอาจารย์อาที่มองดูเหมือนไม่แยแสสังคมข้างกายผู้นี้ เวลานี้ต้องเสียใจอย่างมาก
ขณะที่ชุยฉานออกจากแจกันสมบัติทวีปไปเยือนอุตรกุรุทวีป
เหล่าผู้ฝึกตนใหญ่ได้ร่วมกันร่ายวิชาอภินิหารตัดขาดฟ้าดินแล้ว
ทางทิศเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีป หร่วนซิ่วสะบัดกำไลข้อมือ มังกรเพลิงตัวหนึ่งพลันเผยกายเลื้อยตรงไปทางทิศเหนือ ภายใต้แสงตะวันแรงจ้า เส้นแสงมากมายระหว่างฟ้าดินก็คล้ายจะพากันเอนเอียงแล้วรวมตัวกันอยู่บนเส้นทางสายนั้น
ทางทิศใต้สุดของอุตรกุรุทวีป หลี่หลิ่วยืนอยู่ริมชายหาด แบ่งแยกมหาสมุทรใหญ่ออกจากกัน
บนเส้นแนวตรง ทางฝั่งขวามีผู้ฝึกกระบี่และผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปจำนวนมากคอยให้การคุ้มกัน มีฉีจิ่งหลงเจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุย หวงถงบรรพจารย์ผู้คุมกฎ ลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิงที่เพิ่งกลับจากทักษินาตยทวีป ป๋ายฉางเซียนกระบี่อันดับหนึ่งแห่งทิศเหนือ บรรพจารย์น่าหลันผู้คุมกฎของสำนักเบื้องบนสำนักพีหมา จู๋เฉวียนเจ้าสำนัก…
ฝั่งซ้ายมีแค่ขอบเขตบินทะยานสองคน เป็นคนรู้จักเก่าแก่กันแล้ว ฮว่อหลงเจินเหรินกับสตรีแห่งหลุมน้ำลู่ ฮว่อหลงเจินเหรินหัวเราะหึหึ ส่วนสตรีก็หัวเราะอย่างโง่งมตามไปด้วย
ลู่จือ ถัวเหยียนฮูหยิน เซียนกระบี่เส้าอวิ๋นเหยียนแห่งเรือนชุนฟานต่างก็เดินทางไปเยือนทักษินาตยทวีปด้วยกัน
จอมยุทธเคราดกปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมาถึงชายหาดทักษินาตยทวีปก่อนใครเพื่อถามกระบี่แก่เฉินฉุนอันผู้รอบรู้
ผู้ฝึกตนครึ่งหนึ่งของทักษินาตยทวีปต่างก็สามารถมองเห็นแสงกระบี่ที่ฉีกม่านราตรีนั้นได้
เหนือมหาสมุทรบังเกิดแสงจันทร์ครึ่งดวงที่ปกคลุมตลอดทั้งทักษินาตยทวีปไว้ภายในได้พอดี หลังจากที่แสงกระบี่คมกริบแหวกผ่าม่านแสงจันทร์แล้วก็ถูกกายธรรมใหญ่โตมโหฬารของเฉินฉุนอันเก็บเข้ามาไว้ในชายแขนเสื้อ
บนยอดเขาตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่อยู่ติดกับมหาสมุทร ถัวเหยียนฮูหยินถามเบาๆ “เหตุใดหลิวชาถึงต้องทำเช่นนี้? นี่ไม่เท่ากับว่าช่วยคลายวิกฤตให้เฉินฉุนอันชั่วคราวหรอกหรือ?”
เส้าอวิ๋นเหยียนกล่าว “ก็เพราะว่าเคารพเฉินฉุนอัน หลิวชาถึงได้ตั้งใจมาส่งกระบี่นี้ที่นี่ แน่นอนว่าก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้ทั้งหมด เมื่อส่งกระบี่นี้ไปแล้ว ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางจะต้องให้การป้องกันทักษินาตยทวีปแน่นหนากว่าเดิม ผู้ฝึกตนของแผ่นดินกลางกลุ่มใหญ่ที่มีบรรพบุรุษตระกูลไหวเป็นหนึ่งในนั้นต่างก็เร่งรุดเดินทางมาที่ทักษินาตยทวีปแล้ว”
ถัวเหยียนฮูหยินเอ่ยเย้ยหยัน “มาดูงิ้วที่นี่หรือ ทำไมไม่เลียนแบบโจวเสินจือ มุ่งตรงไปเฝ้าถ้ำซานสุ่ยที่ฝูเหยาทวีปเสียเลยเล่า”
เส้าอวิ๋นเหยียนไม่เอ่ยอะไรอีก
เซียนกระบี่หญิงร่างผอมสูงที่หลับตาทำสมาธิพลันลืมตาขึ้น ผงกศีรษะน้อยๆ ที่แท้เป็นเฉินฉุนอันที่เก็บกายธรรมมาปรากฎตัวอยู่ข้างกายพวกเขา
ถัวเหยียนฮูหยินที่เมื่อครู่นี้ยังพูดจาเหน็บแนมเงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาว นางไม่มีความรู้สึกดีอันใดต่อใต้หล้าไพศาลอยู่แล้ว หลังติดตามลู่จือ ถัวเหยียนฮูหยินก็ยิ่งชอบเรียกตัวเองว่าเป็นคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งตัวอย่างภาคภูมิใจมากกว่า
เพียงแต่ผู้รอบรู้ข้างกายท่านนี้ทำให้นางเคารพยำเกรงยิ่งนัก
ถึงอย่างไรใต้หล้าไพศาลก็ยังมีบัณฑิตบางส่วนที่ไม่ว่าพวกเขาอยู่ที่ใด ก็ดูเหมือนว่าหลักการเหตุผลล้วนอยู่ที่นั่น
ไปหาเรื่องพวกเขากลับกลายเป็นว่าน่ากลัวยิ่งกว่าไปมีเรื่องกับขอบเขตบินทะยานที่พยศยากจะกำราบเสียอีก
เฉินฉุนอันยิ้มทักทายทุกคนแล้วก็ทอดตามองมหาสมุทรกว้างใหญ่ บนไหล่แต่ละข้างมีดวงตะวันและดวงจันทรา เพียงแต่ว่าจันทราดวงนั้นมีรอยปริร้าวเสี้ยวหนึ่ง
เฉินฉุนอันคลี่ยิ้มอย่างเข้าใจแทบจะเวลาเดียวกันกับลู่จือ
โชคชะตาบู๊เก้าสายที่น่าตะลึงพรึงเพริดอย่างถึงที่สุดของใต้หล้ำไพศาลพากันไหลกรูเข้าหากำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริก
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเองก็เป็นเช่นเดียวกัน โชคชะตาบู๊ที่มากมหาศาลขุมหนึ่งไหลกรูเข้าหากำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครั้ง
ตรงจุดหน้าผาขาดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หลงจวินจุ๊ปากยิ้มกล่าว “หมาบ้า”
มีผู้ฝึกลมปราณที่สมองมีปัญหาคนหนึ่ง ที่แท้ก็ไม่ได้คิดจะเลื่อนเป็นขอบเขตก่อกำเนิดของผู้ฝึกกระบี่ในรวดเดียวอะไร แต่ไอ้ที่จงใจใช้เรื่องที่โอสถแตกสลายครั้งแล้วครั้งเล่า จิตวิญญาณปั่นป่วนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วอาศัยการผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่มาสร้างเรือนกายเนื้อหนังมังสา เรียกจิตวิญญาณกลับคืนมาใหม่ ใช้วิธีการที่แทบจะเรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์และจะไม่มีอีกในอนาคตนี้ ก็เพื่อเอามาหล่อหลอมเรือนกายของผู้ฝึกยุทธ เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตยอดเขาของผู้ฝึกยุทธเต็มตัว