กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 697.1 ฝ่าทะลุขอบเขตไม่จำเป็นต้องรอ
ลมเย็นบาดผิว ก้อนเมฆลดตัวลงต่ำคล้ายหิมะจะตก คนอยู่ใกล้ขอบฟ้า ดั่งมายาเลื่อนลอย
ออกเดินทางไกลไปเยือนต่างถิ่น ยิ่งไม่อาจกลับคืนบ้านเกิด ช่างเป็นสุนัขไร้บ้านที่น่าสงสาร
หลิวป๋ายมองเงาร่างบนหัวกำแพงฝั่งตรงข้ามที่เดินห่างไปไกล รอกระทั่งร่างของอีกฝ่ายลับตาไปแล้ว นางถึงได้ถอนสายตากลับคืน
น่าชิงชังที่ขอบเขตตัวเองต่ำเกินไป ไม่อาจสังหารอิ่นกวานหนุ่มที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตผู้นั้นกับมือตัวเองได้
ตัวอ่อนเซียนกระบี่หลิวป๋ายคือลูกศิษย์คนสำคัญของโจวมี่ ‘มหาสมุทรความรู้แห่งใต้หล้า’ แต่ปีนั้นในศึกล้อมฆ่าที่ต้องทำให้สำเร็จให้จงใจ กระโจมเจี่ยเซินที่มีตัวอ่อนเซียนกระบี่ห้าคนซึ่งถูกฝากความหวังไว้มากกลับทำให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างผิดหวังอย่างหนัก หนึ่งในนั้นก็คือนางหลิวป๋ายที่มีจุดจบน่าอเนจอนาถที่สุด ถูกเฉินผิงอันหักคอตายทั้งเป็น หากไม่เป็นเพราะจิตวิญญาณถูกจวินทานที่ทุ่มสุดชีวิตรวบรวมเก็บมาได้ และหลังจากนั้นนางก็จำเป็นต้องใช้ตะเกียงแห่งชะตาชีวิตดวงนั้น ต่อให้จะสามารถสร้างเรือนกายและจิตวิญญาณขึ้นมาได้ใหม่ ฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตได้อีกเล่ม แต่ก็จะต้องหยุดอยู่แค่ที่ขอบเขตก่อกำเนิดเท่านั้น แม้ว่าถึงวันนี้ลำดับรายชื่อของหลิวป๋ายในอันดับร้อยเซียนกระบี่จะร่วงดิ่งลงมาอยู่ที่อันดับห้าสิบเก้า ไม่ได้มีคุณสมบัติจะเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ได้อย่างแน่นอนอีกแล้ว แต่ในอนาคตหากคิดจะเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบก็ถือว่ายังพอจะมีโอกาส
หลิวป๋ายเลือกตำแหน่งฝึกตนที่อยู่ใกล้กับหลงจวินมากที่สุด ดังนั้นทุกครั้งที่หลีเจินมาท้าทายเฉินผิงอันที่นี่ หลิวป๋ายล้วนเห็นอยู่ในสายตาและได้ยินกับหูตัวเอง
หลังจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างเก็บเอากำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งมาไว้ในกระเป๋าของตัวเอง ร้อยเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่ นอกจากผู้ฝึกกระบี่สิบกว่าคนที่มีโซ่วเฉิน เฝ่ยหราน จู๋เชี่ยเป็นหนึ่งในนั้นที่ไปเยือนใต้หล้าไพศาลแล้ว คนที่เหลือต่างก็บำรุงกระบี่บินอยู่บนหัวกำแพงเมือง
หลงจวินพลันเปิดปากเอ่ยว่า “หากการฝึกกระบี่ของเจ้าต่อจากนี้เพียงแค่เพื่อให้ตัวเองสังหารเฉินผิงอันกับมือตัวเองได้ บอกตามตรง เจ้าไม่มีทางทำได้หรอก หากเฉินผิงอันไม่อาจเฝ้าหัวกำแพงเมืองอีกครึ่งหนึ่งได้เพราะถูกข้าใช้กระบี่สังหาร เขาก็จะต้องมีวิธีมหัศจรรย์บางอย่างในการหลบหนีไป ต่อให้เจ้าโชคดีตามไปได้ทัน ก็มีแต่จะถูกเขาหักคออีกครั้งเท่านั้น อีกทั้งการลงมือของเขามีแต่จะสังหารเจ้าได้ง่ายดายยิ่งกว่าคราวก่อน”
หลิวป๋ายสีหน้าซับซ้อน “อาวุโสหลงจวิน จะไม่มีความเป็นไปได้อย่างที่สามเลยหรือ?”
หลงจวินส่ายหน้า
หลิวป๋ายกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องการเห็นเขาตายภายใต้คมกระบี่ของผู้อาวุโสหลงจวินกับตาตัวเอง”
หลงจวินกล่าว “ตอนนี้ไม่ใช่ว่าเจ้าควรจะกังวลกับสภาพการณ์ของตัวเองมากกว่าหรอกหรือ? ทั้งไม่อาจฝ่าทะลุขอบเขต และยิ่งไม่อาจคว้าจับปณิธานกระบี่บรรพกาลได้แม้แต่เสี้ยวเดียว แล้วยังมานั่งเฉยอยู่ที่นี่ทำอะไร? มาคอยดูเฉินผิงอันผู้นั้นฝ่าทะลุขอบเขตครั้งแล้วครั้งเล่าหรือ? คำพูดของข้าก่อนหน้านี้ไม่ได้ล้อเล่น โชคดีได้ขึ้นมาฝึกกระบี่บนหัวกำแพงเมือง หากถึงเวลานั้นแล้วยังเป็นแค่เศษสวะที่คว้าอะไรไว้ไม่ได้สักอย่าง ก็ไม่ต้องไปใต้หล้าไพศาลให้ขายหน้าแล้ว ถึงเวลานั้นโซ่วเฉินปกป้องเจ้าไม่ได้ อาจารย์ของเจ้าก็คร้านจะพิทักษ์มรรคาให้แก่เจ้า เพราะเจ้ารนหาที่ตายเอง”
หลิวป๋ายลุกขึ้นค้อมตัวคารวะ “ขอบพระคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ”
จากนั้นหลิวป๋ายก็มีคำถามที่สงสัยใคร่รู้ที่สุด “ผู้อาวุโสหลงจวิน ในเมื่อเขาผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งแล้ว เหตุใดแม้แต่ปณิธานกระบี่สักเสี้ยวก็ยังคว้าจับไว้ไม่ได้? เป็นเพราะทำไม่ได้หรือ? ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของเขาก็มีแต่จะช่วงชิงเอาปณิธานกระบี่มาอย่างบ้าคลั่ง”
หลงจวินยิ้มกล่าว “เกี่ยวกับเรื่องนี้ข้าเองก็สงสัยอยู่เหมือนกัน หากเจ้ามีโอกาสก็ลองถามอาจารย์มหาสมุทรแห่งความรู้ที่ศึกษาค้นคว้าได้ดั่งเทพเทวดาของเจ้าดูสิ หากได้คำตอบ สามารถไขข้อข้องใจให้ข้าได้ ข้าก็จะชี้แนะเวทกระบี่ให้แก่เจ้า”
หลงจวินพลันส่งกระบี่หนึ่งออกไปทำลายปณิธานหมัดมหาศาลที่ไหลกรากดั่งน้ำตกมาจากฝั่งตรงข้ามให้แหลกละเอียด
เป็นเพราะอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงอยากจะปล่อยหมัดเข้าใส่กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่ลุกล้ำเข้าไปในดินแดน
หลิวป๋ายกัดริมฝีปากแน่น
หมัดของเฉินผิงอันเมื่อครู่นี้ อย่าเห็นว่ากระบี่นั้นของผู้อาวุโสหลงจวินปล่อยออกไปอย่างผ่อนคลายเรียบง่าย ดูเหมือนว่าสามารถทำลายปณิธานหมัดของอีกฝ่ายให้แหลกลงได้อย่างสบายๆ แต่นี่คือการออกกระบี่ของเซียนกระบี่บนบัลลังก์ท่านหนึ่งเชียวนะ
หน้าผาฝั่งตรงข้ามยังคงเป็นชุดคลุมสีแดงสดที่บาดตานั้น เมื่อเทียบกับชุดคลุมสีเทาของผู้อาวุโสหลงจวินแล้วจึงกลายเป็นการเปรียบเทียบที่ชัดเจน หลังจากเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตยอดเขา ต่อให้เป็นหลิวป๋ายที่เกลียดเขาเข้ากระดูกดำก็จำต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายมีภาพบรรยากาศของหมัดสูงอยู่บนฟ้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขายังเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง มีกระบี่บินสองเล่มที่วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตแปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด นางจะฆ่าอีกฝ่ายได้อย่างไร? ในความเป็นจริงแล้ว หากไม่เป็นเพราะผู้อาวุโสหลงจวินเฝ้าพิทักษ์อยู่ที่นี่คอยจับตามองเฉินผิงอันผู้นั้นเอาไว้ไม่ให้คลาดสายตา ส่วนลึกในใจของหลิวป๋ายก็รู้ดีว่าการที่ตนฝึกกระบี่อยู่ที่นี่ มีความเป็นไปได้สูงมากว่าอาจตายได้ภายในเสี้ยววินาที
แต่การที่ให้นางมาฝึกตนที่นี่เป็นความต้องการของอาจารย์ อาจารย์บอกว่าจิตมารในการเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบของนางในอนาคตจะต้องเป็นเฉินผิงอันอย่างแน่นอน หากนางคิดจะฝ่าทะลุขอบเขตได้สำเร็จก็ต้องเตรียมใจให้พร้อมแต่เนิ่นๆ ต้องฝึกฝนจิตใจให้ดีถึงจะได้
หลิวป๋ายสะกดกลั้นริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ถามว่า “ผู้อาวุโสหลงจวิน ในเมื่อไม่ว่าจะออกหมัดหรือออกกระบี่ก็ล้วนถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องกลับไปมือเปล่า เหตุใดเขาถึงยังมักจะมาฝึกประสบการณ์ที่นี่อยู่เสมอ?”
หลิวป๋ายศึกษาค้นคว้าเรื่องเกี่ยวกับอิ่นกวานหนุ่มมาจนเข้าใจลึกล้ำ ยังเคยให้มู่จีผู้นำกระโจมเจี่ยเซินและศิษย์พี่โซ่วเฉินขอเอกสารลับอย่างละเอียดเกี่ยวกับเฉินผิงอันมาจากกระโจมเจี่ยจื่อฉบับหนึ่ง คนต่างถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นี้มีความคิดจิตใจละเอียดรอบคอบอย่างยิ่ง ไม่ว่าลงมือทำอะไรล้วนได้ผลสำเร็จและสร้างคุณความชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงสนามรบมาเข่นฆ่าศัตรูที่เชี่ยวชาญการใช้บาดแผลแลกชีวิตเป็นที่สุด เขาย่อมไม่ใช่คนที่ชอบโอ้อวดตนอย่างแน่นอน
หลงจวินยิ้มกล่าว “เพราะว่าหมาบ้าตัวนั้นไม่ยินดีจะกลายเป็นหมาบ้าไปจริงๆ”
หลิวป๋ายยังกังขาไม่เข้าใจ แต่กลับไม่เอ่ยถามอีก นั่งลงบำรุงปณิธานกระบี่อีกครั้ง
เฉินผิงอันปล่อยหมัดหนึ่งไม่สำเร็จ เรือนกายก็หายวับไป พริบตาเดียวก็ห่างไปอยู่จุดห่างไกลตำแหน่งอื่น ราวกับว่าเพราะเบื่อหน่ายก็เลยมาผ่อนคลายอารมณ์ที่นี่ แล้วถือโอกาสทักทายหลงจวินก็เท่านั้น
เฉินผิงอันยืนเอาดาบปักพื้นอยู่ตรงจุดหนึ่งของหัวกำแพงเมือง
แหงนหน้ามองม่านฟ้า แม้ว่าการมองเห็นจะพร่าเลือน แต่อาศัยขอบเขตหยกดิบที่ยืมมาชั่วคราวนั้น เขากลับสัมผัสได้ถึงการโคจรของฟ้าดินอย่างชัดเจน รู้ว่าอีกเดี๋ยวหิมะจะตกแล้ว
เฉินผิงอันรอคอยหิมะครั้งนี้อยู่มากจริงๆ ขอเพียงหิมะตกลงมา ก็จะได้ไม่ต้องเงียบเหงามากเหมือนเดิมอีกแล้ว สามารถปั้นตุ๊กตาหิมะเรียงเป็นแถวยาวได้แล้ว
ถึงเวลานั้นหากอยู่ไกลๆ แล้วมองไปก็จะเหมือนนกน้อยที่ทยอยกันเกาะอยู่บนกิ่งไม้ลดหลั่นกันไป
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิตในคุก กลายเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตกลาง
เลื่อนเป็นห้าขอบเขตกลางก็เท่ากับว่าข้ามผ่านปราการธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่มาได้ ขอบเขตชมมหาสมุทร ขอบเขตประตูมังกร สร้างโอสถต่อจากนี้จะพุ่งไปข้างหน้าดั่งผ่าลำไม้ไผ่
เพราะด่านทั้งสามด่านนี้ นอกจากสร้างโอสถทองที่มีความลี้ลับมหัศจรรย์แล้ว ขอบเขตชมมหาสมุทร ขอบเขตประตูมังกรสองขอบเขตนี้ แค่ต้องตั้งใจในเรื่องบุกเบิกช่องโพรงเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ซวงเจี้ยงใช้เงินร้อนน้อยสิบเหรียญมาซื้อชีวิตจากเฉินผิงอัน แลกเปลี่ยนเป็นโอกาสที่จะได้ออกไปจากคุกโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ แรกเริ่มสิ่งที่เฉินผิงอันต้องการก็คือให้ซวงเจี้ยงคอยคุ้มครองหนิงเหยาอย่างลับๆ และช่วยปูเส้นทางให้กับผู้ฝึกกระบี่ที่เดินทางไกลไปเยือนใต้หล้าแห่งที่ห้าเหล่านั้น หลีกเลี่ยงไม่ให้ฉีโซ่วมีพลังอำนาจมากเกินไป เพราะฉีโซ่วได้รับตำแหน่งสิงกวานคนใหม่ เป็นคนที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเลือกด้วยตัวเอง อันที่จริงแรกเริ่มเฉินผิงอันยังอยากให้ฉีโซ่วรับหน้าที่เป็นอิ่นกวาน จากนั้นค่อยให้พวกผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานเก่าอย่างต่งปู้เต๋อ สวีหนิงทำให้อีกฝ่ายมีแต่ตำแหน่งว่างเปล่า เมื่อตะเกียงแห่งชะตาชีวิตในมือของเกาเหย่โหวถูกจุดใหม่อีกครั้ง รอให้เฉินซีที่เกิดใหม่ค่อยๆ เติบโตขึ้นมา ต่อให้ถึงเวลานั้นฉีโซ่วจะกลายเป็นอิ่นกวานอย่างชอบธรรมแล้ว ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่สามารถสร้างเหตุการณ์ไม่คาดฝันใหญ่โตอะไรได้
เพราะตั้งแต่แรกเริ่มเฉินผิงอันก็ไม่เคยคิดจะให้หนิงเหยากลายมาเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสคนที่สอง ผู้นำคนถัดไปควรต้องเป็นเจ้าประมุขสกุลเฉินที่สละร่างไปเกิดใหม่อย่างเฉินซี
แต่ในเมื่อเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเลือกฉีโซ่วให้ทำหน้าที่เป็นสิงกวาน เฉินผิงอันก็มีวิธีรับมือ ในใต้หล้าแห่งที่ห้านั้นจะปล่อยให้สายสิงกวานมองดูเหมือนมีบารมีอำนาจยิ่งใหญ่ สามารถกดข่มสายของอิ่นกวานและเกาเหย่โหวได้อย่างมั่นคงไปก่อน แต่ในอนาคตการที่คนที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ผู้ฝึกยุทธมิอาจเข้าสายสิงกวาน นี่จะกลายเป็นท่าไม้ตายอย่างหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นแผนการอย่างเปิดเผย สูญเสียกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปแห่งหนึ่ง วันหน้าผู้ฝึกกระบี่ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะมีน้อยลงเรื่อยๆ ต่อให้ผู้ฝึกยุทธจะมีเพิ่มมากขึ้น มองดูเหมือนอำนาจของสิงกวานยังคงยิ่งใหญ่อยู่ดี แต่เหนี่ยนซินคนสำคัญอันดับสองผู้นี้จะรับผิดชอบคอยชักตรึงกำลังกับฉีโซ่วอย่างลับๆ สายของสิงกวานย่อมแบ่งออกเป็นภูเขาสองลูกใหญ่ พวกตัวอ่อนผู้ฝึกยุทธกลุ่มของเจียงอวิ้น หยวนจ้าวฮว่าจะกลายมาเป็นคนที่ได้ช่วงชิงโชคชะตาบู๊ตามฟ้าอำนวยของใต้หล้าแห่งที่ห้าไปก่อน และเด็กกลุ่มนี้ สำหรับสายอิ่นกวานแล้ว แท้จริงก็ถือว่ามีความสัมพันธ์ควันธูปต่อกันมากที่สุด
แต่หากฉีโซ่วมีความสามารถทำให้เหนี่ยนซินนำพาเด็กกลุ่มนั้นเปลี่ยนฝ่ายได้จริง ถ้าอย่างนั้นก็สมควรให้ฉีโซ่วกดข่มเฉินซี ยึดครองอำนาจใหญ่ไปเพียงลำพัง เพราะหากมีจิตใจและวิธีการเช่นนี้จริง เฉินผิงอันก็ไม่ถือสาหากฉีโซ่วที่เป็นคนมีจิตใจทะเยอทะยานจะเป็นผู้รับผิดชอบบุกเบิกแผ่นดิน แต่หากแม้กระทั่งเป็นสิงกวานแล้วก็ยังไม่อาจกำราบ ไม่อาจรวบรวมสายสิงกวานของตนให้เป็นหนึ่งได้อีก เจ้าฉีโซ่วจะอาศัยอะไรมานำพาพวกผู้ฝึกกระบี่ตั้งรากฐานหยัดยืนอยู่ในใต้หล้าแห่งใหม่เล่า?
จะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เพราะเฉินผิงอันมีใจอคติต่อฉีโซ่ว ยิ่งไม่ใช่เพราะมีความแค้นส่วนตัวอะไรกับฉีโซ่วถึงได้จงใจกดข่มฉีโซ่วไว้เช่นนี้ แต่เป็นเพราะเฉินผิงอันกังวลว่าฉีโซ่วจะทำอะไรสุดโต่งเกินไป เป็นเหตุให้พวกผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่ในใต้หล้าแห่งที่ห้าสูญเสียสถานการณ์ดีๆ มากมายของ ‘คนมาก่อนได้ก่อน’ ไปเสียเปล่าๆ เมื่อผู้ฝึกตนของใต้หล้าอีกสามแห่งทยอยเข้าไปในนั้น สุดท้ายแล้วจะทำร้ายให้นครแห่งนั้นกลายเป็นเป้าโจมตีของทุกคน รอบทิศมีแต่ศัตรู
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าทำการค้ากับซวงเจี้ยงจะยังมีความน่ายินดีที่ไม่คาดฝัน ทุกวันนี้เฉินผิงอันถึงเพิ่งจะมารู้ตัวภายหลังว่าการค้าในครานั้น อาจเป็นการค้าที่ถือว่าคุ้มค่าที่สุดในการเป็นร้านผ้าห่อบุญของตนในชีวิตนี้
ยกตัวอย่างเช่นดาบแคบพิฆาตที่เคยเป็นวัตถุลงทัณฑ์บนแท่นสังหารมังกรยุคบรรพกาลในมือเฉินผิงอันเล่มนี้สามารถช่วยให้เขาดึงเอาปราณวิญญาณฟ้าดินมาได้เร็วขึ้น
ซวงเจี้ยงยังเคยอธิบายความลับในการฝึกตนของสามขอบเขตอย่างถ้ำสถิต ชมมหาสมุทร ประตูมังกรให้ฟังอย่างละเอียด รวมไปถึงวิธีการจับคู่วัตถุที่ใช้ในการหลอมกลางหลอมใหญ่ ยกตัวอย่างเช่นเอาป๋ายอวี้จิงจำลองมาหลอมใหญ่เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ช่วยเหลือกระบี่เล่มหนึ่ง สามารถหลอมปราณห้าธาตุที่ฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ฟูมฟักขึ้นมาได้ และควรจะเอาธงเซียนกระบี่หลอมกลางไปวางไว้บนยอดเขาของศาลภูเขาอย่างไร พอเลื่อนเป็นขอบเขตประตูมังกรแล้วก็จะต้องเอากระบี่สั้นสองเล่มที่สลักคำว่า ‘ตู๋’ (ร่องน้ำ/ลำน้ำ/คูน้ำ) และคำว่า ‘หู’ (ทะเลสาบ) ไปหลอมกลางเป็นเจียวหลงที่อยู่ใน ‘บ่อมังกร’ ของจวนน้ำอย่างไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งซวงเจี้ยงยังช่วยหาช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตหกแห่งที่ทำหน้าที่เป็น ‘ภูเขาผู้สืบทอด’ ให้ด้วย เฉินผิงอันก็แค่ต้องทำไปตามขั้นตอน ‘เปิดภูเขาสร้างจวน’ ก็ได้แล้ว
หลังจากที่ผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ อีกทั้งเฉินผิงอันยังอยู่ในขอบเขตหยกดิบปลอม ดังนั้นเรื่องการฝึกตนจึงเหมือนคนที่อยู่ที่สูงมองลงมาแล้วคว้าจับกุญแจสำคัญเอาไว้ได้ ถึงได้ฝึกตนได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรคเช่นนี้
สำหรับเรื่องของการสร้างโอสถทอง รวมไปถึงเรื่องที่ว่าจะฝ่าทะลุคอขวดโอสถทอง พยายามกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดไปในรวดเดียวเลยหรือไม่ ก็ใช่ว่าเฉินผิงอันจะไม่มีการคิดพิจารณาเป็นของตัวเอง
สุดท้ายที่เลือกทำลายโอสถทอง เหตุผลนั้นก็เรียบง่ายมาก กำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งที่เขาอยู่ทุกวันนี้ ภายใต้คำสั่งของเจ้าหลีเจินผู้นั้น เผ่าปีศาจทุกคนจึงห้ามทะยานลมข้ามอาณาเขต ปีๆ หนึ่ง แม้แต่นกสักตัวก็ยังหาได้ยาก ช่างเป็นทัศนียภาพอึมครึมน่าเศร้าที่ไม่มีอะไรให้มองดูเลยจริงๆ หากจะบอกว่าหลีเจินมีกลอุบายเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้าง ถ้าอย่างนั้นหลงจวินก็ต้องเรียกว่ามีวิธีการที่อำมหิตอย่างแท้จริงแล้ว นอกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งที่เฉินผิงอันอยู่แล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะยังร่ายเวทอำพรางตาจากวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ นอกจากเห็นดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์แล้ว ขุนเขาสายน้ำล้วนพร่าเลือนไปหมด
ดังนั้นเฉินผิงอันที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองแห่งนี้จึงเห็นเพียงฟ้าดินที่ว่างเปล่ากว้างใหญ่ โดดเดี่ยวเดียวดายอย่างแท้จริง มีหมัดของขอบเขตเดินทางไกล มีขอบเขตของผู้ฝึกกระบี่หยกดิบปลอม แต่กลับไม่มีคู่ต่อสู้เลยสักคน เป็นเหตุให้จะได้เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่พลังการต่อสู้เพิ่มทะยานขึ้นพรวดพราดหรือไม่ ล้วนมีความหมายไม่มากนัก
นอกจากนี้ก็ยังคงเป็นคำพูดเก่าแก่คำนั้น ใต้หล้านี้มีเรื่องดีที่เอาแต่เสวยสุขไม่ได้รับความทุกข์อยู่น้อย
ตอนนี้เฉินผิงอันอยู่ในสภาพการณ์ที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง ราวกับว่าได้กลับคืนไปยังตอนที่เป็นลูกศิษย์เตาเผามังกรใหม่ๆ ใจเร็วตาเร็ว มีเพียงมือที่ช้า
ราวกับว่าทุกความคิดล้วนได้ไปเดินอยู่บนเส้นทางขุนเขาสายน้ำหลายสิบลี้แล้ว แต่มือเท้าที่อยู่บนเส้นทางแห่งนั้นกลับช้าอย่างมาก ช้ากว่าความคิดไปหลายต่อหลายเท่า เท้าได้แค่ก้าวออกไปหนึ่งก้าว ส่วนมือก็ได้แต่ยกขึ้นเปลี่ยนองศาจากเดิมเล็กน้อยเท่านั้น
เฉินผิงอันได้แต่เบิกตามองฝีเท้าที่เหมือนคนแก่เดินกะโผลกกะเผลกของตนเองโดยที่ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นกรงขังนี้จึงไม่ได้อยู่แค่ที่ว่าเฉินผิงอันถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ เพราะไม่อย่างนั้นจะต้องถูกหลงจวินออกกระบี่สังหารในชั่วพริบตาเท่านั้น ยังอยู่ที่ว่าเรือนกายผู้ฝึกยุทธของเฉินผิงอันเองก็คือคุกแห่งหนึ่งที่ทำให้เขาทุกข์ทรมานจนพูดไม่ออก
สำหรับเฉินผิงอันในทุกวันนี้แล้ว คำกล่าวที่ว่าแต่ละวันยาวนานเหมือนหนึ่งปี ก็ไม่ผิดไปเลยแม้แต่น้อย
มีเพียงสถานการณ์เดียวที่จะสามารถช่วยให้เฉินผิงอันกลับคืนมาเป็นปกติ ทั้งใจและมือกลับมาสอดคล้องกันได้อีกครั้ง นั่นก็คืออยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งแล้วใช้ตบะขอบเขตหยกดิบปลอมคอยหดย่อพื้นที่โดยไม่หยุดพักแม้สักเสี้ยววินาที เรือนกายพุ่งวูบวาบหายไปในพริบตาเดียวตามความคิดให้ทัน แต่สถานการณ์ที่มองดูเหมือนเซียนเหรินทะยานลมอย่างอิสระเสรีเช่นนี้กลับทิ้งโรคร้ายรุนแรงมาก นี่จะทำให้จิตวิญญาณของเฉินผิงอันยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไกลกับเรือนกายทุกที ยิ่งนานก็ยิ่ง ‘ไกลโพ้น’ จะทำให้จิตใจกับเรือนกายที่เป็นดั่งถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลของเฉินผิงอันเกิดรอยปริร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนั้นบรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ขัดขวางไม่ให้เซียวสวิ้นออกหมัด จุดประสงค์ก็ชัดเจนยิ่ง แน่นอนว่ามองสภาพจนตรอกของเฉินผิงอันออกนานแล้ว
ขอแค่ไม่มีแรงเสริมภายนอกมาช่วยขัดเกลาเรือนกายให้เฉินผิงอัน อย่าว่าแต่อาศัยการฝึกหมัดเดินทีละก้าวจนเลื่อนเป็นขอบเขตยอดเขาเลย แม้แต่จะสร้างความมั่นคงให้กับขอบเขตเดินทางไกล เฉินผิงอันก็ทำได้ยากยิ่ง
และจุดที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกจนใจมากที่สุดก็คือ หลังจากผสานมรรคากันแล้วกลับทำให้เขาสูญเสียความเป็นไปได้ในการปล่อยจิตจมดิ่ง นิ่งสงบหลงลืมเรือนกายไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าฌานอย่างสงบนิ่งของภิกษุ การนั่งสมาธิลืมตนของนักพรตเต๋า เฉินผิงอันล้วนเคยลองมาแล้ว แต่กลับไร้ประโยชน์ ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่วิธีครึ่งๆ กลางๆ อย่างมองกระดูกขาว เฉินผิงอันก็ใช้มาหมดแล้ว เค้นหาสารพัดวิธี ล้วนไม่มีวิธีใดที่ได้ผล ต่อให้เฉินผิงอันอยากจะแอบอู้ไม่หลอมลมปราณก็ยังทำได้ยาก ไม่อย่างนั้นเขาก็จะไม่มีเรื่องอะไรให้ทำแล้ว
หลีเจินต่อสู้ไม่ได้เรื่องจริงๆ แต่สมองกลับไม่แย่เลย บวกกับวิธีการนั้นของหลงจวิน เวลานานวันเข้า เฉินผิงอันก็อาจกลายเป็นผู้ฝึกยุทธคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ขอบเขตกลับถดถอยด้วยตัวเอง
มีดทื่อสองเล่มเถือลงมา เล่มหนึ่งเถือลงบนเรือนกายของผู้ฝึกยุทธ อีกเล่มหนึ่งค่อยกร่อนทำลายกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่ง ร้อยเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่ที่อยู่เบื้องหลังหลงจวิน แต่ละคนล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์เหมือนกันโดยไม่มีข้อยกเว้น พวกเขาบำรุงกระบี่บิน ขัดเกลาปณิธานกระบี่ ได้รับการยอมรับจากปณิธานกระบี่บรรพกาลอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ ดึงเอาโชคชะตาบนวิถีกระบี่ไปครองทีละนิด ยิ่งพวกเขาได้ไปมากเท่าไร เฉินผิงอันก็ยิ่งสูญเสียมากเท่านั้น อีกทั้งนี่ยังเป็นการทรมานจิตใจอย่างช้าๆ ราวกับว่าได้แต่รอความตายอย่างเดียวเท่านั้น