กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 699.3 ต้องการถามหมัด
พอได้ยินคำถามนี้ หลี่ไหวก็ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ต้องรีบร้อน ถึงอย่างไรก็ได้เจอกับพี่สาวข้าแล้ว ยอดเขาสิงโตก็ไม่มีขาสักหน่อย นับประสาอะไรกับที่เผยเฉียนเองก็ตอบตกลงกับข้าแล้วว่าจะอยู่ที่ยอดเขาสิงโตพักหนึ่ง”
เหวยไท่เจินที่ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในเมืองเล็กด่านไน่เหอแค่ผ่านทางไปแต่ไม่เข้าประตูพยักหน้ารับเบาๆ คำถามของนางก่อนหน้านี้จำต้องพูด แต่ก็ไม่อาจพูดได้เยอะไปมากกว่านี้ เพราะอาจตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าพยายามยุแยงตะแคงรั่ว
ออกมาจากทะเลสาบคนใบ้ เผยเฉียนก็พาพวกหลี่ไหวไปที่ตำหนักขวานผี ได้ยินอาจารย์บอกว่าที่นั่นมีคนผู้หนึ่งชื่อว่าตู้อวี๋ มีนิสัยดีๆ ที่ยามประลองฝีมือในยุทธภพมักจะยอมให้คนอื่นก่อนหนึ่งกระบวนท่า
น่าเสียดายที่ตู้อวี๋ไม่ได้อยู่ในตำหนักขวานผีที่เป็นทั้งสำนักและเป็นทั้งบ้านตัวเอง ตามคำกล่าวของผู้ฝึกตนบนภูเขาคือคุณชายตู้มักจะออกไปหาประสบการณ์ด้านนอกเป็นประจำ
ผู้ฝึกตนของตำหนักขวานผีคนนั้นไม่แน่ใจในขอบเขตและชาติกำเนิดของคนทั้งสาม คิดแค่ว่าในเมื่อสนิทสนมคุ้นเคยกับคุณชายตู้ ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะไปรายงานบรรพจารย์คู่รักที่เป็นบิดามารดาของตู้อวี๋สักคำ คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวจะเอ่ยขอตัวลาไปก่อนแล้ว บอกว่าวันหน้าหากมีโอกาสค่อยมาเยี่ยมเยือนใหม่
หลังจากนั้นพอมาเยือนตำหนักจินอูที่มีเมฆสายฟ้าผืนใหญ่ เผยเฉียนก็ได้เจอกับหลิ่วจื้อชิงที่เพิ่งเลื่อนเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดได้ไม่นาน
เซียนกระบี่หลิ่วคืออาจารย์อาน้อยของเจ้าประมุขตำหนักจินอู ลำดับศักดิ์สูง ตบะก็สูงยิ่งกว่า ต่อให้จะอยู่ในอุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งที่อายุน้อยเพียงนี้ หลิ่วจื้อชิงก็คู่ควรที่จะได้รับคำเรียกขานอย่างเกรงใจว่า ‘เซียนกระบี่’ แล้ว
ว่ากันว่าเซียนกระบี่หลิ่วท่านนี้นั่งนิ่งๆ อยู่บนยอดเขามานานหลายปี ถือเป็นการปิดด่าน
เมื่อหลิ่วจื้อชิงสะบัดแสงจันทร์ที่อาบร่าง ลุกขึ้นยืนท่ามกลางม่านราตรีที่มีหิมะตกก็ฝ่าทะลุขอบเขตได้ทันที
หลิ่วจื้อชิงขึ้นชื่อเรื่องนิสัยที่เย็นชา แต่กลับพูดคุยยิ้มแย้มกับเผยเฉียนที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเฉินผิงอัน พวกเผยเฉียนเองไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พวกผู้ฝึกตนที่พักอาศัยอยู่บนยอดเขาของตำหนักจินอูกลับทำท่าเหมือนเห็นผี
หลิ่วจื้อชิงบอกให้สาวใช้ทั้งหลายถอยออกไป แล้วตัวเองเป็นคนต้มชารับรองแขกด้วยตัวเอง พอพวกเผยเฉียนนั่งลงแล้ว หลิ่วจื้อชิงก็หยิบชุดน้ำชาออกมาหนึ่งชุด ปลายนิ้ววาดยันต์หลายชนิด ใช้เวทคาถาตระกูลเซียนดึงเอาน้ำพุใสมาจากในภูเขา จากนั้นก็ใช้ยันต์อัคคีสมาธิที่มีลักษณะคล้ายมังกรเพลิงมาต้มน้ำช้าๆ สร้างให้เกิดจากความว่างเปล่า วิธีการของเทพเซียน
หลิ่วจื้อชิงถามถึงเรื่องราวที่พบเจอระหว่างท่องเที่ยวจากเผยเฉียน
เผยเฉียนก็ไล่ตอบไปทีละข้อ
คำถามคำตอบของสองฝ่ายเป็นไปตามธรรมชาติ หลิ่วจื้อชิงเหมือนผู้ปกครองในตระกูลที่ออกมาเป็นขุนนางต่างถิ่น ส่วนเผยเฉียนก็เหมือนลูกหลานที่ออกจากบ้านเดินทางท่องเที่ยวมาถึงที่แห่งนี้
หลิ่วจื้อชิงไม่รู้สึกว่าตนทำในสิ่งที่เกินความจำเป็น เผยเฉียนก็ยิ่งไม่รู้สึกว่าเซียนกระบี่หลิ่วยุ่งวุ่นวาย
หลายปีมานี้หลิ่วจื้อชิงใช้จิตใจชำระล้างกระบี่จนประสบความสำเร็จ ได้ผลประโยชน์มหาศาล ไม่เพียงแต่เลื่อนเป็นก่อกำเนิดได้อย่างราบรื่น อีกทั้งยังพอจะสัมผัสได้อย่างเลือนรางด้วยว่าการฝ่าทะลุขอบเขตก่อกำเนิด คอขวดคงไม่ใหญ่เท่าใดนัก
นี่ต้องยกคุณความชอบให้กับข้อเสนอของเฉินผิงอันเมื่อครั้งที่อยู่บนหน้าผาอวี้อิ๋งด้วยกัน
ดังนั้นการปฏิบัติต่อเผยเฉียนลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของสหายรัก หลิ่วจื้อชิงที่ไม่เคยมีลูกศิษย์ผู้สืบทอด แน่นอนว่าต้องมองเด็กสาวเป็นดั่งเด็กรุ่นหลังในตระกูล แล้วก็คล้ายกับเป็นผู้สืบทอดครึ่งตัว
หากเผยเฉียนกล้าไม่รับน้ำใจ รู้สึกว่าฟังคำของเขาแล้วหงุดหงิด หลิ่วจื้อชิงที่กลัวจะมีปัญหามากที่สุด ไม่แน่ว่าอาจจะต้องสั่งสอนนางสักหลายๆ คำอย่างไม่กลัวว่าจะเกิดปัญหา
ยังดีที่การแสดงออกของเผยเฉียนทำให้หลิ่วจื้อชิงพอใจอย่างมาก มีเพียงเรื่องเดียวที่เขาค่อนข้างเสียดาย นั่นคือเผยเฉียนเป็นผู้ฝึกยุทธ ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่
แม้ว่าเหวยไท่เจินจะเคยเห็นบุคคลยิ่งใหญ่บนยอดเขาที่มีเมฆหมอกล้อมวนเวียนมาแล้วไม่น้อย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่มีความหวังบนมหามรรคาท่านนี้ก็ยังอดกริ่งเกรงและหวาดกลัวไม่ได้ ด้านหนึ่งเพราะเซียนกระบี่หลิ่วอายุน้อยเกินไป นอกจากนี้ก็เพราะท่านหลิ่วที่มีความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับอาจารย์พ่อของเผยเฉียนท่านนี้หน้าตาช่างหล่อเหลาจริงๆ
หลิ่วจื้อชิงส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังศาลบรรพจารย์ของตำหนักจินอู เพียงไม่นานก็ได้หนังสือฉบับสมบูรณ์ส่วนหนึ่งที่มีอย่างละเล่มเดียวซึ่งถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีของตำหนักจินอูมา ล้วนเป็นตำราที่เขียนด้วยมือของอริยะสำนักศึกษาในประวัติศาสตร์ของอุตรกุรุทวีปทั้งสิ้น มีครบทั้งคัมภีร์และคำสั่งสอน หลิ่วจื้อชิงมอบมันให้กับบัณฑิตหนุ่มที่มาจากสำนักศึกษาซานหยาของแจกันสมบัติทวีปอย่างหลี่ไหว
หลี่ไหวชำเลืองตามองเผยเฉียน เผยเฉียนพยักหน้ารับ หลี่ไหวจึงยิ้มเอ่ยขอบคุณแล้วรับเอาไว้
ระหว่างที่ดื่มชา หลิ่วจื้อชิงยังช่วยตรวจเนื้อหาตัวอักษรที่เผยเฉียนคัดด้วยตัวเอง บอกว่าตัวอักษรเขียนได้ดีกว่าอาจารย์พ่อของเจ้า
ผลคือเผยเฉียนได้ยินแล้วร้อนใจจนยกมือเกาหัว
เหวยไท่เจินยิ่งรู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวของเจ้าขุนเขาหนุ่มภูเขาลั่วพั่วคนนั้นทุกทีแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นเทพเซียนจากฝ่ายใดกันแน่ แค่การเดินทางท่องเที่ยวครั้งเดียวถึงกับสามารถทำให้หลิ่วจื้อชิงทำตัว ‘เป็นกันเอง’ ขนาดนี้ได้
จนถึงทุกวันนี้เหวยไท่เจินก็ยังไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วนางเคยเจอคนผู้นั้นมาก่อน อีกทั้งยังเจอที่ภูเขากระจกวิเศษหุบเขาผีร้ายบ้านเกิดของนางด้วย อีกฝ่ายยังเคยทำร้ายนางโดยไม่ตั้งใจ ก็คือบัณฑิตที่ในอดีตบิดานางเคยบอกว่า ‘ลำไส้ขดวกวนหลายตลบมากที่สุด ตาไร้แววมากที่สุด ขี้เหนียวมากที่สุด’ ผู้นั้น
นี่เป็นเพราะว่าเฉินผิงอันไม่ได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางไปเยือนหุบเขาผีร้ายให้เผยเฉียนฟังมากนัก เรื่องที่เกี่ยวกับเกาเฉิง เฮ้อเสี่ยวเหลียงและคู่พี่น้องหยางหนิงเจิน หยางหนิงซิ่ง เขาล้วนปกปิดนางเอาไว้
สุดท้ายหลิ่วจื้อชิงยังออกจากตำหนักจินอูเป็นครั้งแรกหลังจากฝ่าทะลุขอบเขต เพื่อคุ้มครองเผยเฉียนไปส่งที่สวนน้ำค้างวสันต์ด้วยตัวเอง
ตำหนักจินอูมีเรือข้ามฟากสืบทอดมาจากบรรพบุรุษลำหนึ่งที่ใช้ก้อนเมฆสายฟ้ามาหลอมเป็นลำเรือ แล้วแกะสลักยันต์เวทอสนีเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดตัวลงไป ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกหลังจากมาถึงอุตรกุรุทวีปที่เผยเฉียนไม่ต้องเดินเท้า แต่ได้นั่งเรือข้ามฟากตระกูลเซียน
เผยเฉียนไม่กล้าให้ผู้อาวุโสหลิ่วเดินตากแดดตากลมอยู่ล่างภูเขาเป็นเพื่อนพวกเขา
เจ้าประมุขตำหนักจินอูมาส่งอาจารย์อาน้อยด้วยตัวเอง จิ้นเยว่บุตรชายโทนของเขาก็อยู่ในกลุ่มคนด้วย เพราะหลิ่วจื้อชิงบอกว่าออกจากสำนักคราวนี้จะไปท่องเที่ยวอยู่ข้างนอกนานหลายปี จะไปเยือนสำนักผู้ฝึกกระบี่น้อยใหญ่ซึ่งมีทะเลสาบกระบี่ฝูผิง สำนักกระบี่ไท่ฮุยเป็นหนึ่งในนั้น หากไม่ไปถามมรรคาก็ไปถามกระบี่ แต่มารดาของจิ้นเยว่ที่เป็นบุตรสาวของซานจวินใหญ่กลับไม่ได้ปรากฏตัว หลักๆ แล้วเป็นเพราะสตรีรู้แก่ใจตัวเองดีว่า ตนเข้ากับอาจารย์อาหลิ่วไม่ได้ มาแล้วก็มีแต่จะหาเรื่องใส่ตัว ก่อนหน้านี้ตอนที่หลิ่วจื้อชิงเป็นคอขวดโอสถทอง นางยังอาศัยบารมีของบิดาที่เป็นซานจวินกระทำการกำเริบเสิบสานอยู่ในตำหนักจินอูได้ ทว่าหลายปีมานี้นางสงบเสงี่ยมขึ้นเยอะมาก นั่นก็เพราะกลัวนิสัยของหลิ่วจื้อชิง เขาจะไม่มาหาเรื่องนาง แต่จะไปหาบิดาซานจวินของนางที่ราชวงศ์ต้าจ้วนเพื่อพูดคุยเหตุผลโดยตรง เพราะประหยัดแรงกายแรงใจมากกว่า
ดังนั้นการที่หลิ่วจื้อชิงออกไปจากตำหนักจินอู นางจึงเป็นคนที่อารมณ์ดีที่สุด
เผยเฉียนมีสีหน้าเป็นปกติ หลี่ไหวอดไม่ไหวหันไปมองผู้ฝึกกระบี่จิ้นเยว่ เพราะเขาเคยได้ยินเผยเฉียนบอกว่า ในอดีตเพราะหมี่ลี่น้อย เฉินผิงอันจึงเคยมีบุญคุณความแค้นกับคุณชายจิ้นแห่งตำหนักจินอู แต่ว่าก็ถือว่าหายกันไปแล้ว
ก่อนที่หลิ่วจื้อชิงจะจากไปได้ประกาศกฎภูเขาใหม่สองสามข้อแก่เจ้าสำนักที่เป็นศิษย์หลาน ใครกล้าละเมิดไม่ทำตามแล้วเขารู้เข้า เขาจะรีบกลับมายังตำหนักจินอูแล้วออกกระบี่แก่ผู้คุมกฎของศาลบรรพจารย์ กวาดล้างสำนักให้สะอาดด้วยตัวเอง
จิ้นเยว่รับฟังด้วยความอกสั่นขวัญผวา
ในอดีตอาจารย์อาน้อยแทบไม่เคยยื่นมือเข้ายุ่งเรื่องในสำนักเลย
สุดท้ายหลิ่วจื้อชิงใช้เสียงในใจบอกกับศิษย์หลานว่า “วันหน้าหากตำหนักจินอูคิดจะอาศัยกระบี่ของข้าเลื่อนเป็นสำนักอักษรจงก็พอจะมีความหวังอยู่บ้าง เจ้าเองก็รู้ดีว่าข้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้ แต่เจ้าที่เป็นเจ้าสำนักกลับไม่เหมือนกัน ดังนั้นจงจำประโยคหนึ่งของข้าไว้ให้ขึ้นใจ เลื่อนเป็นภูเขาอักษรจงไม่ใช่เรื่องดีไปเสียทั้งหมด มีทั้งดีและไม่ดี ข้อดีคือเจ้าได้กอบกู้สำนัก กลายมาเป็นขุนนางผู้มีคุณูปการใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ที่ฟื้นคืนความรุ่งโรจน์ให้แก่ศาลบรรพจารย์ตำหนักจินอู ข้อเสียก็คือถึงเวลานั้นข้าจะมาคิดบัญชีย้อนหลัง ดังนั้นฉวยโอกาสตอนที่ข้ายังเป็นก่อกำเนิด เจ้าก็จงทำเรื่องที่เป็นการชดเชยให้เยอะ ไม่แน่ว่าคนบางคนที่พอคิดบัญชีกันไปแล้วอาจจะยังมีชีวิตรอดอยู่ได้”
หลิ่วจื้อชิงตบไหล่ของเจ้าตำหนักที่เป็นศิษย์หลาน “ที่พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าเพราะรู้ว่าเจ้าฟังเข้าหู ถ้าอย่างนั้นก็ตั้งใจทำให้ดี อย่าให้อาจารย์อาต้องแบ่งสมาธิมาสนใจเรื่องธรรมดาสามัญพวกนี้ ทุกวันนี้ตลอดทั้งราชวงศ์ต้าจ้วนต่างก็เป็นฝ่ายแสดงความเป็นมิตรกับตำหนักจินอูของพวกเรา ซานจวินขุนเขาเหนือท่านหนึ่งไม่อาจนับเป็นอะไรได้ แล้วนับประสาอะไรกับบุตรสาวของซานจวิน?”
เจ้าตำหนักพยักหน้า “น้อมรับคำสั่งสอนของอาจารย์อา”
เรือข้ามฟากของตำหนักจินอูลำนี้ทะยานรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ระหว่างนั้นหากเจอก้อนเมฆครึ้มฝนที่มีฟ้าแลบแปลบปลาบ เรือข้ามฟากลอดผ่าน หลิ่วจื้อชิงก็จะทำมุทราวาดยันต์ล่อสายฟ้า เรียกให้สายฟ้าจำนวนมากที่มีพลังน่าครั่นคร้ามกระแทกโครมเข้าใส่ จากนั้นพวกมันก็จะหลอมรวมเข้ากับเรือข้ามฟาก เป็นเหตุให้อักขระยันต์ของเรือข้ามฟากยิ่งส่องแสงทองแวววาว ความน่ามหัศจรรย์ที่ใหญ่ที่สุดของเรือข้ามฟากตำหนักจินอูก็คือสามารถใช้เป็นสมบัติอาคมด้านการโจมตีชิ้นหนึ่งได้ เพียงแค่ภาพเหตุการณ์นี้ก็ทำให้ภูตจิ้งจอกอย่างเหวยไท่เจินตกใจจนหน้าซีดขาวแล้ว ภูตผีทั้งหลายในโลกมนุษย์เกิดมาก็หวาดกลัวสายฟ้ามากที่สุด ไม่อย่างนั้นด้วยตบะโอสถทองของเหวยไท่เจินก็คงไม่ถึงหน้าเปลี่ยนสีเพียงแค่เพราะเห็นสายฟ้าพวกนี้
หลิ่วจื้อชิงถึงได้นึกถึงรากฐานของ ‘เทพธิดาเหวยแห่งยอดเขาสิงโต’ ขึ้นมาได้ เขาเอ่ยขออภัยนางหนึ่งคำ จากนั้นก็รีบบังคับเรือข้ามฟากให้ออกห่างไปจากเมฆฝน
ออกห่างจากเมฆฝนมาแล้ว ฟ้าดินสว่างแจ่มใส หลิ่วจื้อชิงก็ชวนเผยเฉียนคุยว่า “เจ้าสำนักฉีแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุย แม้จะเป็นเซียนกระบี่ แต่แท้จริงแล้วกลับเชี่ยวชาญวิชายันต์ ข้าเลื่อมใสเขามานานมากแล้ว”
เผยเฉียนเอ่ยเบาๆ “ท่านอาหลิ่ว อาจารย์พ่อของข้าก็เป็นเพื่อนสนิทกับอาจารย์หลิวเหมือนกัน อ้อ ใช่แล้ว อาจารย์หลิวก็คือเจ้าสำนักฉี”
มีหรือไม่มีคำว่า ‘เหมือนกัน’ คือความต่างราวฟ้ากับเหว
หลี่ไหวรู้สึกเลื่อมใสในความละเอียดอ่อนของเผยเฉียนอยู่มาก
ส่วนเหวยไท่เจินนั้นตกตะลึงในการคบหาสหายที่กว้างขวางของเจ้าขุนเขาหนุ่ม ทุกวันนี้นางรู้นิสัยของเผยเฉียนดีแล้ว เด็กสาวจะไม่พูดจาใหญ่โตเกี่ยวกับเรื่องของตัวเองแม้แต่ครึ่งคำ ดังนั้นคำว่าเพื่อนสนิทก็คือเรื่องจริงแท้แน่นอน
ตอนแรกก็มีหลิ่วจื้อชิง ภายหลังยังมีฉีจิ่งหลง
ล้วนเป็นผู้บรรลุมรรคาอายุน้อยๆ ของอุตรกุรุทวีปที่เหมือนว่ามีโชควาสนามารวมตัวกันอยู่บนร่างทั้งสิ้น
หลิ่วจื้อชิงพยักหน้ายิ้มกล่าว “เป็นแบบนี้ย่อมดีที่สุด”
เผยเฉียนพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ท่านอาหลิ่ว อาจารย์ฉีชอบดื่มเหล้าเป็นที่สุด เพียงแต่จะหน้าบางกับคนที่ไม่สนิท ต่อให้ท่านอาหลิ่วจะยังไม่เคยเจอกับอาจารย์ฉี แต่แน่นอนว่าไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน ดังนั้นจำไว้ว่าต้องพกสุราดีไปเยอะๆ ด้วย”
หลิ่วจื้อชิงครุ่นคิด อันที่จริงตนไม่ชอบดื่มเหล้า เพียงแค่พอจะดื่มได้อยู่บ้าง คอไม่อ่อนเท่าไร ในเมื่อจะไปเป็นแขกที่สำนักกระบี่ไท่ฮุย จะขอประลองเวทกระบี่และขอความรู้วิชายันต์จากเจ้าสำนัก มารยาทส่วนนี้ก็ยังต้องมีอยู่บ้าง ก็แค่เหล้าหมักตระกูลเซียนไหใหญ่ไม่กี่ไหเท่านั้น หลิ่วจื้อชิงจึงพยักหน้ารับ “ไปถึงสวนน้ำค้างวสันต์แล้วข้าสามารถซื้อเหล้าให้มากหน่อยได้”
เผยเฉียนเอ่ยอีกว่า “ตอนนี้อาจารย์หลิวมีลูกศิษย์ผู้สืบทอดแค่คนเดียว นามว่าป๋ายโส่ว รบกวนท่านอาหลิ่วช่วยนำความไปบอกเขาแทนข้าที บอกว่าคราวหน้าที่กลับบ้านเกิด ข้าจะต้องเดินทางผ่านสำนักกระบี่ไท่ฮุย ถึงเวลานั้นจะไปหาเขาที่ยอดเขาเพียนหราน”
เผยเฉียนพูดจบก็หัวเราะร่าอยู่กับตัวเอง
หลิ่วจื้อชิงตอบตกลง
เรือข้ามฟากไปถึงท่าเรือฝูสุ่ยที่เจริญรุ่งเรืองของสวนน้ำค้างวสันต์ เผยเฉียนพาหลี่ไหวตรงไปที่ร้านผีฝูบนถนนเหล่าไหวทันที
นี่เป็นร้านของบ้านตัวเอง คือกิจการที่อาจารย์พ่อสร้างไว้ในต่างถิ่น
หลังจากนั้นเผยเฉียนก็ไปเยี่ยมหาผู้ฝึกตนโอสถทองของศาลบรรพจารย์สวนน้ำค้างวสันต์อาจารย์ของซ่งหลันเฉียวเพียงลำพัง คือหญิงชราคนหนึ่งที่สีหน้ามีเมตตาปราณี คือบรรพจารย์รุ่นอักษรจู๋ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของสวนน้ำค้างวสันต์ เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนรุ่นอักษรหลันของสวนน้ำค้างวสันต์อย่างซ่งหลันเฉียวนี้จะต้องเคารพกฎของทำเนียบวงศ์ตระกูลอย่างเข้มงวด นั่นคือในชื่อต้องมีอักษรหลันห้ามขาด แต่ผู้ฝึกตนรุ่นอักษรจู๋กลับไม่มีข้อพิถีพิถันเช่นนี้ เมื่อครั้งที่สวนน้ำค้างวสันต์เพิ่งก่อร่างสร้างตัว ส่วนใหญ่แล้วแต่ละคนต่างก็ใช้นามจริงในช่วงต้นบนภูเขากันทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่นเจ้าขุนเขาก็ชื่อว่าถานหลิง
หญิงชรานามว่าหลินชว่อเอ๋อ พอเห็นเผยเฉียนที่พกของขวัญมาเยี่ยมเยือนก็ดีใจมากเป็นพิเศษ ดังนั้นของขวัญที่นางมอบกลับคืนจึงเป็นของขวัญชิ้นใหญ่
ทุกวันนี้นางกับซ่งหลันเฉียวผู้เป็นลูกศิษย์ได้เป็นพันธมิตรกับถังซี บวกกับมีความสัมพันธ์ควันธูปอีกส่วนหนึ่งกับสำนักพีหมาชายหาดโครงกระดูก ยิ่งนานวันหญิงชราก็ยิ่งมีสิทธิ์ออกเสียงในศาลบรรพจารย์สวนน้ำค้างวสันต์มากขึ้นเรื่อยๆ และนางก็ยิ่งได้นั่งรับเงินเทพเซียนอยู่บนภูเขาของสำนักทุกวัน เงินทองไหลมาเทมา ดังนั้นหญิงชราที่การฝึกตนไม่อาจเรียกว่ามีเส้นทางให้เดินบนมหามรรคาได้อีกแล้วจึงได้แต่เจ็บใจที่เด็กสาวไม่อาจย้ายเอาภูเขาเงินภูเขาทองลูกหนึ่งไปจากบ้านตัวเองได้ ยิ่งพอได้ยินเผยเฉียนบอกว่าเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกแล้ว นางก็ยิ่งตกตะลึงระคนดีใจ นอกจากจะมอบของขวัญกลับคืนแล้วจึงยังบอกให้สาวใช้ประจำตัวของตัวเองไปซื้อเสื้อเกราะจินอูตัวหนึ่งมาจากศาลบรรพจารย์ มอบเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารเม็ดนั้นให้เผยเฉียน เผยเฉียนหรือจะกล้ารับไว้ หญิงชราเลยยกเอาอาจารย์พ่อของเผยเฉียนมาอ้าง บอกว่าตนคือผู้อาวุโสของอาจารย์พ่อเจ้า เขามาเยือนหลายครั้งล้วนไม่เคยรับของขวัญกลับคืน คราวก่อนบอกกับเขาแล้วว่าให้สะสมรวมกันไว้ ก็ถือเสียว่าเจ้ารับมันไว้แทนอาจารย์พ่อของเจ้าแล้วกัน
เซียนกระบี่หนุ่มเฉินผิงอันก็ดี เผยเฉียนลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเขาก็ช่าง ทุกครั้งที่มาเยือนสวนน้ำค้างวสันต์ล้วนไม่เคยไปพบถานหลิงเจ้าภูเขา กลับเป็นฝ่ายมาเยี่ยมเยือนตนทุกครั้ง หลังจากนั้นถึงจะไปนั่งในเรือนเย่ฉ่าวพักหนึ่ง เรื่องนี้ทำให้หญิงชราสบายใจเป็นที่สุด อาจารย์และศิษย์สองคนต่างก็เคารพกฎเกณฑ์และให้ความสำคัญกับมิตรภาพ นี่จึงเป็นเหตุให้หญิงชรามีความประทับใจที่ดีเยี่ยมต่อภูเขาลั่วพั่วแห่งแจกันสมบัติทวีป
หญิงชรามักจะพูดกับซ่งหลันเฉียวผู้เป็นลูกศิษย์อยู่เป็นประจำว่าหากได้ออกเดินทางไปเยือนต่างทวีป นางจะต้องไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วแน่นอน
ดังนั้นหญิงชราที่ขึ้นชื่อว่านิสัยแปลกประหลาด พูดจาร้ายกาจไม่เข้าหูคนฟังในสวนน้ำค้างวสันต์ ยามอยู่กับเผยเฉียนจึงมีสีหน้าเมตตาปราณีได้อย่างเป็นธรรมชาติ ดึงมือของแม่นางน้อยไว้พูดคุยกันเป็นนาน ตัดใจปล่อยให้เผยเฉียนจากไปไม่ลง
——