กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 702.2 ท่ามกลางลมหิมะ
ซิ่วไฉเฒ่าพลันหลุดหัวเราะพรืด “เผยเฉียนก็เปลี่ยนมาเป็นคนดีแล้วไม่ใช่หรือ? นี่ก็ไม่สำคัญแล้วหรือ? เจ้าคิดว่าหากไม่เป็นเพราะลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าอบรมสั่งสอนด้วยการทำให้นางดูตัวเป็นตัวอย่าง เผยเฉียนจะเป็นเผยเฉียนอย่างทุกวันนี้ได้ไหม?”
ซิ่วไฉเฒ่าตบหัวใจตัวเอง “ข้าได้ความสบายใจ ฟ้าดินได้ประโยชน์ ไยจะไม่ยินดีทำเล่า?”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความปรารถนาดี “ความรู้เรื่องกิจการงานและคุณความชอบ ดีก็ดีอยู่ แต่ดีพอแล้วหรือ? ข้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก พูดถึงแค่สามเรื่อง จะสามารถทำให้ผู้อำนวยการใหญ่คนนั้นเอาตัวอักษรให้ข้ายืมไหม? สามารถทำให้อาจารย์ป๋ายยอมเอาภาพค้นภูเขาออกมาไหม? สามารถทำให้บนโลกนี้มีเด็กสาวขอบเขตเดินทางไกลที่เดินเข้าหาความดีอยู่ห่างไกลจากความชั่วร้ายเพิ่มมาอีกคนหนึ่งได้ไหม? บัณฑิตจะเอาแต่รู้สึกว่าข้าทำดีมากพอแล้ว ยามหนอนหนุนหมอนสูงแล้วก็ไม่ต้องระวังตัว รู้สึกว่าทุกเรื่องล้วนสามารถวางใจได้แล้วมิได้ หากวิถีทางโลกกล้าคาดหวังกับตัวข้าเพิ่มส่วนหนึ่ง ข้าก็จะถ่มน้ำลายใส่วิถีทางโลก ก่นด่าคนบนโลกว่าโง่เง่าไร้จิตสำนึก”
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าวมาถึงตรงนี้ก็เกาหัว “บีบคอไอแรงๆ สองสามที แล้วค่อยถุยเสลดเหนียวข้นออกมา มารดามันเถอะนี่แม่งช่าง…น่าขยะแขยงจริงๆ”
พูดถึงเรื่องทุบทำลายเทวรูปในครานั้น จำได้ว่ามีบัณฑิตของราชวงศ์เส้าหยวนคนหนึ่งที่เอาจริงเอาจังเป็นพิเศษ
อันที่จริงเรื่องที่ซิ่วไฉเฒ่าพูดคือคนละเรื่องกัน แต่ชุยตงซานฉลาดมากพอ จึงล้วนฟังเข้าใจทั้งสิ้น หนึ่งคือเรื่องราวของใต้หล้าที่แสวงหาต้นกำเนิดอันชัดเจน อีกหนึ่งคือคำบ่นของคนบ้านกันเดียวที่ปิดประตูบ่นให้กันฟัง
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย “ทุกวันนี้เผยเฉียนขอบเขตสูงแล้ว กลับยิ่งกลายเป็นว่ากลัวจะเกิดเรื่อง นี่คือเรื่องดี เพราะหมัดหนักเกินไป แต่อายุกลับยังน้อย ดังนั้นจึงไม่ต้องคิดจะเปลี่ยนแปลงวิถีทางโลกเร็วเกินไปนัก”
“วิถีทางโลก วิถีทางโลก ก็หนีไม่พ้นเส้นทางเดินของคนบนโลกเท่านั้น”
ซิ่วไฉเฒ่ายื่นนิ้วออกมาข้างหนึ่ง “บนทางสายหนึ่งที่ผู้คนเบียดกรูกันเข้าไปอย่างผิดๆ มองดูเหมือนเป็นทางลัดเดินสบาย ไม่ต้องสนใจว่ามีคนมากหรือน้อย เส้นทางเดินได้สบายมากแค่ไหน อาจารย์ทุกคนที่สอนหนังสือก็ต้องบอกกับพวกเด็กๆ ทุกคนที่เรียนรู้ตัวอักษร เรียนอ่านตำรา เรียนมารยาทพิธีการอยู่ในโรงเรียนว่าไม่อาจเดินแบบนั้นได้ วันหน้าเมื่อพวกเด็กๆ เติบใหญ่ มีเรี่ยวแรงเพิ่มมากขึ้น ไม่แน่ว่าอาจจะยังไปยืนขวางอยู่บนทางสายนั้น บอกกับคนอื่นว่านี่เป็นสิ่งที่ผิด ผิดก็คือผิด จากนั้นก็อาจจะถูกวิถีทางโลกบางอย่างต่อยจนหน้าเขียวจมูกบวม หากความรู้ด้านกิจการงานและคุณความชอบของพวกเจ้าสามารถทำให้ความผิดที่หล่นลงบนร่างของคนดีพวกนี้ลดน้อยลงไปได้ นั่นก็จะประเสริฐยิ่ง จะดีอย่างมากแล้ว”
ชุยตงซานกล่าวอย่างอัดอั้นตันใจ “มาพูดเรื่องพวกนี้กับข้าทำไม ทำไมไม่พูดกับชุยฉานล่ะ?”
ซิ่วไฉเฒ่าไม่ตอบ
มีเพียงสายน้ำของลำน้ำใหญ่เบื้องหน้าคนทั้งสองเท่านั้นที่ไหลรินผ่านไปช้าๆ
ชุยตงซานพึมพำกับตัวเองว่า “พบเจอคนมีคุณธรรมความสามารถ ต้องเรียนรู้จากเขา”
เงียบกันไปนาน ชุยตงซานก็เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ไปเถอะๆ ไปให้จบๆ เรื่อง”
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าว “ข้าจะไปเจอผู้อาวุโสบางคนสักหน่อย”
ผู้อาวุโสท่านนั้นเคยมีคำถามที่มหัศจรรย์แม้จะผ่านมานานพันปีหมื่นปี เปิดบทมาก็ถามแล้วว่า เมื่อย้อนไปถึงยุคโบราณ ใครกันเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาคนแรก? ลำพังเพียงแค่คำถามข้อนี้ก็ทำเอาพวกอริยะปราชญ์ที่เงียบเหงาบางท่านต้องหลั่งน้ำตาแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าเองก็เคยมีช่วงเวลาตอนเป็นหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตอันฮึกเหิมเช่นนี้ มีครั้งหนึ่งเขาดื่มเหล้าจนเมามายอย่างที่หาได้ยาก จึงตะโกนเสียงดังว่าข้าจะตอบเอง ข้าสามารถตอบได้…
และตอนที่อยู่บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ลูกศิษย์จั่วโย่วก็เคยถามตอบกับศิษย์น้องเฉินผิงอัน
ชุยตงซานลังเลเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “ไม่ต้องตอบคำถามสวรรค์อีกได้ไหม”
ยังคงเป็นคำถาม แต่กลับไม่ใช้เสียงของการตั้งคำถามอยู่เหมือนเดิม
ไม่ตอบ เหลือค้างไว้ อาจารย์ในอดีต ท่านเก็บค้างไว้ในใจตัวเองไปตลอดก็พอแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่ามือหนึ่งลูบหนวด มือหนึ่งตบหน้าท้องเบาๆ “ไม่เหมาะสมแก่กาลเทศะ ไม่พูดคงอัดอั้นนัก”
ชุยตงซานถามอย่างประหลาดใจ “ฉีจิ้งชุนรู้แต่แรกแล้วหรือว่าคนผู้นั้นอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน?”
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า “ข้าเองก็เพิ่งจะรู้ความลับนี้หลังจากผสานมรรคาแล้ว ในอดีตขนาดตาเฒ่าก็ยังปิดบังข้า”
ซิ่วไฉเฒ่าพลันตบป้าบเข้าที่หัวของชุยตงซาน “เจ้าลูกกระต่ายน้อย วันๆ เอาแต่ด่าตัวเองว่าตะพาบเฒ่า สนุกนักหรือ?”
สายตาชุยตงซานแฝงความไม่พอใจ “ก่อนหน้านี้เจ้าพูดเองว่าถึงอย่างไรก็เป็นคนละคนกันแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าเหวี่ยงมือตบอีกรอบ “พูดกับอาจารย์ปู่แบบนี้ได้ยังไง? หา?”
หลังจากโดนตบไปทีหนึ่ง ชุยตงซานก็ยื่นมือมาป้องหัวตัวเอง “แค่พอประมาณก็พอแล้วนะ”
ซิ่วไฉเฒ่าพลันเอ่ยว่า “อันดับแรกก็มีอริยะปราชญ์มองดูโลกมนุษย์ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างเฉยชา หลิง ถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ดุจเทพ จวิน ท่วงทำนองการพูด ผู้ที่พูดจาเที่ยงธรรมเป็นกฎเกณฑ์ ไม่มีอะไรเหนือเกินฟ้า ผู้ที่หล่อเลี้ยงสรรพสิ่งปรับสมดุลท่วงทำนอง ไม่มีอะไรศักดิ์สิทธิ์ไปกว่าดิน นี่จึงเป็นเหตุให้เที่ยงตรงเป็นกลางมากที่สุด ภายหลังป๋ายเหย่พกกระบี่ออกเดินไกลทั่วฟ้าดิน ใต้หล้าแห่งที่ห้าควรจะตั้งชื่ออย่างไร ข้าพอจะมีความคิดแล้ว”
รักษาความบริสุทธิ์เกียรติศักดิ์บนวิถีแห่งความเที่ยงตรง เดิมก็คือสิ่งที่อริยะปราชญ์ชื่นชมมานับแต่โบราณ
ป๋ายเหย่แต่งกวีไร้เทียมทาน ความคิดโดดเด่นไม่เหมือนใคร ช่างเป็นดินแดนบริสุทธิ์ไร้มลทิน ปราณเที่ยงธรรมล่องลอยดุจก้อนเมฆบนผืนฟ้า
ชุยตงซานกะพริบตาปริบๆ “ประเสริฐ”
ซิ่วไฉเฒ่ายกมือข้างหนึ่งขึ้น ชุยตงซานรีบยกสองมือมาปัดป้องวุ่นวาย สกัดขวางฝ่ามือนั้น
ซิ่วไฉเฒ่าเก็บมือมา ลูบหนวดยิ้ม เอ่ยอย่างลำพองใจว่า “แค่คำว่าประเสริฐคำเดียวจะพอใช้เสียที่ไหน? อยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอมากนัก ดังนั้นในเรื่องของการตั้งชื่อนี้ เป็นอาจารย์ของเจ้าที่ได้รับการสืบทอดที่แท้จริงไป”
ชุยตงซานยิ้มหน้าทะเล้น “แล้วเรื่องหาภรรยาล่ะ?”
ซิ่วไฉเฒ่าใช้ฝ่ามือลูบปลายคาง “เรื่องนี้ก็ไม่เคยสอนนะ เก่งกาจเองโดยไม่ต้องมีคนสอนหรือ?”
ชุยตงซานหัวเราะร่วน “หากเคยสอนมาก่อน คาดว่าคงไม่มีหวังแล้ว”
หลังจากซิ่วไฉเฒ่าจากไป
ชุยตงซานทะยานลมมายังทะเลเมฆ เห็นเด็กน้อยที่เผยร่างจริงผู้นั้นกำลังเลียบลำน้ำใหญ่เดินลงแม่น้ำอย่างเกรียงไกร ระยะทางผ่านไปได้เกินครึ่งแล้ว บนร่างเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ แต่กลับพุ่งไปข้างหน้าอย่างดุดันอาจหาญ ไม่เป็นปัญหาแม้แต่น้อย
ซิ่วไฉเฒ่าไปที่ทะเลสาบซูเจี่ยนมาก่อน ได้เจอกับผู้เฒ่าคนหนึ่งที่มหามรรคาใกล้ชิดกับสายน้ำอย่างถึงที่สุด จึงเป็นเหตุให้มาอยู่กับสายน้ำ เขาสวมกวานสูงรัดเข็มขัด รูปร่างผอมบาง ความรู้ไม่ได้อยู่ในสายบุ๋นของศาลบุ๋น
ซิ่วไฉเฒ่าประสานมือคารวะ
ผู้เฒ่าคารวะกลับคืนด้วยพิธีการโบราณ แค่ไม่ใช่การคารวะดั้งเดิมของลัทธิขงจื๊อก็เท่านั้น
จากนั้นผู้เฒ่าก็พาซิ่วไฉเฒ่ามายังภูเขาลูกหนึ่ง ในที่แห่งนี้เขาเคยขอแผ่นไม้ไผ่บางส่วนมาจากคนหนุ่มหน้าตาซูบเซียวที่จูงม้ามาด้วย แม้ว่าจะเป็นคนหนุ่ม แต่ไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย
ทั้งสองฝ่ายยังเคยถามตอบกันในฝันไปรอบหนึ่ง ไม่ถามฟ้าดิน แค่ถามจิตดั้งเดิม
ผู้เฒ่าเงียบไปนาน ก่อนเอ่ยปากพูดว่า “ค่อนข้างจะผิดหวังกับตัวเองอยู่บ้าง ทำได้ไม่ดีพอ เพียงแต่ว่าไม่ได้ผิดหวังกับวิถีทางโลกขนาดนั้นอีกแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ายิ้มเอ่ย “ได้เดินไปบนทางเส้นเดียวกับเหล่าอาจารย์ ต่อให้สุดท้ายแล้วยังไม่อาจทัดเทียมพวกท่านได้ แต่ก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง หากได้กินซาลาเปาเนื้อก้อนใหญ่ของนครลวี่ถงสักสี่ลูก จะต้องมีแรงพูดเหตุผลกับคนอื่นและมีแรงออกเดินทางได้ต่อแน่นอน”
ผู้เฒ่าเอ่ย “ลูกศิษย์สามารถเปิดขุนเขาให้วิถีทางโลก ลูกศิษย์สามารถทำให้อาจารย์ปิดประตู ไม่แย่หรอกนะ”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยอย่างปลาบปลื้ม “ไม่แย่ๆ”
ผู้เฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงสะท้อนใจ “ไม่ต้องมีความรู้สึกร้อนเย็นยังได้ แต่มิอาจเปิดตำรากลับต้องเสียใจสุดแสน”
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าว “ตายังแจ่มชัด ใจยังเร่าร้อน เทียนกงจึงได้กลายเป็นบัณฑิตเฒ่า”
ผู้เฒ่ายิ้ม “ช่างพูดช่างคุยเหมือนกับลูกศิษย์ของเจ้าเลย”
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า “เรื่องของการ ‘พูดคุย’ นี้ คนในใต้หล้าล้วนถือเป็นเด็กรุ่นหลัง”
ผู้เฒ่ากล่าว “นอกจาก ‘คำถามสวรรค์’ ที่ไม่ต้องพูดมากแล้ว ‘ผีภูเขา’ กับ ‘ลุยน้ำ’ ที่เหลือล้วนสามารถเอาไปได้”
ซิ่วไฉเฒ่าลังเลเล็กน้อย
ผู้เฒ่าเอ่ย “‘ตงจวิน’ กับ ‘เรียกวิญญาณ’ ก็เหมือนกัน”
ซิ่วไฉเฒ่าประสานมือคารวะอีกครั้ง
ครั้งแรกเป็นการทักทาย ครั้งนี้เป็นการขอบคุณ
ผู้เฒ่าทอดถอนใจหนึ่งที ก่อนที่ร่างจะหายวับไป ทิ้งไว้เพียงบทความสี่บทที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ซิ่วไฉเฒ่าเก็บมาไว้ในชายแขนเสื้อ เขาเองก็ถอนหายใจเช่นกัน
หลังจากนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็เอาสองบทอย่าง ‘ผีภูเขา’ กับ ‘ลุยน้ำ’ ไปมอบให้กับชุยตงซานที่ทำหน้าที่นั่งพิทักษ์ลำน้ำใหญ่ จากนั้นให้ชุยตงซานนำบท ‘ตงจวิน’ ไปมอบต่อให้กับร้านยาเมืองเล็ก หลังจากนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็เอาแค่บท ‘เรียกวิญญาณ’ ไป ไม่เพียงแต่ลงใต้มุ่งไปยังนครมังกรเฒ่าตลอดทาง ยังฉวยโอกาสที่สถานการณ์อันตรายแต่ไม่ถึงขั้นเละเทะแอบแวบไปที่ใบถงทวีป ช่วยสร้างความมั่นคงให้กับค่ายกลภูเขาสายน้ำของภูเขาไท่ผิงเพิ่มอีกหลายส่วน
จากนั้นก็ไปเยือนราชวงศ์ต้าเฉวียนที่แม้แต่ฮ่องเต้ก็แอบเผ่นหนีไปแล้ว อยู่นอกประตูตำหนักปี้โหยวริมตลิ่งลำคลองม่ายเหอแห่งนั้น ซิ่วไฉเฒ่าจัดคอเสื้อ ยืนคอยอยู่นาน ผลคือไม่มีใครมาสนใจ
ซิ่วไฉเฒ่าจึงได้แต่เปิดปากถามว่าเหนียงเนียงลำคลองม่ายเหออยู่หรือไม่?
เด็กสาวร่างเล็กเตี้ยคนหนึ่งเดินอาดๆ มาปรากฏตัวที่หน้าประตู มือหนึ่งรองก้น ‘ถ้วยใบใหญ่’ มือหนึ่งถือตะเกียบ นางนั่งอยู่บนธรณีประตู ขมวดคิ้วมุ่น มองประเมินผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่ตัวเองมองตื้นลึกไม่ออก สุดท้ายนางจึงเอ่ยถามว่าบัณฑิตเฒ่ามาเตร็ดเตร่ส่งเดชอะไรอยู่แถวนี้ ไม่รู้หรือไรว่าทุกวันนี้วิถีทางโลกวุ่นวายมาก? ตำหนักปี้โหยวของข้าใหญ่แค่ฝ่ามือ ไม่อาจปกป้องใครได้ ไม่แน่ว่าแม้แต่ข้าเองอาจยังเอาตัวไม่รอด ไม่ใช่ว่าข้าใจแคบหรอกนะ แต่ท่านอาจารย์ผู้เฒ่ารีบไปที่สำนักศึกษาต้าฝูดีกว่า ที่นั่นปลอดภัยกว่ามาก
ซิ่วไฉเฒ่าจึงได้แต่ทำหน้าหนาบอกชื่อแซ่ของตัวเองไป บอกว่าตนคืออาจารย์ของจั่วโย่วและเฉินผิงอัน
เหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอเหมือนถูกฟ้าผ่า ในหัวสมองเหมือนมีแต่แป้งเปียก ใบหน้าแดงก่ำ อึ้งอยู่นานก็พูดไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ นางลุกขึ้นยืนโงนเงนเหมือนคนเมา สองมือประคอง ‘ถ้วยใหญ่’ ชูสูงเหนือหัว ความหมายคือน่าจะต้องการเชิญชวนให้ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งกินอาหารมื้อดึกด้วยกัน?
หลังจากนั้นนางที่มึนๆ งงๆ ก็กลับไปที่โถงใหญ่ตำหนักปี้โหยวพร้อมกับท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งที่บอกว่าน้ำใจยิ่งใหญ่ยากจะปฏิเสธ ถ้าอย่างนั้นก็จะไปนั่งข้างในสักครู่แล้วกัน ก่อนจะสั่งให้พ่อครัวหลิวเอาบะหมี่ชามหนึ่งที่เล็กเหมือนจานอาหารกับแกล้มมามอบให้นายท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งอย่างมึนงงไม่หาย
จั่วโย่วที่สุดท้ายออกจากอาณาเขตของสำนักใบถงจากสถานที่แห่งหนึ่งของภาคกลางใบถงทวีปเอากระบี่วางพาดไว้บนหัวเข่า นั่งอยู่บนทะเลเมฆ เฝ้าพิทักษ์ประตูใหญ่ เพียงประตูบานเดียวกางกั้นก็คือสองใต้หล้า
ห่างไปไกลมีผู้ฝึกกระบี่โอสถทองหวังซือจื่อและแม่นางคนหนึ่งนามว่าอวี๋ซินคอยช่วยลูกศิษย์สำนักศึกษาและผู้ฝึกตนบนภูเขาจัดการคุ้มครองชาวบ้านลี้ภัยจากสถานที่ต่างๆ ไปส่ง ความคิดของผู้คนมากมายซับซ้อน สภาพการณ์วุ่นวายไร้ระเบียบ ไม่ได้ราบรื่นผ่อนคลายนัก
ต่อให้หวังซือจื่อจะเป็นคนโง่ที่ความรู้สึกช้าแค่ไหนก็มองออกว่าแม่นางอวี๋มีความรู้สึกบางอย่างต่อผู้อาวุโสจั่ว
ไม่อย่างนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องมาเสี่ยงอันตรายที่นี่เลย แล้วก็เพราะหวังซือจื่อถึงคอขวดของการฝึกตนที่จิตแห่งกระบี่ขยับเล็กน้อย ขอบเขตก็จะทะลุแต่ไม่ทะลุสักที ไม่ต่างจากเฉาจวิ้นผู้ฝึกกระบี่แห่งทักษินาตยทวีป จำเป็นต้องพิศกระบี่ให้กระจ่างแจ้งเพื่อฝ่าทะลุคอขวด เพราะถึงอย่างไรยามที่ผู้อาวุโสจั่วโย่วออกกระบี่สังหารปีศาจอยู่ที่นี่ ต่อให้ได้แค่มองไกลๆ ก็เป็นประโยชน์ต่อวิถีกระบี่ที่ได้แต่ปรารถนาไม่อาจได้มาครอบครองแล้ว
ทว่าพอผู้อาวุโสจั่วรู้ว่าแม่นางอวี๋มาที่นี่เป็นเพื่อนตน กลับยังตบไหล่ของตน สายตาของเขาในตอนนั้นคงประมาณว่าผู้อาวุโสจั่วโย่วรู้สึกว่าเขาหวังซือจื่อฉลาดขึ้นบ้างแล้ว?
วันนี้แม่นางอวี๋ถามเขาว่าจะไปขอความรู้เวทกระบี่หรือไม่ แน่นอนว่าหวังซือจื่อไม่ได้ทึ่มทื่อเหมือนเดิมแล้ว จึงพยักหน้าบอกว่าจะไป จากนั้นก็เอ่ยเพิ่มไปอีกประโยคว่า อันที่จริงนอกจากที่ผู้อาวุโสจั่วจะมีเวทกระบี่เลิศล้ำเป็นหนึ่งในใต้หล้าแล้ว มรรคกถาของเขาก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน หลังจากข้าขอความรู้จากเขาแล้ว แม่นางอวี๋เจ้าเองก็ห้ามพลาดไปเด็ดขาด แม่นางอวี๋มองเขาแวบหนึ่ง เพราะหวังซือจื่อพูดจาเต็มไปด้วยเหตุผลชอบธรรม แม่นางอวี๋จึงไม่ได้ถลึงตาใส่เขาอีกครั้ง
ผลคือพอไปถึงทะเลเมฆที่จั่วโย่วใช้เป็นสถานที่ฝึกตนชั่วคราว หวังซือจื่อถามความรู้ด้านเวทกระบี่กับผู้อาวุโสจั่วด้วยความจริงใจแล้วจึงเอ่ยขอตัวลา ไม่ลืมเตือนผู้อาวุโสจั่วโย่วด้วยว่า แม่นางอวี๋มีปัญหายากจะทำความเข้าใจบนเส้นทางการฝึกตน จึงอยากจะขอคำแนะนำจากผู้อาวุโสจั่วโย่ว
จั่วโย่วกลับส่ายหน้า บอกว่านอกจากเวทกระบี่ของตนที่พอจะสอนคนอื่นได้อย่างถูไถแล้ว เรื่องการฝึกตนด้านอื่นก็ไม่กล้าพูดกับใครทั้งนั้น วิชาลับของศาลบรรพจารย์สำนักใบถงสามารถพาตรงไปสู่ห้าขอบเขตบน ขอแค่แม่นางอวี๋ฝึกตนไปตามลำดับขั้นตอนก็ย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน
แม่นางอวี๋ที่เพิ่งจะเดินเยื้องย่างมาหาผู้ฝึกกระบี่ทั้งสองคล้ายใต้ฝ่าเท้ามีก้อนเมฆผุดลอย พอได้ยินก็สะบัดหน้าเดินจากไปทันที เดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว นางก็รีบทิ้งตัวดิ่งลงไปเบื้องล่าง ทะยานลมกลับไปยังพื้นดินของโลกมนุษย์อย่างว่องไว
หลังจากหวังซือจื่อตามแม่นางอวี๋มาก็ได้แต่กล้าตามติดนางมาไกลๆ เท่านั้น ยามที่สตรีเสียใจกับเรื่องน่าเสียใจ คงไม่ต้องการให้คนนอกมาเห็นเข้ากระมัง?
แต่เพียงไม่นานก็คล้ายว่าแม่นางอวี๋จะปรับอารมณ์ได้แล้ว นางทะยานลมหยุดอยู่ที่เดิม เพียงแต่ว่าทั้งไม่ไปทะเลเมฆ แล้วก็ไม่ไปพื้นดิน หวังซือจื่อถึงได้กล้าขยับเข้าใกล้
——