กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 705.3 เก็บซ่อนรูปโฉมอันงดงาม
ศาลบรรพจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยง
นอกจากบรรพจารย์สองท่านที่เดินทางไปยังนครมังกรเฒ่าแล้ว เหล่าเซียนกระบี่ผู้เฒ่าคนอื่นๆ ซึ่งมีบรรพบุรุษตระกูลเถาเป็นหนึ่งในนั้น วันนี้ได้มารวมตัวกันในห้องโถงใหญ่ ด้วยมีกิจธุระมากมายที่จำเป็นต้องให้เหล่าบรรพบุรุษร่วมกันตัดสินใจ
อยู่ที่อุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด หากถูกคนเรียกด้วยความเคารพว่าเซียนกระบี่ บางทีอาจรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว แต่อยู่ในแจกันสมบัติทวีปกลับไม่มีขนบธรรมเนียมเช่นนี้
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองทุกคนก็เป็นเซียนกระบี่บนภูเขาได้อย่างสมศักดิ์ศรีแล้ว
สตรีโตเต็มวัยรูปโฉมธรรมดาคนหนึ่งตำแหน่งที่นั่งค่อนไปทางช่วงท้าย ตรงข้อมือของนางผูกด้ายสีแดง เวลานี้นางนั่งตัวตรงอย่างสำรวม เห็นได้ชัดว่ามีท่าทีระมัดระวัง
นางเป็นคนดูและเรื่องรายงานขุนเขาสายน้ำและบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของภูเขาตะวันเที่ยง อยู่บนภูเขาตะวันเที่ยงก็เป็นได้แค่คนที่คอยวิ่งวุ่นทำงานอยู่ตลอดเวลา มีเพียงลำดับศักดิ์ที่ว่างเปล่า เพราะไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ อีกทั้งยังออกไปข้างนอกเป็นประจำ ดังนั้นจึงไม่อาจทำให้คนเคารพยำเกรงได้เหมือนพวกบรรพบุรุษเซียนกระบี่ทั้งหลาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยู่ในศาลบรรพจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงแห่งนี้ ในสายตาของเหล่าบรรพบุรุษเซียนกระบี่ นี่คือสตรีที่เจ้าเล่ห์แต่ไม่ฉลาดมากพอ พูดง่ายๆ ก็คือ คือสตรีที่ครองเรือนได้อย่างไม่ใจกว้างมากพอ
แรกเริ่มสุดซูเจี้ยเคยเป็นลูกศิษย์ที่นางพาขึ้นมาบนภูเขา ผลกลับกลายเป็นว่าถูกนางยกให้ยอดเขาแห่งอื่นเพื่อเป็นของแลกเปลี่ยน ให้นางได้รับสมบัติอาคมมาชิ้นหนึ่ง ภายหลังซูเจี้ยถูกทางศาลบรรพจารย์รับเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด และเรื่องจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการค้าครั้งนั้น นางขาดทุน
ไม่อย่างนั้นขนาดนั้นล่างภูเขามารดายังสูงศักดิ์ได้โดยอาศัยบุตร บนภูเขาก็มีผู้ฝึกตนเฒ่าที่มีชีวิตอยู่รอความตายไปวันๆ หลายคนที่สามารถอาศัยลูกศิษย์ช่วงชิงความสูงศักดิ์มาได้เช่นกัน
แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วจุดจบของซูเจี้ยไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
ตอนอยู่บนหอเทพเซียนของศาลลมหิมะ นางพ่ายแพ้ให้กับหวงเหอเจ้าสวนคนปัจจุบันของสวนลมฟ้า จิตแห่งกระบี่แตกสลาย แม้แต่สถานะผู้ฝึกกระบี่ซูเจี้ยก็ยังมิอาจรักษาเอาไว้ได้
แต่ศาลบรรพจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงเพียงแค่เก็บเอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ม่วงทองลูกนั้นกลับคืนมา ไม่ได้ลบชื่อนางออกจากทำเนียบของศาลบรรพจารย์ เพียงแต่ถอดสถานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดของซูเจี้ยออก
เรื่องแรกคือต้องการปรึกษากันถึงตัวเลือกสำรองของคนที่จะมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด จากนั้นเลือกวันฤกษ์งามยามดีให้ชื่อของพวกเขาได้รับการบันทึกลงทำเนียบศาลบรรพจารย์อย่างเป็นทางการ
ภูเขาตะวันเที่ยงก็คือตัวสำรองสำนักอักษรจงที่ต้าหลีเลือกเอาไว้ ดังนั้นทุกวันนี้จึงได้ลงมือเตรียมหาสถานที่ตั้งของสำนักเบื้องล่างแล้ว แน่นอนว่าต้องอยู่ในอาณาเขตของราชวงศ์จูอิ๋งเก่า
หลายปีที่ผ่านมานี้ภูเขาตะวันเที่ยงได้รับเอาตัวผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ของราชวงศ์จูอิ๋งเก่ามาค่อนข้างมาก นอกจากนี้แล้วยังมีตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่ค่อนข้างจะไม่ธรรมดาอีกคนหนึ่ง ทางฝ่ายของสำนักกระบี่หลงเฉวียนถึงกับตาบอดไม่ยอมปลูกฝังเขาให้ดี ฝึกตนอยู่บนภูเขาเสินซิ่วตั้งนานหลายปี แต่หร่วนฉงกลับไม่ยินดีจะรับเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด พอเด็กหนุ่มมาถึงภูเขาตะวันเที่ยงแล้วก็ฝ่าทะลุขอบเขตอย่างรวดเร็ว ทุกวันนี้ติดตามอยู่ข้างกายเทพธิดาถงเจินของยอดเขาหานลู่ มีความหวังว่าจะได้ผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกัน
เรื่องแรกนี้อันที่จริงเป็นเรื่องเล็ก ไม่มีอะไรให้ต้องโต้เถียงกัน
เรื่องที่สองปรึกษากันเรื่องการลงภูเขาของลูกศิษย์ภูเขาตะวันเที่ยงกลุ่มที่สอง กลุ่มแรกก่อนหน้านี้ได้เดินทางไปยังนครมังกรเฒ่าภายใต้การนำพาของบรรพบุรุษสองท่านแล้ว
ภูเขาตะวันเที่ยงกับซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกันมาโดยตลอด นี่ยังต้องยกคุณความชอบให้กับการเดินทางไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูของเถาจื่อในปีนั้น เป็นนางที่ได้ผูกความสัมพันธ์ควันธูปใหญ่เทียมฟ้าไว้กับเด็กหนุ่มที่เวลานั้นยังมีชื่อว่าซ่งจี๋ซิน
เพียงแต่ว่าคนกลุ่มที่สองนี้ใครจะทำหน้าที่ปกป้องมรรคา ควรจะส่งลูกศิษย์คนใดลงจากภูเขาไปบ้าง ล้วนต้องมีข้อพิถีพิถันข้อใหญ่ หากน้ำหนักไม่มากพอก็ง่ายที่จะทำให้สกุลซ่งต้าหลีเกิดโทสะ แต่หากน้ำหนักมากพอเกินไป ก็ง่ายที่ภูเขาตะวันเที่ยงจะเสียหายไปถึงพลังต้นกำเนิด
ดังนั้นจึงต้องกะน้ำหนักกันให้ดี
เห็นได้ชัดว่าบรรพบุรุษตระกูลเถาผู้นั้นคิดถ้อยคำที่จะพูดมาไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาบอกกล่าวแผนการเสร็จ ทุกคนก็ไม่ได้มีความเห็นต่างมากนัก
นอกจากนี้ก็คือปรึกษากันเรื่องเข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีของจิ้นชิงซานจวินขุนเขากลาง นี่ก็เป็นเรื่องเล็กอีกเช่นกัน ข้อเดียวที่จำเป็นต้องใส่ใจก็คือลองหยั่งเชิงความเห็นของจิ้นซานจวินดู หลีกเลี่ยงไม่ให้เรื่องการเลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างในอนาคตเกิดอุปสรรคที่ไม่จำเป็น เพราะถึงอย่างไรเรื่องที่จิ้นชิงมีมิตรภาพกับราชวงศ์จูอิ๋งในอดีตก็เป็นเรื่องที่คนทั้งทวีปรู้กันดี
ต่อมาคือเรื่องที่สี่ คือเรื่องดีที่เป็นดั่งการปักบุปผาลงบนผ้าแพร
ปรึกษากันเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับสกุลสวี่นครลมเย็น
ทางฝั่งของภูเขาตะวันเที่ยงนี้คือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตน เถาจื่อหลานสาวที่บรรพบุรุษตระกูลเถารักและเอ็นดูมากที่สุด ส่วนทางฝ่ายของสกุลสวี่นครลมเย็นก็คือบุตรชายทายาทของเจ้านคร ทั้งสองฝ่ายเคยเดินทางไปท่องเที่ยวถ้ำสวรรค์หลีจูมาด้วยกัน ตลอดหลายปีมานี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาล้วนไม่เลว อีกทั้งผู้อาวุโสของทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้สึกว่าพวกเขาคือคู่สร้างคู่สม
สกุลสวี่นครลมเย็นที่ในอดีตทำแต่เรื่องเหลวไหลติดต่อกัน ภายหลังไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับสกุลหยวนเสาค้ำยันแคว้น ยอมให้บุตรสาวสายตรงไปแต่งงานกับบุตรอนุภรรยาอย่างไม่เสียดาย ถึงได้ซ่อมแซมรอยร้าวระหว่างนครลมเย็นกับราชวงศ์ต้าหลีมาได้
สตรีที่สวมเชือกแดงบนข้อมือถามเบาๆ ว่า “ตัวแม่หนูเถาเองยินดีหรือไม่?”
หว่างคิ้วของบรรพบุรุษตระกูลเถามีพยับเมฆเคลื่อนผ่านไปเสี้ยวหนึ่ง เพียงแต่ว่าคำพูดบางอย่างยากที่เอื้อนเอ่ยออกมาได้
แม่หนูเถาไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรจริงๆ อีกทั้งอันที่จริงตัวบรรพบุรุษตระกูลเถาเองก็หวังให้ทางฝ่ายของจวนอ๋องเจ้าเมืองนครมังกรเฒ่าบอกเป็นนัยแก่ภูเขาตะวันเที่ยงอย่างลับๆ มากกว่านี้
เพียงแต่ว่าอ๋องเจ้าเมืองหนุ่มผู้นั้นไม่รู้ว่าแกล้งโง่หรือเห็นเถาจื่อเป็นน้องสาวจริงๆ กันแน่
บรรพบุรุษตระกูลเถาหันไปส่งสายตาให้สตรี สตรีเข้าใจได้ทันทีจึงเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ต้องรีบร้อน ไม่สู้ให้แม่หนูเถาไปที่นครมังกรเฒ่า ไปพบเจอกับเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องก่อนดีหรือไม่?”
เจ้าขุนเขาของภูเขาตะวันเที่ยงเพียงแค่ลูบหนวดโดยไม่เอ่ยอะไร เขาเงียบไปพักหนึ่งคล้ายได้ยินเสียงในใจเสียงหนึ่งจึงพยักหน้า “ได้”
หลังจากเจ้าขุนเขาตัดสินใจแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด เน้นน้ำเสียงพูดว่า “เรื่องถามกระบี่กับสวนลมฟ้า วันนี้พวกเราจะต้องตัดสินใจกันให้เด็ดขาด!”
ภายนอกภูเขาตะวันเที่ยงมีผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดแค่สองคน คนหนึ่งคือเจ้าขุนเขาของภูเขาตะวันเที่ยง อีกคนหนึ่งคือบรรพบุรุษตระกูลเถา
นอกจากนี้ยังมีบรรพจารย์ที่ลำดับอาวุโสสูงที่สุดอีกคนหนึ่งที่ปิดด่านมานานหลายปี กำลังจะออกจากด่านเร็วๆ นี้
ที่เหลือก็ยังมีบรรพจารย์ที่เป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองอีกสามท่าน
อันที่จริงตลอดเวลาที่ผ่านมาภูเขาตะวันเที่ยงเพียงแค่ขาดเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนท่านเดียวเท่านั้น
นี่ถึงได้ถูกหลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้าเพียงคนเดียวกดหัวมานานหลายร้อยปี
ตอนนี้หลี่ถวนจิ่งตายไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นเรื่องการท้ารบกับหวงเหอเจ้าสวนคนใหม่จึงกลายเป็นภารกิจเร่งด่วน หวงเหอผู้นั้นมีคุณสมบัติดีมากเกินไปจริงๆ ภูเขาตะวันเที่ยงจึงไม่ควรประมาท ห้ามเลี้ยงพยัคฆ์ไว้เป็นภัยแก่ตัวเองในภายภาคหน้าเด็ดขาด
หวงเหอผู้นี้ฉายประกายคมกริบเกินไป ทุกวันนี้ได้เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดแล้ว มีความเป็นไปได้มากว่าจะกลายเป็นหลี่ถวนจิ่งคนที่สอง ดังนั้นเรื่องนี้จะมัวถ่วงเวลาไปอีกไม่ได้
ตอนนี้ภูเขาตะวันเที่ยงต้องหาคนที่เหมาะสมคนหนึ่งไปถามกระบี่ที่สวนลมฟ้า
แต่ไม่ว่าจะเป็นเจ้าขุนเขาที่มีขอบเขตเดียวกับหวงเหอไปถามกระบี่ที่สวนลมฟ้า หรือจะเป็นบรรพจารย์ผู้เฒ่าที่พอออกจากด่านแล้วจะเป็นหยกดิบที่ออกกระบี่ก็ล้วนไม่เหมาะสม ลำดับอาวุโสยังขาดไป อีกทั้งฝ่ายหลังยังมีขอบเขตสูงกว่าด้วย
ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดของภูเขาตะวันเที่ยงยังหาใครที่สามารถถามกระบี่กับหวงเหอไม่เจอจริงๆ ไม่แน่ว่าแม้กระทั่งหลิวป้าเฉียวที่เป็นคนออกกระบี่ก็ยังมากพอจะทำให้ผู้ฝึกกระบี่ของภูเขาตะวันเที่ยงสะอึกได้แล้ว
ในบรรดาผู้ถวายงาน เค่อชิงมีคนที่เหมาะสมอยู่คนหนึ่ง คือผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์ของราชวงศ์จูอิ๋งเก่า ในอดีตถูกขนานนามให้เป็นหนึ่งในหยกคู่ ได้รับโชคชะตาวิถีกระบี่จากราชวงศ์จูอิ๋งมาไม่น้อย น่าเสียดายที่หากให้เขาถามกระบี่กับหวงเหอกลับจะดูไม่ถูกทำนองคลองธรรม
เว้นเสียจากว่าคนผู้นี้ยินดีกลายมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ภูเขาตะวันเที่ยง
ต่อให้อีกฝ่ายน้ำเข้าสมองยอมตอบตกลง แต่หากภูเขาตะวันเที่ยงทำเช่นนี้ก็อาจทำให้จิ้นชิงแห่งขุนเขากลางเกิดความกังขาขึ้นในใจ
ดังนั้นเรื่องที่ว่าจะเลือกใครเป็นคนถามกระบี่จึงแทบจะกลายเป็นโรคทางใจที่เหล่าบรรพบุรุษเซียนกระบี่ของภูเขาตะวันเที่ยงมีร่วมกัน
ผลคือวันนี้ก็ยังไม่อาจปรึกษาจนได้แผนการที่รัดกุมไร้ช่องโหว่
บรรพบุรุษตระกูลเถาจึงเอ่ยอย่างมีโทสะ “หากไม่ได้จริงๆ ก็ให้ข้าถูกตราหน้าไปถามกระบี่ต่อเด็กรุ่นหลังก็แล้วกัน!”
เจ้าขุนเขาส่ายหน้า “ไม่เหมาะ ทางที่ดีที่สุดพวกเราควรจะทำให้คนยอมรับทั้งปากและใจ”
บรรพบุรุษตระกูลเถาท่านนี้มีความหวังว่าจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนมากกว่าตนเสียอีก หากอีกฝ่ายไปถามกระบี่ต่อสวนลมฟ้า ถ้าชนะก็ยังดี แต่หากแพ้ขึ้นมา หรือว่ามีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น กลายเป็นว่าไปตายใต้คมกระบี่ของหวงเหอ ถ้าอย่างนั้นเจ้าขุนเขาอย่างตนก็ถือว่าจบสิ้นกันแล้ว
แน่นอนว่าเจ้าขุนเขาก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าบรรพบุรุษของตระกูลเถาแค่แสร้งวางท่าให้คนดูเท่านั้น เพราะอีกฝ่ายก็รู้ถึงสภาพการณ์ของเจ้าขุนเขาอย่างตนดี
แล้วนับประสาอะไรกับที่ถ้อยคำของอีกฝ่ายแฝงวิชาความรู้ไว้มาก ในเมื่อบรรพบุรุษตระกูลเถาอย่างเขาออกกระบี่ ไปถามกระบี่แก่เด็กรุ่นหลัง ถือเป็นเรื่องน่าอายที่ไม่เหลือศักดิ์ศรีใดๆ เป็นผู้ใหญ่ที่รังแกเด็ก ถ้าอย่างนั้นจะให้เจ้าขุนเขาอย่างเขาเป็นคนออกกระบี่ก็ไม่เหมาะเหมือนกัน
สตรีผู้นั้นเห็นว่าบรรยากาศในห้องโถงค่อนข้างหนักอึ้ง จึงเอ่ยว่า “บางทีอาจมีวิธีทำให้เค่อชิงท่านนั้นยอมเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์”
บรรพจารย์ท่านหนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับนางโน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย ถามด้วยท่าทางสนใจ “หมายความว่าอย่างไร? พอเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของพวกเราแล้วไปถามกระบี่กับหวงเหอ แน่ใจหรือว่าจะชนะได้แน่?”
สตรีส่ายหน้า “ยากมาก แม้ว่าหยวนป๋ายก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับหวงเหอแล้วยังด้อยกว่ามาก ที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของหยวนป๋ายก็คือวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินเขาที่เชี่ยวชาญการใช้บาดแผลแลกบาดแผล”
บรรพจารย์ท่านนั้นกระตุกมุมปาก สตรีผู้นี้อยากโดนด่านักหรือไง?
แล้วสตรีก็รีบเอ่ยเสริมขึ้นมาเบาๆ อีกประโยคหนึ่งว่า “แต่กลับมีโอกาสทำให้หวงเหอกลายเป็นหลี่ถวนจิ่งคนที่สอง ยกตัวอย่างเช่นสถานะ แล้วก็ยังมี…ขอบเขตด้วย! ทว่าหากเป็นเช่นนี้ภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเราก็อาจจะต้องพ่ายแพ้ให้กับการถามกระบี่ที่เป็นที่จับตามองของผู้คนมากมายครั้งนี้”
พอนางเอ่ยเช่นนี้บรรพจารย์เซียนกระบี่เกินครึ่งในห้องโถงยังคงไม่เปิดปากพูดอะไร เพราะผู้เฒ่ากลุ่มนี้ไม่ค่อยชอบสนใจกิจธุระในภูเขาตะวันเที่ยงมากนัก มุ่งมั่นแต่การฝึกกระบี่อย่างเดียว
แต่คนที่เหลืออีกครั้งหนึ่งกลับเป็นคนที่มีภาระหน้าที่สำคัญติดตัว แต่ละคนจึงใช้เสียงในใจสื่อสารกันอย่างรวดเร็ว
บรรพจารย์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามสตรีหัวเราะหยันเอ่ยว่า “หยวนป๋ายผู้นั้นไม่ได้โง่เสียหน่อย วันนี้กลายเป็นผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์พวกเราแล้ว วันหน้าก็ต้องไปสู้ตายเอาชีวิตเข้าแลกกับหวงเหอ ไม่แน่ว่าวันมะรืนอาจจะไม่เหลือชีวิตอยู่แล้ว ใครจะไปยินดีทำ?”
สตรีทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เจ้าขุนเขาขมวดคิ้ว “มีอะไรก็พูดมาตรงๆ”
สตรีถึงได้เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “การที่หยวนป๋ายยินดีเป็นเค่อชิงของพวกเราก็เพราะหวังว่าตัวเองจะสามารถปกป้องตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ที่มีชาติกำเนิดจากจูอิ๋งกลุ่มนั้นเอาไว้ได้ หากภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเรายอมรับปากกับคนผู้นี้ว่าทุกๆ หกสิบปีจะมอบตำแหน่งผู้สืบทอดให้กับคนสกุลจูอิ๋งเก่าคนหนึ่งเป็นพิเศษ จากนั้นก็รับรองว่าในอนาคตลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนนี้จะต้องได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนแน่นอนโดยใช้เวลาห้าร้อยปีเป็นตัวกำหนด หลังจากนั้นสัญญาของทั้งสองฝ่ายก็จะถือว่าเป็นโมฆะ เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมยากที่หยวนป๋ายจะปฏิเสธ ไม่แน่ว่าอาจยังซาบซึ้งในตัวพวกเราด้วย”
บรรพบุรุษที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสตรีพยักหน้ายิ้มเอ่ย “ทั้งสามารถถามกระบี่แก่สวนลมฟ้าอย่างเปิดเผย ทั้งยังปกป้องเด็กรุ่นหลังของแคว้นเก่าไว้ได้ หยวนป๋ายสมควรจะขอบคุณพวกเราจริงๆ ขอบคุณที่ทำให้เขาตายอย่างไม่ละอายใจ ปิดฉากชีวิตตัวเองลงอย่างสมเกียรติ”
มีผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนหนึ่งพลันลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปจากศาลบรรพจารย์เงียบๆ
จากนั้นก็มีผู้เฒ่าอีกหลายคนเอ่ยขอตัวตามออกไป
เจ้าขุนเขาภูเขาตะวันเที่ยงเคยชินเสียแล้ว บรรพบุรุษตระกูลเถาก็ยิ่งคร้านจะปรายตามอง พวกตาแก่หนังเหนียวที่ดื้อด้านดัดยาก ชอบฝึกกระบี่กันนักไม่ใช่หรือ ดูแคลนกลอุบายกันนักไม่ใช่หรือ ถ้าพวกเจ้ามีปัญญาจริงก็ฝึกตนให้ได้ขอบเขตหยกดิบเสียทีสิ น่าเสียดายที่เศษสวะทั้งกลุ่มเป็นไม่ได้แม้แต่ก่อกำเนิดด้วยซ้ำ ภูเขาตะวันเที่ยงอาศัยพวกเจ้าจะสามารถกลายเป็นตระกูลเซียนอักษรจง ได้มีสำนักเบื้องล่าง สามารถกดข่มสำนักกระบี่หลงเฉวียนได้หรือ? อาศัยเศษสวะแก่ๆ ไร้ประโยชน์อย่างพวกเจ้าที่ฝึกกระบี่มาหลายร้อยปีก็ยังไม่มีโอกาสออกกระบี่ ภูเขาตะวันเที่ยงจะสามารถกลายมาเป็นผู้นำบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปได้หรือ!
สตรีมีท่าทางกระวนกระวายไม่เป็นสุข
คาดว่าคงรู้สึกเสียใจภายหลังที่ตัวเองปากมาก
เจ้าขุนเขามองนางแล้วคลี่ยิ้มให้อย่างที่หาได้ยาก ก่อนจะเอ่ยว่า “เรื่องนี้ตกลงตามนี้ เจ้าไปเกลี้ยกล่อมให้หยวนป๋ายยอมเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ หากทำสำเร็จพวกเราจะประกาศออกไปทันทีว่าหยวนป๋ายจะถามกระบี่แก่หวงเหอแห่งสวนลมฟ้า”
สตรีพยักหน้ารับเบาๆ
เจ้าขุนเขาอารมณ์ดีอย่างมาก พอมองสตรีผู้นี้อีกครั้งก็รู้สึกสบายตาขึ้นมาเล็กน้อย
ตลอดทั้งภูเขาตะวันเที่ยงมีเพียงเขาที่รู้เรื่องวงในเรื่องหนึ่ง น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ม่วงทองลูกที่ซูเจี้ยได้รับไปจากศาลบรรพจารย์ในปีนั้น มันเป็นของที่สตรีผู้นี้เป็นคนพบเจอ แต่นางรู้ความอย่างมาก ถึงได้แลกมาด้วยตำแหน่งที่นั่งของนางในศาลบรรพจารย์ เรื่องนี้ยังเป็นเพราะในอดีตอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาแพร่งพรายให้ฟัง บอกกับเขาว่าแค่เขารู้คนเดียวก็พอแล้ว ห้ามเอาไปบอกต่อ หลังจากอาจารย์สละร่างจากโลกนี้ไป คนที่รู้ความลับไม่เล็กไม่ใหญ่นี้จึงมีเพียงเจ้าขุนเขาอย่างเขาคนเดียว
เจ้าขุนเขาเอ่ย “เรื่องสุดท้าย มาพูดถึงหลิวเสี้ยนหยางคนนั้น”