กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 706.5 ยามหิมะละลาย
บนสนามรบเลียบมหาสมุทร ทหารแต่ละคนของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีล้วนตายกันไปก่อน ทว่าพวกนายท่านขุนนางที่มีชีวิตสุขสบายพวกนี้กลับไม่ร้อนใจแม้แต่น้อย
เจ้ากรมพิธีการอีกท่านหนึ่งเอ่ยเย้ยหยันขึ้นว่า “พวกที่ได้เป็นขุนนาง แต่ละคนล้วนฝีมือดีกันทั้งนั้น น่าเสียดายที่พอเป็นขุนนางแล้วกลับลืมว่าควรเป็นคนอย่างไร”
ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งท้องพระโรงตัวสั่นเทิ้มกันไปหมด
ส่วนเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่พอเจอกับหายนะก็หดหัวด้วยความขลาดกลัว กองทัพต้าหลีออกคำสั่งตรงไปยังศาลบรรพจารย์ของตระกูลเซียนใหญ่ทุกแห่ง โดยให้ผู้คุมกฎเป็นผู้นำ หากผู้คุมกฎเข้าร่วมกองทัพต้าหลีแล้ว ก็มอบหน้าที่นี้ให้บรรพจารย์คนอื่นเป็นผู้รับผิดชอบจับกุมตัวเซียนซือเหล่านั้นกลับมาที่ภูเขา ใครต่อต้านให้ประหารทันที ภายในเวลาหนึ่งปีหากยังจับไม่ได้ ต้าหลีจะไปเอาผิดถึงที่ภูเขา แล้วค่อยให้ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพของต้าหลีมารับช่วงต่อ
หลิวสวินเหม่ยหนึ่งในสามขุนนางผู้ตรวจการลำน้ำใหญ่ร่วมรับผิดชอบเรื่องนี้กับรองเจ้ากรมอาญาฝ่ายซ้ายของต้าหลี
หลินจวินปี้พลันเอ่ยว่า “หากให้ขุนนางบุ๋นบู๊ในท้องถิ่นของต้าหลีได้มีเวลาหลอมรวมศักยภาพของทั้งทวีปอีกสามสิบปี คิดดูแล้วคงไม่ฉุกละหุกและเปลืองแรงกันขนาดนี้”
เฉาผู่พยักหน้ารับ แต่จากนั้นกลับส่ายหน้า
หลินจวินปี้เข้าใจความหมายของเขา จึงเอ่ยด้วยสีหน้าซับซ้อน “ต้าหลีมีหรือไม่มีซิ่วหู่”
เฉาผู่กลับมองไกลไปอีกก้าว “มีซิ่วหู่ย่อมดีที่สุด หากไม่มีซิ่วหู่ มีแค่ความรู้ของสายคุณความชอบและกิจการงานที่สามารถประคองตัวไปได้นาน สถานการณ์แคว้นของต้าหลีก็สามารถเดินขึ้นสู่ที่สูงต่อไปได้ สำนักศึกษาซานหยาของฉีจิ้งชุนช่วยอบรมปลูกฝังเมล็ดพันธ์บัณฑิตกลุ่มใหญ่ที่บ้างก็แสดงตัวชัดเจน บ้างก็เก็บซ่อนอำพรางตัวให้กับพื้นที่ของครึ่งทวีป ส่วนชุยฉานก็นำความรู้เรื่องคุณความชอบและกิจการงานมาถ่ายทอดและนำมาใช้ นี่ก็คือความรู้ใจกันระหว่างฉีจิ้งชุนกับศิษย์พี่ของเขา ความรู้ของทั้งสองฝ่ายทั้งงัดข้อกันเอง แล้วก็ทั้งช่วยส่งเสริมกันและกัน”
เฉาผู่ชี้ไปที่กระดานหมาก “จวิ้นปี้ เจ้าลองพูดจุดที่เป็นรายละเอียด แล้วค่อยพูดถึงความมหัศจรรย์ในส่วนที่ราชวงศ์เส้าหยวนของพวกเราอยากทำ แต่กลับทำไม่ได้ดูสิ”
หลินจวินปี้เอ่ย “ยุทธศาสตร์สำคัญในการรบบนแนวเส้นเลียบมหาสมุทรทั้งหมด กองทัพม้าเหล็กต้าหลีแบ่งออกเป็นกองทัพหน้าหลังสองกอง กองทัพส่วนหลังมีกองกำลังค่อนข้างบางเบา กองทัพส่วนหน้ารับผิดชอบการโจมตีเป็นหลัก ใช้การกระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ เป็นฝ่ายที่ตายก่อนโดยใช้สิ่งนี้มากระตุ้นความกล้าหาญของคนที่อยู่เบื้องหลัง ประคับประคองจิตใจผู้คน ฝ่ายหลังคอยตรวจตรากองกำลังใต้อาณัติจากพื้นที่ต่างๆ ในสนามรบ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลินจวินปี้ก็ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นกองทัพม้าหลายพันที่กล้าตรวจตราการศึกของกองทัพใหญ่หลายหมื่น นี่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งเกรียงไกรของกองทัพม้าเหล็กต้าหลี”
หลินจวินปี้เอ่ยถึงรายงานขุนเขาสายน้ำบนภูเขาตระกูลเซียนต่อ รายงานฉบับนี้ถึงขั้นไปแปะอยู่ตามอำเภอ ตามเขตการปกครองและจังหวัดของพื้นที่ใต้อาณัติแต่ละแห่งของแจกันสมบัติทวีปได้ นี่ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าราชวงศ์ต้าหลีมีพลังการควบคุมผู้ฝึกตนบนภูเขาของในทวีปอย่างน่าตกตะลึง
กระบี่บินส่งข่าวเล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาในศาลา
เฉาผู่มือหนึ่งถือไม้ปัดฝุ่น อีกมือหนึ่งใช้สองนิ้วคีบกระบี่บิน หลังเปิดจดหมายลับที่ผนึกดินม่วงบนภูเขาซึ่งทำขึ้นด้วยกรรมวิธีลับบนกระบี่บินออกอ่านแล้ว ก็ถอนหายใจยาวเอ่ยว่า “ฝูเหยาทวีปพิทักษ์ไว้ไม่อยู่แล้ว โจวเสินจือรบตายแล้ว ฉีถิงจี้เริ่มนำทัพถอยกลับไปที่เกราะทองทวีป จะทำหน้าที่เป็นเสาหลักต่อไป แต่มีความเป็นไปได้แค่ว่าจะสามารถพิทักษ์แผ่นดินของเกราะทองทวีปไว้ได้แค่ครึ่งเดียว รอให้กำลังเสริมมาช่วยเท่านั้น เมล็ดพันธ์บัณฑิตของสำนักศึกษาสถานศึกษากี่มากน้อยที่นึกจะตายก็ตายกันไปทั้งอย่างนี้”
อารมณ์ของหลินจวินปี้หนักอึ้ง
ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งได้รับข่าวร้ายมา เมื่อเทียบกับฝูเหยาทวีปที่การถอนทัพมีระเบียบเป็นขั้นเป็นตอน ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ถอยกลับไปพิทักษ์เกราะทองทวีปได้แล้ว สภาพการณ์ของใบถงทวีปกลับยิ่งอเนจอนาถจนแทบมิอาจทนมองได้
ภูเขาไท่ผิงถูกตีแตก บนภูเขาไม่เหลือผู้ฝึกตนรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว
สูญเสียค่ายกลใหญ่ซานหยวนซื่อเซี่ยงไป คนทั้งบนและล่างสำนักฝูจีก็รบตายตามมาติดๆ เช่นกัน ไม่มีใครสักคนที่หนีเอาชีวิตรอด
สำนักศึกษาต้าฝูกลับถูกปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ใช้นามแฝงว่าโจวมี่ลงมือด้วยตัวเอง ถึงขั้นใช้วิธีการของลัทธิขงจื๊อมาสยบกำราบสำนักศึกษา
นี่หมายความว่าตลอดทั้งใบถงทวีปหลงเหลือเพียงแค่สองสถานที่เท่านั้นที่ยังพอมีแสงตะเกียงในโลกมนุษย์ส่ายไหวจะดับมิดับแหล่ หนึ่งคือสำนักกุยหยกที่รากฐานลึกล้ำ อีกหนึ่งคือสำนักใบถงที่จั่วโย่วใช้กระบี่โจมตีศัตรูให้ล่าถอย
ขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีป แม้ว่าจะไม่ได้จมลงไปทั้งหมด แต่โชคชะตาของทวีปก็มีถึงแปดเก้าในสิบส่วนที่ตกไปอยู่ในมือของเผ่าปีศาจแล้ว
หลินจวินปี้ถาม “อาจารย์ แล้วสกุลเฉินผู้รอบรู้ล่ะ?”
เฉาผู่ยิ่งเสียใจอย่างสุดแสน เพราะเขามีชาติกำเนิดจากสายของหย่าเซิ่ง
และเฉินฉุนอันผู้รอบรู้แห่งทักษินาตยทวีปก็ยิ่งเป็นบุคคลที่เป็นดั่งเสาหลักค้ำยันสายของหย่าเซิ่ง
เฉาผู่เอ่ยอย่างจนใจว่า “อาจารย์เฉินได้เลือกทางเลือกที่เลวร้ายที่สุด ในช่วงเวลาที่คนใต้หล้ารู้สึกว่าเขาสมควรตายมากที่สุด ไม่ตาย แต่สำหรับช่วงเวลาที่ตัวเขาเองสมควรมีชีวิตอยู่มากที่สุด กลับไม่มีชีวิตอยู่”
เฉาผู่ลุกขึ้นยืน มองไปยังหิมะก้อนใหญ่ที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้านอกศาลา พอหล่นลงพื้นก็ทับถมกันกลายเป็นหิมะหนาชั้น จุ๊ปากเอ่ยว่า “คำว่าสมควรตายคืออะไร? ในสายตาของคนบนโลก คือกลายเป็นขอบเขตบินทะยานแห่งใต้หล้าไพศาลที่รบตายอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร อะไรที่เรียกว่าสมควรมีชีวิตอยู่? ไม่ใช่ความผิดหรือความถูก ขอแค่เฉินฉุนอันยังมีชีวิตอยู่ ขอแค่รักษาทักษนินาตยทวีปไว้ได้ก็มีโอกาสที่จะอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าเหตุใดตอนแรกนั้นเขาถึงไม่ตาย ต่อให้อาจารย์เฉินจะไม่พูด ก็ย่อมมีข้าเฉาผู่ มีสายหย่าเซิ่งของพวกเราที่ช่วยอธิบายแทนท่านอาจารย์”
หลินจวินปี้ลุกขึ้นยืนตาม “แต่หากไม่มีอาจารย์เฉินคอยเฝ้าพิทักษ์ ทักษินาตยทวีปก็ไม่สามารถรักษาไว้ได้ ต่อให้จะมีภาพค้นภูเขาที่อาจารย์ป๋ายมอบให้ก็ยังไม่อาจรักษาดินแดนของทวีปนั้นได้ หากเพื่อปกป้องชื่อเสียงของตัวเอง แล้วอาจารย์เฉินเลือกที่จะไปจากทักษินาตยทวีปโดยพลการ มองดูเหมือนกระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นคนผิดของใต้หล้าไพศาลที่ความผิดจะติดตัวไปพันปีอย่างแท้จริง”
เฉาผู่เอ่ย “ขอแค่อาจารย์เฉินไม่ไปจากทักษินาตยทวีป ผู้ฝึกตนทุกคนที่มีความเกี่ยวข้องกับใบถงทวีป ฝูเหยาทวีป ต่อให้จะรู้หลักการเหตุผลข้อนี้อย่างชัดเจน ก็จะยังเกลียดแค้นอาจารย์เฉินอยู่ดี หากจะบอกว่านี่ก็เป็นความรู้สึกปกติทั่วไปของคน ทว่าคนที่พูดถึงแค่บุญคุณความแค้น ไม่แยกแยะเหตุผลเรื่องราวให้กระจ่าง บนโลกใบนี้กลับมีมากมายนัก ผู้ฝึกตนที่ฝึกตนอยู่บนภูเขามีมากมายดุจขนวัวที่เอาแต่ฝึกกำลังไม่ฝึกจิตใจ ภัยแฝงที่จะตามมาเบื้องหลังจึงมากมายนับไม่ถ้วน”
สีหน้าของผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อหนักอึ้ง “เล่าลือกันว่ายามอยู่ในสำนักศึกษาต้าฝู โจวมี่ยิ้มเอ่ยว่า ‘ในเมื่อลัทธิขงจื๊อของพวกเจ้าคุมอำนาจ ทำไมถึงปล่อยอำนาจมอบให้จักรพรรดิในโลกมนุษย์? ในเมื่อรู้จักจิตใจของคนดี เหตุใดเวลาหมื่นปีถึงไม่เคยใส่ใจ? คำว่าเดิมนั้นมนุษย์สันดานดีงามช่างกล่าวได้ดีนัก เป็นลัทธิขงจื๊อของพวกเจ้าที่หาเรื่องใส่ตัวเอง ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะถือกระจกส่องมารให้ใต้หล้าไพศาลของพวกเจ้าได้เห็นว่า สรุปแล้วเป็นความซื่อตรงเที่ยงธรรมที่มีอยู่เต็มท้อง หรือเป็นเพราะถูกกระจกส่องมารสาดส่องกันแน่ สันดานดีเลวของมนุษย์ถึงได้เผยรูปลักษณ์เดิมออกมาให้เห็น หากทุกวันนี้แค่ใบถงทวีปแห่งเดียวยังดูไม่พอ ถ้าอย่างนั้นก็เอาอีกสองสามทวีปมาส่องดูอีกหน่อย’”
นี่ไม่ใช่ถ้อยคำยุแยงปลุกปั่นของโจวมี่ ลำพังพูดถึงแค่ฝ่ายในของทักษินาตยทวีปก็มีคนกี่มากน้อยที่ซุบซิบนินทา วิจารณ์ว่าร้ายเฉินฉุนอัน?
สองทวีปถูกข้าศึกยึดครอง มีเพียงทักษินาตยทวีปที่วางตัวอยู่นอกเหนือเรื่องราวได้
ส่วนใบถงทวีปกับฝูเหยาทวีปนั้น หากทุกวันนี้มีหิมะตกลงมาก็ไม่มีคนมาคอยกวาดหิมะให้แล้ว
เฉาผู่หัวเราะ ก่อนหันมาเอ่ยกับหลินจวินปี้ “ใช่แล้ว นับว่ายังพอจะมีข่าวดีอยู่บ้าง อ๋องเจ้าเมืองหนุ่มของต้าหลีที่พื้นที่ศักดินาอยู่ในนครมังกรเฒ่าผู้นั้นปฏิเสธไม่ให้ผู้ฝึกตนของใบถงทวีปขึ้นฝั่ง ไม่เพียงเท่านี้ ซ่งมู่ยังออกคำสั่งว่า ไม่ว่าผู้ฝึกตนคนใดก็ตามที่ขยับเข้ามาใกล้นครมังกรเฒ่าในระยะสิบลี้ ล้วนจะถูกมองเป็นศัตรูของต้าหลีทั้งหมด ผู้ฝึกตนของใบถงทวีปทุกคนไม่เพียงแต่ไม่สามารถเข้าไปในนครมังกรเฒ่าได้ ในความเป็นจริงแล้วล้วนไม่สามารถขึ้นฝั่งเลียบมหาสมุทรจุดใดของแจกันสมบัติทวีปได้เลย หากถูกพบเข้าจะประหารทิ้งทันทีโดยไม่ถามว่าเป็นใครมาจากไหน”
หลินจวินปี้เอ่ยชื่นชม “มิน่าเล่าซิ่วหู่ถึงวางใจให้คนผู้นี้ตรวจตราดูแลเมืองหลวงแห่งที่สอง คอยเฝ้าพิทักษ์นครมังกรเฒ่า”
เฉาผู่เอ่ยต่ออีกว่า “แต่ข่าวร้ายก็คือใจกลางสำคัญของเผ่าปีศาจนั้นอยู่ที่ใบถงทวีป แจกันสมบัติทวีป อุตรกุรุทวีปและธวัลทวีป สี่ทวีปที่เรียงอยู่เส้นเดียวกันมาโดยตลอดนี้ เจ้ารอดูเถอะ ครั้งแรกที่บรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ลงมือต่อใต้หล้าไพศาลต้องเป็นการลงมือกับแจกันสมบัติทวีปแน่นอน อีกทั้งยังจะต้องเป็นวิธีการใหญ่ที่ใช้มรรคกถาสูงส่งเทียมฟ้าด้วย”
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อชำเลืองตามองม่านฟ้า
เขาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเหมือนตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนาว่า “จวินปี้ พยายามกอบกู้สถานการณ์ที่กำลังจะล้มลง คือวีรกรรมยิ่งใหญ่ การซ่อมแซมรักษาภูเขาสายน้ำก็เช่นเดียวกัน หากคิดจะเป็นสหายสนิทกับวิญญูชนผู้เที่ยงตรง กับบุคคลผู้ครองตัวบริสุทธิ์ไร้มลทิน ก็ต้องหัดเรียนรู้ที่จะควบคุมพวกคนที่เป็นดั่งแมลงวันชอนไชเข้ารูโน้นออกรูนี้ไปทั่ว เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าถึงจะทำเรื่องที่เป็นการเป็นงานอย่างแท้จริงได้ ไม่อย่างนั้นอย่างมากก็เป็นได้แค่นักบรรยาย เป็นอาจารย์ในโรงเรียน เป็นปัญญาชนผู้มีชื่อเสียงที่คุยเฟื่องเรื่องสนุก ทุกอย่างนี้ล้วนไม่เลว แต่กลับไม่ดีพอ”
หลินจวินปี้ประสานมือคารวะ “คำสั่งสอนของอาจารย์ ศิษย์จดจำไว้แล้ว ตอนนี้ยากที่จะประคองแผ่นฟ้าที่จะถล่มลงมาได้ แต่ก็ยินดีจะเป็นช่างผู้ซ่อมแซมแผ่นฟ้า”
เฉาผู่พยักหน้ารับ
ตอนนี้หิมะเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้คนรู้สึกหนาวเสียดแทงถึงกระดูก แต่รอยามที่หิมะละลาย อันที่จริงถนนหนทางกลับจะยิ่งเฉอะแฉะเดินลำบาก
ยามที่หิมะละลายอากาศจะหนาวเย็นที่สุด มองเห็นใจคนได้ดีที่สุด
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อพลันถามว่า “อิ่นกวานผู้นั้นเป็นคนอย่างไรกันแน่?”
หลินจวินปี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบว่า “เป็นคนดีที่ฉลาดมากพอคนหนึ่ง”
เฉาผู่เอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “ฉีจิ้งชุนจากไปแล้ว จั่วโย่วถูกกักอยู่ในใบถงทวีป ชุยฉานเฝ้าพิทักษ์แจกันสมบัติทวีป ลูกศิษย์คนสุดท้ายอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เพียงลำพัง ซิ่วไฉเฒ่าช่าง…ตัดใจได้จริงๆ”
หลินจวินปี้อดไม่ไหวเอ่ยว่า “เฉินผิงอันเคยบอกว่า วีรกรรมยิ่งใหญ่ที่แท้จริง อันที่จริงมักจะเห็นได้จากทุกหนทุกแห่งบนโลกมนุษย์ ไฟตะเกียงแห่งจิตใจที่ดีงามของมนุษย์ แค่โน้มตัวไปหยิบเอามาก็พอแล้ว อยู่ที่ว่าพวกเรายินดีจะลืมตามองดูโลกมนุษย์หรือไม่”
เฉาผู่ยิ้มเอ่ย “นักเดินทางที่ควบม้าเดินทางไกลท่ามกลางราตรีหิมะ ต่อให้จะมีเพียงแค่แสงไฟที่ส่ายไหวไปตามลมก็ยังปลอบโยนใจคนได้ บนเส้นทางชีวิตคน ทุกครั้งที่เห็นแสงตะเกียงเพิ่มขึ้นหนึ่งดวง ต่อให้จะอยู่ท่ามกลางม่านราตรีของโลกมนุษย์ แต่ในสายตาในหัวใจ กลับจะมีแสงสว่างเพิ่มขึ้นมาหนึ่งส่วน”
ซิ่วไฉเฒ่าเสนอให้ตั้งชื่อของใต้หล้าแห่งที่ห้าว่าใต้หล้าไร้ราคี แต่ศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางไม่ตอบตกลง เรื่องนี้ยังคงถูกวางทิ้งไว้ก่อน
จู่ๆ เฉาผู่ก็หัวเราะเสียงดังลั่น “เจ้าตัวดี ยังไม่ต้องพูดถึงว่าสันดานมนุษย์นั้นดีหรือเลว พูดถึงแค่คนดีกับจิตใจที่ดี เพื่อให้ระบบของลัทธิขงจื๊อทุ่มเทแรงกายกับเรื่องของการอบรมสั่งสอนมากขึ้น เห็นได้ชัดว่าประโยคนี้อาศัยให้เจ้าเป็นคนมาพูดให้บัณฑิตสายหย่าเซิ่งของพวกเราฟัง”
หลินจวินปี้รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย
มีกระบี่บินอีกเล่มบินมาถึง
เฉาผู่อ่านจดหมายลับแล้วก็เหม่อลอยไป
หลินจวินปี้เอ่ยเรียกเสียงเบา “อาจารย์?”
เฉาผู่คืนสติ เอ่ยว่า “ในสายบุ๋นของพวกเราได้เขียนบทความบทหนึ่งอธิบายว่าเหตุใดผู้รอบรู้ถึงเป็นผู้รอบรู้ขึ้นโดยเฉพาะ”
สีหน้าหลินจวินปี้มืดทะมึน “เป็นคนเบื้องหลังที่ยุแยง หรือมาจากเจตจำนงเดิมกันแน่?”
เฉาผู่โยนจดหมายลับทิ้งไป ใช้ไม้ปัดฝุ่นปัดให้แหลก หัวเราะเสียงเย็น “โง่เง่าจริงๆ”
หลินจวินปี้ใช้สองมือขยี้แก้มตัวเองแรงๆ
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “อยู่ๆ ก็รู้สึกอิจฉาชุยฉานขึ้นมาซะแล้ว”
……
นอกจากในนครบินทะยานที่ตั้งอยู่ตรงกลางแล้ว ภายใต้การนำของสายสิงกวาน ผู้ฝึกกระบี่ ผู้ฝึกตนและคนธรรมดาได้พากันไปบุกเบิกภูเขาตระกูลเซียนที่มีปราณวิญญาณอุดสมบูรณ์แปดแห่งโดยรอบอาณาเขตของนครในรวดเดียว ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยฝุ่นคลุ้งเสียงดังอึกทึกจากการก่อสร้าง บ้างก็สร้างจวนติดภูเขา บ้างก็สร้างสิ่งปลูกสร้างติดสายน้ำ อีกทั้งยังสร้างค่ายกลขุนเขาสายน้ำไว้หลายแห่งโดยมีการนำวัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะไปวางไว้อย่างลับๆ ต่อเนื่อง
นี่เท่ากับว่าวาดพันธนาการปกคลุมรัศมีพันลี้รอบด้านเอาไว้
นี่เป็นเพียงอาณาเขตขุนเขาสายน้ำชั้นแรกของนครบินทะยานเท่านั้น ต่อจากนี้แน่นอนว่าจะยังมีการขยับขยายไปด้านนอกอีกเรื่อยๆ
ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งเดินทางไกลมาถึงที่นี่ กลายมาเป็นแขกกลุ่มแรกที่มาเยี่ยมเยือนนครบินทะยาน
อันที่จริงก็ไม่ถือว่าเป็นแขกตามความหมายที่แท้จริง ถึงขั้นพอจะถือว่าเป็นคนกันเองครึ่งตัวด้วยซ้ำ
เพราะเขาคือเติ้งเหลียงแห่งธวัลทวีป ในฐานะผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีต เคยอยู่คฤหาสน์หลบร้อนมานานหลายปี จึงสนิทสนมกับพวกสวีหนิง กวอจู๋จิ่วอย่างมาก
ตอนที่ออกมาจากภูเขาห้อยหัว อิ่นกวานหนุ่มได้เขียนจดหมายลับฉบับหนึ่งมอบให้เติ้งเหลียงที่เป็นผู้ฝึกกระบี่คอขวดก่อกำเนิดกับมือตัวเอง
และเพียงไม่นานสำนักที่เติ้งเหลียงอยู่ก็เริ่มดำเนินการอย่างลับๆ เพื่อสะดวกให้เติ้งเหลียงได้เข้ามาในใต้หล้าแห่งที่ห้า หาโอกาสฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ที่นี่จะมีโชควาสนาเพิ่มเติมแก่เขา ไม่ว่าจะเป็นสำหรับตัวเติ้งเหลียงเอง หรือสำหรับสำนักที่เติ้งเหลียงอยู่ก็ล้วนเป็นเรื่องดี
ในจดหมายอิ่นกวานหนุ่มได้เอ่ยเตือนเติ้งเหลียง บอกว่าหากสามารถพูดโน้มน้าวให้ศาลบรรพจารย์ของสำนักอนุญาตให้เขาไปที่ใต้หล้าใหม่เอี่ยมได้ ทางที่ดีที่สุดคือไปจากทางใบถงทวีป ไม่ใช่ทักษินาตยทวีปหรือฝูเหยาทวีป แต่เกี่ยวกับเรื่องนี้ห้ามเขาพูดบอกกับสำนักอย่างตรงไปตรงมาเด็ดขาด ในที่สุดปลายปีของศักราชเจียชุนปีที่สอง ทุกเรื่องก็มีการเตรียมการพร้อมสรรพ เติ้งเหลียงเลือกเส้นทางจากอุตรกุรุทวีป แจกันสมบัติทวีปและใบถงทวีป ยอดเขาเพียนหรานของสำนักกระบี่ไท่ฮุย ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงที่อยู่ภาคกลางของอุตรกุรุทวีป และยังมีภูเขาลั่วพั่ว ศาลลมหิมะของแจกันสมบัติทวีป เติ้งเหลียงล้วนจงใจเดินทางผ่าน แต่ไม่ได้แวะไปเยี่ยมเยือน
ต่อให้ทางสำนักจะบอกกล่าวแก่สถานศึกษาแห่งหนึ่งของศาลบุ๋น ช่วยขอเอกสารผ่านด่านที่มีน้ำหนักมากฉบับหนึ่งมาให้เติ้งเหลียงแล้ว แต่เติ้งเหลียงก็ยังกังวลว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิด กังวลว่าในสมองของคนในใบถงทวีปซึ่งเป็นดั่งดินแดนฟ้าสูงฮ่องเต้อยู่ห่างไกลแห่งนั้นจะมีแต่แป้งเปียก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อสืบสาวกันไปถึงต้นตอยังเป็นเพราะความประทับใจที่เติ้งเหลียงมีต่อใบถงทวีปแย่เกินไป แม้แต่ทัศนคติที่มีต่อสำนักศึกษาสามแห่งของที่นั่นก็ยังไม่ค่อยดีตามไปด้วย เติ้งเหลียงถึงขั้นเตรียมพร้อมสำหรับการกินน้ำแกงประตูปิดไว้แล้ว
ในช่วงเวลาสับเปลี่ยนระหว่างฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อนของปีศักราชเจียชุนที่สาม เติ้งเหลียงได้มาถึงประตูใหญ่ของใบถงทวีป จากนั้นเติ้งเหลียงก็เปลี่ยนใจ อยู่ที่นั่นนานเกือบสามปี เฝ้าพิทักษ์ประตูใหญ่ร่วมกับผู้อาวุโสจั่วโย่วและผู้ฝึกกระบี่หวังซือจื่อ กระทั่งถึงนาทีสุดท้ายที่ประตูใหญ่กำลังจะปิดลง เติ้งเหลียงถึงได้เข้ามายังใต้หล้าแห่งที่ห้า
จากนั้นเขาถึงได้ขี่กระบี่มุ่งหน้ามายังนครบินทะยานตลอดทาง
ระหว่างที่เดินทางมา เติ้งเหลียงอาศัยการเข่นฆ่าตอนที่เฝ้าประตูรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้อาวุโสจั่วโย่วนานสามปีสะสมปณิธานกระบี่เอาไว้ บวกกับคำชี้แนะที่ได้จากผู้อาวุโสจั่วโย่ว ในที่สุดก็เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบอยู่ในใต้หล้าใหม่เอี่ยมแห่งนี้
พอดีกับที่เติ้งเหลียงได้ไปเจอกับผู้นำสายสิงกวาน ฉีโซ่วซึ่งได้เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบแล้วเช่นกันซึ่งกำลังควบคุมการสร้างค่ายกลบนภูเขาจื่อฝู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของนครบินทะยานพอดี
เห็นได้ชัดว่าฉีโซ่วประหลาดใจกับการมาถึงของเติ้งเหลียงอย่างมาก และยิ่งพาเติ้งเหลียงท่องเที่ยวดูภูเขาจื่อฝู่ด้วยตัวเองอย่างกระตือรือร้น พอเห็นป้ายศิลาเก่าแก่ที่ได้กำหนดให้เป็นพื้นที่ต้องห้ามเรียบร้อยแล้ว ด้านบนสลักตัวอักษรโบราณสองบรรทัดไว้ว่า ‘หกถ้ำแสงแดงตำราดำ ซานชิงจื่อฝู่คำเขียว’ ฉีโซ่วก็ไม่ได้ปิดบังเติ้งเหลียง บอกเขาอย่างตรงไปตรงมาว่าตรงตีนเขาได้ขุดเจอกล่องหยกลักษณะโบราณเก่าแก่ใบหนึ่ง เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังมิอาจเปิดออกได้ เพราะไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม กังวลว่าจะไปแตะโดนตราผนึกโบราณเข้าแล้วทำให้ทั้งกล่องและของที่อยู่ด้านในนั้นถูกทำลายไปพร้อมกัน
ต่อให้เติ้งเหลียงจะมีชาติกำเนิดมาจากสายอิ่นกวานเก่า แต่สำหรับผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นที่เคยออกนอกเมืองไปเข่นฆ่าบ่อยครั้งผู้นี้ ความจริงใจของฉีโซ่วก็ออกมาจากใจจริงๆ เพราะบนสนามรบทั้งสองฝ่ายเคยร่วมมือกันครั้งหนึ่ง แล้วยังร่วมมือกันอย่างรู้ใจ ในความเป็นจริงแล้วความรู้สึกที่ฉีโซ่วมีต่อคนหนุ่มต่างถิ่นอย่างพวกเฉากุ่น เสวียนเซินนั้นธรรมดาอย่างมาก มีเพียงกับเติ้งเหลียงที่รู้สึกถูกชะตามากเป็นพิเศษ