กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 706.6 ยามหิมะละลาย
ไปถึงภูเขาจื่อฝู่ เติ้งเหลียงก็ไม่ได้รีบร้อนเข้าไปในนครบินทะยาน
ถึงอย่างไรเขาก็ต้องรอให้ประตูเปิดใหม่อีกครั้งในอีกร้อยปีให้หลังถึงจะสามารถไปจากใต้หล้าแห่งใหม่ที่ยังไม่มีแม้แต่ชื่อแห่งนี้ได้
เติ้งเหลียงยังไม่ถึงขั้นเพ้อเจ้อคิดไปว่าตนจะสามารถฝ่าทะลุขอบเขตได้ติดต่อกันสองขั้น กลายเป็นขอบเขตบินทะยานภายในเวลาร้อยปี
โชคดีที่ยังมีชื่อปีรัชศก
ว่ากันว่าเวลา น้ำหนัก สองอย่างนี้ ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีการกำหนดที่แน่ชัด
พอฉีโซ่วได้ยินเรื่องนี้แล้วก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ตระหนักถึงความหมายของทั้งสองเรื่องนี้
เติ้งเหลียงเองก็ไม่ปิดบัง บอกกับฉีโซ่วไปตามตรงว่าจะดูแคลนสองเรื่องนี้ไม่ได้ เรื่องหนึ่งจะเกี่ยวพันไปถึงการแสดงออกของมหามรรคาตามฤดูกาลและปฏิทิน ส่วนอีกเรื่องหนึ่งจะช่วยตัดสินการคิดคำนวณการชั่งน้ำหนักของหมื่นสรรพสิ่งบนโลก
ส่วนกระแสคลื่นใต้น้ำที่ก่อตัวอย่างลับๆ ระหว่างสิงกวาน อิ่นกวานและคลังสมบัติเฉวียนฝู่สามฝ่ายในนครบินทะยาน เติ้งเหลียงครุ่นคิดเล็กน้อยก็พอจะเดาออกได้คร่าวๆ แล้ว
เพราะถึงอย่างไรหากจะพูดถึงเรื่องกิจธุระในสำนักและภูเขามากมายที่ตั้งเรียงรายแล้ว เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของใต้หล้าไพศาลย่อมคุ้นเคยเชี่ยวชาญกว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่มากนัก
เติ้งเหลียงยิ่งไม่คิดจะเป็นฝ่ายเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
ดังนั้นเติ้งเหลียงจึงติดตามฉีโซ่วไปที่นครบินทะยาน ไม่ได้ไปเป็นผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานเหมือนเดิม แต่ทำหน้าที่เป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อคนแรกในประวัติศาสตร์ของนครบินทะยานแทน
จากนั้นเติ้งเหลียงก็ไปพบต่งปู้เต๋อ แม่นางที่ทำให้เติ้งเหลียงเข้าใจว่าตนได้แต่ปรารถนามิอาจได้นางมาครอบครอง
ตอนนั้นต่งปู้เต๋อเพิ่งกลับมาถึงนครบินทะยาน จึงไปดื่มเหล้าที่ร้านของเตี๋ยจ้าง เติ้งเหลียงเดินไปบนถนนใหญ่ที่ไม่ได้แปลกใหม่สำหรับเขา ค้นพบว่าร้านที่ไม่มีเถ้าแก่รอง กิจการกลับยังคงไม่เลว แต่ตัวแทนเถ้าแก่กลับเป็นชายฉกรรจ์ต่างถิ่นหลังค่อมคนหนึ่ง เวลานี้กำลังดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกับแม่นางต่ง หลัวเจินอี้กับกวอจู๋จิ่วก็อยู่ด้วย พวกเขานั่งบนม้านั่งยาวคนละตัวพอดี มิน่าเล่าบุรุษแซ่เจิ้งที่เป็นเถ้าแก่คนนั้นถึงได้มีรอยยิ้มเต็มใบหน้า กำลังโม้น้ำลายแตกฟองถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของแจกันสมบัติทวีป ตอนที่เติ้งเหลียงนั่งลง บุรุษคนนั้นกำลังเล่าถึงเรื่องในอดีตของถ้ำสวรรค์หลีจูและของอิ่นกวานหนุ่ม
ไม่มีใครเกรงใจกับเติ้งเหลียง หลังจากทักทายกันเรียบร้อยแล้วก็ไม่ได้พูดคุยปราศรัยตามมารยาทอะไร เติ้งเหลียงบอกมาคำหนึ่งว่าในที่สุดก็ฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว อย่างมากสุดหลัวเจินอี้ก็แค่เอ่ยแสดงความยินดีหนึ่งคำ กวอจู๋จิ่วปรบมือหนึ่งที ต่งปู้เต๋อถึงขั้นคร้านจะเอ่ยอะไรสักคำด้วยซ้ำ
เติ้งเหลียงกลับชอบบรรยากาศที่คุ้นเคยเช่นนี้อย่างมาก เพราะไม่มีใครเห็นเขาเป็นคนนอก
กวอจู๋จิ่วคอยรินเหล้าให้เจิ้งต้าเฟิงอยู่ตลอดเวลา
เจิ้งต้าเฟิงจึงเล่าเรื่องเล่าเล็กๆ ที่เฉินผิงอันเคยส่งจดหมายหนึ่งฉบับแล้วได้เงินเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญให้นางฟัง
ต่งปู้เต๋อมาที่นี่ก็เพื่อดื่มเหล้าแก้กลุ้ม จึงปล่อยให้เจิ้งต้าเฟิงพูดเหลวไหลไปส่งเดช แต่กวอจู๋จิ่วกลับตื้อขอให้เจิ้งต้าเฟิงเล่าเรื่องอาจารย์พ่อของนางมากๆ หน่อย
ส่วนหลัวเจินอี้ก็แค่รับฟังเฉยๆ ดื่มเหล้าเป็นบางครั้ง ไม่ได้เอ่ยอะไร
กวอจู๋จิ่วฟังเจิ้งต้าเฟิงพูดถึงอาจารย์พ่อของนาง ตอนเป็นเด็กหนุ่มทุกวันอาจารย์พ่อจะต้องวิ่งไปกลับระหว่างถนนฝูลวี่ ตรอกเถาเย่และประตูใหญ่ที่เป็นรั้วไม้ จากนั้นก็ได้เจอกับหนิงเหยาที่นั่นเป็นครั้งแรก
ส่วนเถ้าแก่เจิ้งที่หล่อเหลาสง่างามดื่มเหล้าเก่งผู้นั้น แน่นอนว่าก็คือพยานรักให้กับคนทั้งสอง
กวอจู๋จิ่วรู้สึกเพียงว่าตัวเองได้ฟังเรื่องเล่าที่สนุกน่าสนใจที่สุดในใต้หล้า จึงใช้หมัดทุบฝ่ามือเอ่ยว่า “ไม่ต้องคิดแล้ว ครั้งแรกที่เห็นอาจารย์แม่ อาจารย์พ่อของข้าก็ต้องแน่ใจแล้วว่าอาจารย์แม่คืออาจารย์แม่!”
เรื่องพวกนี้ในอดีตอาจารย์พ่อไม่เคยพูดถึง อาจารย์แม่เองก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้าเอ่ยว่า “นั่นสิ นั่นสิ ตอนนั้นอาจารย์พ่อของเจ้าลวี่ตวน อันที่จริงเป็นคนโชกโชนมาก รู้ถึงความต่างของสตรีที่เรียนวรยุทธกับไม่เรียนวรยุทธมาตั้งแต่แรกแล้ว พูดเสียจนข้าในตอนนั้นอึ้งเป็นไก่ตาแตก ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะคืนสติ ไม่ต้องแปลกใจเลย เด็กที่ยากจนมักจะดูแลครอบครัวได้เร็ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เข้าใจไปหมด”
กวอจู๋จิ่วเอียงศีรษะน้อยๆ ขมวดคิ้วมุ่น เหตุใดคำพูดประโยคนี้ของเถ้าแก่เจิ้งฟังแล้วแปร่งๆ ล่ะ?
หลัวเจินอี้ตกตะลึงไปเล็กน้อย นางก้มหน้าดื่มเหล้าอึกหนึ่งเงียบๆ ยังคงไม่เอ่ยอะไร
เจิ้งต้าเฟิงกระแอมหนึ่งที บอกว่าข้าจะเล่าเรื่องตรอกหนีผิงให้พวกเจ้าฟังก็แล้วกัน ที่นั่นเรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคล นอกจากเจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วของพวกเราแล้ว ยังมีพญามารในร่างคนคนหนึ่งชื่อว่ากู้ช่าน รวมไปถึงเซียนกระบี่คนหนึ่งชื่อว่าเฉาซี บ้านบรรพบุรุษของทั้งสามตระกูลต่างก็ไปรวมกันอยู่ในตรอกแห่งนั้น พูดมาถึงตรงนี้ เจิ้งต้าเฟิงก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ดูเหมือนว่าตอนอยู่ในใต้หล้าไพศาล พูดเรื่องนี้สามารถข่มขู่คนได้ มีเพียงคุยเรื่องนี้กับผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ไม่มีความหมายใดๆ
กวอจู๋จิ่วฟุบตัวลงบนโต๊ะ พลันเอ่ยขึ้นมาว่า “หลายปีเหล่านั้น อาจารย์พ่อเดินไปเดินมาอยู่ในตรอกหนีผิงเพียงลำพัง ออกจากบ้านบรรพบุรุษคนเดียว กลับบ้านก็ยังต้องอยู่ตัวคนเดียว อาจารย์พ่อต้องเหงามากเลยใช่หรือไม่”
เจิ้งต้าเฟิงนวดคลึงปลายคาง พยักหน้าเอ่ยว่า “คาดว่าก็คงมีอยู่บ้าง เอาเป็นว่าทุกครั้งที่อาจารย์พ่อของเจ้าออกเดินทางไกลแล้วกลับมายังบ้านเกิดก็จะต้องไปนั่งอยู่ที่บ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิงครู่หนึ่งเสมอ”
กวอจู๋จิ่วเอ่ยเสียงต่ำ “เถ้าแก่เจิ้ง ตอนที่อาจารย์พ่อของข้าเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาเป็นอย่างไรหรือ ไม่อาจจินตนาการได้เลยจริงๆ แล้วตอนที่ยังเป็นเด็ก ข้าก็ยิ่งคิดภาพไม่ออกเลย”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกล่าว “วันๆ เอาแต่ตากแดดตากลม ตัวผอมดำ แล้วยังไม่สูง เลยไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย ตอนที่เด็กกว่านั้น…นอกจากสวมรองเท้าสานเหมือนกันแล้ว ก็น่าจะไม่ต่างจากตอนเป็นเด็กหนุ่มสักเท่าไร”
กวอจู๋จิ่วเกาหัว ฟุบตัวนอนคว่ำบนโต๊ะต่อ สายตาจับจ้องมองถ้วยเหล้าขาวเบื้องหน้าตน “ข้ายังนึกว่าสวบทีเดียวอาจารย์พ่อก็เปลี่ยนเป็นเด็กหนุ่มแล้ว พอสวบอีกทีก็กลายเป็นอาจารย์พ่อคนที่ข้าคุ้นเคย”
เจิ้งต้าเฟิงจิบเหล้าหนึ่งอึก แล้วไม่เอ่ยอะไรอีก
เติ้งเหลียงพลันเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้มีคนประเมินสิบคนรุ่นเยาว์ในหลายใต้หล้าออกมา แต่กลับจัดอันดับ ‘อิ่นกวาน’ ที่ไม่บอกชื่อแซ่ไว้ในอันดับที่สิบเอ็ด อย่างน้อยที่สุดก็บอกว่าใต้เท้าอิ่นกวานยังอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อีกทั้งยังเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขา แล้วยังได้เป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองด้วย”
กวอจู๋จิ่วพลันลุกพรวดขึ้นนั่ง “จริงหรือ?!”
เติ้งเหลียงพยักหน้า ยิ้มเอ่ย “จริงแท้แน่นอน”
เติ้งเหลียงชำเลืองตามองหลัวเจินอี้
ต่งปู้เต๋อถลึงตาใส่เติ้งเหลียงที่ไม่ได้มีเจตนาดี
เติ้งเหลียงดื่มเหล้าลงโทษตัวเองหนึ่งชาม ผลคือกระทั่งหลัวเจินอี้ก็ยังไม่ทำสีหน้าดีๆ ให้เขาเห็น
เติ้งเหลียงจึงได้แต่เปลี่ยนหัวข้อไปพูดเรื่องอื่น ถามว่า “เซียนกระบี่หนิงไม่ได้กลับมาในนครเลยหรือ?”
กวอจู๋จิ่วถอนหายใจหนึ่งที “ช่วยไม่ได้ อาจารย์แม่ย่อมต้องคิดถึงอาจารย์พ่อมากกว่าใคร แต่กลับไม่กล้าที่จะดื่มเหล้าดับทุกข์ต่อหน้าพวกเรา เลยได้แต่หนีไปอยู่ไกลๆ เพียงลำพัง จากนั้นก็คิดถึงอาจารย์พ่ออย่างเต็มที่ในสถานที่ที่ไม่มีใครมองเห็น เฮ้อ หากอาจารย์แม่พาข้าไปด้วยก็ดีน่ะสิ ยังสามารถยืมชายแขนเสื้อข้าเช็ดน้ำตาได้…”
กวอจู๋จิ่วพลันถูกคนผู้หนึ่งกดหัว หน้าผากจึงแนบติดกับพื้นโต๊ะ
กวอจู๋จิ่วที่หัวแนบติดโต๊ะจึงได้แต่หัวเราะฮ่าๆ ก่อน จากนั้นค่อยพูดอย่างกระตือรือร้นด้วยน้ำเสียงอู้อี้ว่า “อาจารย์แม่ อาจารย์แม่…ท่านกลับมาได้อย่างไร ไม่เห็นขี่กระบี่จนเกิดเสียงฟ้าผ่าดังเป็นระลอกอยู่บนแผ่นฟ้าเลย ข้าไม่มีโอกาสได้ตีฆ้องตีกลองป่าวประกาศแก่คนใต้หล้าเลยนะ ทุกวันนี้อาจารย์แม่เป็นเซียนเหรินเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้าของพวกเราเชียว…”
หนิงเหยากดมือลงแรงๆ อีกสองที ศีรษะเล็กๆ ของกวอจู๋จิ่วกระแทกดังโป้กๆ หนิงเหยาถึงได้คลายมือออก ก่อนจะนั่งลงได้หันไปเอ่ยเรียกเจิ้งต้าเฟิงว่าท่านอาเจิ้งก่อนคำหนึ่ง จากนั้นค่อยทักทายเติ้งเหลียง
นี่เป็นครั้งแรกที่เจิ้งต้าเฟิงได้พบกับหนิงเหยาอีกครั้งหลังจากกันที่ถ้ำสวรรค์หลีจูในปีนั้น เด็กหนุ่มไม่ใช่เด็กหนุ่มมาหลายปีแล้ว เด็กสาวในอดีตก็กลายเป็นขอบเขตเซียนเหรินที่น่าตะลึงพรึงเพริดแล้ว
เจิ้งต้าเฟิงพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “หนิงเหยาเจ้าวางใจได้หมื่นดวงเลย อย่างน้อยที่สุดบนภูเขาลั่วพั่วที่มีข้าเฝ้าประตูมานานหลายปี เฉินผิงอันก็ไม่เคยมีความคิดไม่ซื่อกับใครเลยสักคน”
หนิงเหยายิ้มรับ
กวอจู๋จิ่วนั่งอยู่ข้างกายหนิงเหยา ยกมือขึ้นมา พูดเบาๆ ว่า “อาจารย์แม่ ก่อนท่านจะมาข้าลองนับนิ้วคำนวณดูเลยทำนายได้ว่าอาจารย์พ่อเป็นขอบเขตยอดเขาแล้ว และอีกไม่นานก็จะกลายเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบแล้ว”
เติ้งเหลียงรู้สึกจนใจเล็กน้อย น่าเสียดายที่พวกกู้เจี้ยนหลง เฉากุ่น เสวียนเซินไม่ได้อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่ขอบเขตหยกดิบเลย แม้แต่ขอบเขตบินทะยานก็ยังเป็นของในกระเป๋าของใต้เท้าอิ่นกวานแล้ว
ใต้หล้าแห่งที่ห้านี้
ต่อให้ประตูใหญ่สองบานของฝูเหยาทวีปกับใบถงทวีปจะปิดลงแล้ว แต่เหตุการณ์วุ่นวายก็ยังคงเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน คนมหัศจรรย์เรื่องราวประหลาดก็ยิ่งมีมากมายจนนับไม่หมด
สู่จ้งสู่บุตรชายโทนของสู่หนันยวนเจ้าของถ้ำสวรรค์เทียนอวี๋ หลังจากสร้างหอเทียนหรานขึ้นมาก็ได้เจอกับบัณฑิตชุดดำคนหนึ่งที่ไปเยือนถึงถิ่น ทั้งสองฝ่ายต่างถูกชะตากันมาก
ฝ่ายหลังมีนามว่าเฉินเหวิ่น มาจากอุตรกุรุทวีป แต่กลับไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่
จากนั้นผู้ฝึกตนของใบถงทวีปบางส่วนที่เดิมทียังละโมบอยากครอบครองหอเฉาหรานก็ได้รู้ว่าคนผู้นี้เป็นถึงหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ อีกนิดเดียวก็เกือบจะตกใจขวัญกระเจิงกันแล้ว
ผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งนามว่าหยางเหิงสิงเชี่ยวชาญวิชายันต์ นิสัยเจ้าอารมณ์อย่างถึงที่สุด เกิดความขัดแย้งกับผู้ฝึกตนของใบถงทวีปอยู่เป็นระยะ ผลคือทำให้ฝูงชนเกิดความเดือดดาล ถูกผู้ฝึกลมปราณเกือบร้อยคนไล่ฆ่า คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่พอมาอยู่ใต้หล้าแห่งนี้กลับเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดและขอบเขตเดินทางไกลได้เงียบๆ ผู้ฝึกตนกลุ่มใหญ่จึงถูกเขาแว้งกลับมาเป็นฝ่ายสังหารไปเสียเกินครึ่ง
นอกจากนี้ก็คือเล่าลือกันว่าเซียนกระบี่หญิงคนหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่เคยขี่กระบี่เดินทางลงใต้เพียงลำพัง ขยับเข้าไปใกล้ประตูใหญ่ทางทิศใต้มาก แล้วยังสังหารคนไปมากมาย
ส่วนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางของใต้หล้าไพศาลนั้นก็มีคนผู้หนึ่งออกเดินทางไกลเพียงลำพัง จากนั้นก็ถือโอกาสแวะไปที่สะพานขอพร
ท่ามกลางม่านราตรี สวี่ป๋ายที่สวมชุดขาวอ่านตำรายามค่ำคืนยืนอยู่บนสะพานเพียงลำพัง มองไกลๆ ไปยังดวงจันทร์ที่อยู่ตรงยอดเขาฝั่งตรงข้าม มีคนผู้หนึ่งควบม้าอยู่บนเนินเขา
สวี่ป๋ายเพ่งสายตาทอดมองไปไกลก็เห็นสตรีชุดแดงผู้นั้น นางขี่ม้าขาว ตรงเอวห้อยดาบแคบรัดกาเหล้า มองดูคล้ายกำลังขี่ม้าเข้าไปในดวงจันทร์
ศาลเหลยกงจังหวัดหม่าหูของธวัลทวีป
เผยเฉียนใช้ขอบเขตแปดของผู้ฝึกยุทธปล่อยหมัดไร้ชื่อที่เทียบเท่ากับขอบเขตเก้าขั้นสมบูรณ์แบบออกไป
ส่วนหลิ่วซุ่ยอวี๋ก็ใช้การเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้ายอดเขาตอบกลับคืนไปด้วยหมัดของขอบเขตสิบ
ต่างฝ่ายต่างแลกเปลี่ยนกันคนละหมัด
หมัดนั้นของเผยเฉียนทั้งเป็นการถามหมัด แล้วก็เป็นการรับหมัด นางถอยกรูดไปด้านหลังหลายสิบจั้ง แม้ว่าร่างจะท่วมไปด้วยเลือด เรือนกายโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่อยู่หลายครั้ง แต่กระนั้นนางก็ยังแข็งใจฝืนดึงพลังขึ้นมาเฮือกหนึ่ง เป็นเหตุให้เท้าทั้งสองจมลงไปบนพื้นหลายชุ่น นางถึงได้หมดสติไปโดยที่ยังยืนตระหง่านไม่ล้มลง
หลิ่วซุ่ยอวี๋ถูกหมัดนั้นต่อยจนร่างปลิวไปกระแทกกำแพงด้านนอกของศาลเหลยกง เดินโซเซอยู่ในศาลหลายก้าวกว่าจะหยุดนิ่งได้ กระอักเลือดสดๆ ออกมาคำใหญ่
ตอนนั้นเพ่ยอาเซียงเพียงแค่พึมพำขึ้นมาประโยคเดียวว่า “แซ่เผยอีกคนหนึ่งแล้ว”
เผยเฉียนฟื้นคืนสติอีกทีเวลาก็ผ่านไปสามวันแล้ว จากนั้นก็ต้องอยู่พักรักษาตัวที่ศาลเหลยกงอีกหนึ่งเดือนกว่า
ระหว่างนี้นางไม่ได้สนใจคนแปลกหน้าที่ชื่อว่าหลิวโยวโจวผู้นั้น เพียงแค่สอบถามเรื่องของกำแพงเมืองปราณกระบี่จากท่านน้าเซี่ย และพวกจวี่สิงเฉามู่
ยกตัวอย่างเช่นว่าหลังจากที่นางออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว อาจารย์พ่อได้เป็นอิ่นกวานแล้วเคยทำเรื่องอะไร เคยพูดอะไรบ้าง
แล้วก็ถามท่านน้าเซี่ยว่าการเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนหนึ่งยากมากเลยใช่ไหม
สุดท้ายก่อนที่จะจากไป เผยเฉียนออกไปด้านนอกเพียงลำพังมารอบหนึ่ง แล้วก็ช่วยทำหีบไม้ไผ่กับไม้เท้าเดินป่าจากวัสดุธรรมดาให้กับจวี่สิงเฉามู่คนละชิ้น ถือเป็นของขวัญก่อนจากลา
ในเมื่อพวกเขาเรียกตนว่าพี่หญิงเผย อีกทั้งตนยังแก่กว่าสิบกว่าปี อันที่จริงก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโสครึ่งตัวแล้ว
อันดับแรกก็ไปเอ่ยขอบคุณและเอ่ยลาผู้อาวุโสสองคนอย่างเพ่ยอาเซียงและหลิ่วซุ่ยอวี๋ก่อน แล้วเสร็จเผยเฉียนจึงสะพายหีบไม้ไผ่ให้เรียบร้อย ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือ แล้วค่อยเอ่ยลากับพวกน้าเซี่ยสามอาจารย์และศิษย์
นางก้มตัวลงยิ้มเอ่ยกับตัวอ่อนเซียนกระบี่ทั้งสองว่า “ตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี จากนั้นก็อ่านหนังสือให้มาก เดินทางให้มาก ต้องอยู่ด้วยกัน อย่าจากกันไปไหน”
จวี่สิงที่สะพายหีบไม้ไผ่อันใหม่เอี่ยมพยักหน้ารับอย่างแรง “พี่หญิงเผย ท่านรอก่อนเถอะ คราวหน้าที่พวกเราได้พบเจอกันอีกครั้ง ข้าจะต้องมีขอบเขตสูงกว่าใครบางคนสองขอบเขตแน่นอน”
เฉามู่กำไม้เท้าเดินป่าไว้แน่น นางเองก็พยักหน้ารัวๆ เป็นไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “พี่หญิงเผย วันหน้าพวกเราจะไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วนะ ท่านต้องอยู่บ้านด้วยล่ะ”
เผยเฉียนหัวเราะแล้วยืดเอวขึ้นตรง ตบหัวของเด็กน้อยสองคนเบาๆ “มีอาจารย์อยู่ข้างกาย ไม่ต้องรีบร้อนเติบโตหรอกนะ”
เซี่ยซงฮวาบอกลูกศิษย์สองคนว่าไม่ต้องตามไป ส่วนตัวนางเดินไปส่งเผยเฉียนช่วงระยะทางหนึ่งเพียงลำพัง คนทั้งสองเดินเท้าไปด้วยกัน
จวี่สิงและเฉามู่มองตามไปไกลๆ ดูเหมือนพี่หญิงเผยจะสูงขึ้นอีกแล้วหรือไม่นะ?
หลิวโยวโจวนั่งอยู่บนขั้นบันไดด้านนอก ความคิดจิตใจล่องลอยไปไกลไม่อยู่ที่ศาลเหลยกง
เขาควักเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งออกมาชูขึ้นสูง น่ามองจริงๆ
ห่างไปไกล เผยเฉียนเพียงแค่มองดูพื้นพลางเอ่ยเบาๆ มาหนึ่งประโยคว่า “ตอนอยู่บ้านเกิดอาจารย์พ่อเคยบอกกับข้าว่า ความสามารถในการดูแลตัวเองของเขาถือว่าหาได้ยากในใต้หล้านี้ ไม่ได้ขี้โม้จริงๆ อาจารย์พ่อโกหก”
เซี่ยซงฮวาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
เผยเฉียนก้าวเดินเร็วๆ ออกไปสองสามก้าว จากนั้นก็คลี่ยิ้มหมุนตัวกลับแล้วเดินถอยหลัง โบกมือเอ่ยลากับท่านน้าเซี่ย
เซี่ยซงฮวายิ้มกล่าว “เดินทางระวังด้วย ต้องดูแลตัวเองให้ดี”
เผยเฉียนหมุนตัวกลับอีกครั้ง นางสาวเท้าเดินเร็วๆ เป็นท่าเดินนิ่งหกก้าว แล้วทันใดนั้นก็พลันดีดร่างขึ้นสูง บังคับลมเดินทางไกลไประหว่างฟ้าดิน
หลิวโยวโจวแหงนหน้ามอง เงินเกล็ดหิมะในมือน่ามอง แสงจันทร์คืนนี้ก็น่ามอง
ใต้หล้าไพศาล
ซิ่วไฉเฒ่ามาปรากฏตัวอยู่ตรงทิศเหนือของฝูเหยาทวีป ใช้เสียงในใจตะโกนดังลั่นว่า “นี่ๆๆ พี่น้องป๋าย อยู่หรือไม่ ช่วยตอบรับทีสิ?! มารดามันเถอะ มีเจ้าคนผู้หนึ่งบอกว่าเจ้ามีหรือไม่มีกระบี่เซียนอยู่ในมือ ก็ไม่เห็นจะต่างกันเลย ถ้าเป็นข้านะ ข้าไม่มีทางยอมเด็ดขาด!”
นักพรตซุนย้อนกลับมายังประตูใหญ่ที่เชื่อมใต้หล้าสองแห่งอย่างไม่มีลางบอกเหตุ เขาเอ่ยเสียงดังกังวานว่า “คืนกระบี่ผายลมนี่ให้แล้ว เอาไปได้เลย!”
ดังนั้นบัณฑิตชุดเขียวที่เดิมทีนั่งเฝ้าดอกท้อและพืชพรรณจึงใช้หนึ่งกระบี่ผ่าเปิดม่านฟ้า หวนกลับมายังภาคกลางของฝูเหยาทวีป มองไปยังปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ท่านหนึ่ง บัณฑิตเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ได้เลย ป๋ายเหย่มาถึงแล้ว”