กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 707.1 ขอบเขตที่สิบสี่
หน้าผาของกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่ง ชุดคลุมสีเทาปลิวสะบัด
หลิวป๋ายมาที่นี่เพื่อบอกลากับผู้อาวุโสหลงจวิน นางเพิ่งจะเลื่อนเป็นขอบเขตก่อกำเนิด อีกทั้งยังทยอยได้รับปณิธานกระบี่บริสุทธิ์มาสองกลุ่ม
ตัวอ่อนเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่เก้าสิบกว่าคนที่มาฝึกกระบี่อยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่ฝ่าทะลุขอบเขตเร็วกว่าหรือไม่ก็ได้ปณิธานส่วนหนึ่งมาก่อนหลิวป๋ายแล้ว พวกเขาจึงทยอยกันออกไปจากหัวกำแพงเมือง ขี่กระบี่มุ่งหน้าไปยังใต้หล้าไพศาล ไปเข้าร่วมสนามรบของสามทวีป
ปณิธานกระบี่บริสุทธิ์เป็นกลุ่มๆ ที่ล่องลอยอยู่ระหว่างฟ้าดินมานานร้อยปีพันปี หรือถึงขั้นหมื่นปีเหล่านั้นไม่เคยลำเอียง ขอแค่จิตแห่งกระบี่บริสุทธิ์มากพอ เข้ากับมันได้ ผู้ฝึกกระบี่ในใต้หล้าที่ได้รับการยอมรับจากพวกมัน ก็จะได้รับโชควาสนาหนึ่งส่วน เป็นการสืบทอดบริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับคำว่าควันธูปหรืออาจารย์และศิษย์ใดๆ
มีเพียงบุคคลประเภทเดียวที่ไม่ว่าพรสวรรค์จะสูงแค่ไหน คุณสมบัติจะดีแค่ไหนก็จะไม่มีทางได้รับความโปรดปรานจากปณิธานกระบี่เด็ดขาด
ยกตัวอย่างเช่นเซอเยว่หนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง รวมไปถึงเด็กสาวที่มีชื่อเล่นว่าโต้วโค่ว
หลิวป๋ายเอ่ยเบาๆ “ผู้อาวุโสหลงจวิน ข้าใกล้จะไปจากที่แห่งนี้แล้ว จะติดตามอาจารย์และศิษย์พี่ไปที่ใบถงทวีป ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมีคำพูดอะไรจะฝากข้านำไปบอกแก่อาจารย์หรือไม่?”
ลมพายุพัดกระโชกอยู่บนหัวกำแพง ชุดคลุมสีเทากลับไม่ได้เปิดปากเอ่ยคำใด
หลิวป๋ายเองก็ไม่กล้าเร่งรัดผู้อาวุโสที่นิสัยประหลาดคนนี้ นางไม่รีบร้อนไปจากหัวกำแพงเมือง จึงมองไปยังหน้าผาฝั่งตรงข้าม แต่มองไม่เห็นร่องรอยของชุดคลุมอาคมสีแดงสด
ทางฝั่งกระโจมเจี่ยจื่อออกคำสั่งที่มีไว้รับมือกับกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งนั้นโดยเฉพาะ มีการร่ายตราผนึกขุนเขาสายน้ำที่พลานุภาพสูงมากตัดขาดฟ้าดินอย่างสิ้นเชิง หลิวป๋ายสามารถมองเห็นทัศนียภาพของฝั่งตรงข้ามอย่างชัดเจน ทว่าหัวกำแพงเมืองฝั่งตรงข้ามมองมายังที่แห่งนี้กลับเห็นแต่หมอกขาวโพลน
ผู้อาวุโสหลงจวินที่อยู่ข้างกายนางคนนี้มีนิสัยยากจะคาดเดาจริงๆ ในฐานะหนึ่งในสามเซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนเคยมาถามกระบี่กับภูเขาทัวเยว่ อดีตสหายรักของเฉินชิงตู เคยร่วมกันชูกระบี่แก่ฟ้าดินโลกมนุษย์ เคยถามกระบี่แก่ฟ้าดิน พอกลายเป็นนักโทษอาญา สุดท้ายก็ตกมาเป็นหุ่นเชิดของภูเขาทัวเยว่ร่วมกับกวนจ้าว แต่ก็มีส่วนที่ต่างกับกวนจ้าวที่จิตวิญญาณกระจัดกระจาย สติปัญญาไม่แจ่มชัดอยู่มาก หลงจวินนั้นเป็นฝ่ายสละเนื้อหนังมังสาของตัวเอง ถึงขั้นปล่อยให้ป๋ายอิ๋งบนบัลลังก์เหยียบหัวกะโหลกตัวเองไว้ใต้ฝ่าเท้า ตอนอยู่บนสนามรบยังสังหารเซียนกระบี่เกาขุยที่เป็นคนสุดท้ายของสายตัวเองด้วย
เกาขุยถามกระบี่ หลงจวินรับกระบี่ เพียงแค่นี้เท่านั้น
สุดท้ายถูกผู้เฒ่าสะบั้นควันธูปสายสุดท้ายบนวิถีกระบี่ด้วยมือตัวเอง
หลิวป๋ายไม่ค่อยเข้าใจความคิดและการกระทำของผู้อาวุโสหลงจวินสักเท่าไรจริงๆ
ในความเป็นจริงแล้วแม้แต่หลีเจินผู้นั้น หลิวป๋ายก็มองเขาไม่ออก ทุกวันนี้หลีเจินยังอยู่บนหัวกำแพงเมือง ดูเหมือนตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นปฏิปักษ์กับอิ่นกวานหนุ่มให้ถึงที่สุด
เมื่อตัวอ่อนเซียนกระบี่แต่ละคนของภูเขาทัวเยว่ต่างได้ผลเก็บเกี่ยวกลับไป การโคจรมหามรรคาของวิถีกระบี่แต่ละส่วนจึงทำให้กำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งฝั่งตรงข้ามยิ่งนานยิ่งเบาบางลงไปตามธรรมชาติ สภาพการณ์ของเจ้าหมอนั่นจึงยิ่งอันตรายล่อแหลมมากขึ้นทุกที เพราะระดับความมั่นคงของกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งนั้นเกี่ยวพันกับโชคชะตาวิถีกระบี่อย่างใกล้ชิด เชื่อว่าอิ่นกวานหนุ่มที่ผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือก็น่าจะเป็นคนหนึ่งที่สัมผัสได้อย่างชัดเจนและเฉียบไวที่สุดในฟ้าดินแห่งนี้
คนธรรมดาด้านล่างภูเขาอาจไม่รู้ถึงอายุขัยและสัจธรรมแห่งชีวิต จึงเป็นเหตุให้ไม่รับรู้ถึงความแก่ชราที่มาเยือน ไม่รู้ว่าวันใดถึงจะเป็นวันสุดท้ายของชีวิต
แต่อิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นเหมือนคนที่กำลังเบิกตามองดูตะเกียงแห่งชะตาชีวิตดวงหนึ่งในศาลบรรพจารย์อยู่ทุกวัน ทว่ากลับได้แต่มองดูแสงสว่างของตะเกียงดวงนั้นค่อยๆ หรี่จางลงไปทุกที
หลงจวินเปิดปากเอ่ย “บอกให้อาจารย์ของเจ้าไปเชิญหลิวชาให้กลับมาออกกระบี่อย่างเต็มกำลังที่นี่ก่อน ช้าสุดหนึ่งปี จำเป็นต้องบีบให้เจ้าเด็กนั่นเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบให้ได้ หากช้ากว่านั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น”
หลิวป๋ายตกตะลึงอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าเหตุใดหลงจวินถึงต้องการให้คนผู้นั้นเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบให้ได้ หรือว่า? ไม่ถูกสิ! ตนจะปล่อยให้จิตใจได้รับอิทธิพลจากคำพูดของคนผู้นั้นไม่ได้ ผู้อาวุโสหลงจวินไม่มีทางเป็นพวกเดียวกับเขาเด็ดขาด
ดังนั้นหลิวป๋ายที่มีความสงสัยเต็มอกจึงเอ่ยถาม จะไม่ปล่อยให้ตัวเองคิดวุ่นวายไปเอง ถามเข้าประเด็นว่า “ผู้อาวุโสหลงจวิน นี่เป็นเพราะอะไร? ขอท่านโปรดไขข้อข้องใจให้ข้าด้วย!”
หลงจวินยิ้มอธิบายว่า “สำหรับเฉินผิงอันแล้ว การทำลายโอสถทองแล้วสร้างโอสถทองขึ้นใหม่ คือเรื่องที่เป็นดั่งน้ำมาคลองสำเร็จ การกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วก็ไม่ถือว่ายากเกินไป เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังต้องการเวลาในการขัดเกลา เรื่องของการยกระดับขอบเขตผู้ฝึกลมปราณให้สูงขึ้น เขาไม่ร้อนใจแม้แต่น้อย ความคิดจิตใจส่วนใหญ่ไปอยู่กับเรื่องที่ว่าควรจะเพิ่มปณิธานหมัดอย่างไรมากกว่า นี่คงจะเป็นไฟลามไหม้ขนคิ้วในสายตาของหมาบ้าน้อยตัวนั้นกระมัง เพราะถึงอย่างไรการฝึกตนก็ต้องพึ่งพาตัวเอง เขาจึงเหมือนคนที่เดินขึ้นเขามุ่งสู่ที่สูงตลอดเวลา เว้นเสียจากเรื่องการฝึกวิชาหมัดที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่ขยับเคลื่อนไหว จะไม่ร้อนใจได้อย่างไร อยู่ที่ใต้หล้าไพศาล ผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาค่อนข้างจะร้ายกาจอยู่บ้างจริงๆ ทว่าอยู่ที่นี่กลับมากพอแล้วหรือ?”
หลิวป๋ายรู้สึกเพียงว่าตัวเองมึนหัวตาลาย เอ่ยเสียงสั่นว่า “ตอนนั้นเขาไม่ได้บอกว่าตัวเองใกล้จะได้เป็นขอบเขตหยกดิบแล้วหรอกหรือ?”
“เขาพูดอะไรพวกเจ้าก็เชื่อทั้งหมดเลยหรือ?”
หลงจวินหลุดหัวเราะพรืด “ความจริงแน่นอนว่าเขาแค่พูดข่มขู่เจ้ากับหลีเจินไปอย่างนั้นเอง ตอนนั้นเดิมทีข้าก็อยากบอกว่าเขากำลังจะได้เป็นก่อกำเนิด เพียงแต่เห็นพวกเจ้าเชื่อว่าเป็นความจริงก็เลยคร้านจะพูด”
หลิวป๋ายถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที
หลงจวินมองไปฝั่งตรงข้าม “เจ้าเด็กนี่นิสัยเป็นอย่างไร มองออกได้ยากนักหรือ? ของทุกอย่างที่สายตาเขาสามารถมองเห็นได้ ไม่ว่าจะอยู่ไกลหรือใกล้ ไม่ว่าความยากจะมากหรือน้อย ขอแค่จิตใจมุ่งไปหา อีกทั้งยังมีทางให้เดิน ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะไม่ร้อนใจแม้แต่น้อย แค่ทำมันไปเงียบๆ ก็พอ สุดท้ายเดินไปทีละก้าว จนกระทั่งมันกลายมาเป็นของที่แค่เอื้อมมือก็หยิบคว้ามาได้ แต่ก็อย่าลืมล่ะว่า เรื่องที่คนผู้นี้ไม่คุ้นเคยมากที่สุดก็คือ หนึ่งนั้นที่ตัวเขาต้องไปตามหาเอาเองจากสิ่งที่กำเนิดจากความว่างเปล่า สำหรับเรื่องนี้เขาไม่มีความมั่นใจมากที่สุด”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลงจวินก็ยิ้มถามว่า “ไม่เชื่อในคำกล่าวนี้ใช่ไหม?”
หลิวป๋ายไม่รู้เลยว่าควรจะตอบอย่างไร
คำกล่าวนี้ของผู้อาวุโสหลงจวินทำให้นางกึ่งเชื่อกึ่งกังขา
หลงจวินเอ่ยอย่างระอาใจว่า “ดูท่าคงถูกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มของเขาทำให้ตกใจจนโง่งมไปแล้วจริงๆ ข้าถามเจ้า ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าคนหนึ่งที่อายุน้อยถึงเพียงนี้ แล้วยังใช้สถานะของคนต่างถิ่นมาเป็นอิ่นกวาน อีกทั้งยังเป็นคนฉลาดคนหนึ่งที่สามารถสยบผู้คนได้ ได้ออกเดินทางไกล หาประสบการณ์ เข่นฆ่าอย่างต่อเนื่อง แต่เขาเฉินผิงอันเคยบรรลุหมัดที่เป็นของตัวเองอย่างแท้จริงสักหมัดไหม? มีหรือ? ไม่มี”
หลิวป๋ายพลันกระจ่างแจ้งในบัดดล พยักหน้ารับเบาๆ
หลงจวินกล่าวว่า “ทุกอย่างล้วนอยู่ในกฎเกณฑ์ พวกเจ้าต่างก็ลืมสถานะอีกอย่างหนึ่งของเขาไปแล้ว เขาเป็นบัณฑิตอย่างไรล่ะ ต้องหัดทบทวนตัวเอง ควบคุมตัวเอง สำรวมระมัดระวังตนแม้ยามอยู่ลำพัง เป็นทั้งการฝึกฝนจิตใจ แต่อันที่จริงก็เป็นการผูกพันธนาการหนาหนักไว้บนร่างของตัวเองด้วย”
ดังนั้นยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งไม่อาจทำให้คนหนุ่มคนนี้บรรลุหมัดหนึ่งเป็นของตัวเองได้อย่างแท้จริง เพราะนั่นจะหมายความว่าอิ่นกวานหนุ่มที่ให้ความสำคัญกับการฝึกจิตใจมากที่สุดมีหวังว่าจะสามารถอาศัยกำลังของตัวเองมาวาดเส้นวาดกรอบให้กับฟ้าดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะปล่อยให้คนผู้นี้บรรลุกระบี่หนึ่งอย่างแท้จริงไม่ได้ สรรพสิ่งใดๆ ก็ตามเมื่อเจอกับความไม่สงบนิ่งย่อมต้องส่งเสียง ในใจของคนหนุ่มผู้นี้มีความอัดอั้นมากพออยู่แล้ว มีทั้งความเดือดดาล ปราณสังหาร ความดุร้าย ความเจ็บแค้น ความเศร้าอาลัย…
ถึงเวลานั้นหากเขารวบรวมพวกมันไว้ด้วยกัน สุดท้ายส่งกระบี่หนึ่งออกมา ไม่แน่ว่าฟ้าดินอาจจะเปลี่ยนสีจริงๆ ก็ได้
กล่าวมาถึงตรงนี้หลงจวินก็ใช้ปราณกระบี่เล็กละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกันเป็นเงาร่างที่พร่าเลือนเงาหนึ่ง เป็นสภาพการณ์ที่ไม่ต่างจากตอนที่เฉินผิงอันปรากฎตัวที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ครั้งแรกสักเท่าไร
หลงจวินยื่นมือไปดึงตราผนึกขุนเขาสายน้ำแล้วพูดต่อว่า “เขาต้องการฝึกฝนจิตใจให้เป็นไปตามลำดับขั้นตอน ถ้าอย่างนั้นก็จะบีบให้เขาต้องเดินทางลัด บีบให้เขาไม่อาจใช้เหตุผล ต่อให้กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดแล้ว การเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบของเจ้าหมอนี่ก็ยังไม่ง่ายอยู่ดี ด้วยความฉุกละหุกก็มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะต้องใช้วิธีการลับทางลัดที่ต้องใช้ความเสียหายบนมหามรรคาระดับสูงมาเป็นค่าตอบแทน จะให้เขาจำต้องดื่มยาพิษดับกระหาย หากเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบเมื่อไหร่ เขาก็จะต้องอยู่และตายไปพร้อมกับกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือนี้ กลายเป็นเฉินชิงตูคนที่สองอย่างแท้จริง”
หลิวป๋ายชำเลืองตามองหน้าผาฝั่งตรงข้าม ไม่มีร่องรอยของคนผู้นั้นจึงถามหยั่งเชิงว่า “ยากที่จะไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อีกอย่างนั้นหรือ?”
“ดังนั้นพวกเจ้ากังวลว่าเขาจะเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ อันที่จริงตัวเขาเองกลับกลัวยิ่งกว่า”
หลงจวินพยักหน้ารับ “หากเขาไม่อาจเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ ได้แต่ใช้ขอบเขตก่อกำเนิดที่แท้จริงและขอบเขตหยกดิบปลอมเละๆ นี่มาเฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเมืองต่อไป นั่นก็ยิ่งดี พอหลิวชาฟันกระบี่ลงไป ฟันหัวกำแพงเมืองของฝั่งตรงข้ามออกเป็นสองท่อน นั่นก็จะทำร้ายไปถึงรากฐานมหามรรคาของเขา มีชีวิตอยู่เหมือนตายไปแล้ว หลิวชาออกกระบี่ให้มากอีกหน่อย เขายังคงไม่มีทางตายอยู่เหมือนเดิม ทว่าเส้นทางการฝึกตนของเขาก็นับว่าถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว เดินไปถึงเส้นทางหัวขาดบนวิถีกระบี่ก่อนวิถีวรยุทธ การที่เขาผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็จะกลายเป็นจริงสมชื่อ ต่อให้เขาเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบแล้วอย่างไร? ก็ได้แต่ปล่อยให้คนอื่นฆ่าแกง ได้แต่นั่งเฉยรอความตายอย่างเดียวเท่านั้น สักวันหนึ่งไม่ว่าจะเป็นข้าหรือเจ้าที่ได้หวนกลับคืนมายังสถานที่เดิมอีกครั้ง หรือจะเป็นโซ่วเฉิน เป็นเฝ่ยหราน ใครที่ออกกระบี่ อันที่จริงก็ล้วนเหมือนกัน ทุกกระบี่ล้วนทำร้ายไปถึงรากฐานมหามรรคาของเขาได้ทั้งสิ้น”
คนอื่นขึ้นมาบนหัวกำแพงเมืองก็เหมือนเดินขึ้นสุสาน ในหลุมศพมีคนเป็นอยู่ แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ต่างอะไรจากคนตาย
หลิวป๋ายรู้สึกเหมือนว่ายามที่ภูเขาแห้งเหี่ยวสายน้ำแห้งขอด การมองเห็นพลันเปิดกว้างจึงได้เห็นขุนเขาเขียวน้ำใส
สิ่งเดียวที่เกะกะสายตาก็คือหลังจากที่ผู้อาวุโสหลงจวินจงใจคลายตราผนึกออก ชุดคลุมอาคมสีแดงสดนั้นก็พุ่งมาถึงราวกับนัดหมายกันไว้ เห็นเพียงว่าเขาถือดาบแคบ ใช้ดาบตีไหล่เบาๆ พร้อมสาวเท้าเนิบช้าเดินมาตลอดทาง สุดท้ายมาหยุดยืนนิ่งตรงหน้าผาฝั่งตรงข้าม
แบกดาบแคบไว้บนไหล่ ยืนคุมเชิงอยู่อีกฝั่ง
แม้ว่าก่อนหน้านี้หลิวป๋ายจะเลื่อนเป็นก่อกำเนิดแล้ว แต่นางกลับไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกยินดี กลับกันยังเต็มไปด้วยความกังวลใจ เทียบกับตอนที่ขอบเขตถดถอยไม่ได้ด้วยซ้ำ
ในฐานะคนที่เคยอยู่อันดับต้นๆ ของร้อยเซียนกระบี่ภูเขาทัวเยว่ในอดีต เพราะศึกล้อมฆ่าครั้งนั้น เหตุไม่คาดฝันที่จะได้เลื่อนเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนพลันเปลี่ยนมาเป็นใหญ่เทียมฟ้า วันหนึ่งที่ยังไม่ได้เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบอย่างแท้จริง หลิวป๋ายก็ยากจะปล่อยวางอยู่อย่างนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพอคิดว่าในอนาคตหากตนต้องฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิดแล้วจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับจิตมาร ก็ยิ่งทำให้การเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตก่อกำเนิดของหลิวป๋ายคล้ายการเดินก้าวใหญ่ๆ เข้าไปหาคนผู้นั้น ความน่าหวาดกลัวของจิตมารอยู่ที่ว่า เมื่อธรรมะสูงหนึ่งฉื่อ อธรรมกลับสูงหนึ่งจั้ง มรรคกถา ขอบเขต หรือแม้กระทั่งจิตใจล้วนเป็นเหมือนก้อนเมฆที่ไหลเคลื่อนคล้อยไปตามขอบฟ้า แล้วจะต้านทานจิตมารที่แข็งแกร่งปานหินผาได้อย่างไร?
และการที่ผู้ฝึกตนบรรลุมรรคาหลายคนที่ได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนสามารถกำราบจิตมารได้ ก็เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจิตมารคืออะไรกันแน่ ในเมื่อมาถึงแล้วก็แค่รับมือไปอย่างสงบเท่านั้น จึงกลับกลายเป็นว่าทำให้ฝ่าทะลุขอบเขตได้ง่าย
หากรู้แต่แรกว่าจิตมารคืออะไร ดังนั้นจึงเตรียมวิธีการแก้ไขไว้แต่เนิ่นๆ สำหรับจิตมารแล้ว แท้จริงนั่นกลับจะยิ่งเป็นวิธีที่หล่อเลี้ยงให้มันเติบใหญ่ขึ้น
แต่หากตอนที่หลิวป๋ายเผชิญหน้ากับจิตมารแล้วอิ่นกวานหนุ่มร่างดับมรรคาสลายไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นหลิวป๋ายที่เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนกลับจะคาดหวังให้จิตมารเป็นเฉินผิงอัน
เพราะถึงเวลานั้นส่วนลึกในใจของหลิวป๋ายจะสามารถประคับประคองสติปัญญาเสี้ยวหนึ่งที่ตระหนักรู้ได้ว่า จิตมารคือสิ่งที่ตายไปแล้ว
วันนี้พอได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสหลงจวิน จิตแห่งมรรคาของหลิวป๋ายจึงมั่นคงขึ้นมากแล้ว นางมองไปยังคนผู้นั้นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จะมาบอกลากับใต้เท้าอิ่นกวานสักคำ หวังว่าจะยังมีโอกาสได้พบกันใหม่”
ตอนนี้มีจิตแห่งมรรคาที่เป็นเช่นนี้ หลิวป๋ายรู้สึกเพียงว่าจิตแห่งกระบี่ใสสะอาดขึ้นอีกหลายส่วน แล้วก็ยิ่งหมายมั่นปั้นมืออยากจะถามกระบี่ในการต่อสู้ที่แต่เดิมโอกาสแพ้ชนะต่างกันมากยิ่งขึ้น
คนผู้นั้นมีรอยยิ้มประดับใบหน้า เงียบงันไม่เอ่ยอะไรอย่างที่หาได้ยาก แล้วก็ไม่ได้เอ่ยวาจาทำให้จิตของนางวุ่นวาย
หลิวป๋ายมองออกว่าหลายปีที่ผ่านมานี้อีกฝ่ายไม่ได้สบายเลย กว่าจะเลื่อนเป็นขอบเขตยอดเขาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเหตุให้แม้รูปโฉมจะชัดเจนมั่นคงแล้วกลับกลายเป็นว่ามีสีหน้าอ่อนระโหยซูบเซียวลงทุกวัน
ผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่อยู่ในภูเขามานาน ไม่รู้ร้อนหนาว หลับจำศีลนานหลายปีหรืออาจถึงขั้นหลายสิบปี เหมือนมังกรตายที่นอนหมอบอยู่ในบ่อลึก เหมือนเทวรูปองค์หนึ่งที่นั่งนิ่งอยู่ในศาลเจ้า อันที่จริงไม่ใช่เรื่องแปลก
ยกตัวอย่างเช่นฮว่อหลงเจินเหรินของยอดเขาพาตี้แห่งอุตรกุรุทวีปที่ยิ่งเชี่ยวชาญการนอนหลับ การใช้หิมะมาห่มคลุมต่างเสื้อผ้าจนโด่งดังไปทั่วหล้า
และหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ที่ถูกประเมินออกมาใหม่ นักท่องฝันของหลิวเสียทวีปคนนั้นก็น่าจะเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันกับฮว่อหลงเจินเหริน
บ้างก็นั่งลืมตนดั่งร่างคือโครงกระดูก มานะตั้งใจฝึกตนนานหลายปี ระหว่างนี้เพียงแค่หยุดพักช่วงเวลาสั้นๆ ใช้ความอบอุ่นมาหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ ก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร การหยุดพักเล็กๆ นี้มีข้อพิถีพิถันใหญ่มาก สอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า ‘ร่างคนตายไปเกินครึ่ง’ คือวิธีการหลับไหลที่ผู้ฝึกตนบนภูเขาเลื่อมใสกันอย่างถึงที่สุด ไม่มีความคิดเกิดขึ้นสักอย่างจริงๆ ตามคำกล่าวของลัทธิพุทธ นี่จะสามารถทำให้คนอยู่ห่างจากความคิดฝันที่กลับตาลปัตรทั้งหมดได้ เป็นเหตุให้เมื่อเทียบกับคนธรรมดาแล้วจึงถือเป็นการหลับสนิทในเวลากลางคืนที่ปกติธรรมดาที่สุด ยิ่งสามารถบำรุงสามจิตเจ็ดวิญญาณได้อย่างแท้จริง จิตวิญญาณได้มีการพักผ่อน จึงทำให้ผู้ฝึกลมปราณรู้สึกหวานชื่นมากเป็นพิเศษ
ก้มหน้าหลับตาก็คือการนั่งหลับ ผู้ฝึกตนนั่งนิ่งบำรุงจิตวิญญาณ หลับโดยไร้ฝัน ก็คือสัญญาณหนึ่งที่บอกว่าผู้ฝึกลมปราณจะเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลาง
แต่ผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งไม่หลับไม่นอนนานถึงเจ็ดปีเต็ม อีกทั้งทุกเวลานาทีต้องคอยคิดพะวงถึงสภาพการณ์ของตัวเองอยู่ตลอดเวลา นี่กลับเป็นเรื่องที่หาได้ยากมากแล้ว แน่นอนว่าย่อมทำร้ายจิตวิญญาณอย่างใหญ่หลวง
เป็นเหตุให้มีเพียงขอบเขตที่ว่างเปล่า จิตใจกลับค่อยๆ ทรุดโทรมลงทุกวัน
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ผู้อาวุโสหลงจวิน ข้าคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ ข้าเคยไปเตะท่านในตรอกมาก่อน หรือว่าเคยห้ามไม่ให้ท่านแย่งหลีเจินแทะกระดูกกันแน่? พวกเจ้าสองคนถึงไล่กัดข้าไม่ปล่อยแบบนี้?”
หลงจวินยิ้มกล่าว “แม้จะบอกว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่เหลือแค่ครึ่งเดียว แต่กระดูกแก่ๆ ของเฉินชิงตูท่อนนี้ก็ทำให้คนแทะยากจริงๆ ปล่อยให้เจ้าอดทนผ่านเวลาหลายปีนี้มาได้ คู่ควรให้ภาคภูมิใจในตัวเองอย่างมากแล้ว”
เฉินผิงอันขยับเส้นสายตา หันไปพูดกับหลิวป๋ายว่า “ยังไม่ไปอีกหรือ? ต่อให้ข้าจะรักหยกถนอมบุปผาแค่ไหนก็มีขอบเขตนะ”
หลิวป๋ายเอ่ยด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว “วันนี้เจ้าและข้าจากลากัน มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นการจากตาย เจ้าอยากพูดอะไรก็เชิญพูดได้เลย ในอนาคตเมื่อข้าถามกระบี่กับจิตมาร ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เจ้าเฉินผิงอันตัวจริงอีกแล้ว”
เฉินผิงอันโบกมือ “แนะนำเจ้าว่าให้หยุดแต่พอสมควรเถอะ ฉวยโอกาสตอนที่ข้าอารมณ์ไม่เลว รีบไสหัวไปซะ”
หลิวป๋ายไม่ขยับ ยืนนิ่งปักหลักอยู่ที่เดิม
หลงจวินเอ่ยเย้ยหยันว่า “ก็แค่บรรลุวิชาพิศกระดูกขาวตื้นเขินได้เล็กน้อย ใช้สิ่งนี้มาชำระล้างความดุร้ายในทะเลสาบหัวใจได้ แค่นี้ก็อารมณ์ดีแล้วรึ? ฌานมิอาจเอ่ยเอื้อนเป็นคำพูด น้ำตายมิอาจซ่อนมังกร การเข้าฌานนิ่งหาใช่นิ่งในเวลาที่ถูกกำหนดมา เจ้ายังห่างไกลอีกหนึ่งแสนแปดพันลี้ ไม่สู้พูดความจริงให้เจ้าฟังก็แล้วกัน สำหรับเจ้าแล้วการพิศกระดูกขาวก็คือวิชานอกรีตที่แท้จริง ต่อให้ค่อยๆ ทำความเข้าใจไปร้อยปีก็ยังไม่อาจบรรลุได้อย่างกระจ่างแจ้ง ต่อให้มองออกถึงกระดูกตัวเองที่กลายเป็นกระดูกขาวบริสุทธิ์ ความคิดสูญสิ้น ใช้การแตกสลายมาทำให้สมบูรณ์ กระดูกขาวมีเนื้อผุดงอก สุดท้ายเปล่งประกายสีสันแวววาว แล้วค่อยปล่อยดวงจิตออกไปข้างนอก ไม่ว่าแห่งหนใดล้วนมีแต่กระดูกขาวเต็มไปหมด น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วมันไม่สอดคล้องกับมหามรรคาของเจ้า ทุกอย่างล้วนเป็นได้เพียงความเพ้อฝันเท่านั้น พูดถึงแค่ในหนังสือเล่มนั้น ทุกคนที่ตายอย่างอยุติธรรมในทะเลสาบชิ่งจู๋ เป็นเพียงแค่โครงกระดูกขาวอย่างเดียวเท่านั้นจริงๆ หรือ?”