กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 707.2 ขอบเขตที่สิบสี่
พูดมาถึงตรงนี้ ผู้อาวุโสหลงจวินก็ชำเลืองตามองเฉินผิงอันแล้วส่ายหน้าเบาๆ เอ่ยอย่างไม่เห็นเป็นสำคัญว่า “หากคิดจะรังแกตัวเอง ปล่อยความคิดร้อยพันกระจายกองไว้บนกระดูกขาว จะได้อาศัยสิ่งนี้ให้ตัวเองพอมีเวลาได้พักผ่อนสักชั่วครู่ชั่วยาม ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็จงไปหลบซ่อนตัวให้ดี อย่ามาหาเรื่องใส่ตัวกับข้า”
ในความเป็นจริงแล้วเฉินผิงอันไม่มีทางเดินไปบนเส้นทางการพิศกระดูกขาวได้ไกลเกินไปนัก ก็เหมือนอย่างที่หลงจวินกล่าว นั่นเป็นเพียงแค่วิธีการเล่นแง่อย่างหนึ่งที่ลองเอามาใช้ ‘นอนหลับชั่วคราว’ เท่านั้น ดังนั้นต่อให้วันนี้เฉินผิงอันจะไม่มา หลงจวินก็จะยังพูดแฉอยู่เช่นเดิม จะไม่เปิดโอกาสให้เขาได้บำรุงความอบอุ่นให้กับจิตวิญญาณแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็คลี่ยิ้มกว้างอย่างสง่างาม มือที่ถือดาบพิฆาตชี้ไกลๆ ไปยังผู้เฒ่าร่างพร่าเลือนที่อยู่ในชุดคลุมสีเทา “ผู้อาวุโสหลงจวิน ช่างเป็นมรรคกถาที่สูงส่งยิ่งนัก ช่วยชี้แนะผู้น้อย หลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้น้อยหลงเดินทางผิด ควรจะขอบคุณท่านอย่างไรดี? ช่วยปกป้องมรรคาอย่างยากลำบากมานานหลายปี ช่วยขัดเกลาจิตแห่งมรรคาให้แก่ข้า หากไม่เป็นเพราะรูปโฉมนี้ของท่าน ข้าคงเข้าใจผิดคิดว่าผู้อาวุโสคือผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายตัวที่อยู่ในตรอกฉีหลงบ้านข้าซะแล้ว”
หลงจวินยิ้มกล่าว “คนที่กำลังใกล้ตาย คำพูดมักจะพูดออกมาจากใจจริง แต่เจ้ากลับทำตรงกันข้ามเสียนี่”
เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมองอีกครั้ง ถามอย่างใคร่รู้ว่า “ยังไม่ไปจริงๆ หรือ? คิดจริงๆ หรือว่ายืนนิ่งไม่ขยับ มองข้านานอีกหน่อยก็จะสามารถขัดเกลาจิตแห่งกระบี่ได้แล้ว?”
หลิวป๋ายมองไปยังคนหนุ่มผู้นั้น อยู่ดีๆ ก็เอ่ยทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังว่า “น่าสงสารจริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี
หลงจวินพลันใช้ปราณกระบี่ที่เปี่ยมล้นส่วนหนึ่งสะบั้นฟ้าดินในเสี้ยววินาที ไม่ให้คำพูดของเฉินผิงอันได้หลุดรอดเข้ามาในหูของหลิวป๋าย ถึงขั้นที่ว่าไม่ให้นางได้มองอีกฝ่ายนานกว่าเดิม
ไม่มีปราณกระบี่ของหลงจวินคอยสยบไว้ ตราผนึกขุนเขาสายน้ำที่อำพรางอีกครึ่งหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่จึงปิดประตูลงอีกครั้ง
หลิวป๋ายพบว่าการมองเห็นของตนพร่าเลือน ไม่อาจมองอีกฝ่ายได้อีกแม้แต่นิดเดียว นางอึ้งตะลึงไป “ผู้อาวุโสหลงจวิน นี่เป็นเพราะอะไร?”
หลงจวินกล่าว “เจ้าควรจะรู้ไว้อย่างหนึ่ง ก่อนหน้านี้ที่เขาบอกให้เจ้าหยุดแต่พอสมควรนั้นถูกต้องแล้ว อีกทั้งเขาพูดประโยคนี้ เดิมทีก็เพื่อปูพื้นให้กับประโยคสุดท้าย ไม่อย่างนั้นหากเขาพูดออกมาจากปาก เจ้าได้ยินเมื่อไหร่ก็จะทำให้จิตมารของเจ้าขยายใหญ่ขึ้นเมื่อนั้น”
หลิวป๋ายส่ายหน้า “ข้าไม่เชื่อ!”
เรือนกายของผู้เฒ่าที่เกิดจากปราณกระบี่ตัดสลับรวมตัวกันค่อยๆ สลายหายไป เปลี่ยนมาเป็นชุดคลุมสีเทาที่ว่างเปล่าอีกครั้ง หลงจวินพูดด้วยความหวังดีว่า “ไปเถอะ อย่าได้ถือสาหมาบ้าตัวหนึ่งเลย วันหน้าจงตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี หากเจ้าสามารถพิฆาตจิตมารที่จำแลงมาจากคนผู้นี้ได้จริงๆ จะมีประโยชน์ต่อเจ้ามหาศาล ถือว่าได้รับโชคหลังเคราะห์ร้าย ประสบผลสำเร็จบนมหามรรคา และมีความเป็นไปได้ว่าจะสำเร็จสูงยิ่งกว่าก่อนหน้านี้”
แม้ว่าหลิวป๋ายจะไม่เข้าใจ และรู้สึกสงสัยใคร่รู้ในคำพูดประโยคนั้นของเฉินผิงอันอย่างมาก แต่นางกลับไม่คิดจะฝ่าฝืนคำสั่งสอนของหลงจวิน ยิ่งไม่กล้ามองวิถีกระบี่ของตนเป็นเรื่องเล่นๆ ไม่คิดจะมัวใช้อารมณ์โต้เถียงกับเฉินผิงอันอย่างไร้ประโยชน์ นางจึงรีบขี่กระบี่ออกไปจากหัวกำแพงเมืองทันที
หลังจากหลิวป๋ายจากไป หลีเจินที่ยืนอยู่ห่างไปไม่ไกลมาตลอดก็ขยับมายังข้างกายของหลงจวิน
หลีเจินเอ่ยอย่างได้รับความไม่เป็นธรรมว่า “ท่านดีกับสตรีอย่างหลิวป๋ายกว่าข้าเยอะเลย”
หลงจวินเพียงแค่หันหน้าไปมองซากปรักของนครที่อยู่ทางทิศเหนือ
เมื่อหมื่นปีก่อน นักโทษอาญาที่มีโทษติดตัวได้ถูกเนรเทศมาที่นี่ หมื่นเรื่องราวหมื่นสรรพสิ่ง ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนจากไม่มีมาเป็นมี
หลีเจินถาม “เหตุใดท่านถึงตั้งตัวเป็นอริกับเฉินผิงอันขนาดนี้”
หลงจวินกล่าวอย่างเฉยเมย “คนหนุ่มคนหนึ่งจะมีความแค้นอะไรกับข้าได้? เพียงแต่ว่าไม่ว่าผู้ฝึกกระบี่คนใดก็ตามที่คิดจะเป็นเฉินชิงตูคนที่สอง ล้วนสมควรตาย”
หลีเจินถามอีก “แม้ว่าข้าจะไม่ใช่กวนจ้าว แต่ก็รู้ว่ากวนจ้าวเพียงแค่ผิดหวัง แต่เหตุใดท่านถึงเป็นเช่นนี้?”
สภาพจิตใจของกวนจ้าวไม่ต่างจากเฒ่าตาบอดที่อยู่ท่ามกลางขุนเขาใหญ่แสนลี้นั่นสักเท่าไร พวกเซียนกระบี่จางลู่ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน พวกเขาต่างก็มีความรู้สึกแบบเดียวกันต่อใต้หล้าไพศาลทั้งแห่งใหม่และแห่งเก่า
หลงจวินถอนสายตากลับคืน ไม่เอ่ยตอบ
หลีเจินถามอีกว่า “ใต้เท้าอิ่นกวานท่านนี้ของพวกเรายังไม่ได้เป็นก่อกำเนิด ยังเป็นแค่โอสถทองผุๆ เท่านั้นจริงหรือ?”
หลงจวินคร้านจะพูดคุยกับเขา
หลีเจินจึงพึมพำกับตัวเองว่า “แต่การที่หลิวป๋ายสงสารอีกฝ่ายจากใจจริงก็ไม่ถือว่าแปลก”
ฟ้าดินเงียบเหงา อยู่ตัวคนเดียวเดียวดาย แสงตะวันจันทราล้วนสาดส่องไม่ถึงที่แห่งนี้?
บางครั้งมีนกบินผ่านหัวกำแพงเมือง พอผ่านค่ายกลภูเขาสายน้ำนั้นไปก็บินพรวดผ่านหัวกำแพงเมืองไปเลย ทั้งมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ ยิ่งไม่มีการแบ่งแยกระหว่างกลางวันกลางคืน ยิ่งไม่มีการหมุนเวียนของสี่ฤดูกาลอะไร
เปลี่ยนร่างผลัดกระดูก จิตวิญญาณรวมเป็นหนึ่ง นอกร่างมีร่างคือจิตหยาง ชื่นชอบแสงสว่าง เป็นสถานที่พักพิงที่ดีที่สุดของโอสถทอง
แสงสว่างหนึ่งเสี้ยวเข้ามาในความมืดมิดได้อย่างไร้พันธการ ก็คือจิตหยิน ชอบออกท่องเที่ยวยามราตรี คือสถานที่ฝึกตนที่ก่อกำเนิดใฝ่ฝันหา
การผสานรวมมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินผิงอันต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อย
ทั้งสามฝ่ายหลอมรวมกันอยู่ในหนึ่งเตาหลอมมานานแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่อาจแบกรับการสยบกำราบที่หนักอึ้งของชื่อจริงปีศาจใหญ่ได้ แล้วก็ไม่อาจผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าหลังจากนี้อิ่นกวานหนุ่มได้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่สามารถปล่อยจิตหยินออกมาเดินทางไกลอะไรได้อีก ส่วนตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อก็ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้
หลีเจินหัวเราะขึ้นมา “แม้หลิวป๋ายจะโง่ไปหน่อย แต่โง่นิดหน่อยก็ดีนะ กลับกลายเป็นว่าจิตมารในอนาคตของนางจะไม่กลายเป็นเงื่อนตายที่คลายออกยากเกินไป”
หลงจวินตัดขาดฟ้าดินอย่างเด็ดเดี่ยว เท่ากับว่าได้ช่วยชีวิตครึ่งหนึ่งของหลิวป๋ายเอาไว้
ไม่อย่างนั้นขอแค่ใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้นเอ่ยประโยคเดียวก็อาจทำให้ชีวิตของหลิวป๋ายหายไปครึ่งหนึ่งได้
ง่ายมาก เพราะแค่ประโยคว่า ‘เจ้าจะมาชอบข้าทำไม’ ก็สามารถทำให้จิตแห่งมรรคาของหลิวป๋ายแหลกสลายได้เกินครึ่งแล้ว
ส่วนเรื่องที่ว่าหลิวป๋ายจะชอบเขาจริงๆ หรือไม่กลับไม่สำคัญเลยแม้แต่น้อย และนี่ก็เป็นปมของโรคที่ยากจะรับมือที่สุดพอดี
เพราะถึงอย่างไรความไม่ชอบบนโลกก็ไม่ได้สำคัญ แต่ความชอบบนโลกกลับมีมากมายร้อยพันชนิด เหตุผลก็ยิ่งมีร้อยพันแบบ
หลงจวินพลันใช้ปราณกระบี่ตัดขาดฟ้าดินเล็กแห่งหนึ่งที่ยากจะสังเกตเห็น ถามว่า “เจ้ามองเห็นอะไรกันแน่?”
หลีเจินย้อนถามว่า “ท่านกำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่?”
หลงจวินถามเสียงหนัก “กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเจ้าเล่มนั้นมีชื่อว่า ‘กวงอิน’ (กาลเวลา/วันเวลา) หรือ”
หลีเจินพูดกลั้วหัวเราะ “ใช่แล้วทำไม? ท่านไม่ได้รู้ชัดเจนดียิ่งกว่าใครหรอกหรือว่าข้าถือเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่มีอะไรทำมากที่สุดในใต้หล้านี้ อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะเป็นคนหนึ่งในนั้น? ด้วยขอบเขตน้อยนิดแค่นี้ของข้าจะมองเห็นอะไร แล้วจะทำอะไรได้?”
หลีเจินส่ายหน้าเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้นแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรสักอย่างด้วย”
การที่ให้ตายอย่างไรหลีเจินก็ไม่ยอมกลายเป็นกวนจ้าว สาเหตุหลักก็เป็นเพราะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เป็นดั่งกรงขังขนาดใหญ่ในฟ้าดินเล่มนั้น
ปีนั้นที่ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสาวหลายคนของกระโจมเจี่ยเซินล้อมสังหารเฉินผิงอันคนเดียว หลังจบเรื่องจู๋เชี่ยสังเกตเห็นถึงสภาพจิตใจที่ห่อเหี่ยวของหลีเจินจึงโน้มน้าวหลีเจินต่อหน้าว่า หากเขามีสภาพจิตใจอย่างในตอนนี้ ในอนาคตอีกร้อยปี บางทีอาจเป็นหนักยิ่งกว่าหลิวป๋ายก็ได้ จู๋เชี่ยยังถามหลีเจินที่ยืนกรานจะ ‘อยู่ห่างจากกวนจ้าว เป็นตัวของข้าที่แท้จริง’ อีกว่า ชีวิตนี้จะแค่ใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่ส่งกระบี่ที่แท้จริงออกไป โดยไม่ต้องสนว่าจะเป็นกวนจ้าวหรือหลีเจินได้หรือไม่ และตอนนั้นคำตอบของหลีเจินก็แปลกประหลาดอย่างยิ่ง เขาย้อนถามจู๋เชี่ยว่าเคยเดินผ่านทางแม่น้ำแห่งกาลเวลาหรือไม่ อีกทั้งสุดท้ายแล้วหลีเจินยังเอ่ยสองคำว่า ‘ท้องน้ำ’ และ ‘โชคชะตา’ ด้วย
หลังจากที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเฉินชิงตูได้พบกับ ‘อดีตสหาย’ ก็เคยทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังเช่นกัน บอกว่าหากเขาสามารถเดินย้อนทวนกระแสน้ำในแม่น้ำแห่งกาลเวลาไปได้หนึ่งหมื่นปี หวนกลับไปยังสนามรบอีกครั้ง ก็คงจะถามกระบี่แก่ ‘ผู้อาวุโส’ คนใดก็ได้
หลีเจินมองไปฝั่งตรงข้าม พึมพำว่า “อิจฉาเจ้าจริงๆ”
ส่วนอิ่นกวานหนุ่มที่ถูกหลีเจินอิจฉา เวลานี้พกดาบพิฆาตเดินออกหมัดช้าๆ อยู่บนหัวกำแพงเมือง
ก็เหมือนอย่างปีนั้นที่เดินออกหมัดเพียงลำพัง เวลานั้นบนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ยังมีกระท่อมเล็กใหญ่อยู่สองหลัง เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสยังอยู่ เฉาสือที่เคยเอาชนะตนได้สามครั้งติดก็ยังอยู่
เมื่อเทียบกับเฉินผิงอันที่ความคิดวุ่นวายแล่นเร็วจี๋ไม่หยุดนิ่งอยู่ตลอดเวลาแล้ว การไหลรินของแม่น้ำแห่งกาลเวลาช่างเชื่องช้าเหลือเกิน การออกหมัดเช่นนี้ก็ยิ่งช้า ทุกครั้งที่ออกหมัดราวกับว่าเดินจากยอดเขาไปยังตีนเขาหนึ่งรอบ ขุดดินขึ้นมาได้หนึ่งกำมือ สุดท้ายก็ย้ายขุนเขา
บนกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ทุกครั้งที่ผู้ฝึกตนใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างสังหารเผ่ามนุษย์ได้คนหนึ่งก็จะสลักตัวอักษรใหญ่ลงไปบนหัวกำแพงเมือง อีกทั้งดูเหมือนกระโจมเจี่ยจื่อจะเปลี่ยนใจ ไม่จำเป็นต้องสังหารขอบเขตบินทะยาน ต่อให้เป็นแค่ขอบเขตเซียนเหรินหรือเจ้าสำนักใดสำนักหนึ่งก็สามารถแกะสลักตัวอักษรได้แล้ว ทั้งแกะสลักนามแฝงของปีศาจใหญ่ และแกะสลักชื่อคนที่พวกมันสังหารได้
เนื่องจากการแกะสลักตัวอักษรของปีศาจใหญ่มีความเคลื่อนไหวรุนแรงเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังไปชักนำการไหลรินของโชคชะตาในฟ้าดิน ต่อให้มีค่ายกลใหญ่แห่งขุนเขาสายน้ำกางกั้น เฉินผิงอันที่ได้ครอบครองกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของทางฝั่งนั้นได้อย่างเลือนรางอยู่ดี บางครั้งที่ออกหมัดหรือออกดาบฟันค่ายกลใหญ่จึงไม่ใช่การกระทำจากความเบื่อหน่ายของเฉินผิงอัน
อาจารย์ลุงของเซียนกระบี่ขู่เซี่ย โจวเสินจือหนึ่งในสิบคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
ขอบเขตบินทะยานท่านหนึ่งของฝูเหยาทวีป นอกจากนี้ใบถงทวีปยังมีเทียนจวินผู้เฒ่าแห่งภูเขาไท่ผิง เจ้าสำนักภูเขาไท่ผิง จีไห่เจ้าสำนักฝูจี อริยะของสำนักศึกษาสามท่าน หนึ่งในนั้นคืออาจารย์ของวิญญูชนจงขุย เจ้าขุนเขาแห่งสำนักศึกษาต้าฝู…
ล้วนรบตายกันไปหมดแล้ว
โชคดีที่ยังไม่มีเฉินฉุนอันแห่งทักษินาตยทวีป ศิษย์พี่จั่วโย่ว
สวินยวนเจ้าสำนักกุยหยกแห่งใบถงทวีป และเจียงซ่างเจินเองก็ยังสบายดี
อาศัยสิ่งเหล่านี้ เฉินผิงอันก็พอจะวิเคราะห์ความเร็วในการโจมตีใต้หล้าไพศาลของเผ่าปีศาจได้คร่าวๆ แล้ว
เดิมทีมันไม่มีความหมายอะไร มีแต่จะเพิ่มความหงุดหงิดใจให้เท่านั้น
แต่พอมีบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้น เมื่อเฉินผิงอันหลอมตัวอักษรทั้งหมดในนั้นจนได้รับจดหมายลับจากราชครูต้าหลี มันก็เปลี่ยนมาเป็นสำคัญอย่างถึงที่สุดแล้ว
จากนั้นส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันก็เกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้นมาว่า ชุยฉานผู้นี้ ขอแค่สมองไม่มีปัญหาก็ไม่มีทางคิดวิธีส่งจดหมายแบบนี้ได้แน่นอน
ความร้ายกาจที่แท้จริงของชุยฉานถึงขั้นไม่ได้อยู่ที่เดิมพันว่าเขาเฉินผิงอันจะสามารถประกอบถ้อยคำขึ้นมาเป็นจดหมายลับฉบับนี้ได้ แต่อยู่ที่เขามั่นใจว่าหลังจากตนอ่านจดหมายฉบับนี้เข้าใจ จิ้งจอกเฒ่าฝีมือเทียมฟ้าโจวมี่ที่ตั้งสมญานามให้ตัวเองว่าหนอนหนังสือเฒ่าผู้นั้นก็จะรู้เรื่องจดหมายลับนี้เช่นกัน! สิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่งนั้นอยู่ที่ว่า ในสายตาของชุยฉาน ดูเหมือนว่าโจวมี่จะรู้หรือไม่รู้เรื่องนี้ก็ล้วนไม่มีทางเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ใหญ่ที่ถูกกำหนดมาแล้วในใจของชุยฉานได้ หากโจวมี่ไม่อาจสัมผัสได้ถึงเรื่องนี้ แน่นอนว่าย่อมดีที่สุด ทว่าต่อให้โจวมี่จะมีความรู้ดั่งเทพเทวดาจนรู้เรื่องนี้จริง ก็ยังไม่ส่งผลต่อสถานการณ์ใหญ่อยู่ดี
แต่ในนี้ยังแฝงความหมายน้อยใหญ่ไว้อีกสองสามอย่าง ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเสียใจภายหลังที่สมองของตนมีปัญหาเหมือนกับชุยฉาน ถึงได้จับผลัดจับผลูไขจดหมายลับฉบับนี้ได้
รู้แล้วยังสู้ไม่รู้เสียดีกว่า
สถานที่ตั้งเก่าของสำนักศึกษาต้าฝูใบถงทวีป ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ตนหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายลูกศิษย์ชุดเขียวของลัทธิขงจื๊อเกิดฉุกขึ้นบางอย่างขึ้นมาได้ จึงสั่งให้คนไปเอาบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มหนึ่งมาทันที แล้วทำการหลอมตัวอักษรทั้งหมดในบันทึกเล่มนั้น ใช้ความคิดเล็กน้อยก่อนทยอยกันหลอมกลางให้กับตัวอักษรห้าคำได้แก่ชุย ฉาน ฉาน สิบ หนึ่ง (เอ็ด) แล้วก็ลองนำแต่ละคำมาประกอบรวมกัน สุดท้ายในทะเลสาบหัวใจ โจวมี่ก็ได้รับจดหมายลับที่มีเพียงแปดอักษรว่า ‘ถึงเวลาที่เหมาะสม ภูเขาสายน้ำพลิกกลับ’ เช่นกัน
โจวหมี่หลุดหัวเราะพรืด ใช้เสียงในใจเอ่ยเรียกชุยฉาน จากนั้นก็ผายมือข้างหนึ่ง “ขอเชิญราชครูชุยมาพูดคุยกันหน่อย”
เดิมทีอีกฝ่ายก็ใช้แผนการอย่างเปิดเผย เดิมพันว่าสุดท้ายแล้วแจกันสมบัติทวีปจะสามารถกำหนดทิศทางการเดินไปของสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้าได้หรือไม่
แจกันสมบัติทวีปรักษาไว้ได้ คำว่าขุนเขาสายน้ำพลิกกลับจึงจะมีความหมาย เพราะถึงอย่างไรกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เหลืออีกเพียงครึ่งเดียวซึ่งอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างนั้นก็ยังคงถือว่าอยู่ในอาณาเขตของใต้หล้าไพศาล หากรักษาไว้ไม่อยู่ อย่างมากสุดชุยฉานก็แค่ต้องใช้ชีวิตแลกชีวิต แต่ก็ได้แค่ช่วยชีวิตคนหนุ่มคนหนึ่ง อีกทั้งยังต้องดูว่าอีกฝ่ายยินดีออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ มาแลกเปลี่ยนตำแหน่งกับเขาชุยฉานหรือไม่อีกด้วย จุดที่น่าสนใจที่สุดคือโจวหมี่มั่นใจว่า หากเฉินผิงอันขอความช่วยเหลือจากชุยฉานที่ทำให้แจกันสมบัติทวีปสูญเสียดินแดนจริงๆ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะต้องผิดหวังอย่างมาก จะถูกชุยฉานแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ได้ยิน นั่นก็จะกลายเป็นสถานการณ์ถามใจที่น่าสนใจอย่างถึงที่สุดครั้งหนึ่งแล้ว
ชุยฉานรวมร่างอยู่เบื้องหน้าโจวมี่อย่างเชื่องช้า
โจวมี่ถาม “คำว่า ‘ถึงเวลาที่เหมาะสม’ ก็คือแจกันสมบัติทวีปขัดขวางกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจไม่ให้บุกขึ้นเหนือได้สำเร็จ สุดท้ายทั้งสองฝ่ายได้แต่คุมเชิงกันอย่างนั้นหรือ?”
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่เพียงแค่ปรากฏกายด้วยร่างกายธรรมที่สำนักศึกษาต้าฝูของใบถงทวีปพยักหน้ารับพร้อมยิ้มบางๆ
เขาก็คือราชครูต้าหลี ชุยฉาน
หากไม่เป็นเพราะโจวมี่อยู่ที่ซากปรักของสำนักศึกษา ชุยฉานย่อมไม่ปรากฏตัว
โจวมี่ถามอีกว่า “ราชครูมั่นใจขนาดนี้เชียวหรือว่าเฉินผิงอันจะได้รับจดหมายลับก่อนแล้ว แล้วมั่นใจมากด้วยว่าต้องรักษาแจกันสมบัติทวีปไว้ได้ ยังมั่นใจมากว่าเฉินผิงอันจะต้องทนไปได้จนถึงวันนั้น? โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังต้องมั่นใจด้วยว่าเฉินผิงอันสามารถผ่านวิกฤตที่อันตรายถึงชีวิตไปได้ ไม่ถึงขั้นสับเปลี่ยนตำแหน่งกับเจ้าเร็วเกินไป ยิ่งไม่มีทางทำให้ทุกสิ่งที่เจ้าทำมาก่อนหน้านี้เสียเปล่า?”
ชุยฉานกล่าว “ลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่ง สมองและความรับผิดชอบแค่นี้ยังพอมีอยู่บ้าง”
โจวมี่ยิ้มถาม “ราชครูชุย สุดท้ายข้ามีแค่คำถามเดียว เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งนั้นจะสามารถประคองตัวได้ถึงช่วงที่เวลาเหมาะสมอย่างที่เจ้าพูด? ไม่กังวลว่าข้าจะปลีกตัวไปเล่นงานเขาด้วยตัวเองงั้นหรือ?”
ชุยฉานเอ่ยอย่างเฉยเมย “ระหว่างเจ้าและข้า ไม่ได้ช่วงชิงกันแค่สถานการณ์ใหญ่ของสองใต้หล้าเท่านั้น หากแม้แต่ความกล้าหาญน้อยนิดแค่นี้เจ้าก็ยังไม่มี ก็ไม่มีคุณสมบัติจะมาพูดถึงการจัดระเบียบระบบลัทธิขงจื๊อ รวบรวมสายบุ๋น ตั้งตนเป็นบรรพบุรุษอะไรทั้งนั้น”
โจวมี่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนส่ายหน้าถอนหายใจ “ชุยฉาน ที่แท้เจ้าก็คิดจะใช้ชีวิตของเฉินผิงอัน บวกกับกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งมาเป็นเหยื่อล่อ แลกมาด้วยการที่หลี่เซิ่ง…ไม่ถูกสิ เป็นหย่าเซิ่งที่จะมาแลกชีวิตกับข้า?”
ชุยฉานยิ้มบางๆ “ก็มีความเป็นไปได้ที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์จะลงมือเองด้วยนี่นา”
โจวมี่ยิ้มกล่าว “เชิญตามสบาย”
ชุยฉานเอ่ย “รีบบอกให้บรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ผู้นั้นฉีกม่านฟ้าให้เป็นรู ข้าอยากจะรู้นักว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลที่ถูกหลี่เซิ่งขัดขวางไว้จะสามารถสร้างคลื่นลมมรสุมอะไรที่แจกันสมบัติทวีปของข้าได้”
โจวมี่พยักหน้า “ได้ตามที่เจ้าปรารถนา”
จากนั้นคนทั้งสองก็มองไปยังทิศทางของฝูเหยาทวีปแทบจะเวลาเดียวกัน โจวมี่ยิ้มกล่าว “ไปหาเรื่องเขาทำไม”
เฒ่าตาบอดที่อยู่ในเทือกเขาแสนลี้ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนมาตั้งแต่แรกแล้วว่าจะนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ เท่านั้น
ตงไห่ของอารามเต๋ากวานเต๋า เจ้าเฒ่าจมูกโคผู้นั้นก็ยิ่งเลือกจะวางตัวอยู่นอกเหนือเรื่องราว ถึงขั้นที่ว่าก่อนจะพาอารามเต๋าบินทะยานจากไปยังถือว่าได้ช่วยอะไรเล็กๆ น้อยๆ ด้วย
ภิกษุเฒ่ายังไม่ตัดสินใจว่าจะไปอยู่ที่ไหน มีความเป็นไปได้มากว่าจะไปถึงแจกันสมบัติทวีปแล้ว แต่นี่ก็ยังคงอยู่ในการคาดการณ์ของภูเขาทัวเยว่อยู่ดี
มีเพียงบัณฑิตของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดของโลกมนุษย์เท่านั้นที่หากอิงตามการอนุมานเดิม จะต้องไปที่ใต้หล้าแห่งที่ห้า แล้วอยู่ต่อที่นั่น อีกทั้งยังจะคืนกระบี่เล่มนั้นให้กับอารามเสวียนตูของใต้หล้ามืดสลัวด้วย
ไม่ควรถือกระบี่กลับมาที่ใต้หล้าไพศาล
คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะยังออกกระบี่ด้วย
ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ บัณฑิตป๋ายเหย่ ถือกระบี่เซียน ปรากฏตัวอยู่ที่หรดีฝูเหยาทวีปซึ่งถือว่าเป็นอาณาเขตของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว ออกกระบี่ไปทั้งหมดสามครั้ง กระบี่หนึ่งโจมตีให้คู่ต่อสู้ถอยออกไปจากฝูเหยาทวีป กระบี่หนึ่งข้ามมหาสมุทร กระบี่หนึ่งหล่นลงบริเวณที่ตั้งเดิมของภูเขาห้อยหัว สังหารปีศาจใหญ่บนบัลลังก์