กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 708.2 ใช้หนึ่งนครช่วงชิงใต้หล้า
เฉวียนฝู่ (จวนน้ำพุ) ฟังแค่ชื่อก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือของอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้น ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางเป็นชื่อที่สุภาพไพเราะขนาดนี้
ฉีโซ่วเคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเฉินผิงอันบนหัวกำแพงเมือง
แบ่งแยกเรื่องส่วนตัวและเรื่องส่วนรวมอย่างชัดเจน อยู่บนสนามรบทั้งสองฝ่ายไม่ใช่สหายก็ยิ่งกว่าสหาย เฉินผิงอันยังเป็นฝ่ายทำการค้าใหญ่ครั้งหนึ่งกับฉีโซ่วก่อนด้วย
แต่นอกสนามรบ ต่างคนต่างอาศัยความสามารถของตัวเองมาทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิดสะอิดสะเอียด แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องให้ตายกันไปข้าง
ส่วนลึกในใจของฉีโซ่วจำต้องยอมรับในข้อที่ว่า หากเจ้าหมอนั่นตามมาที่ใต้หล้าแห่งนี้ด้วย ตนต้องรู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าในทุกเรื่องแน่นอน แต่ก็ไม่อาจจะทำให้ตนมีปณิธานในการต่อสู้เพิ่มมาอีกส่วนหนึ่ง
อีกทั้งนอกจากรากฐานที่แน่นหนาอุดมสมบูรณ์ของตระกูลฉีแล้ว ถึงอย่างไรฉีถิงจี้บรรพบุรุษของตระกูลตนก็เป็นเซียนกระบี่เพียงหนึ่งเดียวที่ยังคงยืนอยู่บนยอดเขาสูงสุดของวิถีกระบี่ ต่อให้ตอนนี้ฉีถิงจี้จะอยู่ที่ใต้หล้าไพศาล พกกระบี่สังหารปีศาจต่อไป แต่อันที่จริงสำหรับนครบินทะยานในตอนนี้แล้วกลับยังเป็นพลานุภาพสยบที่ยิ่งใหญ่มากอย่างหนึ่ง
ตำแหน่งของเติ้งเหลียงอยู่ติดกับประตูใหญ่ ดังนั้นจึงเป็นเพื่อนบ้านกับพวกเด็กๆ ที่ประสบการณ์ตื้นเขินที่สุด แต่กลับมีคุณสมบัติดีเยี่ยม
นี่ไม่ค่อยสอดคล้องกับกฎเกณฑ์สักเท่าไร ในฐานะผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อเป็นคนแรกของนครบินทะยาน ไม่ว่าอย่างไรเก้าอี้ก็ควรจะได้อยู่ใกล้กับเกาเหย่โหว เหนี่ยนซิน
แต่เป็นเติ้งเหลียงเองที่ยืนกรานจะทำเช่นนี้
และนี่ก็เป็นเหตุให้เดิมทีเติ้งเหลียงที่อยู่ในนครบินทะยานก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่แย่กับผู้คนอยู่แล้ว กลายเป็นว่ายิ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น
เขามีชาติกำเนิดมาจากภูเขาจิ่วตูสำนักใหญ่ของธวัลทวีป ในฐานะลูกศิษย์ผู้สืบทอด อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด เป็นเจ้าขุนเขาของยอดเขาซู่หรานแห่งภูเขาจิ่วตูที่พอย้อนกลับไปถึงบ้านเกิด ก็ได้ใช้สถานะของนักแต่งตำราแอบบันทึกชื่อเขาลงในตำราเขียวอย่างลับๆ นี่ยากยิ่งกว่าการกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์เสียอีก เพราะหากได้เลื่อนขั้นอยู่ในตำราเขียวตระกูลเซียนของภูเขาจิ่วตู ผู้ฝึกตนก็จะสามารถแบ่งเอาโชคชะตาขุนเขาสายน้ำส่วนหนึ่งไปจากสำนักได้
เติ้งเหลียงเคยเป็นคนของสายอิ่นกวานในอดีต ขณะเดียวกันก็สนิทสนมกับฉีโซ่วที่เป็นผู้นำสายสิงกวานด้วย
ดังนั้นเติ้งเหลียงจึงเลือกที่จะไม่เข้าพวกกับทั้งสองฝ่าย จงใจเว้นระยะห่างกับสายอิ่นกวาน นี่ถือเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดรู้จักกะน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยม
เติ้งเหลียงมาที่นี่ก็เพื่อสามเรื่อง ฝึกกระบี่ฝ่าทะลุขอบเขตของตัวเอง หวังจะได้เป็นเซียนกระบี่ใหญ่
มาพบต่งปู้เต๋อสตรีที่รัก ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก
นอกจากนี้ก็คือมาเป็นสะพานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างนครบินทะยานกับภูเขาจิ่วตู เติ้งเหลียงเองก็หวังว่าตัวเองจะสามารถทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ให้กับนครบินทะยานได้บ้าง รวมไปถึงพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เป็นดั่งน้ำกับไฟระหว่างผู้ฝึกกระบี่ของสายสิงกวานและสายอิ่นกวาน
ดังนั้นตำแหน่งที่นั่งของเติ้งเหลียงต้องไม่เอนเอียงไปหาฝ่ายใด คำพูดมากมายที่เขาจะใช้สถานะของผู้ถวายงานพูดออกมาจึงจะสามารถทำให้ผู้ฝึกกระบี่ของนครบินทะยานรับฟังอย่างแท้จริงได้
เขาเดินทางมาหาประสบการณ์ที่นครบินทะยานในครั้งนี้ได้นำทรัพยากรตระกูลเซียนที่มีเฉพาะในสำนักมาด้วยจำนวนหนึ่ง น้ำใจหนักของขวัญก็ไม่เบา แบ่งออกเป็นเหล้าสุ้ยต้านที่จักรพรรดิด้านล่างภูเขาชื่นชอบกันมากเป็นพิเศษ รวมไปถึงข้าวจ้งซือและยันต์เชวี่ยกุ่ย เติ้งเหลียงมาเยือนใต้หล้าแห่งที่ห้าครั้งนี้ได้พกวัตถุจื่อชื่อหนึ่งชิ้นและวัตถุฟางชุ่นหนึ่งชิ้นที่ทางสำนักมอบให้โดยเฉพาะมาด้วย ด้านในมีเหล้าหมักตระกูลเซียนที่ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นอยู่หกสิบไห ข้าวตระกูลเซียนที่มีชื่อว่าข้าวจ้งซือ เมล็ดข้าวเหมือนเมล็ดทับทิม สีแดงสดแวววาว รสชาติเหมือนกระจับ มีทั้งหมดแปดร้อยจิน เหมาะสำหรับผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างนำมากินเป็นยามากที่สุด ฤทธิ์อ่อนโยน เป็นอาหารบำรุงอันดับหนึ่งของผู้ฝึกตนบนภูเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งยันต์เชวี่ยกุ่ยสามร้อยแผ่นที่ยิ่งล้ำค่าหาได้ยาก ในธวัลทวีปยังได้รับการขนานนามว่าเป็นเส้นเอ็นเขียวตำราทอง วัสดุของยันต์ทำมาจากใบไม้ตระกูลเซียนชนิดหนึ่งที่มีเฉพาะบนภูเขาจิ่วตู หลังนำมาทำเป็นยันต์แล้ว ภายใต้แสงแดดแสงจันทร์สาดส่อง เส้นเอ็นเขียวจะมีประกายแสงสีทองไหลริน ยามที่แปะยันต์ลงไปหนึ่งแผ่นก็เหมือนมีเทพทวารบาลศักดิ์สิทธิ์มาเฝ้าบ้านเรือนให้
ทั้งหมดนี้ถูกเติ้งเหลียงนำไปมอบให้กับเฉวียนฝู่ทั้งหมด
หนิงเหยาปรากฏตัวอยู่นอกประตูใหญ่
เสียงพูดคุยเบาๆ ของคนมากมายในศาลบรรพจารย์พลันเงียบหายทันที
หลายปีที่ผ่านมานี้หนิงเหยาทั้งฝ่าทะลุขอบเขต ทั้งออกเดินทางไกลไปพร้อมๆ กันโดยไม่ถ่วงรั้งเรื่องใด
ระดับความเข้าใจที่นางมีต่อฟ้าดินแห่งนี้จึงไม่ใช่สิ่งที่ใครจะทัดเทียมได้
หนิงเหยาไม่ได้นั่งลง แต่เดินไปจุดธูปให้กับภาพเหมือนของบรรพจารย์นครบินทะยาน
สิงกวานฉีโซ่ว เกาเหย่โหวแห่งเฉวียนฝู่ต่างก็ลุกขึ้นตามไปติดๆ
ธูปเก้าดอกของคนทั้งสามรับมาจากผู้ที่มีอายุมากที่สุดในศาลบรรพจารย์
นี่เป็นกฎข้อหนึ่งที่ตั้งขึ้นมาใหม่เมื่อครั้งประชุมศาลบรรพจารย์ครั้งแรกของนครบินทะยาน หนิงเหยาเป็นคนเสนอ ไม่มีใครเห็นต่าง
วันนี้คนที่รับผิดชอบส่งธูปคือหนึ่งในผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก่อกำเนิดของสายสิงกวาน นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้เฒ่าได้ส่งธูปให้กับคนทั้งสาม เขาถึงขั้นน้ำตาเอ่อคลอ
ก่อนหน้านี้ทุกปีที่นี่จะต้องมีการประชุมเกิดขึ้นอยู่หลายครั้ง เพียงแต่อิ่นกวานหนิงเหยามักจะอยู่ด้านนอก นางไม่เผยกายมาจุดธูปก็ไม่ถือว่าเป็นการประชุมของนครบินทะยานที่แท้จริง
บวกกับการประชุมก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่เก้าอี้ของคนในศาลบรรพจารย์มักจะว่างโล่งถึงครึ่งหนึ่ง ทุกครั้งที่ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคอยส่งธูปให้กับฉีโซ่ว เกาเหย่โหวจึงไม่เคยมีความรู้สึกอย่างในวันนี้
นอกจากคนทั้งสามที่เชิญธูปแล้ว สมาชิกคนอื่นในศาลบรรพจารย์ล้วนพากันลุกขึ้นยืน
หนิงเหยานั่งลงแล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
ฉีโซ่วจึงกล่าวว่า “เริ่มประชุมได้”
ครั้งนี้การประชุมของศาลบรรพจารย์เรียกระดมคนมาเป็นจำนวนมาก สายของสิงกวานที่ต่อให้จะเป็นผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก่อกำเนิดสองท่าน และโอสถทองสามคนอย่างพวกเซ่อโจว อันที่จริงล้วนค่อนข้างเป็นกังวลว่านับแต่วันนี้ไปศาลบรรพจารย์ของนครบินทะยานจะกลายเป็นโถงคำเดียว (หมายถึงในห้องโถงมีแค่คนเดียวที่มีสิทธิ์มีเสียงพูดหรือตัดสินใจ เปรียบเปรยถึงผู้นำที่เผด็จการเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่)
การที่พวกเขากังวลเช่นนี้ก็ไม่ได้มาจากความเห็นแก่ตัวไปเสียทั้งหมด
ครั้งแรกที่หนิงเหยากลับเข้ามาในนครบินทะยาน นางเคยฟันฉีโซ่วไปหนึ่งกระบี่ นี่เป็นเรื่องที่คนรู้กันทั้งเมือง
ถ้าอย่างนั้นวันหน้าทุกครั้งที่สายอิ่นกวาน ‘ได้รับความอยุติธรรม’ ไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือไม่ หนิงเหยาก็จะออกกระบี่เพื่อจบเรื่องอย่างฉับไวด้วยหรือไม่?
ไม่มีใครสงสัยในสถานะผู้นำแห่งนครของหนิงเหยา ถึงขั้นที่ไม่มีใครรู้สึกว่าหนิงเหยาเบียดบังส่วนรวมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน เหตุผลนั้นเรียบง่ายอย่างถึงที่สุด ไม่มีความจำเป็น หนิงเหยาไม่เห็นอำนาจพวกนี้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย สำหรับหนิงเหยาที่สายตามองเห็นทัศนียภาพอันงดงามยิ่งใหญ่ของขอบเขตบินทะยานแล้วนั้น แม้แต่สิงกวานฉีโซ่วและเกาเหย่โหวเจ้าจวนเฉวียนฝู่เองก็ล้วนรู้อย่างชัดเจนดีว่า คิดจะกลายเป็นสำนักใหญ่อันดับหนึ่งในใต้หล้าแห่งที่ห้าได้ นครบินทะยานจะขาดใครไปก็ได้ มีเพียงขาดหนิงเหยาไม่ได้
ทว่าหากนครบินทะยานคิดจะหยัดยืนอยู่ในใต้หล้าแห่งที่ห้าได้อย่างมั่นคง ถึงอย่างไรก็ไม่อาจอาศัยขอบเขตและเวทกระบี่ของหนิงเหยาเพียงคนเดียวมาคอยแก้ไขปัญหาทั้งหมดของนครบินทะยานได้
ดังนั้นจึงมีผู้ฝึกกระบี่เฒ่ากลุ่มหนึ่งที่ก่อนจะมาที่นี่ได้นัดเจอกันเป็นการส่วนตัว ความหมายคร่าวๆ ของพวกเขาก็คือหวังว่าหนิงเหยาจะออกไปจากสายอิ่นกวานอย่างไร้ความอาวรณ์ กลายไปเป็นบุคคลที่ฐานะเหนือใคร หรือไม่ก็ให้ตรงไปตรงมายิ่งกว่านั้นอีกสักหน่อย นั่นคือกลายเป็นเฉินชิงตูคนที่สองไปเลย
ทุกเรื่องล้วนฟังคำเดียวของนาง แต่หากเป็นกิจธุระ เรื่องยิบย่อยทั่วไปในเวลาปกติของนครบินทะยาน ทางที่ดีที่สุดหนิงเหยาก็ไม่ควรสอดมือเข้าแทรก สามารถตั้งใจฝึกกระบี่เพียงอย่างเดียว เลื่อนขั้นเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนแรกของใต้หล้าแห่งนี้ไปโดยตรง!
ผู้ถวายงานเติ้งเหลียงมองเห็นความคิดคร่าวๆ ของคนทั้งสามสายในนครบินทะยานทุกวันนี้ได้อย่างชัดเจนเพียงมองปราดเดียว
ถึงอย่างไรก็เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่มีชาติกำเนิดมาจากสำนักใหญ่ของใต้หล้าไพศาล อีกทั้งในอดีตยังเป็นผู้ฝึกตนอิสระมานานหลายปี
เติ้งเหลียงไม่คิดว่าความคิดที่ซับซ้อนหลากหลายพวกนี้จะต้องเป็นเรื่องเลวร้ายเสมอไป ถึงขั้นรู้สึกว่านครบินทะยานในทุกวันนี้ หากไม่พูดถึงพลังการต่อสู้ กลับกลายเป็นว่าเมื่อเทียบกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีตแล้วยังมีชีวิตชีวามากกว่าเสียอีก
ถนนไท่เซี่ยง ถนนอวี้ฮู่ล้วนยังอยู่ในนคร เพียงแต่ว่าทุกวันนี้ไม่มีตระกูลชั้นสูง ไม่มีเจ้าประมุขเซียนกระบี่อย่างสมชื่ออะไรอีกแล้ว
คนเฒ่าคนแก่เหลืออยู่แค่ไม่กี่คนแล้วจริงๆ
เพราะถึงอย่างไรเซียนกระบี่ก็ล้วนรบตายอยู่ในบ้านเกิดที่ห่างไกลกันแทบทุกคน
ดูเหมือนว่าสงครามครานั้น เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสจะตั้งใจบีบให้เซียนกระบี่และผู้เฒ่าทุกคนหลีกทางให้กับคนหนุ่มสาว
ทุกวันนี้ที่นี่คือต่างบ้านต่างเมือง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีสักวันหนึ่งที่มันจะกลายเป็นบ้านเกิดของเด็กๆ ของคนหนุ่มสาวที่จะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในนครบินทะยาน
ฉีโซ่วเป็นคนเปิดปากพูดก่อน เรื่องแรกที่เขาเอ่ยก็คือข่าวคราวของกองกำลังตระกูลเซียนทั้งหมดที่รวบรวมและคัดเลือกเอามา หลักๆ คือตระกูลเซียนอักษรจงทั้งหลาย ยกตัวอย่างเช่นป๋ายอวี้จิง อารามเสวียนตู ตำหนักสุ้ยฉูที่อยู่ทางทิศตะวันออกสุดของใต้หล้าแห่งนี้
นอกจากนั้นก็เป็นการรวบรวมรายงานข่าวที่เกี่ยวข้องกับผู้ฝึกตนมีพรสวรรค์ทุกคนที่เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบอยู่ที่นี่ ยกตัวอย่างเช่นนักพรตหญิงหวงถิงแห่งใบถงทวีปได้เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบแล้ว นางสร้างศิลาหินอันหนึ่งขึ้นมาไว้บนภูเขาลูกหนึ่ง ใช้กระบี่สลักตัวอักษรสามคำว่า ‘ภูเขาไท่ผิง’ นอกจากนี้ก็ยังมีบุรุษคนหนึ่งที่ใช้นามแฝงว่าหยางเหิงสิง เป็นทั้งผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล แล้วยังเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดด้วย มิอาจดูแคลนได้
นอกจากที่หนิงเหยาจะขี่กระบี่เดินทางไปทั่วสารทิศเพียงลำพังแล้ว ยังมีผู้ฝึกกระบี่สายสิงกวานอีกสี่กลุ่มที่แยกย้ายกันไปตามทิศทางต่างๆ เพื่อคอยสืบข่าว และยังรวบรวมรายงานขุนเขาสายน้ำจำนวนมากที่มาจากใบถงทวีปและฝูเหยาทวีปอีกด้วย
ฉีโซ่วเอ่ยว่า “พวกเราทำตามกฎเดิมของคฤหาสน์หลบร้อน รวบรวมมาเป็นเล่มหลักและรองสองเล่ม หนึ่งบันทึกกองกำลังสำนักทั้งหมด อีกหนึ่งบันทึกรายชื่อผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนและเซียนดิน ดีหรือไม่?”
หนิงเหยาพยักหน้ารับ
เกาเหย่โหวเอ่ย “ไม่มีความเห็นต่าง”
หลังจากผ่านการบุกเบิกขยับขยายอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสาเหตุที่นครบินทะยานตั้งอยู่ใจกลาง จึงเริ่มมีการสัมผัสกับภายนอกมากขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ฝึกกระบี่ออกเดินทางไกลกันไม่ขาดสาย คนอื่นๆ ก็พากันเดินทางมาที่นี่เช่นกัน
นอกจากนครบินทะยานที่ขยายใหญ่อย่างมีระบบระเบียบมาโดยตลอด ซึ่งทุกคนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแล้ว
เรื่องราวของคนจากฝ่ายอื่นหลายฝ่ายก็เริ่มค่อยๆ โผล่ขึ้นพ้นผิวน้ำแล้วเช่นกัน
ในบรรดาคนรุ่นเยาว์ทั้งสิบ ซานชิงนักพรตแห่งป๋ายอวี้จิงคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของมรรคาจารย์เต๋า ภิกษุเด็กหนุ่มที่ในมือถือคักขราสิบสองห่วงออกเดินทางไกลเพียงลำพัง
ในบรรดาสำรองสิบคนก็มีสู่จ้งสู่แห่งถ้ำสวรรค์เทียนอวี๋ของหลิวเสียทวีปที่ได้สร้างหอเฉาหรานขึ้นมาแห่งหนึ่งแล้ว
นอกจากนี้ในใต้หล้าแห่งนี้ก็มีผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบหลายคนแล้ว ยกตัวอย่างเช่นนักพรตหญิงคนหนึ่งของสายเซียนกระบี่อารามเสวียนตูใหญ่แห่งใต้หล้ามืดสลัว
ส่วนสายของอิ่นกวานกลับทำทุกอย่างไปตามกฎเดิม ถึงอย่างไรแค่ทำไปตามขั้นตอนก็พอแล้ว ในความเป็นจริงแล้วคฤหาสน์หลบร้อนยังวางแผนมาไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว เป็นแผนการที่มีรายละเอียดชัดเจน
ก่อนหน้านี้สายอิ่นกวานที่ออกไปจากนครได้แบ่งกันกระจายตัวไปสี่ทิศเพื่อสำรวจขุนเขาสายน้ำ ส่วนสายสิงกวานก็ไปเลือกสถานที่งดงามที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นแปดแห่งตามหลัง แล้วทำการบุกเบิกที่ดิน วาดอาณาเขตพันลี้ให้กับนครบินทะยาน เป็นสถานที่หยัดยืนและรากฐานสำหรับกิจการพันปีของนครบินทะยาน
คฤหาสน์หลบร้อนเก่าเคยทิ้งตำราที่เนื้อหาเต็มไปด้วยรายละเอียดเล่มหนึ่งเอาไว้ อิ่นกวานหนุ่มเป็นคนเขียนเองกับมือ ผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นทุกคนที่มีหลินจวินปี้ ซ่งเกาหยวนเป็นหนึ่งในนั้นร่วมกันเรียบเรียงขึ้นมาเป็นตำราเล่มนี้
แบ่งออกเป็นบทโครงสร้าง หนึ่งในนั้นก็มีสำนักพีหมา สวนน้ำค้างวสันต์ของอุตรกุรุทวีป ภูเขาไท่ผิงของใบถงทวีป ตำหนักเขากวางของซ่งเกาหยวน ราชสำนัก สนามรบราชวงศ์เส้าหยวนของหลินจวินปี้ เป็นต้น วิธีการดำเนินงานของสถานที่เหล่านี้ล้วนมีตัวอย่างเหตุการณ์เขียนบอกเอาไว้
บทขยายความ ควรจะสร้างจวนตระกูลเซียน จัดวางค่ายกล สอดแทรกสายลับไว้ข้างนอกอย่างไร รวมไปถึงสำนัก ภาษากลาง ขนบธรรมเนียมของแต่ละทวีปก็ได้แบ่งแยกย่อยออกมาอีกยี่สิบข้อใหญ่
บทใจคน หนึ่งในนั้นคือบอกว่าควรจะสร้างโรงเรียนอย่างไร รวมไปถึงมีเรื่องอะไรต้องระวังบ้าง
บทภูเขาสายน้ำ อธิบายเรื่องห้าขุนเขาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำในแต่ละพื้นที่ของใต้หล้าไพศาลไว้โดยเฉพาะ
ตำราที่มีตัวอักษรยาวเหยียดถึงหนึ่งแสนกว่าตัวเล่มนี้ นอกจากบทใจคนที่ถูกสายอิ่นกวานตัดออกแล้ว ที่เหลือสมาชิกทุกคนในศาลบรรพจารย์ล้วนมีเป็นคู่มือคนละเล่ม ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่ของนครบินทะยานในทุกวันนี้อาจจะไม่ถือว่าเข้าใจกฎเกณฑ์ยิบย่อยของใต้หล้าไพศาลได้อย่างแท้จริง แต่ย่อมไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับพวกเขาแน่นอน
“สิงกวาน ข้ามีเรื่องอยากจะพูด”
กู้เจี้ยนหลงพลันลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มกล่าว “ผู้ฝึกกระบี่สองกลุ่มในสายของสิงกวานรวมกันแล้วสิบสี่คน ระหว่างทางที่แยกย้ายกันไปสองทิศทางคือเหนือและใต้ ต่างก็มีความขัดแย้งที่ไม่เล็กกับผู้ฝึกตนของใบถงทวีปและฝูเหยาทวีป ได้ยินว่ายังมีการฆ่าคนด้วย พอกลับมาถึงนครบินทะยาน ยามอยู่บนโต๊ะสุราต่างก็แสดงความเห็นว่าผู้ฝึกตนของสองทวีปนั้นมีแต่เศษสวะ ข้าได้ฟังแล้วก็ยังรู้สึกว่าดูเหมือนจะสามารถมองผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองสองทวีปนั้นของใต้หล้าไพศาลเป็นขอบเขตชมมหาสมุทรได้เลย หากเป็นเช่นนี้จริง ข้ากู้เจี้ยนหลงที่เป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนหนึ่งก็ไม่ใช่ว่าสามารถเดินกร่างไปทางทิศเหนือและทิศใต้เพียงลำพังได้แล้วหรอกหรือ? ถึงอย่างไรทุกวันนี้ก่อกำเนิดก็มีไม่มาก หยกดิบก็ยิ่งมีน้อยกว่า”
สุดท้ายกู้เจี้ยนหลงเอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “แน่นอนว่าคนที่ผู้ฝึกกระบี่สองกลุ่มของสายสิงกวานสังหารไปล้วนเป็นคนที่สมควรตาย ข้อนี้ข้าต้องพูดอย่างชัดเจน แต่จะว่าไปแล้ว ทุกวันนี้คำว่าสมควรตาย คำว่าสมควรฆ่านี้ ยังเป็นเพียงแค่การตัดสินเอาจากถ้อยคำของผู้ฝึกกระบี่สายสิงกวานที่ออกเดินทางไกลเท่านั้น เรื่องจริงเป็นอย่างไร ความจริงเป็นแบบนี้จริงหรือไม่ จำเป็นต้องให้สายอิ่นกวานของพวกเราทำการยืนยันให้ชัดเจนไปอีกขั้น คนกันเองปิดประตูพูดคุยกันก็ไม่กลัวว่าจะพูดจาไม่น่าฟัง เมื่อแน่ใจว่ามีผู้ฝึกกระบี่ที่พอออกไปอยู่ข้างนอกก็ฆ่าคนบริสุทธิ์อย่างโอหังพร่ำเพื่อ หวังช่วยสร้างบารมียิ่งใหญ่ให้กับนครบินทะยานของพวกเราจริง น้ำใจนี้ก็รับไว้แล้ว แต่จำเป็นต้องตอบแทนกลับคืน ถึงเวลานั้นข้าคงต้องไปพูดคุยด้วยเหตุผลถึงที่บ้านพวกเขาแล้ว”
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองนามว่าสุ่ยอวี้แห่งเรือนป้อจีขมวดคิ้วน้อยๆ “กู้เจี้ยนหลง เจ้าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เกินไปหรือไม่?”
หวังซินสุ่ยโต้กลับหน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม “พี่สุ่ยอวี้ บนโลกมีเรื่องเล็กอยู่จริงๆ หรือ? มีเรื่องใหญ่เรื่องไหนบ้างที่ไม่ได้มาจากเรื่องเล็กกันเล่า”
สุ่ยอวี้ที่มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับทั้งกู้เจี้ยนหลงและหวังซินสุ่ยกำลังจะพูดต่อ แต่กลับถูกศิษย์พี่เซ่อโจวใช้เสียงในใจเอ่ยห้ามเอาไว้
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนหนึ่งของสายสิงกวานเอ่ยเย้ยหยัน “ปีนั้นตอนที่ทำสงครามครั้งใหญ่ ใครบางคนออกแรงไม่มาก ตอนนี้มีเวลาว่างแล้ว ยามที่เล่นงานคนกันเองขึ้นมากลับไม่คิดจะออมแรงแม้แต่น้อย หากเป็นเช่นนี้ ข้าว่าวันหน้าขอแค่เจอกับคนนอก ผู้ฝึกกระบี่ของนครบินทะยานพวกเราคงต้องเป็นฝ่ายหลีกทางให้ ก่อนจะเจอเรื่องอะไรก็เอ่ยขอโทษเอาไว้ก่อน ดีไหมล่ะ?”
คิดว่ามีแต่ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานของพวกเจ้าที่พูดจาเหน็บแนมเป็นฝ่ายเดียวหรือไง?
ใครพูดไม่เป็นบ้างเล่า!
ต่งปู้เต๋อกับหลัวเจินอี้เตรียมจะลุกขึ้นยืนแทบจะเวลาเดียวกัน
คิดไม่ถึงว่าหนิงเหยาจะมองผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนั้น
เพียงชั่วพริบตา ทั้งคนทั้งเก้าอี้ก็ปลิวกระเด็นไปอยู่นอกประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์
จากนั้นหนิงเหยาก็เอ่ยว่า “คุยธุระเสร็จแล้วก็เปลี่ยนคน เปลี่ยนเก้าอี้ตัวใหม่”
หลังจากที่ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนั้นร่วงลงพื้นแล้วก็ทั้งตะลึง ทั้งหวาดกลัว ยิ่งเคียดแค้น เขากำลังจะเปิดปากพูด แต่จู่ๆ ก็เหมือนถูกปราณกระบี่ปกคลุมเรือนกายไว้ ร่างจึงกลายเป็นคนเลือดที่สภาพน่าเวทนาแทบทนมองไม่ได้ หมดสติไปในทันที
หนิงเหยาเอ่ย “ประชุมกันต่อ”
ฉีโซ่วมีสีหน้าเยือกเย็น
เกาเหย่โหวก็ไม่สะทกสะท้าน
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก่อกำเนิดคนหนึ่งทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เติ้งเหลียงถอนหายใจเบาๆ เจ้าคนที่อยู่นอกประตูผู้นั้น คำพูดคำจาไม่ผ่านสมองมาบ้างเลยหรือไงนะ?