กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 708.4 ใช้หนึ่งนครช่วงชิงใต้หล้า
เติ้งเหลียงยอมรับอีกทั้งยังมองเห็นใจที่เห็นแก่ตัวของตัวเองมาโดยตลอด ผู้ที่เข้าใจผู้อื่นคือผู้มีสติปัญญา ผู้ที่เข้าใจตัวเองคือผู้ปราดเปรื่อง
จากนั้นก็พูดคุยกันถึงตัวประหลาดทั้งหลายที่หนิงเหยาสังหารไปค่อนข้างมาก ลักษณะของพวกมันคล้ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลที่ยังหลงเหลืออยู่ แต่กลับมีความต่างจากบันทึกในหนังสือโบราณอยู่มาก
เกาเหย่โหวถามว่าสามารถเอามาใช้งานได้หรือไม่ ให้พวกมันมาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำที่นั่งสยบโชคชะตา รวบรวมปราณวิญญาณ
หนิงเหยาเอ่ย “ยากที่จะกำราบได้ มีโอกาสแต่ก็น้อยเต็มที หลังจากนี้สายอิ่นกวานจะเรียบเรียงตำราขึ้นมาเล่มหนึ่ง แต่ตำราเล่มนี้จะไม่แพร่งพรายออกไปภายนอกง่ายๆ”
ทุกวันนี้ผู้ฝึกตนที่สามารถสังหารสิ่งมีชีวิตประเภทนี้ได้ ในใต้หล้าแห่งนี้มีน้อยเพียงหยิบมือเท่านั้น ดังนั้นตัวอักษรทุกคำบนตำรา แท้จริงแล้วล้วนถือเป็นเงินเทพเซียน
ฉีโซ่วเอ่ยเสียงหนัก “นอกจากผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานแล้ว คนในศาลบรรพจารย์อย่างมากสุดก็มีแค่สิบคนเท่านั้นที่สามารถเปิดอ่านได้ หากใครเอาออกไปเผยแพร่จะต้องถูกสายอิ่นกวานซักไซ้เอาโทษจนถึงที่สุด!”
หลังจากนี้สายสิงกวานก็มีเรื่องให้ทำแล้ว ฉีโซ่วคิดว่าจะโยกย้ายผู้ฝึกกระบี่เซียนดินสิบคนให้ไปคบค้าสมาคมกับสิ่งมีชีวิตประเภทนี้โดยเฉพาะ
เกาเหย่โหวขอร่วมเดินทางไปด้วย
เพราะภูเขาที่มีสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ยึดครอง ส่วนใหญ่มักจะมีวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินจำนวนมาก ถึงขั้นที่ว่าอาจมีโชควาสนาใหญ่อย่างถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลปรากฎขึ้นมาด้วย เพราะนักพรตหญิงของภูเขาไท่ผิงใบถงทวีปคนนั้นได้พิสูจน์เรื่องนี้ให้เห็นแล้ว
ส่วนจวนเฉวียนฝู่ที่ดูแลเงินเทพเซียนทั้งหมด แน่นอนว่าจะไม่นั่งดูดายอยู่เฉยๆ ยิ่งไม่มีเหตุผลให้วางตัวอยู่นอกเหนือเรื่องราว
ต่อให้เกาเหย่โหวอยากจะเป็นนกกระเรียนป่าที่โบยบินอย่างอิสระอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆแค่ไหน ผู้ฝึกตนคนอื่นของจวนเฉวียนฝู่ก็ยังจะต้องเต้นผางด่ามารดาเขาอยู่ดี เพราะถึงอย่างไรเงินและอำนาจก็ไม่อาจแยกจากกัน ทุกวันนี้ไม่รู้ว่าเหตุใดจวนเฉวียนฝู่ถึงได้มีคำพูดประโยคหนึ่งแพร่ออกมา ขอบเขตของผู้ฝึกกระบี่จวนเฉวียนฝู่ของพวกเราไม่มากพอ ถ้าอย่างนั้นก็ใช้เงินเทพเซียนที่กองเป็นภูเขามาผสมรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกผู้ฝึกกระบี่อายุค่อนข้างน้อยที่แต่ละคนชอบพร่ำพูดว่าเก็บให้หมดอย่าให้เหลือซากแม่งอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าของผุพังแค่ไหนก็ถือเป็นงานที่ต้องใช้ฝีมือเช่นกัน…
ขนบธรรมเนียมเช่นนี้ค่อนข้างน่ากังวล
สี่ตัวประหลาดใหญ่ในนครบินทะยานทุกวันนี้ หนึ่งคือหนิงเหยาที่ไม่เป็นเจ้านคร
ส่วนการฝ่าทะลุขอบเขตของหนิงเหยา ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ไม่ประหลาดที่สุดแล้ว
นอกจากนี้ก็ยังมีตัวตนที่แท้จริงของเหนี่ยนซิน
ผู้ฝึกกระบี่สามคนของเรือนป้อจีที่แต่งกายเป็นสตรี
เป็นเหตุให้ผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มสองคนที่เพิ่งจะกราบไหว้เซ่อโจว เยี่ยนเจินเป็นอาจารย์ ตอนที่ไปกราบไหว้อาจารย์ด้วยกันล้วนถามหน้าเสียว่า พวกเราต้องสวมชุดของสตรีด้วยหรือไม่
ทำเอาเซ่อโจวโมโหเกือบตาย ศิษย์น้องสุ่ยอวี้จึงพูดประโยคเป็นธรรมเลียนแบบกู้เจี้ยนหลงด้วยการยิ้มถามเจ้าลูกกระต่ายสองคนนั้นว่า สวมกระโปรงของสตรีแล้วอย่างไร ปีนั้นที่ใต้เท้าอิ่นกวานแต่งกายเป็นหญิงลงสนามรบก็ดูอรชรอ้อนแอ้นเหมือนกันไม่ใช่หรือ?!
สุดท้ายคือนักบัญชีรุ่นเยาว์ของจวนเฉวียนฟู่ที่สองตาเป็นประกาย เก็บทรัพย์ได้ทั่วสารทิศ
การพูดคุยหลังจากนั้นล้วนเป็นเรื่องเล็ก
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก่อกำเนิดคนหนึ่งรายงานจำนวนของผู้ฝึกกระบี่ในนครบินทะยานทุกวันนี้ รวมไปถึงจำนวนของผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นที่คาดการณ์ไว้ในอีกร้อยปีข้างหน้า
ดังนั้นสุ่ยอวี้จึงเสนอว่าเขาจะเป็นคนนำขบวนคนออกเดินทางไกล จำนวนของผู้ฝึกกระบี่ไม่ต้องมาก แค่สามคนห้าคนก็พอ เขาต้องการจะไปตามหาตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นให้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่
เกาเหย่โหวเสนอว่านอกจากภูเขาแปดลูกใต้อาณัติของนครบินทะยานแล้ว ควรจะบุกเบิกนครอีกสี่แห่ง ทั้งสามารถแยกกันพิทักษ์สี่ทิศ แล้วก็สามารถรองรับคนมาได้มากกว่าเดิม ขณะเดียวกันยังสามารถช่วยป้องกันความเร็วในการแทรกซึมของคนนอกที่มีต่อนครบินทะยานด้วย
ส่วนภูเขาแปดลูกที่มีภูเขาจื่อฝู่เป็นหนึ่งในนั้น ตัวเลือกคนที่จะไปเฝ้าพิทักษ์ วันนี้ก็สามารถตกลงกันได้อย่างราบรื่น สายสิงกวานห้าคน สายจวนเฉวียนฝู่ได้ไปสามตำแหน่ง เก้าอี้ตัวหนึ่งในนั้นเป็นเกาเหย่โหวที่ช่วงชิงมาด้วยตัวเอง ผู้ฝึกตนของจวนเฉวียนฝู่กับสายสิงกวานเถียงกันจนหน้าดำหน้าแดง
คนของสายอิ่นกวานมีน้อยเกินไป แล้วก็ไม่เหมาะสม จึงไม่ได้เข้ามายุ่งด้วย กลับเป็นกู้เจี้ยนหลงที่ช่วยเอ่ยประโยคเป็นธรรมแทนจวนเฉวียนฝู่อยู่หลายคำ
เมื่อเกาเหย่โหวเสนอเรื่องนครใหม่สี่แห่ง หลัวเจินอี้ก็เปิดปากบอกว่าผู้ฝึกตนสายอิ่นกวาน หรือบุคคลที่พวกเขาปลูกฝังมาให้เป็นตัวแทน ในอนาคตจำเป็นต้องได้ครอบครองนครแห่งหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นเจ้านครใต้อาณัติ
เกาเหย่โหวหันไปสบตากับฉีโซ่วแล้วพากันตอบตกลง
พูดถึงเรื่องการสร้างนคร หลัวเจินอี้จึงถือโอกาสพูดถึงเรื่อง ‘แดนบิน’ ที่อยู่ห่างจากนครบินทะยาน บอกว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องมีการเตรียมการแต่เนิ่นๆ
นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญอย่างมากแล้วต้องระวังแล้วระวังอีก
เพราะมีความเป็นได้อย่างยิ่งว่าอาจจะเกิดข้อพิพาทกับกองกำลังของแต่ละฝ่าย
เนื่องจากก่อนหน้านี้สายอิ่นกวานตำหนิผู้ฝึกกระบี่สายสิงกวาน อีกทั้งเติ้งเหลียงยังเอ่ยถ้อยคำที่มาจากใจจริง เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนในศาลบรรพจารย์ยังลังเลตัดสินใจไม่ได้
เพราะกังวลว่าจะไปแตะเรื่องซวย
หนิงเหยาเอ่ยเสียงเย็นว่า “ใต้หล้าในทุกวันนี้นอกจากปลายสุดสี่ทิศอย่างเหนือใต้ออกตกแล้ว สถานที่อื่นๆ ล้วนเป็นพื้นที่ไร้เจ้าของ ไม่มีภูเขาลูกไหนที่ต้องตกเป็นของใครอย่างถูกทำนองคลองธรรม พวกเราไปในจุดที่อยู่ห่างไกลที่สุด แล้วหาตำแหน่งสูงรอบสี่ทิศ ตั้งป้ายศิลาที่สลักคำว่ากำแพง เมือง ปราณ กระบี่ สี่คำ ใครที่ไม่ยอมศิโรราบ กล้าแย่งชิงอาณาเขตกับพวกเรา ล้วนสามารถมองเป็นผู้ที่คิดจะถามกระบี่กับนครบินทะยานได้! หากผู้ฝึกกระบี่ที่เฝ้าพิทักษ์ที่นั้นๆ ไม่อาจรับเวทคาถาเทพเซียนจากอีกฝ่ายได้ ข้าจะเป็นคนไปถามกระบี่เอง!”
แต่ละคนในศาลบรรพจารย์เหมือนได้กินยาสงบใจเม็ดใหญ่เทียมฟ้าเข้าไป
เติ้งเหลียงยิ้มอย่างชอบใจ ยิ่งรู้สึกนับถืออย่างมาก
ไม่เสียแรงที่เป็นหนิงเหยา
สตรีผู้หนึ่งที่ไม่เคยไปเยือนคฤหาสน์หลบร้อนเลยสักครั้ง
หนิงเหยาลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ผู้ฝึกกระบี่ก็คือผู้ฝึกกระบี่ ต่อให้ผ่านไปอีกร้อยปีพันปี ศาลบรรพจารย์ของนครบินทะยานแห่งนี้ก็จำเป็นต้องมีคนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ ไม่ว่าวันหน้าจะเป็นอย่างไร หากถึงเวลานั้นใต้หล้าทั้งหลายเหลือแค่ผู้ฝึกกระบี่คนสุดท้ายคนเดียว คนผู้นี้ก็จำเป็นต้องอยู่ในศาลบรรพจารย์แห่งนี้”
“ร้อยปีให้หลัง จำนวนของเซียนกระบี่ในนครบินทะยานจะต้องมากกว่าจำนวนรวมของเซียนกระบี่ในพื้นที่แห่งอื่นของใต้หล้าแห่งนี้”
“ผู้ฝึกกระบี่ในใต้หล้ามีอยู่ในนครบินทะยานมากที่สุด วิถีกระบี่ในใต้หล้าเป็นนครบินทะยานที่สูงที่สุด นี่ไม่ใช่วีรกรรมยิ่งใหญ่อะไร แต่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน”
หนิงเหยาสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ สะพายกล่องกระบี่
คิ้วตาของนางเบิกบานสดชื่น
ฉีโซ่วลุกขึ้นก่อนใคร ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าจวนเกาว่าอย่างไร? จะเป็นขอบเขตหยกดิบตอนไหน?”
เกาเหย่โหวลุกขึ้นแล้วยิ้มกล่าว “ไม่มีทางช้ากว่าเจ้าเกินไปแน่”
ทุกคนในศาลบรรพจารย์ โดยเฉพาะตัวอ่อนเซียนกระบี่ทั้งหลาย แต่ละคนล้วนมีสายตาเด็ดเดี่ยว
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก่อกำเนิดสองคนลุกขึ้นยืนพร้อมกัน ผู้เฒ่าที่ชราภาพมากแล้วซึ่งรับหน้าที่ส่งธูปในศาลบรรพจารย์กุมหมัดพูดเสียงทุ้มหนักว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องไหว้วานทุกท่านแล้ว!”
……
จวนสกุลเฉินของถนนไท่เซี่ยง หลายปีมานี้มีเด็กคนหนึ่งที่นิสัยแปลกแยก ชอบอาบแสงแดด เก็บตัวอยู่ในเรือนเงียบ ปรากฏตัวน้อยครั้ง บางครั้งก็จะไปมองถนนใหญ่ด้านนอกอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ของจวนสกุลเฉิน
นามว่าเฉินจี
นี่เป็นชื่อใหม่ที่เขาตั้งให้ตัวเอง
นครบินทะยานแห่งนี้ คนที่รู้ชื่อเดิมของเขามีเพียงหนิงเหยาสายอิ่นกวาน เหนี่ยนซินสายสิงกวานและเกาเหย่โหวสายจวนเฉวียนฝู่เท่านั้น
นอกจากนี้ก็เหลือแค่นักรบเดนตายคนหนึ่งของตระกูลเฉิน กับสาวใช้อายุน้อยคนหนึ่ง ฝ่ายแรกคือผู้ฝึกกระบี่โอสถทองในนาม แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นก่อกำเนิด ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนี้ไม่เพียงแต่ยังอายุน้อยมาก คุณสมบัติดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด อีกทั้งยังมีความจงรักภักดีต่อสกุลเฉินถนนไท่เซี่ยงอย่างมาก พร้อมที่จะกระโจนเข้าหาความตายเพื่อเด็กที่มีนามว่า ‘เฉินจี’ ผู้นี้อย่างกล้าหาญ
ซี แสงสว่าง กว้างขวาง
จี ซีล้วนคือความสว่าง และในบทหลักของตำรา ‘ต้าหย่า’ ก็ได้บอกไว้ว่า ‘จีซีคือแสงสว่าง’
สยบใจคนให้สงบ สร้างสันติให้แก่ในและนอก ตั้งหลักพิธีการมารยาทสร้างสรรค์ดนตรี ให้คนได้มีชีวิตสงบสุขท่ามกลางคลื่นลม
เฉินจีหรือควรจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเซียนกระบี่ผู้เฒ่าเฉินซีแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทุกวันนี้อายุแค่เจ็ดขวบ แต่อันที่จริงได้อ่านตำรามาแล้วไม่น้อย
ไม่อย่างนั้นตระกูลเฉินก็ไม่มีทางมีลูกหลานอย่างเฉินซานชิวได้
สกุลเฉินของถนนไท่เซี่ยงเคยมีขนบธรรมเนียมเล็กๆ อย่างหนึ่ง ในเวลาหนึ่งปี วันที่เฉินซีแกะสลักตัวอักษร ‘เฉิน’ ลงบนหัวกำแพงเมือง จะต้องโปรยไข่มุกแวววาวหนึ่งกระจาดใหญ่ไปบนถนน พวกเด็กๆ ที่อยู่บนถนนไท่เซี่ยงและถนนอวี้ฮู่มักจะตื่นแต่เช้ามารวมตัวกัน รอคอยที่จะได้เก็บไข่มุกพวกนั้น ในบรรดาเด็กๆ ของแต่ละยุคแต่ละรุ่นนี้มีหลายคนที่ในอนาคตกลายเป็นเซียนกระบี่ แล้วก็มีคนมากมายยิ่งกว่าที่ไม่ทันได้เป็นเซียนกระบี่ก็รบตายไปเสียก่อน
วันนี้เฉินจีมายืนอยู่ตรงหน้าประตู มองถนนเงียบสงัดที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนแล้วก็คลี่ยิ้ม
เคยมีเจ้าชาติสุนัขผู้หนึ่ง ทุกครั้งจะต้องทำหน้าหนามานั่งยองอยู่ในกลุ่มเด็กๆ กางแขนกางขาออกกว้างแล้วยังกระดกก้นดันคนอื่น อาศัยวิธีการเช่นนี้ ทุกปีบุรุษจะแย่งไข่มุกไปได้กำใหญ่ จากนั้นหลังก้นเขาก็จะมีกลุ่มเด็กที่ร้องไห้จ้า ร่ำร้องเรียกหาบิดามารดา
เวลานี้ข้างกายของเฉินจีมีสาวใช้ที่เป็นหญิงสาวหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งยืนอยู่ นางมองไปตามมุมต่างๆ บนถนนใหญ่อย่างระแวดระวัง ก่อนจะใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “เจ้าประมุข สามารถกลับได้แล้ว”
เฉินจีพยักหน้า หมุนตัวได้ก็เดินกลับเข้าไปในจวน
หลังจากที่เขาสละร่างไปเกิดใหม่ วิญญาณก็ยังไม่ครบถ้วน สติปัญญาจึงยังไม่เปิดออกอย่างสมบูรณ์ แต่ความทรงจำล้วนยังคงอยู่ ทว่าอาศัยตะเกียงแห่งชะตาชีวิตดวงหนึ่งในศาลบรรพจารย์มาชดเชยหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณให้ครบถ้วนใหม่อีกครั้ง นิสัยจึงอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เหนี่ยนซินคนเย็บผ้าที่ออกมาจากคุกของเฒ่าหูหนวกเคยแอบส่งจดหมายลับฉบับหนึ่งมาให้เจ้าประมุขสกุลเฉินอย่างเขา ในจดหมายอิ่นกวานหนุ่มได้บอกอย่างมั่นใจว่า ในนครยังมีหมากสำคัญที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างแทรกวางไว้ ขอบเขตต้องไม่สูงแน่นอน แต่อำพรางตัวได้อย่างลึกล้ำถึงเพียงนี้ ยามที่นครแห่งนี้มีการบุกเบิกขยับขยายอย่างรวดเร็วอยู่ในใต้หล้าแห่งที่ห้า จะต้องคอยระวังไม่ให้หมากที่มองดูเหมือนไม่เปิดเผยร่องรอยพวกนี้ได้ครอบครองตำแหน่งสูง หลีกเลี่ยงไม่ให้คนเหล่านี้ร่วมมือประสานในนอกวางแผนระยะยาวกับเผ่าปีศาจที่เข้ามาในใต้หล้าแห่งใหม่ผ่านประตูใหญ่สามทวีป
ดังนั้นภายในเวลาหกสิบปีนี้ต้องขอให้ผู้อาวุโสเฉินซีหาโอกาสเอ่ยเตือนคฤหาสน์หลบร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องคอยจับตามองใบหน้าของคนเก่าคนแก่ที่ได้อยู่ในศาลบรรพจารย์แล้ว รวมไปถึงคนหน้าใหม่สองกลุ่มแรกที่มีหวังจะอาศัยคุณความชอบเลื่อนมาอยู่ในศาลบรรพจารย์ในอนาคตอย่างใกล้ชิด สายอิ่นกวานจะต้องทำการตรวจสอบอย่างละเอียด นอกจากนี้แล้วยังต้องจับตามองผู้ฝึกกระบี่ที่เดิมทีอายุไม่น้อย ไม่ได้มีพรสวรรค์เป็นที่เลื่องลือ แต่จู่ๆ กลับเปลี่ยนมาเป็นฝ่าทะลุขอบเขตอย่างรวดเร็ว หากเป็นเซียนดิน คนที่สามารถฝ่าทะลุขอบเขตสองขั้นได้ภายในเวลาร้อยปี ยิ่งต้องระวังให้มากเป็นพิเศษ
เฉินจีเดินอยู่ในจวนที่ตัวเองคุ้นเคยอย่างถึงที่สุดแล้วคลี่ยิ้มบางๆ
ใต้เท้าอิ่นกวานท่านนี้คิดเป็นกังวลแทนกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างเต็มที่จริงๆ
เนื้อหาของจดหมายลับใช้ถ้อยคำที่อ่อนโยน รอบคอบรัดกุม ประเด็นสำคัญคือทุกจุดในถ้อยคำล้วนยึดหลักมารยาทที่ผู้น้อยพึงปฏิบัติต่อผู้ใหญ่
และในจดหมายลับ เรื่องที่อิ่นกวานหนุ่มเป็นกังวลมากที่สุดก็คือฉีถิงจี้เซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่รับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์ถ้ำซานสุ่ยของฝูเหยาทวีปจะละเมิดกฎเข้ามาในใต้หล้าแห่งที่ห้า
ห้ามปล่อยให้ฉีถิงจี้ควบคุมความเป็นความตายของผู้ฝึกกระบี่ทั้งหมดไว้ในมือเด็ดขาด
ดังนั้นจะต้องระวังไม่ให้ใบถงทวีปปิดประตูก่อน สุดท้ายเป็นฝูเหยาทวีปที่ปิดประตูช้ากว่าทักษินาตยทวีป
เฉินจีพึมพำกับตัวเอง “ยังดี”
ประตูใหญ่ของฝูเหยาทวีปปิดช้าที่สุดจริง แต่ฉีถิงจี้ยังอยู่ต่อที่ใต้หล้าไพศาล
จะว่าไปแล้วคนหนุ่มผู้นั้นเป็นห่วงความปลอดภัยของภรรยาที่ยังไม่ได้แต่งเข้าบ้านของตัวเองมากกว่า
และความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นเฉินผิงอันที่คิดมากเกินไป
หนึ่งคือพิสูจน์ให้เห็นว่าหนังหน้าของฉีถิงจี้ไม่ได้หนาอย่างที่เฉินผิงอันคิด
สองก็คือหนิงเหยาฝ่าทะลุขอบเขตเร็วเกินไป ต่อให้ฉีถิงจี้มีความทะเยอทะยานสุดขีด มาช่วงชิงอำนาจที่นี่ก่อน จากนั้นจี้ผู้ฝึกกระบี่ของทั้งนครเป็นตัวประกัน สั่งให้พวกเขาแข็งข้อกับกฎของลัทธิขงจื๊อ แต่มีหนิงเหยาอยู่ อีกทั้งยังมีเหวินเซิ่งคอยช่วยจับตามองให้ ฉีถิงจี้ย่อมไม่มีทางสมใจปรารถนาง่ายๆ แน่ แล้วนับประสาอะไรกับที่ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างป๋ายเหย่กับซิ่วไฉเฒ่า รวมไปถึงฉีโซ่วหลานชายตระกูลตนได้กุมอำนาจใหญ่อยู่ในมือแล้ว ฉีถิงจี้ก็ต้องชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียให้ดีเสียก่อน
แต่เฉินจีไม่ได้รู้สึกว่าความกังวลที่ ‘เรื่องจริงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นกังวลเกินเหตุ’ นี้ไม่มีความจำเป็น ตรงกันข้ามกันเลย มันมีความจำเป็นที่สุด
เพราะถึงอย่างไรปีนั้นฉีถิงจี้ก็เกือบจะกลายเป็นเซียวสวิ้นคนที่สอง
คนประเภทนี้ หากจะบอกว่าไม่เคยมีความคิดอยากเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้าใหม่เอี่ยม ยึดครองโชควาสนาบนมหามรรคา สุดท้ายอาศัยสิ่งนี้มาเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่เสียเลย ย่อมไม่มีใครเชื่อ
สรุปก็คืออิ่นกวานหนุ่มคนแรกที่ไม่เชื่อ เขาเฉินจีก็คือคนที่สองที่ไม่เชื่อ
หากฉีถิงจี้เสียสติคิดจะฉีกหน้ากันอย่างสิ้นเชิง เลือกบุกเข้ามาในใต้หล้าแห่งที่ห้าจริง คนแรกที่เขาจะสังหารก็คือหนิงเหยา คนที่สองก็ต้องเป็นเขา ‘เฉินซี’ แล้ว
ส่วนตัวเฉินจีเอง หลายปีนี้ไม่รีบร้อน หนึ่งปีฝ่าทะลุขอบเขตหนึ่งขั้น ทุกวันนี้จึงเป็นขอบเขตโอสถทองพอดี
โต๊ะตัวที่อยู่ด้านล่างภาพแขวนของศาลบรรพจารย์นครบินทะยาน การที่เว้นเก้าอี้สองตัวปล่อยว่างเอาไว้ เพราะมีความหมายลึกซึ้ง
เก้าอี้ตัวหนึ่งจะเป็นเก้าอี้ของเจ้านครในอนาคต ส่วนอีกตัวหนึ่งจะเว้นว่างไว้ให้กับเซียนกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนแรกในประวัติศาสตร์ของนครบินทะยาน
หนึ่งคือหน้าตาของนครบินทะยาน หนึ่งคือเนื้อแท้ของนครบินทะยาน
แต่คนที่สามารถเป็นหน้าตาให้กับนครบินทะยานได้ ต้องไม่แย่อย่างแน่นอน
หากไม่ผิดไปจากที่คาด ต้องเป็นเฉินจีที่ได้นั่งเก้าอี้ตัวหนึ่ง ส่วนหนิงเหยาได้นั่งเก้าอี้อีกตัว
แต่เฉินจีกลับไม่ถือสาหากหนิงเหยาคนเดียวจะได้ครอบครองเก้าอี้สองตัว ถึงขั้นไม่ถือสาหากเจ้าเด็กอย่างฉีโซ่วผู้นั้นจะเติบโตอย่างรวดเร็ว ได้ดิบได้ดีมากพอจนได้นั่งบนเก้าอี้เจ้านครที่เดิมทีควรเป็นของตนตัวนั้น
หลังจากที่เฉินจีสละร่างตายไป จิตวิญญาณก็มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย นิสัยจึงเปลี่ยนไปตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาค่อนข้างจะสนใจใต้หล้าไพศาลและใต้หล้ามืดสลัวค่อนข้างมาก
ในอนาคตเขาอยากจะพกกระบี่บินทะยาน เดินทางไปท่องเที่ยวใต้หล้าสองแห่งนั้นเพียงลำพังอย่างมาก
ทว่าหากภายในเวลาหนึ่งร้อยปียังไม่มีเด็กรุ่นหลังที่เหมาะสม ไม่มีคนที่แสดงออกถึงคุณสมบัติว่าจะนั่งครองตำแหน่งเจ้านครได้อย่างมั่นคง ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้แล้ว ถึงเวลานั้นก็ต้องให้เขาเดินเข้าไปในศาลบรรพจารย์นครบินทะยานด้วยตัวเอง
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร การลุกผงาดของนครบินทะยานก็คือสถานการณ์ที่ไม่อาจขัดขวางได้
ต่อให้มีคนมาขวาง ถึงอย่างไรเฉินจีก็คือเฉินซี
คือผู้ฝึกกระบี่ที่เคยแกะสลักตัวอักษรลงบนกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน